Physicians Odyssey - ตอนที่ 49 ชีวิตเป็นของเรา ใช้ซะ !
บทที่ 49 ชีวิตเป็นของเรา ใช้ซะ !
ฉินเม่ยเม่ยมองดูซูเหวิ่นฉีคุกเข่าโดยไม่เข้าไปขัดจังหวะ
หลังจากสั่งสอนซูเหวิ่นฉีแล้ว ซูเถาได้เข้าไปตบไหล่เขาทันที ทันใดนั้นซูเหวิ่นฉีรู้สึกว่าขาของเขากลับมามีแรงอีกครั้ง ก่อนที่จะเหลือบมองไปยังซูเถาโดยที่ไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียวก่อนจะเดินออกไป
“ซูเหวิ่นฉีไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาต้องเอาคืนนายแน่” ฉินเม่ยเม่ยยิ้ม
ซูเถายักไหล่ “เอาแต่กลัวก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เกิดมามีชีวิตเดียว ทำไมไม่ใช้ให้มันเต็มที่หน่อยล่ะ ?”
ดวงตาของฉินเม่ยเม่ยสว่างขึ้น ก่อนเธอจะถอนจะหายใจ “ตามสัญญา ชั้นจะให้คุณหลี่จัดการเรื่องของซูเหวิ่นฉีให้นายเอง”
ซูเถาส่ายหัว “เธอคงไม่ได้หาข้ออ้างให้ซูเหวิ่นฉีเพื่อให้เขาหนีไปใช่มั้ย ?”
ฉินเม่ยเม่ยเลิ่กคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง “นายนี่ฉลาดเหมือนที่หยานจิ้งบอกเลย”
“ชั้นว่าเธอต้องไปขอร้องประธานตี้ให้ส่งพวกเรามาที่นี่แน่ๆ” ซูเถาตอบกลับ
ฉินเม่ยเม่ยยักไหล่ “หยานจิ้งโทรมาหาชั้นแล้วบอกว่านายคือหมอส่วนตัวของเธอ คิดอยู่แล้วว่าฝีมือนายต้องดีแน่นอน คุณหลี่เลยจัดหมอจากโรงพยาบาลเจียงหัวให้ชั้น”
จริงๆแล้วซูเถาก็ไม่ได้คิดมากเรื่องของฉินเม่ยเม่ย การที่เขาทำให้ซูเหวิ่นฉีอับอายนั้นเพราะเขาเห็นว่าเธอคิดยังไงกับซูเหวิ่นฉี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่สุภาพ แต่ซูเถาก็รู้ว่าฉินเม่ยเม่ยนั้นดูจะไม่ค่อยพอใจซูเหวิ่นฉีในบางเรื่อง
ซูเหวิ่นฉีเป็นผู้บริหารบริษัทของหลี่เย่เต๋อ และเป็นคนที่ถูกส่งมาเพื่อคุ้มครองเธอ เขารู้สึกไม่พอใจเนื่องจากตัวเขานั้นถูกใช้งานไม่ตรงกับความสามารถ เขาจึงรู้สึกไม่พอใจเมื่อคุยกับฉินเม่ยเม่ย
ฉินเม่ยเม่ยโทรหาหลี่เย่เต๋อ “คุณหลี่ , ไล่ซูเหวิ่นฉีออกไป”
“โอ้ะ ? เขาทำให้คุณไม่พอใจเหรอ ?” หลี่เย่เต๋อถามพลางขมวดคิ้ว
“เขาทั้งหยิ่งและยังทำกิริยาหยาบคายใส่หมอของชั้น เป็นพวกที่ใช้งานไม่ได้เลย” เธอตอบกลับอย่างนุ่มนวลก่อนจะพูดต่อ “อีกอย่าง อาการป่วยของชั้นก็หายแล้ว ไม่ต้องหาหมออีกแล้ว”
หลี่เย่เต๋อยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะพูด “จริงเหรอ ? คุณหมอหวังนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“ไม่ใช่เขา , เป็นฝีมือของหมอที่มาจากโรงพยาบาลเจียงหัว ซูเหวิ่นฉีได้ทำกิริยาหยาบคายใส่หมอทั้งสอง แถมเกือบจะไล่พวกเขาออกไปอีกด้วย” ฉินเม่ยเม่ยส่ายหัว
หลี่เย่เต๋ออึ้งอยู่ชั่วครู่กับคำพูดของเธอ “เดี๋ยวผมจะส่งของตอบแทนเพื่อเป็นการขอบคุณไปที่โรงพยาบาลเจียงหัวทีหลัง ส่วนเรื่องของซุเหวิ่นฉี…ผมจะพิจารณาพฤติกรรมของเขาอีกที”
หลังเธอวางสาย ฉินเม่ยเม่ยยืนขึ้นก่อนจะยิ้ม “ชั้นหิวแล้วล่ะ นี่ก็เวลาอาหารกลางวันแล้ว พวกคุณไม่มาร่วมโต๊ะกับชั้นหน่อยล่ะ ?”
