Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1662 การเปลี่ยนแปลงมากมายร้อยปี
วันนี้ในโลกความฝันเป็นวันฟ้าใส มีลมเอื่อยพัดมาเป็นระลอก ยอดเขาอิ่นอู้ไม่มีหมอกโอบล้อมอย่างยากจะเห็น บวกกับอากาศสดชื่นผิดปกติ แทบจะสวยงามเทียบได้กับอากาศของป่าเรดวูด ดังนั้นทัศนวิสัยจึงมองเห็นได้ไกลมาก
เรื่องการส่งตัวเจ้าสาวแบบนี้ จางจื่ออันเคยเห็นในละครโทรทัศน์แบบพีเรียด ถึงเป็นในความทรงจำก็น่าเบื่อทีเดียว ก็แค่เป่าเครื่องดนตรีส่งเจ้าสาวผู้เขินอายนั่งเกี้ยวไปที่งานแต่งงาน จากนั้นคนในครอบครัวก็กินดื่มร่วมกัน เทเหล้าให้เจ้าบ่าวจนเมาหัวราน้ำ ถ้าเป็นเจ้าบ่าวที่คอแข็งก็ยังพอฝืนเข้าห้องหอไปได้ คาดว่าก็คงมีจุดจบอย่างรวดเร็ว ถ้าคออ่อนละก็ คืนนั้นเจ้าสาวก็ทำได้แค่นับเงินแล้ว…
ตอนนี้เขายืนมองขบวนส่งตัวเจ้าสาวอยู่บนยอดเขา พิธีการคล้ายๆ กับที่เขาจำได้ แต่ความยาวของขบวนเกินกว่าที่เขาคิด เกรงว่าคงเป็นหญิงสาวของครอบครัวใหญ่ร่ำรวย ส่วนที่ลากอยู่ข้างหลังขบวนรถเป็นสินเดิมของฝ่ายหญิงกล่องแล้วกล่องเล่าวางอยู่บนรถวัวลาก รอยล้อลึกบ่งบอกว่านั่นไม่ใช่กล่องเปล่าที่ใช้สำหรับอวดร่ำอวดรวยแน่นอน
ทุกคนในขบวนรถต่างก็แต่งตัวด้วยชุดสีสันสดใส มีใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
เนื่องจากเดินอยู่บนภูเขา จึงเห็นทุกคนในขบวนเป็นจุดสีดำคล้ายๆ กับมด
หัวขบวนมีพวกข้ารับใช้ยกเกี้ยวสีแดงหนักอึ้ง เตะตาเป็นอย่างยิ่ง
“จิ๊! บนโลกนี้ขาดหญิงสาวร่ำรวยไปอีกคนแล้ว”
เขาทำหน้าตาอิจฉา ในใจอิจฉายิ่งกว่านั้นอีก มองแค่จำนวนคนอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าฝ่ายหญิงมีฐานะร่ำรวยแน่นอน ส่วนฝ่ายชายก็คงไม่ต้องดิ้นรนไปอีกยี่สิบปี…
แต่น่าแปลก แม้สังคมปัจจุบันนี้จะมีคนฟื้นฟูประเพณีโบราณไม่น้อย และยังมีคู่แต่งงานใหม่ที่จัดพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิม แต่ต้องเลียนแบบให้เหมือนจริงขนาดนี้เลยเหรอ แม้กระทั่งรถวัวลาก รถม้า รถลาลากก็มีครบครัน แต่ช่างภาพงานแต่งงานคนสำคัญที่สุดอยู่ตรงไหนล่ะ หรือว่าใช้โดรนถ่ายงานแต่งงานครั้งนี้
เขาเลื่อนสายตามองหาบนท้องฟ้า แต่ก็หาเงาของโดรนไม่เจอ
“นั่นอะไรน่ะ นี่เป็นเจ้าสาวลูกคนรวยหรือลูกข้าราชการใหญ่คนไหน” เขาถามเรื่อยเปื่อย
จวงเสี่ยวเตี๋ยไม่ตอบ
ยังจะเล่นปริศนาคำทายอีก
จางจื่ออันรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่จำกัดในตอนนี้ไว้ในสมอง คำสุดท้ายในคำพูดของเธอเมื่อครู่อยู่ๆ ก็ทำให้เขาได้สติขึ้นมา
“อะไรนะ เธอพูดว่าอะไร ตำบลปินไห่เหรอ ตำบลปินไห่ไหน” เขาถามด้วยความงุนงง
เธอตอบง่ายๆ “ก็ตำบลปินไห่ไง เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองปินไห่หลังจากปี 1949 เคยเป็นนครเอกของมณฑลนี้ ต่อมา…”
จางจื่ออันเป็นคนท้องถิ่นที่เกิดและโตในเมืองปินไห่ ย่อมรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาในท้องถิ่นอยู่บ้าง คำพูดท่อนนี้ของเธอก็มาจากเว็บไซต์ไป่ตู้ในความทรงจำของเขา
แต่ก็เป็นอย่างที่เธอพูด ตำบลปินไห่เมื่อปี 1949 ไม่มีอยู่อีก เพราะตอนนี้ได้พัฒนาเป็นเมืองปินไห่แล้ว
เขาเลื่อนสายตาตามทิศทางเดินหน้าของขบวนรถด้วยจิตใต้สำนึก ยิ่งสายตามองไกลไปเรื่อยๆ ตรงตำแหน่งสุดสายตา ในที่สุดก็มองเห็น…เมืองเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่มากและเหมือนปกคลุมด้วยดิน แทบจะเป็นบ้านชั้นเดียวทั้งหมด มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างแนวตะวันตกแบบโบสถ์ในเขตตอนใต้สองสามหลังเท่านั้น
พื้นที่ของเมืองเล็กๆ น่าจะมีแค่เมืองปินไห่ที่มีถนนวงแหวนด้านในใหญ่ขนาดนั้น ถูกล้อมด้วยกำแพงเมืองเตี้ยๆ รอบหนึ่งที่ทำได้แค่ป้องกันสัตว์ป่า แต่ป้องกันคนไม่ได้ หากวัดจากมาตรฐานของสังคมยุคปัจจุบัน ที่นี่ก็คล้ายกับหมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่ง
ภูเขาอิ่นอู้อยู่ในเขตชานเมืองปินไห่ในสังคมปัจจุบัน ยังไม่นับว่าเป็นชานเมืองที่อยู่ไกลจากตัวเมือง เพราะรถสาธารณะเข้าถึงได้ แต่ข้างหน้านี้โดยรอบไม่ได้ต่างไปจากป่าของภูเขาอิ่นอู้
ประตูเมืองเปิดกว้าง คนกลุ่มใหญ่ยืนต้อนรับอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน หลังจากมองเห็นขบวนส่งตัวเจ้าสาวอยู่ไกลๆ พวกเจาก็เริ่มจุดประทัดดังโครมครามทันที ผ้าคลุมปืนใหญ่ย้อมประตูเมืองให้กลายเป็นสีแดงแห่งความมงคลภายในเวลาสั้นๆ
พวกชาวบ้านที่มุงดูความคึกคักต่อแถวรอต้อนรับเป็นแถว ไม่ใช่เพราะพวกเขากระตือรือร้นที่จะต้อนรับแขก แต่ตอนขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผ่านไป ก็จะโปรยเหรียญทองแดงให้ทั้งสองข้างทางอย่างใจกว้าง ทำให้พวกชาวบ้านยื้อแย่งกันเป็นระลอก
ทะเลที่ไกลออกไปสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เรือประมงทำจากไม้เป็นกลุ่มก้อนพากันยกพายออกทะเลไป
ถึงแม้จางจื่ออันยังไม่อยากเชื่ออีก แต่ตอนนี้ก็จำต้องเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว ถึงจะเป็นความจริงที่ไม่น่าเชื่อก็ตาม
“นี่…นี่คือปีไหน” เขาถามเสียงสั่น
“น่าจะหนึ่งร้อยปีก่อน” เธอตอบ
เชี่ย?
นานกว่าที่จางจื่ออันคาดไว้อีก
เขาพูดในใจว่าผู้หญิงคนนี้เล่นเกมเก่งขึ้นเรื่อยๆ เลย ไม่คิดว่าจะดึงเขาเข้ามาในความฝันเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน แต่นี่เป็นความฝันของใครกัน
ความจริงเขาพอจะเดาได้แล้ว เฟยหม่าซือเคยบอกว่าจวงเสี่ยวเตี๋ยปรากฏตัวในโลกจินตนาการของมัน และโลกจินตนาการของมันก็สร้างขึ้นมาจากพื้นฐานความทรงจำของเหล่าฉา ดังนั้นนี่น่าจะเป็นความฝันที่สร้างขึ้นจากพื้นฐานความทรงจำของเหล่าฉานั่นแหละ
จางจื่ออันแทบจะทรุดแล้ว ผู้หญิงคนนี้เล่นสนุกกับโลกความฝันของเขาตามอำเภอใจจริงๆ แต่เขาก็ไม่มีกำลังจะขัดขืน
อยู่ต่อหน้าเธอ เขามีเพียงความเป็นผู้ชายเท่านั้น…
“ขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้ออกเดินทางมาไกลมาก มาถึงที่นี่เป็นพันๆ ลี้ ระหว่างนั้นเจอกับโจรปล้นกลางทาง โรคระบาดจากน้ำท่วม เรียกได้ว่าเจอแต่ความยากลำบาก…บนใบหน้าของทุกคนเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม นั่นไม่ใช่แค่ความดีใจที่มอบให้เจ้าสาวเท่านั้น แต่ดีใจกับตัวพวกเขาเองมากกว่า ในที่สุดก็ทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาวสำเร็จแล้ว กินดื่มให้เต็มคราบสักมื้อ ได้รับเงินค่าจ้างก้อนโต จากนั้นก็กลับบ้านได้แล้ว” จวงเสี่ยวเตี๋ยก้มหน้าก้มตาพูด
จางจื่ออันจินตนาการได้ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนที่คนส่วนใหญ่มาออกจากบ้านเกิดทั้งชีวิต มีไม่กี่คนที่เคยเห็นรถยนต์และรถไฟ บวกกับบ้านแตกสาแหรกขาดในภาวะสงครามและผู้นำทหารที่สนับสนุนการแบ่งแยกระบบการปกครอง ขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้มาถึงตำบลปินไห่ได้อย่างปลอดภัยจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์หาใดเปรียบ
แม้นี่จะเป็นความฝัน แต่ก็ใกล้เคียงกับความจริงมาก ขบวนส่งตัวเจ้าสาวนี้ต้องคาดไม่ถึงแน่นอน ว่าตอนที่พวกเขาเพิ่งผ่านภูเขาอิ่นอู้ไป บนยอดเขายังมีคนที่มาจากอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้ามองพวกเขาอยู่
ถ้าตอนนี้เขาดันหินก้อนใหญ่ตกลงไป พวกเขาจะเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ อาจจะคิดว่าเป็นโจรชิงตัวเจ้าสาว จากนั้นก็โกลาหลกันไปทั้งขบวน เพราะพวกเขาเคยสอบถามแล้วว่า ภูเขาอิ่นอู้เป็นภูเขาร้าง มีเพียงคนที่อาศัยอยู่ในป่าขึ้นเขามาตัดไม้เท่านั้น มีโจรที่ไหนกัน
พอนึกถึงท่าทางตกใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรของพวกเขา จางจื่ออันก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ แต่เขาแค่คิดเท่านั้น ไม่ทำจริงๆ หรอก
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ซับซ้อนมาก การได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายของประวัติศาสตร์ด้วยตาตัวเองทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งยวด และจวงเสี่ยวเตี๋ยที่มาอย่างกะทันหันก็ทำให้เขากระวนกระวายใจ
ครั้งนี้เธอจะขังเขาไว้นานเท่าไรกันนะ
ด้วยความช่วยเหลือของเฟยหม่าซือ ครั้งก่อนเขาถึงได้รู้ตัวว่านั่นเป็นความฝัน รู้สึกถึงความฝัน จากนั้นถึงจะตื่นขึ้นมาได้
ครั้งนี้เขารู้สึกตัวเร็วมาก ไม่ใช่ว่าเขาฉลาดขึ้นแล้ว แต่จวงเสี่ยวเตี๋ยเตรียมพล็อตเรื่องใหม่แล้ว เพราะถ้าเธอไม่อยากให้เขารู้ตัวก็มีตั้งหลายวิธี อันดับแรกก็คือควรจะปล่อยเขาไว้ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่เขาเคยอยู่ หรือบริษัทที่เขาเคยทำงาน มีจุดสับเปลี่ยนที่เหมาะสมกว่านี้มากมายที่หลอกเขาจนหัวหมุนได้ แต่ไม่ใช่การทิ้งเขาอยู่บนยอดเขารกร้างง่ายๆ แบบนี้
เขากระแอมครั้งหนึ่ง “การส่งตัวเจ้าสาวน่าสนใจมาก แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันมั้ง? สู้บอกว่าครั้งนี้เธอจะยอมปล่อยให้ฉันตื่นยังไงดีกว่า”
จวงเสี่ยวเตี๋ยเหลือบดวงตาคู่งามมองมา ก่อนจะใช้ลูกตาสีรุ้งมองเขาอย่างมีเลศนัย “คุณแน่ใจนะว่าไม่เกี่ยวข้องกับคุณ?”