Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1678 นักท่องกาลเวลา
ชาวนาสองสามคนยืนอยู่บนทางเดิน เห็นศพงูครึ่งท่อนแล้วก็ตกตะลึงอยู่นานทีเดียว แต่อยู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมา ศพงูตัวนี้มีแค่ครึ่งท่อนล่าง ส่วนครึ่งท่อนบนหนีไปแล้วแน่นอน ตอนพวกเขาเพิ่งวิ่งเข้ามาก็เห็นเงาสีขาวกระโดดเข้าไปในป่าแวบๆ
งูยักษ์ตัวนี้ช่างกล้าหาญเหลือเกิน ถ้ามันยังไม่ตาย พอมันหายจากอาการบาดเจ็บแล้วกลับมาแก้แค้นพวกเขาจะทำอย่างไรดี?
ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยตำนานของภูเขาเทพ แม่น้ำผี ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ความจริงแล้วพวกเขายังดี ถ้างูยักษ์อยากแก้แค้น มันจะต้องแก้แค้นชายนักดาบก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาตั้งปณิธานที่จะติดตามเขาทำภารกิจให้สำเร็จ จะทนมองเขาตายในปากงูได้อย่างไร?
ทำยังไงดี?
พวกเขาคิดไปคิดมา ตัดสินใจว่าไหนๆ ทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด ในเมื่องูยักษ์ได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว จึงตามไปตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก และนับเป็นการจำกัดความเป็นกังวลให้กับชายนักดาบ พวกเขาตีงูยักษ์ที่อยู่ในสภาพปกติไม่ได้ หรือว่าแม้แต่งูยักษ์ที่เหลือแค่ครึ่งท่อนก็ตีไม่ได้?
พวกเขาปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้ว จึงกำจอบในมือจนแน่น หารอยเลือดที่ไหลออกมาจากครึ่งตัวบนของงูยักษ์จนเจอ จึงเริ่มตามรอยในป่าหญ้าที่สูงเท่าเอว
พวกเขากลัวว่าในป่าหญ้าจะซ่อนสัตว์มีพิษซ่อนอะไรอีก มากกว่านั้นคือกลัวเหยียบถูกโคลนเลนกินคน จึงไม่กล้าเดินเร็วนัก พวกเขายื่นจอบถางหญ้าความหาทางข้างหน้า ถือโอกาสไล่แมลงมีพิษและสัตว์ดุร้ายออกจากพงหญ้าไปด้วย
งูยักษ์เลือดไหลเยอะมาก รอยเลือดจึงชัดเจนมาก คดเคี้ยวทอดยาวไปบนเนินดิน
พอเดินมาถึงตรงนี้ บางคนก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมา บอกว่างูยักษ์เลือดไหลมากขนาดนี้ ต้องตายแล้วแน่นอน พวกเรากลับไปหาทหารเฝ้าป้อมไม่ดีกว่าเหรอ? ถ้างูยักษ์ดิ้นรนกลับไปรังงูก่อนจะตาย และถ้าในรังงูยังมีงูใหญ่ตัวอื่นอีก แบบนั้นไม่เท่ากับรนหาที่ตายเหรอ?