เมื่อพวกเขามาถึงโต๊ะอาหาร ฉินเม่ยเม่ยผู้ที่ครั้งหนึ่งเลยสูญเสียความอยากอาหาร เมื่อเธอได้กลิ่นอาหารบนโต๊ะก็เริ่มตักอาหารทันที
ลู่ชีเหมี่ยวกระซิบไปยิงซูเถา “เธอจะไม่เป็นไรแน่เหรอ กินเยอะขนาดนั้น เธอเพึ่งจะฟื้นไข้เองนะ ?”
ซูเถายิ้มก่อนจะส่ายหัว “วางใจเถอะ โอกาสที่เธอจะกินจนจุกตายน่ะเท่ากับ 0”
ในตอนนั้นเอง ลู่ชีเหมี่ยวก็เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของซูเถาใหม่ ถึงแม้ว่าเธอจะประเมิณเขาเอาไว้สูงเนื่องจากเรื่องของเจียวเจียว เขาก็ได้ยืนยันเรื่องนั้นอีกครั้งในการรักษาโรควันนี้ซึ่งแม้แต่หวังเกาเฟิงยังรักษาไม่ได้
ในที่สุดฉินเม่ยเม่ยก็กินจนอิ่ม เธอนั่งลูบท้องก่อนจะพูดขึ้น “นานมากแล้วที่ชั้นไม่ได้กินอาหารมากขนาดนี้”
ซูเถาเช็ดปากด้วยกระดาษทิชชู่ก่อนจะยิ้ม “คุณไปนอนหลับพักผ่อนซักพักเถอะ กินยาตามที่ผมสั่งประมาณ 1 อาทิตย์ ร่างกายของคุณก็จะกลับมาหายดี”
“อาการเดินละเมอของชั้นหายไปแล้วจริงๆเหรอ ?” ฉินเม่ยเม่ยถามด้วยความสงสัย
ซูเถาพยักหน้าก่อนจะยิ้ม “แน่นอน แต่คุณต้องระวังเรื่องการกินไม่ไดเอทมากเกินไปและการใช้ยาด้วย”
ฉินเม่ยเม่ยถามต่อ “อาการเดินละเมอของชั้นมันเกี่ยวกับการไดเอทด้วยเหรอ ?”
“เธอต้องดื่มกาแฟลดความอ้วนบางอย่างแน่ กาแฟพวกนั้นมันไปลดความอยากอาหารลง เพราะงั้นหากดื่มมากเกินไปมันจะทำให้เกิดความผิดปกติทางจิตและส่งผลให้คุณมีอาการเดินละเมอ” ซูเถาอธิบาย
ฉินเม่ยเม่ยยิ้ม “ตั้งแต่วันนี้ไปชั้นจะกินอาหารทุกวันแล้ว บอกลาเรื่องไดเอทได้เลย”
เมื่อเห็นว่าฉินเม่ยเม่ยเริ่มจะเพลียแล้ว ทั้งซูเถาและลู่ชีเหมี่ยวได้ยืนขึ้นก่อนจะกล่าวลา
ในตอนที่พวกเขาขึ้นรถ ลู่ชีเหมี่ยวกระซิบกับซูเถา “ถึงแม้ว่านายจะรักษาออาการป่วยของฉินเม่ยเม่ยได้ แต่การกระทำของนายในวันนี้ดูจะใจร้อนไปหน่อยนะ”
ซูเถาจ้องไปยังลู่ชีเหมี่ยวก่อนจะยิ้ม “เธอจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้กับเลขาเฉียววันนี้มั้ย ?”
