Physicians Odyssey - ตอนที่ 38 เฉียวเต้อเหาผู้มักมากในกามารมณ์
บทที่ 38 เฉียวเต้อเหาผู้มักมากในกามารมณ์
พอเข้าไปในห้องน้ำ เฉียวเต้าเหานึกขึ้นได้ว่ากางเกงเขาเปียกอยู่ จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นรอยแดงบนหน้าท้องของเขา พร้อมกับความรู้สึกทางเพศที่พุ่งสูงขึ้นจนไม่สามารถอธิบายได้ เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลาพอสมควรว่าบางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับซูเถา
เขาได้เห็นแล้วว่าซูเถานั้นทรมานเซี่ยเฉงอย่างไร ด้วยความสามารถของเขา บางทีเขาอาจจเป็นคนทำเรื่องนี้ก็ได้
เขารู้สึกกลัวและโกรธในเวลาเดียวกัน เขาโกรธเพราะว่านี่คงเป็นฝีมือซูเถา แต่ก็กลัวว่าอาจจะถูกลอบโจมตีแบบนี้ได้อีกในอนาคต
ในขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้น ปลายสายเป็นเสียงของตี้ชีหยวน “เลขาเฉียว , การประชุมใกล้จะจบแล้วนะ เราเห็นคุณรีบแล่นออกจากห้องไปเลย คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย ?”
เฉียวเต้าเหายิ้มตอบอย่างเหนียมอาย “ดูเหมือนเมื่อเช้าจะกินอะไรผิดสำแดงเข้าไปน่ะ ตอนนี้กำลังท้องเสียเลย”
ตี้ชีหยวนหัวเราะ “งั้นคุณก็ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะยกเลิกการประชุมนี้เอง”
เมื่อการประชุมจบลง ลูชีเหมียวได้เดินเข้ามาหาซูเถา “นี่ปากกาของนาย !”
ซูเถารับปากกาด้วยรอยยิ้ม “แค่นี้เหรอ ? คือแบบ เธอไม่ได้เดินมาเพื่อขอบคุณชั้นหรอกเหรอ ?”
“ขอบคุณเรื่องอะไร ?” ลูชีเหมียวขมวดคิ้ว
ซูเถาหาวก่อนจะกระซิบกลับ “เธอไม่ได้จะมาขอบคุณชั้นที่หยุดการลวนลามของไอ้หื่นกามนั่นหรอกเหรอ ?”
ลูชีเหมียวตกใจก่อนที่เธอจะหน้าแดง เธอจ้องไปยังซูเถาก่อนจะพูดด้วยความโกรธและความอับอายในเวลาเดียวกัน “ไร้สาระสิ้นดี !”
ซูเถาอึ้งไปพักใหญ่ เขาเข้าใจอะไรผิดไปงั้นเหรอ ? เขาช่วยเธอจากการถูกลวนลาม แล้วเธอไม่ได้รู้สึกขอบคุณเขาหรอกเหรอ ?
ในตอนนั้นเอง ถังหนานเชงได้เข้ามาตบไหล่เขา “ไม่ยักรู้ว่านายรู้จักแม่หนูลูด้วย เธอมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมในแผนกกุมารเวชศาสตร์ แต่สาเหตุที่เธอสามารถขึ้นมาเป็นรองหัวหน้าของทีมพิเศษนี่ได้ก็เพราะพ่อตาของเธอนั่นแหละ”
“พ่อตาเหรอ ?” ซูเถาถามด้วยความงุนงง
ถังหนานเชงนึกว่าซูเถานั้นจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฉียวเต้อเหากับลูชีเหมียวซะอีก , แต่ดูท่าทางซูเถาจะไม่ได้รู้เรื่องนั้นเลย “พ่อตาของเธอคือเฉียวเต้าเหา นายต้องระวังตัวให้ดีล่ะ เพราะเธอเป็นคนของฝั่งนั้นนะ”
ได้ยินดังนั้นซูเถาก็ถึงกับบางอ้อ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมลูชีเหมียวถึงได้มีท่าทางแบบนั้น คงไม่มีใครอยากพูดถึงความสัมพันธ์แบบนั้นหรอก แถมหลักฐานอะไรก็ไม่มี
ขณะที่เขากำลังคุยอยู่กับถังหนานเชง พวกเขาก็ได้มาถึงสำนักงานของตี้ชีหยวน ตี้ชีหยวนได้ให้เลขาของเขาชงชารอไว้แล้ว “หมอซู , อย่าได้ใส่ใจเรื่องผิดพลาดเล็กน้อยในวันนี้เลยนะ”
“ผมเข้าใจ ผมรู้ว่าใครจ้องจะใช้ลูกไม้สกปรกตอดเล็กตอดน้อยแบบนี้” ซูเถาส่ายหัว
ตี้ชีหยวนยิ้ม “นายได้สั่งสอนเขาไปแล้ว ให้เขาได้รูสึกขายหน้าต่อสาธารณชนเถอะ”
ซูเถามองไปยังถังหนานเชงที่กำลังลูบเคราของตัวเองเบาๆ บางที พวกเขาทั้งสองคงจะรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนเล่นงานเฉียวเต้อเหา
ในตอนแรกพวกเขาแค่สงสัยเท่านั้น แต่พอพวกเขาเห็นท่าทางของวูเถาก็มั่นใจได้ว่าน่าจะเป็นฝีมือซูเถาไม่ผิดแน่ การกระทำของซูเถาในวันนี้เป็นที่พอใจแก่พวกเขาทั้งสองจริงๆ
ถังหนานเชงหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดออกมา “เฉียวเต้อเหาเป็นเหมือนเนื้อร้ายของโรงพยาบาลนี้ วันๆเอาแต่วางแผนชั่วแทนที่จะสนใจในการทำงานของตัวเอง”
ตี้ชีหยวนพูดราวกับว่าไร้หนทาง “เมื่อวานชั้นได้คุยกับหัวหน้าเฉาแล้ว เขามีแผนจะให้เฉียวเต้อเหาขึ้นมาแทนชั้น แล้วให้ชั้นไปรับตำแหน่งของเขา”
ถังหนานเชงส่ายหัวก่อนจะถอนหายใจ “ชั้นกลัวว่าโรงพยาบาลเจียงหัวนี่กำลังจะตกอยู่ในความวุ่นวายซะแล้ว”
ตี้ชีหยวนยิ้มเจื่อนๆ “ชั้นทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว โรงพยาบาลนี้ขาดคนที่มีความสามารถพอจะต่อกรกับเฉียวเต้อเหาได้”
ถังหนานเชิงพูดขึ้น “ทีมพิเศษนี่จะถูกจัดตั้งขึ้นหลังนายออกไปแล้วใช้มั้ย ?”
ตี้ชีหยวนพยักหน้า “สำนักงานอนามัยของเมืองเป็นผู้จัดการทีมนี้ เฉียวเต้อเหาทำอะไรพวกสมาชิกในทีมนี้ไม่ได้หรอก และสิ่งนี้ก็เพื่อที่จะรักษาให้โรงพยาบาลนี้ยังคงอยู่ต่อไปด้วย”
หลังได้ยินดังนั้น ซูเถาก็ได้วิเคราะห์บางอย่าง จริงอยู่ที่ตี้ชีหยวนเป็นคนฉลาดแกมโกง แต่ทุกอย่างเขาก็ทำมันด้วยความชอบธรรมเพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งการพัฒนาทางด้านการแพทย์ของฮั่นโจว
เขารู้สึกเคารพตี้ชีหยวน คนฉลาดแกมโกงส่วนมากมันจะมีความคิดชั่วร้าย แต่ตี้ชีหยวนกลับทำทุกอย่างด้วยความชอบธรรม ในสังคมที่ซับซ้อนนี้ จำเป็นต้องมีคนแบบเขาเพื่อให้สังคมนั้นก้าวหน้าขึ้น
ตี้ชีหยวนจะอำลาโรงพยาบาลเจียงหัวไปในไม่ช้า ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับโรงพยาบาลอีกต่อไป สิ่งที่ตี้ชีหยวนทำก็คือการให้อิสระกับซูเถา และซูเถาก็น่าจะเห็นความตั้งใจของเขา ตี้ชีหยวนเป็นคนที่เล็งเห็นความสามารถของซูเถา ดังนั้นเขาควรจะทำอะไรบางอย่าง
จู่ๆถังหนานเชงก็นึกถึงเรื่องการแข่งขันที่วิทยาลัยเจียงหนานเป็นเจ้าภาพขึ้นมา “ซูเถา , มีบางเรื่องที่ชั้นคิดว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่ที่จะพูดออกมา….”
“บอกมาเถอะ” ซูเถาพูด
“ตี้หยวนเขาอยากจะกลับไปที่ตำหนักน่ะ” ถังหนานเชงอายเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ที่เธอตัดสินใจไปแบบนั้นก็เพราะเติ้งหมิงกดดันอยู่น่ะ”
ซูเถาขมวดคิ้ว เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าอึดอัดเล็กน้อย หากเธอได้สัญญากับถังนานเชงไว้แล้ว เรื่องที่ตำหนักจะพูดกับคนอื่นยังไง แต่หากซูเถาไม่เห็นด้วย มันจะไม่เป็นการทำร้ายชายแก่คนนี้หรอกเหรอ ?
