Physicians Odyssey - ตอนที่ 34 ศักดิ์ศรีของอาจารย์
บทที่ 34 ศักดิ์ศรีของอาจารย์
หลังจากที่ไคซงพูยอมแพ้แล้ว ได้มีรถตำรวจหลายคันจอดอยู่ที่หน้าร้านขายของเก่ามรกต ก่อนที่จะยึดภาพวาดของราชวงค์ซ่งไป อีกทั้งยังมีรถถตู้สีเงินจอดอยู่ที่มุมถนนเก่าด้วย ในตอนนี้ร้านขายของเก่ามรกตได้ถูกปิดลงไปเรียบร้อย และไคหยานได้ซ่อนอยู่ที่ตำหนักของซูเถา
ห้องยานั้นมีขนาดใหญ่ และด้วยการจัดการของซูเถา เขาได้สร้างห้องพักเอาไว้ 4 ห้องด้วย เขาเป็นห่วงว่าไคหยานอาจจะตกอยู่ในอันตรายหากยังอยู่ที่ร้านขายของเก่ามรกต เขาจึงตั้งใจว่าจะให้ไคหยานย้ายมาอยู่ที่ตำหนัก
การอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับไคหยานนั้น มันทำให้ชีวิตของเขานั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องชั้นในสีชมพูที่แขวนตรงระเบียงเขาก็ใจสั่นแล้ว
ห้องที่เหลือนั้นถูกจัดเอาไว้ให้เสี่ยวจิงจิงและสองคนที่เหลือ ซึ่งพวกเขาสามารถที่จะเลือกอยู่ที่นี่ต่อได้ในอนาคต ซึ่งทางตำหนักเองก็ต้องการที่จะขยายเวลาเปิดทำการเนื่องจากมีลูกค้าบ่นมาว่าที่นี่นั้นปิดทำการไวเกินไป
พอผ่านไป 2-3 วัน ไคหยานดูจะสงบลง และบาดแผลบริเวณไหล่ของเธอนั้นตกสะเก็ดเรียบร้อย เมื่อซูเถาตื่นขึ้นมาก็ได้กลิ่นหอมที่ลอยมาจากครัวเตะจมูกเขา ทั้งไคหยานและเสี่ยวจิงจิงทำกับข้าวอยู่ในครัวซึ่งเมื่อก่อนมีเพียงเสี่ยวจิงจิงเท่านั้นที่เป็นคนรับผิดชอบในการทำอาหาร
“เธอไม่จำเป็นต้องรีบตื่นก็ได้” ซูเถาหันไปมองนาฬิกา มันเพิ่งจะตีห้าครึ่งเท่านั้น หมายความว่าไคหยานนั้นตื่นตั้งแต่ตีห้า
ไคหยานตักโจ๊กมา 1 ชามก่อนส่งให้ซูเถา “ชั้นนอนไม่หลับน่ะ , ก็เลยตื่นเช้ามาทำอาหาร นายได้ให้ที่พักกับชั้น ชั้นจะอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลยทุกวันไม่ได้หรอก”
หวังเผิงเอาเค้กไข่เข้าปากก่อนจะพูด “พี่หยาน , พี่ไม่ต้องทำอะไรหรอก ถ้าอาจารย์เขาไม่เอาพี่แล้ว ผมจะรับพี่ไว้เอง”
เสี่ยวจิงจิงขมวดคิ้วก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่นายพูดเรื่องไร้สาระอะไรเนี่ย ?”
หวังเผิงรู้ว่าเสี่ยวจิงจิงนั้นตำหนิเขาเนื่องจากเขาเผลอไปล้อเลียนอาจารย์เข้า เขามองไปซังซูเถาก่อนจะรู้สึกโล่งใจเมื่อซูเถานั้นไม่ได้พูดอะไร “จริงสิ , อาจารย์ ผมกับจ้าวเจี้ยนตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นศิษย์ของคุณ พวกเราไม่เอาเงินเดือนก็ได้ ดังนั้นได้โปรด รับพวกเราเป็นศิษย์ด้วย ถ้าคุณปฏิเสธ พวกเราก็จะรบกวนคุณต่อไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ !”
วันนี้ดูเหมือนซูเถาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาได้มองไปยังทั้งสองคนก่อนจะพยักหน้า “ยังไงพวกนายก้ได้เงินเดือนอยู่ดีนั่นแหละ ก็ได้ ชั้นจะรับพวกนายเป็นศิษย์ แต่ที่ตำหนักนี่มันไม่ได้สบายเลยนะจะบอกให้ ถ้าพวกนายทำตัวขี้เกียจไม่ตั้งใจเรียนให้หนักละก็ ชั้นจะเตะพวกนายออกไปทั้งคู่เลย”
หวังเผิงลองพูดเล่นๆเท่านั้น เขาไม่คิดว่าซูเถาจะรับเป็นศิษย์ง่ายขนาดนี้ ทันใดนั้น เขาก็ได้ดึงจ้าวเจี้ยนและเข้าพิธีรับเป็นศิษย์ซึ่งซูเถาก็ยอมรับเช่นกัน
เหตุผลที่ซูเถาไม่รับทั้งสองคนเป็นศิษย์ตั้งแต่ตอนแรก เพราะเขาเกรงว่าทั้งสองนั้นไม่มีความอดทนและความตั้งใจมากพอ ซึ่งมันจะเป็นการเสียวเวลาเปล่าหากพวกเขาทั้งสองยอมแพ้ในท้ายที่สุด
ไคหยานยิ้มเมื่อเห็นซูเถารับทั้งสองเป็นศิษย์ “ซูเถา , ให้ชั้นเป็นศิษย์ของนายด้วยได้มั้ย ?”
หวังเผิงส่ายมือในทันที “ไม่ได้นะ , ขืนพี่มาเป็นศิษย์ด้วยระบบความอาวุโสก็พังหมดพอดี”
ไคหยานเขิน “พังอะไรกันล่ะ , ชั้นแทบจะไม่รู้วิชาแพทย์เลยด้วยซ้ำ แถมพรสวรรค์อะไรก็ไม่มี ชั้นคงเป็นได้แค่ตัวถ่วงของพวกนายเท่านั้นแหละ ดังนั้นลืมมันซะเถอะ”
เสี่ยวจิงจิงก้มหน้าขมวดคิ้ว พอจ้าวเจี้ยนเห็นดังนั้น สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง
ซูเถาครุ่นคิดอยู่ซักครู่ก่อนจะพูดออกมา “ไคหยาน , ตั้งแต่ที่ร้านขายของเก่ามรกตปิดกิจการไป , เธอช่วยงานแคชเชียร์ได้นะถ้าเธอเบื่อๆ ตำหนักนี่ยังคงยุ่งอยู่ตลอดเวลา เธอสามารถช่วยชั้นได้มากเลย”
ไคหยานรู้ว่าซูเถานั้นไม่อยากให้เธอทำงาน เขาแค่ไม่อยากให้เธอคิดฟุ้งซ่านในตอนที่เธออยู่เฉยๆ “ชั้นกล้ารับประกันได้เลยว่าเงินนายจะไม่หายแม้แต่เซนต์เดียวถ้าชั้นเป็นแคชเชียร์”
ซูเถาเยิ้ม “ถ้าเธอทำได้ดิ ชั้นจะเลื่อนขั้นให้เอง”
ไคหยานมองไปรอบๆ “แค่มีที่ซุกหัวนอนกับมีข้าวให้กินก็เพียงพอแล้วล่ะ”
พอเห็นว่าทุกคนกินข้าวเช้ากันเสร็จหมดแล้ว ไคหยานก็เริ่มเก็บโต๊ะพลางฮัมเพลงไปด้วยก่อนจะกลับเข้าไปในครัว พอมองไปยังเงาที่หายไปในครัว ซูเถาก็ได้ถอนหายใจออกมา ถึงแม้ดูเผินๆไคหยานจะดูร่าเริง แต่เขารู้ดีว่าในใจเธอนั้นเจ็บปวดแค่ไหน ซูเถาได้พยายามอย่างหนักในการรักษาอาการป่วยของไคหยานที่ทรุดลงเนื่องมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับไคซงพู
การรักษาไคหยานนั้นยากกว่าการรักษาเวร่า อาการป่วยของไคหยานนั้นมันมาจากจิตใจ ซึ่งเธอจำเป็นต้องพึ่งพาตนเองในการรักษามัน ถึงแม้การรักษาจากภายนอกจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ แต่มันก็ไม่สามารถรักษาไปถึงต้นตอได้
ปกติแล้ว ซูเถาจะพาศิษย์ของเขาไปฝึกเทคนิคพลังคลื่นชีพจรที่ข้างนอกตำหนักในตอน 7 โมงเช้า เขาได้เริ่มต้นฝึกคลื่นพลังชีพจรเป็นวงกลมก่อนที่จะให้พวกลูกศิษย์นั้นทำตามและเขาได้คอยให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ บางครั้ง เขาก็ได้ใช้จุดฝังเข็มในการให้พวกศิษย์นั้นได้รู้ถึงความสำคัญของการเคลื่อนไหว