ระหว่างที่คนอื่นกำลังลังเล อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาตามสายลมยามค่ำคืน ฟังจากเสียงแล้วเหมือนจะเป็นผู้หญิง และเสียงเหมือนจะดังมาจากบนเนินดิน ใกล้กับพวกเขามากทีเดียว
พอลองคิดดูล้ว ในป่าหญ้าเงียบสงบกลางดึก บนพื้นมีเลือดงูกลิ่นเหม็นคาวทอดยาวไปที่ไหนไม่รู้ แถมหูยังได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาแต่ไกล…ชวนให้ขนลุกขนพองได้จริงๆ
ชาวนาสองสามคนอกสั่นขวัญแขวน ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ฉี่รดกางเกงไปแล้ว ตอนนี้อาจจะฉี่อีกรอบก็ได้
พวกเขาเจอกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าถอยไปอย่างนี้ แล้วทหารเฝ้าป้อมถามถึงเรื่องนี้ พวกเขาจะตอบอย่างไร? บอกว่าตัวเองตกใจกลัวเสียงร้องไห้ของผู้หญิงเหรอ? ทหารเฝ้าป้อมจะต้องหัวเราะเป็นแน่ ต่อไปคงไม่ได้รับหน้าที่สำคัญอีกแล้ว
สุดท้ายพวกเขาก็ขยับตัวเข้ามาใกล้กัน คอยระวังซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างรวบรวมความกล้าเดินขึ้นเนินดินด้วยความระมัดระวัง
บนเนินดินขนาดเล็กมีบ้านไม้พังๆ ตั้งอยู่หลังหนึ่ง หน้าบ้านไม้มียายแก่ผมเผ้าสีขาวยุ่งเหยิงลูบศพงูพลางเช็ดน้ำตาอยู่บนพื้น ร้องไห้เหมือนใจสลาย
พวกเขามองเห็นด้วยแสงจากดวงจันทร์ มีบ้าน มีคน และคนคนนี้ยังมีเงา ฉะนั้นไม่ใช่ผีไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว แถมศพงูบนพื้นก็ตายไปแล้วด้วย ไม่น่าจะกระโดดขึ้นมาทำร้ายคนได้อีก
สมัยนี้ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก มีคนหลีกเร้นตัวอยู่ในภูเขาลึกเพื่อหนีจากภัยสงครามและหนีการเกณฑ์ทหาร เรื่องแบบนี้พบเห็นได้บ่อยมาก
พวกชาวนาเห็นว่าเป็นคน ไม่ใช่ผีสาว จึงมีความกล้าเพิ่มขึ้นมา ก่อนจะชี้ยายแก่แล้วถามว่า “ยายร้องไห้ด้วยเหตุใดหรือ?”
ยายแก่ใช้แขนเสื้อเก่าและขาดเช็ดหางตา พลางก้มหน้าสะอื้นไห้ “คนฆ่าลูกข้า จึงร้องไห้”
ยุคสมัยนี้อยู่ในภาวะสงคราม คนตายเป็นเรื่องปกติ แต่พวกชาวนามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นลูกชายที่ตายไปแล้วของเธอ จึงถามว่า “เหตุใดลูกของยายถึงถูกฆ่า?”
คุณยายลูบศพงูเบาๆ อย่างเวทนา ก่อนจะยิ้ม “ลูกของข้า รัชทายาทไป๋ (ขาว) แปลงร่างเป็นงู แต่ไปขวางทางเข้า วันนี้จึงพ่ายให้กับรัชทายาทชื่อ (แดง) ข้าร้องไห้ด้วยเหตุนี้”
อะไรนะ?
พวกชาวนาได้ยินแล้วงงเป็นไก่ตาแตก ยายแก่คนนี้พูดมั่วซั่วอะไร? ลูกของเธอเป็นรัชทายาทไป๋ แปลงร่างเป็นงูใหญ่ขวางทาง เลยถูกรัชทายาทชื่อฆ่าตายงั้นหรือ?
คนจะแปลงร่างเป็นงูได้อย่างไร ยังมีรัชาทายาทไป๋ รัชทายาทชื่ออะไรนั่นอีก นี่ตั้งใจรังแกชาวนาอย่างพวกข้าที่ไม่เคยได้เปิดหูเปิดตาหรือ?
พวกเขารังแกคนอ่อนแอและหวาดกลัวคนแข็งแกร่งมาทั้งชีวิต ก่อนหน้านี้กลัวงูและกลัวผี กลัวจนหัวหด แต่ตอนนี้งูตายแล้ว มีเพียงคุณยายแก่เสียสติคนหนึ่ง พวกเขายังมีอะไรต้องกลัวอีก?