ดวงตาของลู่ชีเหมี่ยวเบิกกว้าง ก่อนที่หน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงละนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เฉียวเต้อเหาได้สั่งให้เธอคอยจับตาดูทั้งคำพูดและการกระทำของซูเถา และรายงานเขาเมื่อมีเรื่องผิดพลาด
“ชั้นไม่รู้ว่านายกำลังพูดเรื่องอะไร” ลู่ชีเหมี่ยวทำท่ากลบเกลื่อน
ซูเถายักไหล่ก่อนจะถอนหายใจ “เธอเป็นหมอกุมารแพทย์ ถ้าเธอไม่ได้จะติดตามชั้นมาเพื่อรักษาคนไข้แล้วเธอจะมากับชั้นทำไม หรือบางทีเธออาจจะเริ่มตกหลุมรักชั้นแล้วงั้นเหรอ ?”
ลู่ชีเหมี่ยวตอบกลับอย่างหงุดหงิด “ตกหลุมรักนายเนี่ยนะ ? เลิกฝันซะเถอะ ถูกตามที่นายพูด เลขาเฉียวเป็นกังวลว่านายอาจจะทำอะไรห่ามๆเนื่องจากความอายุน้อยของนาย เขาเลยส่งชั้นให้มากับนาย ซึ่งว่ากันตามตรง นายได้ละเมิดกฎไปแล้วก่อนหน้านี้ และถ้าอีกฝ่ายคิดจะเอาเรื่อง โรงพยาบาลจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่”
ซูเถายิ้มในขณะที่เขาแกล้งแหย่เธอ “งั้นบอกเขาไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ชั้นไม่กลัวหรอก”
ลู่ชีเหมี่ยวรู้สึกโมโหกับคำพูดของซูเถา ดวงตาเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนจะเบือนหน้าหนีมองไปยังหน้าต่าง
ซูเถารู้สึกว่าเขานั้นพูดมากเกินไปแล้ว แต่พอลองมาคิดดูเรื่องที่ลู่ชีเหมี่ยวมาเพื่อจับตาดูเขา เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนสวย แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เธอเข้าหาเขาด้วยเจตนาร้ายได้ เขารู้สึกว่าเหมือนมีมีดจ่ออยู่ที่หลังเขา
เมื่อพวกเขากลับมาถึงโรงพยาบาลเจียงหัว ทั้งสองก็ได้ไปที่สำนักงานของตี้ชีหยวนและรายงานเรื่องในวันนี้
ตี้ชีหยวนดูจะอารมณ์ดีพลางยิ้มแย้มแจ่มใส “ผมได้คุยโทรศัพท์กับหลี่เย่เต๋อแล้ว และเขาจะส่งธงมาเพื่อขอบคุณในเร็วๆนี้ เราจะเอามันแขวนไว้ที่สำนักงานของซูเถา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้บริจาคเงินให้โรงพยาบาลอีก 5 แสนหยวน พวกนายไม่ใช่แค่รักษาคนไข้ได้เท่านั้น พวกนายยังหาราายได้พิเศษให้โรงพยาบาลอีกต่างหาก”
“ทั้งหมดเป็นฝีมือของหมอซู ชั้นไม่ได้ทำอะไรเลย !” ลู่ชีเหมี่ยวพูดเบาๆก่อนที่หน้าของเธอจะเป็นสีแดง
ตี้ชีหยวนยิ้ม “เอาน่า ยังไงเธอก็มีส่วนในเรื่องนี้อยู่ดี ! หัวหน้าลู่ คุณกลับไปจัดการงานต่อได้แล้ว ผมมีเรื่องจะหารือกับซูเถานิดหน่อย”
หลังจากมองไปยังซูเถา ลู่ชีเหมี่ยวได้เดินปิดประตูออกไป
พอลู่ชีเหมี่ยวไม่อยู่แล้ว ตี้ชีหยวนก็พูดขึ้น “ได้ยินมาว่านายชนะแม้กระทั่งหวังเกาเฟิงงั้นเหรอ ?”
ซูเถายิ้ม “ถ้าเขามีเวลาอีก 2 อาทิตย์ วิธีการของเขาก็สามารถรักษาคนไข้ได้ แต่เนื่องจากเขาประหม่าเกินไปจนเกือบทำให้เขาลำบากเหมือนกัน”
“หวังเกาเฟิงเป็นถึงสตาร์ของวงการแพทย์ในฮั่วหนาน การที่นายชนะเขาได้มันมีค่ามากกว่า 5 แสนหยวนซะอีก ข้อความจากหลี่เย่เต๋อ” ตี้ชีหยวนยิ้ม
ซูเถาขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเขาก็เริ่มจะเข้าใจความคิดของตี้ชีหยวน “นี่คุณคงไม่กะให้ผมไปสู้กับเขาใช่ไหม ?”
ตี้ชีหยวนหัวเราะเบาๆ “ทักษะของนายมันยอดเยี่ยมมาก มันเป็นเรื่องจริงที่นายเอาชนะเขาได้ เราต้องประโคมข่าวเรื่องนี้ให้มากขึ้น !”
ซูเถายิ้ม “นี่คุณพยายามหาเรื่องให้ผมชัดๆเลยนะ !”
ตี้ชีหยวนส่ายมือ “ผิดแล้ว ชั้นแค่พยายามให้นายได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นต่างหาก”
“ถ้างั้นก็ขอบใจ” ซูเถาถอนหายใจ
ตี้ชีหยวนยิ้ม “พวกเราต้องมีแรงผลักดันอยู่ตลอด มันจะทำให้เราไปได้ไกลยิ่งขึ้น”
เมื่อลู่ชีเหมี่ยวกลับมาถึงสำนักงานของตัวเอง มือถือเธอก็ดังขึ้น ปลายสายเป็นเสียงของเฉียวเต้อเหา “มาที่สำนักงานของชั้นหน่อย”
ลู่ชีเหมี่ยวขมวดคิ้ว ก่อนที่เธอจะถอนหายใจและมุ่งไปยังสำนักงานของอเฉียวเต้อเหา
เฉียวเต้อเหาเตรียมชาเอาไว้ 2 แก้วพลางผายมือไปที่โซฟาก่อนจะยิ้ม “เหมี่ยวเหมี่ยว นั่งก่อนสิ ดื่มชาซักแก้ว”
ลู่ชีเหมี่ยวพยักหน้าก่อนจะนั่งลงไปบนโซฟาและยกชาขึ้นดื่ม สายตาของเฉียวเต้อเหาจับจ้องไปยังขาอันเรียวสวยของเธอ “วันนี้เป็นไงบ้าง ซูเถาก่อเรื่องหรือเปล่า ?”
เมื่อสังเกตเห็นสายตาขอองเฉียวเต้อเหา ลู่ชีเหมี่ยวรู้สึกอัดอัดในทันที เธอเปลี่ยนท่านั่งก่อนจะตอบกลับ “ทักษะทางการแพทย์ของซูเถานั้นยอดเยี่ยมมาก ถึงแม้ว่าคนไข้จะเชิญหวังเกาเฟิงมา แต่หวังเกาเฟิงนั้นพลาด ในขณะที่ซูเถานั้นรักษาได้สำเร็จ !”
“หวังเกาเฟิง ? นี่เธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ?” ใบหน้าของเฉียวเต้อเหาเต็มไปด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เขาเป็นหมอหนุ่มที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลประจำจังหวัดเชียวนะ !”
ลู่ชีเหมี่ยวถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้า “พ่อ จากการสังเกตของชั้น ชั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องดีของโรงพยาบาลนี้ที่มีหมอเก่งๆอย่างซูเถา”
เฉียวเต้ออเหาส่ายมือ “เขาจะมีประโยชน์อะไรถ้าแค่ฝีมือดีแต่นิสัยใช้ไม่ได้ ? เขาอายุยังน้อยแถมร่วมมือกับตี้ชีหยวนอีก เขาเป็นเหมือนเนื้องอกของโรงพยาบาลนี้และอีกไม่นานเขาต้องสร้างปัญหาแน่”
ลู๋ชีเหมี่ยวขมวดคิ้ว “พ่อ ดูเหมือนคุณจะรีบตัดสินเขาเกินไปหน่อย…”
เนื่องจากเฉียวเต้อเหาไม่ต้องการคุยเรื่องนี้กับลู่ชีเหมี่ยวต่อ เขาจึงตัดบทเธอก่อนจะเดินไปที่โต๊ะ “เหมี่ยวเหมี่ยว ชั้นเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเลย ก่อนหน้านี้ชั้นไปพบหยานจิ้งและได้ซื้อของขวัญมาให้เธอด้วยล่ะ”
“พ่อ ชั้นไม่ได้บอกไปแล้วเหรอนี่ว่าไม่ต้องซื้อของอะไรให้ชั้นทั้งนั้นน่ะ ?” ลู่ชีเหมี่ยวปฏิเสธ
เฉียวเต้อเหาแกล้งทำเป็นโกรธก่อนจะตอบกลับ “เหมี่ยวเหมี่ยว เฉียวโปเขาอายุน้อยกว่าเธอ 2 ปี ชั้นรู้สึกว่าเขานั้นยังเด็กเกินไปและไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติต่อภรรยาของตัวเองยังไง เธอคงจะทรมานกับเรื่องนี้มาซักพักแล้วสินะ ในฐานะพ่อ ชั้นอยากจะขอโทษเธอแทนเขาน่ะ”
ก่อนที่ลู่ชีเหมี่ยวจะทันได้ตอบโต้ เฉียวเต้อเหาได้อ้อมมาข้างหลังเธอก่อนจะหยิบสร้อยคอทองคำขาวฝังเพชรออกมา
เมื่อลู่ชีเหมี่ยวต้อองการจะยืนขึ้น เธอรูสึกว่ามีแรงกดเธอที่ไหล่ เฉียวเต้อเหายิ้ม “เหมี่ยวเหมี่ยว ให้พ่อใส่สร้อยให้นะ”
อย่างไรก็ตาม ลู่ชีเหมี่ยวปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก มันมีค่ามากเกินไป เก็บเอาไว้ให้แม่เถอะ”
ลู่ชีเหมี่ยวได้พยายามจะเตือนเฉียวเต้อเหาเกี่ยวกับสถานะของเขาโดยการดึงแม่สามีเข้ามา
เฉียวเต้อเหายิ้ม “พวกเราน่ะเป็นครอบครัวเดียวกันนะ เฉียวโปเป็นลูกชายชั้น เธอเป็นลูกสาวชั้น แล้วมันแปลกตรงไหนที่พ่อจะซื้อของขวัญให้ลูกสาว ? ยิ่งกว่านั้น เธอควรจะรู้เอาไว้ด้วยว่าแม่เธอนั้นไม่ได้ชอบของแบบนี้ มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่หล่อนจะใส่สร้อยที่ราคาตั้ง 2 หมื่นหยวน”
เมื่อได้ยินราคาสร้อย ลู่ชีเหมี่ยวยิ่งไม่ต้องการมันเข้าไปอีก เธอพยายามยามจะเลี่ยง แต่เฉียวเต้อเหาไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ เขาได้ออกแรงกดไหล่ของเธอให้นั่งที่โซฟา เมื่อเห็นต้นคอขาวๆของลู่ชีเหมี่ยว เฉียวเต้อเหายิ่งหายใจแรงขึ้นไปอีก