เมื่อก่อน ตอนเขาเริ่มฝึกคลื่นพลังชีพจร เขารู้สึกทำสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งทำให้เขารู้สึกถึงการระเหยของของเหลวซึ่งออกมาจากจุดฝังเข็มตามร่างกาย มันเหมือนกับการระเหยของเหงื่อซึ่งเกิดขึ้นหลังจากจบการวิ่งเป็นเซสชั่น
อย่างไรก็ตาม สามคนที่เหลือนอกจากเสี่ยวจิงจิงดูจะด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาฝึกมาประมาณ 10 กว่าวันแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จ ในท้ายที่สุด ซูเถาได้ฝึกเป็นรายบุคคลเกี่ยวกับการรู้สึกถึงพลังฉีที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
หลังจากที่เขาอธิบายเสร็จแล้วก็ได้ให้พวกเขาลองอีกครั้ง หลังจากผ่านไป 10 กระบวนท่า ซูเถายิ้มเมื่อเขาเห็นรอยแดงที่เพิ่มขึ้นบนหัวจ้าวเจี้ยน มันเป็นสัญญาณของการรวบรวมพลังฉี
เทคนิคคลื่นชีพจรนั้นไม่เหมือนกับศิลปะการต่อสู้อื่นๆศิลปะการต่อสู้นั้นเป็นการรวบรวมพลังฉีไว้ที่จุดตันเถียน (จุดรวมพลังฉีซึ่งอยู่บริเวณท้องน้อย) แต่เทคนิคคลื่นชีพจรเป็นการรวบรวมพลังฉีเอาไว้ที่จุดฝังเข็มต่างๆ เมื่อสำเร็จวิชานี้ไปขั้นนึงแล้ว พลังฉีก็จะแสดงขึ้นมาบนจุดฝังเข็ม ไม่ใช่จุดตันเถียน
ในฐานะสมาชิกทีมบาสเก็ตบอล เส้นประสาทของจ้าวเจี้ยนได้รับการพัฒนาขึ้น ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่ก้าวผ่านขีดจำกัดมาได้ อีก 18 กระบวนท่าต่อมาเสี่ยวจิงจิงก็ทำสำเร็จเป็นคนที่สอง แต่หวังเผิงดูจะแย่หน่อยเพราะผ่านไป 20 กระบวนท่าแล้วยังไม่มีท่าทีใดๆเลย
“อาจารย์ , ทำไมผมรู้สึกว่าร่างกายมันเบาสบายจังเลย ?” หลังจากสำเร็จวิชาคลื่นชัพจร จ้าวเจี้ยนรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ซูเถายิ้ม “นายและเสี่ยวจิงจิงได้สำเร็จวิชาคลื่นชีพจรไปขั้นนึงแล้ว ในอนาคต พวกนายน่าจะใช้เวลาประมาณ….อีก 6 เดือนก็น่าจะไปสู่ขั้นที่สองได้”
ย้อนกลับไป ซูเถาใช้เวลาเพียง 2 วันเท่านั้นก็สำเร็จเทคนิคคลื่นชีพจรแล้ว แต่เอาจริงๆ พวกเขาทั้ง 3 คนนั้นอ่อนแอกว่าซูเถา ซูเถาเลยไม่ได้วางมาตรฐานเอาไว้สูงมากนักสำหรับพวกเขา
เพื่อที่จะก้าวไปสู่ขั้นที่สอง พวกเขาจำเป็นต้องสะสมพลังฉี 72 จุดภายในการเคลื่อนไหวเพียง 20 กระบวนท่า ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
“แล้วผมล่ะ ? เมื่อไหร่จะสำเร็จขั้นแรก ?” พอเห็นจ้าวเจี้ยนกับเสี่ยวจิงจิงสำเร็จขั้นแรกไปแล้ว หวังเผิงรู้สึกเจ็บใจนิดหน่อย
ซูเถาเอามือลูบครางครุ่นคิดก่อนจะตอบ “นายยังสามารถฝึกเทคนิคคลื่นชีพจรต่อไปได้นะ แต่ชั้นว่านายน่าจะเน้นตรงเรื่องสมุนไพรให้มากหน่อย นายมีความสามารถในเรื่องนี้”
ซูเถานั้นไม่ได้ตั้งใจจะตอบแบบรักษาน้ำใจ ถึงแม้ว่าประสาทสัมผัสของหวังเผิงจะได้รับการขัดเกลามาบ้าง แต่ในด้านของประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขานั้นไวกว่าคนอื่นๆ หากเน้นให้เขาเอาดีทางด้านแพทย์สมุนไพร ในอนาคตเขาจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
เมื่อได้ยินซูเถาพูดให้กำลังใจดังนั้น หวังเผิงได้ตบไปที่หน้าอกตัวเองเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ “ดีล่ะ งั้นผมจะเน้นไปทางด้านสมุนไพรแล้วกัน !”