พวกเขาต่างก็ส่งสายตาให้กัน ยายแก่คนนี้ท่าทางน่าสงสัย ไม่ทำร้ายเธอสักครั้งเดาว่าจะไม่ได้พูดความจริง และพวกเขากินหนูนากับผลไม้ป่ามาหลายวันแล้ว กินแล้วท้องเดินอยู่ตลอด ในบ้านของยายแก่คนนี้อาจจะมีเสบียงอาหาร ตีเธอให้สลบแล้วเข้าไปรีดไถสักหน่อย ถ้านำเสบียงอาหารกลับไปได้ ทหารเฝ้าป้อมจะต้องชมว่าพวกเขาเก่งแน่นอน
ชาวนาคนที่รับผิดชอบสำรวจเส้นทางก่อนหน้านี้ร้อนใจอยากกู้หน้า โมโหจนกล้าทำได้ทุกอย่าง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง เงื้อจอบขึ้นมาหมายจะทุบหลังของยายแก่ หากทุบจริงๆ คงให้เธอตายคาที่ได้เลยทีเดียว
สมัยนี้ชีวิตคนก็เหมือนต้นหญ้า ฆ่าคนไม่เป็นอะไร ถึงแม้กินคนก็ไม่แปลก
แต่ทว่าการตั้งใจจู่โจมครั้งนี้ของเขากลับเสียเปล่า พอมองให้ดีๆ ข้างหน้ามีเงาของยายแก่อยู่ที่ไหนกัน?
คนอื่นๆ ก็ตกใจสะดุ้งโหยงกันหมด หน้าถอดสีถอยหลังกรูดอย่างต่อเนื่อง
ผี! เป็นผีจริงๆ!
ถ้าไม่ใช่ผี คนจะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร?
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม พวกเขาโยนจอบแล้วสาวเท้าวิ่ง ไม่กล้าแม้แต่หันหน้ากลับมามอง กลัวว่าพอหันไปแล้วจะเห็นผีผู้หญิงตามมา
หลังจากพวกเขาวิ่งหนีไปแล้ว ยายแก่ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงที่เดิมอีกครั้ง
เธอถอดเสื้อผ้าเก่าๆ แล้วนำกลับไปวางในตู้ไม้ ปัดฝุ่นหญ้าบนหัว ก่อนจะควักกระดาษเปียกออกมาเช็ดหน้า แขน ขา และมือให้สะอาด
ชุดกะลาสีที่ไม่รู้ทำมาจากอะไรไม่ได้เปื้อนฝุ่นเลย สะอาดกว่าหน้าเธอเสียอีก ถึงอย่างไรนี่ก็นับเป็นผ้านาโนเมตรจากอนาคต
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อย ก็ใกล้เวลาฟ้าสางแล้ว
ลมในยามเช้าสดชื่นผิดปกติ ถึงขนาดรู้สึกหอมหวานเล็กน้อย
ตอนนี้ชาวนากลุ่มนั้นน่าจะหาชายนักดาบที่เมาหัวทิ่มพงหญ้าเจอแล้ว หลังจากเขย่าเขาให้ตื่นแล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังด้วย
อยู่ๆ ศพงูบนพื้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ใจ เกล็ดงูที่เดิมทีเป็นสีขาวค่อยๆ ซีดลง ศพงูเริ่มโปร่งแสงจนหญ้ารกที่ถูกศพทับอย่างชัดเจน
เธอคิดว่าปรากฏการณ์แปลกประหลาดแบบนี้เป็นเรื่องผิดปกติ จึงไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด
ไม่นาน ศพงูโปร่งแสงก็จางไป จากนั้น…หญ้ารกที่ถูกทับก็ตั้งขึ้นมาอย่างแข็งขัน
ที่จริงศพงูไม่ได้โปร่งแสง และไม่ได้หายไป รวมถึงรอยเลือดที่ทอดยาวไปตลอดทางเช่นกัน ศพงูครึ่งท่อนล่างที่เหลือบนทางเดินก็เป็นอย่างนั้น มันเพียงแค่ถูกกำจัดร่องรอยที่เคยมีอยู่ในยุคนี้ไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
เธอไม่ได้ทำ เธอไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เกมพาศพของมันและทุกอย่างไปจากที่นี่ แยกและสร้างร่างกายของมันอีกครั้ง ขโมยชีวิตของมันไปอีกครั้ง ก่อนพามันกลับไปยุคปัจจุบัน และปรากฏตัวในฐานะภูตสัตว์เลี้ยงที่รอการจับ ก่อนจะได้พบกับหลีเซินไท่ ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างที่โชคชะตากำหนดเอาไว้