ตี้ชีหยวนรู้ดีว่าซูเถาในตอนนี้กลืนไม่เข้า คายไม่ออกก่อนจะยิ้ม “คุณถัง , ให้ผมพูดแทนซูเถาก็แล้วกัน เป้าหมายของพวกเราน่ะคือการพัฒนาเหล่าเยาวชนทั้งหลายก็จริง แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วถ้าพวกเขาได้ตัดสินใจผิดพลาดไปแล้ว พวกเขาก็จำเป็นต้องรับผลที่ตามมาให้ได้ ในโลกนี้มันไม่มียาแก้ความเสียใจหรอกนะ”
ซูเถารู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือของตี้ชีหยวนก่อนจะยิ้ม “ที่จริง ผมได้สอนในสิ่งที่เธอควรจะรู้อยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับว่าเธอจะตั้งใจและพยายามอย่างหนักหรือเปล่าในตอนนี้”
ถังหนานเชงยิ้ม “งั้นลืมเรื่องนี้ไปซะเถอะ ชั้นจะไปบอกเธอเองว่านายว่าไง”
ในตอนแรกเขาคิดว่ามันคงจะไม่เสียหายอะไรมากสำหรับตี้หยวนและเติ้งหมิงในการออกมาจากตำหนัก แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ยังมีเวลาจำกัดให้เรียนภายในหนึ่งเดือนอยู่ดี
แต่เมื่อตี้หยวนได้อธิบายให้เขาฟังเกี่ยวกับคลื่นชีพจรและการแนะนำจุดฝังเข็ม เขาก็รู้ได้ทันทีว่าทักษะการแพทย์ของซูเถานั้นสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นซึ่งแม้แต่ตัวถังหนานเชงก็ถือว่าเป็นเรื่องใหม่เหมือนกัน หลักการของซูเถานั้นแตกต่างจากเขา ถึงแม้ว่าความรู้พื้นฐานจะเหมือนกัน แต่เทคนิคของเขานั้นเป็นของจริง
ตั้งแต่ซูเถาไปที่โรงพยาบาลเจียงหัว มันจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ไปเยี่ยมแผนก TCM จางจ้าวได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าแผนก เมื่อเขาเห็นซูเถา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซูเถาคิดว่าตี้ชีหยวนคงจะเป็นคนจัดฉากให้จางจ้าวขึ้นมาแทนตำแหน่งนี้ อย่างเช่น ซูเถาอาจจะเป็นคนแนะนำตี้ชีหยวนว่าให้จางจ้าวขึ้นมาแทนตำแหน่งของเซี่ยเฉงอะไรประมาณนี้
เมื่อจางจ้าวเห็นว่าซูเถานั้นอารมณ์ปกติ เขาได้ร้องขอซูเถา “หัวหน้าซู , ผู้ป่วยของเราแห่กันไปที่ตำหนักเมื่อพวกเขารู้ว่าคุณอยู่ที่นั่น ผมขอร้อง ผมหวังว่าหมอที่นี่บางคนสามารถไปฝึกงานที่นั่นได้บ้างเพื่อที่จะยกระดับความสามารถของพวกเรา”
“นายต้อองไปถามประธานตี้ , ชั้นไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนี้” ซูเถายิ้ม
ซูเถาได้ผลักความรับผิดชอบไปยังตี้ชีหยวน ตำหนักนั้นเป็นสถานที่ของเขา แถมยังมีเหล่าลูกศิษย์ที่เขาต้องดูแลอีก หากมีหมอจาก TCM เข้าไปมั่วด้วย มันคงจะหยุ่งเหยิงน่าดู ดังนั้นเขาจึงไม่อยากที่จะรวมทั้งสองกลุ่มเข้าด้วยกัน
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคุยกันเสร็จ พวกได้เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ซูเถาขมวดคิ้วและเดินไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ได้โปรด ช่วยลูกสาวชั้นด้วย” มีหญิงคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าเคาาเตอร์ชำระเงิน
พนักงานพูดด้วยน้ำเสียงจนปัญญา “คุณยังมีหนี้ค้างชำระกับทางโรงพยาบาล คุณได้แอบออกจากโรงพยาบาลไปเพื่อเลี่ยงการชำระเงิน ดังนั้นหากคุณไม่จ่ายหนี้ที่ค้างชำระให้เรียบร้อยก่อน เราก็ไม่อาจจะช่วยคุณได้”
เด็กหญิงอายุประมาณ 7-8 ขวบยืนอยู่ข้างๆผู้เป็นแม่ เธอดูค่อนข้างอ่อนแอ แถมสีหน้าของเธอก็ดูไม่ค่อยดีด้วย
หลังจากได้ยินพนักงานโรงพยาบาลตอบแบบนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็โวยวาย เด็กหญิงได้แอบเช็ดน้ำตาของเธอ “แม่ , กลับกันเถอะ หนูไม่เป็นไรแล้ว หนูไม่รู้สึกเจ็บแล้วล่ะ !”
หลังเห็นท่าทางของเด็กสาว คนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมพนักงาน “ละเว้นให้หน่อยไม่ได้เหรอ ? เดี๋ยวชั้นจ่ายค่าลงทะเบียนคนไข้ให้เอง !”
พนักงงานส่ายหัว “ตามกฎระเบียบของโรงพยาบาล เธอจำเป็นจะต้องจ่ายหนี้ที่ค้างชำระก่อน ไม่งั้นเธอก็รับการบริการจากโรงพยาบาลไม่ได้”
“นี่มันโรงพยาบาลบ้าอะไรเนี่ย ? ปล่อยให้คนตายแล้ววันๆก็เอาแต่พูดเรื่องเงินเนี่ยนะ ? ระวังไว้เถอะ ชั้นจะฟ้องพวกสื่อให้เปิดโปงเรื่องนี้ซะเลย”
ทันใดนั้น สีหน้าของเด็กสาวก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มีโฟมออกมาจากปากเด็กคนนั้น ก่อนที่เธอจะล้มลงไปโดยที่แขนขานั้นกระตุก
ซูเถาซึ่งเห็นเหตุการณ์ได้เดินเข้าไปหา การกระทำของเขาทำให้จางจ้าวตะลึง ซูเถาตั้งใจจะจัดการเรื่องนี้งั้นเหรอ ? นี่มันเป็นเรื่องของแผนกอื่น หากซูเถาเข้าไปแทรกแทงมันก็อาจจะเกิดปัญหาได้
ในขณะที่หัวของเขากำลังสับสนเรื่องนี้ ซูเถาได้อุ้มเด็กขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว “ชั้นเป็นหัวหน้าแผนก TCM , ช่วยทำให้แม่เด็กสงบลงหน่อย”
จางจ้าวยิ้มเจื่อนๆก่อนจะเข้าไปพยุงหญิงสาวเอาไว้ “ ไม่ต้องเป็นห่วง , แผนก TCM ของเราจะช่วยลูกสาวของคุณเอง”
“TCM ?” หญิงสาวสงสัย “ลูกสาวชั้นก่อนหน้านี้เขารักษาที่แผนกกุมารเวชศาสตร์มาก่อนนะ”
จางจ้าวได้เห็นทักษะของซูเถามาก่อน เขาจึงรู้ว่าซูเถานั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน เขาจึงยิ้มอย่างมั่นใจ “วางใจได้ , หากหัวหน้าซูของเรารักษาลูกคุณแล้ว ลูกสาวคุณจะต้องหายดีอย่างแน่นอน”
ผู้หญิงคนนั้นขอบคุณเขายกใหญ่ แต่เธอเพิ่งจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่ชั้นไม่มีเงินนะ !”
จางจ้าวตบหน้าอกของเขาเอง “ในฐานะหมอแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการช่วยชีวิตคน”
ทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นภาพที่คุ้นเคย มันเป็นภาพของนักข่าวจากสำนักข่าวฮั่นโจวซิตี้ ทุกวันนี้ พวกนักข่าวมักจะวิ่งไปมาสองที่เพื่อหาข่าว ที่แรกคือสถานีตำรวจในเรื่องความขัดแย้งของเจ้าหน้าที่กับประชาชนอีกที่หนึ่งคือโรงพยาบาลเนื่องจากมักจะมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นบ่อยๆ
เมื่อไม่นานมานี้ นักข่าวได้ขึ้นพาดหัวข่าวไว้ว่า “โรงพยาบาลเลือดเย็นที่ปฏิเสธผู้ป่วยด้วยเรื่องเงิน” แต่สุดท้าย เหตุการณ์นี้ก็ได้หมอหนุ่มผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกได้ช่วยเอาไว้ มันยิ่งทำให้ข่าวนี้นั้นน่าสนใจขึ้นไปอีก