ซูเถาตั้งใจจะสอนศิษย์ของเขาให้สอดคล้องกับความสามารถของแต่ละคน จ้าวเจี้ยนก็เน้นไปทางเทคนิคการฝังเข็ม หวังเผิงเน้นไปทางด้านสมุนไพร ส่วนเสี่ยวจิงจิงนั้นให้เธอเรียนทุกอย่าง ซูเถาได้ตัดสินใจเรื่องนี้หลังจากที่ได้วัดความสามารถของพวกเขามาเป็นเวลา 10 วันแล้ว
จะมีคนมาซื้อสมุนไพรตอนเวลาประมาณ 7 โมงครึ่ง ซูเถาได้ตระเตรียมงานเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะเริ่มดำเนินธุรกิจของตำหนักในวันนี้
ซูเถาได้ให้ทั้ง 3 คนนั้นฝึกวิชาการฝังเข็มกับหุ่นก่อนจะให้พวกเขาได้ดูว่าตัวเขาเองนั้นได้ทำการฝังเข็มกับผู้ป่วยอย่างไร บางครั้งพวกเขาก็ได้ทดลองฝังเข็มภายใต้การกำกับดูแลของซูเถา
เสี่ยวจิงจิงรู้สึกประหลาดใจเนื่องจากที่นี่มีคนไข้เกือบจะทุกประเภท อย่างไรก็ตาม การรักษาพวกเขานั้นมีอยู่ในคู่มือการฝังเข็มที่ซูเถาได้เขียนขึ้นมาแจกจ่ายให้เหล่าลูกศิษย์ของเขาเอง
ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เสี่ยวจิงจิงรู้สึกว่าถึงแม้ซูเถาจะอายุน้อย แต่ด้วยทักษะของเขาแล้วสามารถสร้างนิกายของตัวเองขึ้นมาได้เลยทีเดียว ราวกับความสามารถของเขานั้นสูงกว่าถังหนานเชงเสียอีก ถึงแม้ว่าทักษะของถังหนานเชงจะยอดเยี่ยมก็ตาม แต่มันก็เป็นเพราะว่าประสบการณ์อันยาวนานและอ้างอิงมาจากตำราแพทย์ต่างๆ เขาไม่ได้สร้างเทคนิคการรักษาที่เป็นแบบเฉพาะของเขาเอง
เอกสารที่เติ้งหมิงและตี้หยวนได้ดูถูกเหยียดหยามนั้นเป็นเอกสารเกี่ยวกับการวิจัยและการรักษาของซูเถาเอง เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เสี่ยวจิงจิงก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจเข้าไปอีก คนทุกคนนั้นย่อมมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ซูเถา เขาได้มอบสิ่งที่มีค่าขนาดนั้นให้ทั้งสองคนอย่างไม่หวงวิชา
หลังจากรักษาคนไข้ที่ป่วยจากอาการเจ็บคอด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวจิงจิงเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ซูเถาได้ประกาศขึ้นมาว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป , เธอจะต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการให้คำปรึกษา ชั้นจะไม่เข้าไปยุ่งกับพวกเขา”
เขาเห็นว่าเสี่ยวจิงจิงนั้นมีความแม่นยำในการใช้เข็ม เธอมีคุณสมบัติที่จะเริ่มต้นการวินิจฉัยโรคได้แล้ว
เสี่ยวจิงจิงทำหน้าไม่เชื่อ ก่อนเธอจะถามขึ้นด้วยความสงสัย “ชั้นจะทำได้เหรอ ?”