“ว่าแล้ว ไท่สื่อกงเคยพูดเอาไว้ว่า ปัญญาชนไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่เชื่อสิ่งที่เห็นจริง ”
เธอพูดพึมพำ แต่รอบๆ ไม่มีคนอื่น แม้แต่ศพงูก็หายไปแล้ว ไม่รู้เลยว่ากำลังพูดกับใคร
“ตอนผู้อาวุโสซือมาเชียนเขียนประวัติศาสตร์ช่วงนี้จะต้องสับสนมากแน่ๆ คนคนหนึ่งหายไปเฉยๆ ได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์ เขาไม่เชื่อเรื่องผีหรือเทพ แต่ต้องบันทึกเรื่องแปลกประหลาดที่เคยเกิดขึ้นตามสภาพจริง ดังนั้นเขียนไปตามคำบอกเล่าอย่างนี้ดีกว่านะ” เธอนึกถึงหนังสือประวัติศาสตร์ที่เคยอ่าน
“แม้ ‘สื่อจี้’ จะไม่ใช้ประวัติศาสตร์จริงๆ ผู้อาวุโสซือหม่าเชียนก็ยังมีความรับผิดชอบ บอกว่าเรื่องเล่ารอบกองไฟของเฉินเซิ่งและอู๋กว่างไม่ใช่เรื่องจริงอย่างตรงประเด็นภายในประโยคเดียว เพื่อใช้ชื่อเสียงและอำนาจตั้งใจสั่งให้คนไปหลอกลวงผู้อื่น…เขาอาจจะเคยสงสัยความเป็นจริงของเรื่องงูขาว เพราะเรื่องนี้ลี้ลับซับซ้อนกว่าเรื่องเล่ารอบกองไฟเสียอีก แต่หนึ่งพวกชาวนาพูดอย่างมั่นใจ สองคือ…” มุมปากของเธอผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “ผู้อาวุโสซือหม่าเชียนเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น จะไปกล้าสงสัยได้ยังไง…ถึงสงสัยก็เปิดโปงไม่ได้”
“แต่ว่านะ ประวัติศาสตร์จะจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือประวัติศาสตร์จริงๆ ที่พวกเขาเชื่อ เพราะมีความเชื่อ ถึงทำให้เกิดพลัง ใช่ไหมล่ะ?”
เธอตบเบาๆ ไปที่ปกคอเสื้ออันใหญ่ของชุดกะลาสี แล้วหยิบสิ่งของที่คล้ายกับโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะสไลด์หน้าจอ
ภูตสัตว์เลี้ยงที่เหมือนจริงราวกับมีชีวิตตัวแล้วตัวเล่าผลัดกันปรากฏบนหน้าจอ
“เฮ้อ ภูตสัตว์เลี้ยงในห้องประชุมพวกนี้ ต้องส่งไปในยุคและสถานที่ที่พวกมันควรจะไปหมดเลยนะเนี่ย” เธอถอยหายใจ “ยุ่งยากจัง พ่อขี้งกผลักภาระยุ่งยากพวกนี้มาให้ฉันตลอดเลย…แต่ว่า พอคิดให้ดีๆ แล้วอย่างน้อยก็ดีว่าถูกอาจารย์เสี่ยวเตี๋ยบังคับให้ทำการบ้านตั้งเยอะ ได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนี้แล้วล่ะ”
“มีปณิธานสูงส่ง ทำอย่างไรก็เป็นผีเสื้อ คำพูดนี้ไม่ได้ตรงกับคำพูดของอาจารย์เสี่ยวเตี๋ยหรอกเหรอ? น่าเสียดายที่เธอเป็นผีเสื้อ แม้แต่บัตรประชาชนก็ไม่มี เธอไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัว ไม่อย่างนั้นด้วยระดับของเธอ เป็นไปได้มากกว่าจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อจากไอน์สไตน์นะ…” เธอส่ายหน้าอย่างจนใจ “แต่ถึงให้การบ้านฉันเยอะแค่ไหน ฉันก็กลายเป็นเธอคนต่อไปไม่ได้หรอก…”
เธอกล้าบ่นเสียงเบาตรงนี้ที่ไม่มีอาจารย์เสี่ยวเตี๋ยอยู่ ไม่อย่างนั้นถ้าอาจารย์เสี่ยวเตี๋ยได้ยินเข้า คาดว่าต้องลงโทษด้วยการเพิ่มการบ้านเป็นเท่าตัวแน่…
“ช่างเถอะ จุดหมายปลายทางต่อไปคือที่ไหนนะ?”
เธอสไลด์โทรศัพท์มือถือครั้งหนึ่ง ภูตสัตว์เลี้ยงบนหน้าจอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหมือนโคมกระดาษรูปคนขี่ม้า ก่อนจะหยุดอยู่ที่นกแก้วมาคอว์ตัวหนึ่ง
“หงส์ครวญหาเมืองฉีซาน…” เธอลูบท้องอย่างจำใจ ควรจะกินข้าวเช้าแล้ว ไม่อยากไปยุคโบราณรกร้างพวกนี้เลยจริงๆ อาหารไม่อร่อยเอาซะเลย แต่ก็ต้องอดทน ส่งนกแก้วตัวนี้ไปแล้วค่อยกลับบ้านไปกินข้าวแล้วกัน
ตอนนี้เอง ใต้ปกเสื้อขนาดใหญ่ของชุดกะลาสีก็มีหนอนน้อยตัวขาวอ้วนมุดออกมาตัวหนึ่ง ร่างกายมีสีขาวนวลเหมือนชีส หน้าตาเหมือนหนอนผีเสื้อ แต่ไม่มีขน บนหัวมีตาโตและดำสองข้าง มันขยับตัวขยุกขยิก พลางพิจารณารอบๆ อย่างงุนงง รูปร่างเหมือนขนมรสชาติแปลกๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งก็คือเยลลี่หนอน
“เจ้าหนอน พวกเราไปกันเถอะ รีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วกลับไปกินข้าวบ้านกัน” เธอเร่งเร้า แถมวางฝ่ามือใกล้ๆ กับคอเสื้อด้วย
มันเหมือนจะฟังคำพูดของเธอรู้เรื่อง จึงพยักหน้า แล้วขยับตัวปีนจากบนเสื้อมายังฝ่ามือของเธออย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ยื่นหัวออกมานอกฝ่ามือของเธอ ส่ายหน้าไปมาไม่หยุด
พอมันเริ่มส่ายหน้า ทิวทัศน์แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น
อยู่ๆ อากาศสดชื่นตรงหน้าก็เกิดระลอกคลื่นบางอย่าง ราวกับผิวน้ำที่คลื่นสงบ ราวกับกระจกถูกคนสัมผัสเบาๆ
ขอบเขตของระลอกคลื่นขยายไปอย่างรวดเร็ว พื้นที่เกิดการบิดเบี้ยวแปลกๆ ขึ้น ก่อนจะปรากฏระลอกคลื่นกึ่งโปร่งแสง
ระลอกคลื่นค่อยๆ หมุนวนโดยมีหนอนน้อยเป็นศูนย์กลาง ก่อนจะยืนอยู่ตรงระลอกคลื่น ก็รู้สึกว่าทุกอย่างโดยรอบเหมือนจะถูกระลอกคลื่นม้วนเข้าไป แม้แต่แสงสว่างก็หนีไม่พ้น
มองจากมุมของเธอ ในระลอกคลื่นสะท้อนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอีกที่หนึ่ง ดูเหมือนไม่แตกต่างอะไรกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในตอนนี้ แต่นั่นเป็นท้องฟ้าที่มีดาวทอประกายในยุคเก่าแก่มากยิ่งขึ้น พอเธอส่งนกแก้วมาคอว์ตัวนั้นเข้าไป โชคชะตาของหงส์ครวญหาเมืองฉีซานก็เป็นจริงขึ้นมา
เธอชินกับสภาพการณ์แบบนี้แล้ว จึงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างสบายๆ ขาข้างนั้นก้าวเข้าไปในระลอกคลื่น แล้วหายไปกลางอากาศ จากนั้นร่างกายและเท้าอีกข้างหนึ่งของเธอก็ค่อยๆ หายตามไป
พอร่างกายของเธอหายไปโดยสมบูรณ์แล้ว ระลอกคลื่นก็ค่อยๆ สงบลง กลับมาเป็นอากาศที่ไม่ต่างอะไรกับรอบๆ
บ้านไม้ที่ผุพังเงียบสงบ ราวกับไม่เคยมีเรื่องแปลกๆ อะไรเกิดขึ้น มีเพียงรอยเท้าจางๆ บนพื้นที่พิสูจน์ว่าที่นี่เคยมีคนจากยุคอื่นมา น่าเสียดายที่ไม่มีคนสังเกตเห็น
คำชี้แนะ: ลักษณะพิเศษของสัตว์เลี้ยง
ชื่อเรียก: หนอนลึกลับ
ระดับความล้ำค่า: ไม่ระบุ
ลักษณะเฉพาะ: ชื่อเสียงขึ้นอยู่กับจักรวาล แม้ผ่านไปเป็นพันปีก็ไร้ผู้ใดเปรียบ!
ปลดล็อกประวัติที่มา:
รูหนอน หรือถูกเรียกว่าสะพานไอน์สไตน์-โรเซน ตั้งชื่อว่ารูหนอนตามรูของแอปเปิลที่ถูกหนอนเจาะ เป็นอุโมงค์พื้นที่หลายมิติในจักรวาล แนวความคิดนี้ถูกพูดขึ้นโดยนักฟิสิกส์ชาวออสเตรียชื่อว่าลัตวิก แฟลมม์เมื่อปี 1916 และในบทความ ‘ปัญหาอนุภาคในทฤษฎีสัมพันธภาพ’ ที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์และนาธาน โรเซนตีพิมพ์ร่วมกันเมื่อปี 1935 ได้กล่าวไว้ว่ารูหนอนก็คือการเชื่อมต่อมิติกับเวลาในทฤษฎีสัมพันธภาพ
รูหนอนเป็นสิ่งที่สร้างมาจากการโคจรของดาวเคราะห์และส่งผลกระทบร่วมกัน คล้ายกับระลอกคลื่นในทะเล ผ่านไปทั่วทุกที่ในพริบตาเดียว ถ้าระลอกคลื่นในทะเลรุนแรงมากพอ ก็เชื่อมจากผิวน้ำสู่ก้นทะเลได้โดยตรง ราวกับเชื่อมสองโลกที่แตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน
ไอน์สไตน์คิดว่าเปลี่ยนมิติหรือเดินทางข้ามเวลาผ่านรูหนอนได้ในพริบตา
โลกเป็นเปลของมนุษย์ แต่มนุษย์อาศัยอยู่ในเปลตลอดไม่ได้ เพราะพอมนุษย์เติบโตขึ้นแล้ว เปลก็จะแคบเกินไป และสักวันจะผุพังลงไปในที่สุด
ตั้งแต่โบราณกาล มนุษย์ปรารถนาที่จะออกจากโลก เพื่อท่องเที่ยวท่ามกลางท้องฟ้าที่มีดาวทอประกาย และหลายคนก็เสียของแลกเปลี่ยนเป็นชีวิตด้วยเหตุนี้นับไม่ถ้วน
มนุษย์กระหายที่จะตามหาดวงดาวที่อาศัยอยู่ได้อีกดวงหนึ่ง เจอกับอารยธรรมจักรวาลอื่น แต่วิธีการเดินทางระหว่างดวงดาวต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ก็มีขีดจำกัดมากเกินไป
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นปรมาจารย์วิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ความคิดและทฤษฎีของเขาล้ำหน้าเกินยุคสมัยทั้งหมด แม้กระทั่งถึงอนาคต ผู้คนยังได้รับคำชี้แนะของทฤษฎีสัมพันธภาพ หลังจากไอน์สไตน์พูดถึงความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัดของรูหนอน มนุษย์ยุคแล้วยุคเล่าจึงฝากจินตนาการและความหวังอันไร้ขอบเขตเกี่ยวกับการเดินทางข้ามมิติที่น่ามหัศจรรย์นี้
มนุษย์กระหายที่จะออกจากโลกขนาดนี้ ด้วยการปลุกเสกจากพลังแห่งศรัทธาของมนุษย์เป็นหมื่นล้าน หรือแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด หนอนที่ไม่ควรมีอยู่จึงกลายเป็นภูตสัตว์เลี้ยงของโลกจากความเพ้อฝันอย่างสมบูรณ์
มันเปิดอุโมงค์มิติของพื้นที่หลายมิติได้ และพาคุณข้ามเวลาและมิติ ข้ามอดีตและอนาคต!
อยู่ในอุโมงค์เจ็ดวัน แต่ข้างนอกผ่านพ้นไปเป็นพันปี
ปลดล็อกชื่อจริง: หนอนมิติของไอน์สไตน์!