ซูเถาพยักหน้า ก่อนที่จะถกแขนเสื้อของเธอขึ้น “ถึงแม้ว่าเธออยากจะฝึกการฝังเข็ม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปหรอก”
ทุกคนคิดว่าการที่เสี่ยวจิงจิงนั้นสวมเสื้อแขนยาวเป็นเพราะเธอนั้นหัวโบราณ แต่จริงๆแล้วเธอต้องการจะซ่อนรอยแผลที่แขนของเธอ เสี่ยวจิงจิงนั้นได้ใช้เวลาไปอย่างมากในการฝึกการฝังเข็มและเมื่อเธอเริ่มจะจับจุดได้ เธอจึงได้ใช้แขนของตัวเองเป็นที่ทดลองวิชา !
ซูเถาได้นวดไปยังจุดฝังเข็มของเธอ เธอสามารถระบุจุดฝังเข็มได้อย่างถถูกต้อง แต่การฝังเข็มบ่อยๆนั้นจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เขาจึงช่วยให้เธอคลายความเจ็บปวดลง
ถึงแม้ผิวของเสี่ยวจิงจิงจะไม่ได้ถือว่าดีมาก แต่ผิวของเธอนั้นก็ค่อนข้างนุ่มนวลและน่าสัมผัส
เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจากการสัมผัส อัตราการเต้นของหัวใจเสี่ยวจิงจิงก็เพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอไม่คิดว่าอาจารย์ของเธอนั้นจะเป็นคนที่เข้าใจเธอที่สุด
ซูเถาดึงมือกลับก่อนจะพูด “เทคนิคการฝังเข็มของเธอนั้นถือได้ว่าเป็นรากฐานที่มั่นคงเลยทีเดียว ถ้าเธอหมั่นฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตเธอจะต้องเชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างแน่นอน”
จากการประเมิณของซูเถา เทคนิคการฝังเข็มของเสี่ยวจิงจิงนั้นถูกต้อง เพียงแค่เธอยังขาดประสบการณ์เท่านั้น นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้ให้เธอนั้นรับผิดชอบเกี่ยวกับการให้คำแนะนำและปรึกษา
เสี่ยวจิงจิงพยักหน้า ทันใดนั้นเธอได้นึกเรื่องนึงออก ก่อนที่เธอจะหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “นี่เป็นเงินที่ได้มาจากการขายครีมเสริมความงาม”
ซูเถาโบกมือก่อนจะยิ้ม “ชั้นไม่ได้บอกเธอไปหรอกเหรอว่าเงินนั่นเป็นของเธอ ?”
เสี่ยวจิงจิงหน้าแดง “ชั้นรับมันเอาไว้ไม่ได้หรอก !”
ซูเถานั้นรู้ว่าเสี่ยวจิงจิงเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูงมาก ดังนั้นเขาจึงได้ใช้วิธีอื่นแทนเพื่อโน้มน้าวเธอ ทันใดนั้น เขาก็ได้ทำสีหน้าเข็มงวดขึ้นมา “ถ้าชั้นบอกให้เธออเก็บเอาไว้ เธอก็ต้องเก็บมันเอาไว้ นี่เธอคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งของอาจารย์งั้นเหรอ ?”
เสี่ยวจิงจิงอึ้งก่อนที่จะเก็บเงินเข้ากระเป่าไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “ก็ได้ค่ะ , อาจารย์”
พอเห็นเสี่ยวจิงจิงดูจะตกใจมากทีเดียว ซูเถาก็รู้สึกดีใจ ก่อนที่เขาจะกล่าวเพิ่มเติม “ในอนาคต เธอต้องเชื่อฟังคำสั่งของชั้นอย่างเคร่งครัด ชั้นไม่ชอบคนเหยาะแหยะ”
พอซูเถาออกไปจากห้องให้คำปรึกษา สายตาของเสี่ยวจิงจิงก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนก่อนจะถอนหายใจและบ่นพึมพำกับตนเอง “ทำไมถึงเปลี่ยนท่าทีกะทันหันแบบนั้นกันนะ ? อาจารย์นี่บางทีก็แปลกชะมัด อารมณ์เปลี่ยนทันทีโดยไม่มีสัญญาณเตือนอะไรซักอย่าง ชั้นไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ”