Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1658 เช็คบิล
ถึงกินข้าวช่วงระหว่างที่ท่องเที่ยวในต่างประเทศ ทั่วไปแล้วจางจื่ออันจะไม่ถ่ายรูปอาหาร เขาจะขยับตะเกียบเริ่มกินทันที แต่ยากที่จะได้กินของแพงและปริมาณขัดกับราคาแบบนี้สักครั้ง เขาจึงควักโทรศัพท์มือถือออกมาคิดจะเลียนแบบคนอื่น ถ่ายรูปแล้วค่อยกิน ไม่อย่างนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนเปรียบ
แต่ได้ยินคำพูดของเด็กสาวมัธยมต้นแล้ว เขาก็ตกใจจนโทรศัพท์มือถือเกือบหลุดมือ
นี่ไม่ใช่การพูดจี้ใจดำเหรอ เสี่ยวเอ้อร์อารมณ์เสียเพราะการมาเยี่ยมเยือนร้านอีกครั้งของเขา แต่เธอดันพูดแบบนี้ออกมา
เป็นไปตามคาด เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงทันที จากนั้นก็โกรธจนแทบระเบิด แต่ที่ทำให้จางจื่ออันต้องร้องว่าไม่ยุติธรรมคือ เสี่ยวเอ้อร์ไม่ได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที แต่ถามอีกคำด้วยความอดทนว่า “ลูกค้า…ล้อเล่นหรือเปล่าคะ”
จางจื่ออันกล้าพนันเลย ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาไม่ได้นำเงินมา คาดว่าคราวนี้เสี่ยวเอ้อร์ต้องยกม้านั่งฟาดเขาไปแล้ว โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เสียงของเด็กสาวมัธยมต้นไร้เดียงสามาก “ฉันลืมพกเงินมาจริงๆ ค่ะ! ครั้งนี้ติดไว้ก่อนนะคะ ครั้งหน้าฉันจะมาจ่าย”
เสี่ยวเอ้อร์ชี้โทรศัพท์มือถือของเธอ “มือถือของเธอจ่ายไม่ได้เหรอ”
“มือถือจ่ายไม่ได้ค่ะ”
“ร้านเราไม่รับติดเงิน ยืมเพื่อนหรือพ่อแม่ก่อนไม่ได้เหรอ” เสียงของเสี่ยวเอ้อร์เย็นชาอย่างชัดเจน “อีกอย่าง ก่อนเข้ามากินของในร้านก็ต้องแน่ใจว่าตัวเองมีเงินจ่ายใช่ไหม”
“ยืมเงิน…” เด็กสาวมัธยมต้นเกาหัวด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม “ฉันไม่รู้จักคนที่จะให้ยืมเงินได้หรอก…”
เสี่ยวเอ้อร์ใกล้จะระเบิดเต็มที ทีแรกเห็นเด็กสาวเหมือนเด็กมัธยมต้นเข้ามาในร้านลำพัง เธอกับเถ้าแก่เนี้ยก็ประหลาดใจกันอยู่แล้ว และลังเลว่าต้องทำการค้าขายครั้งนี้ไหม
แต่ดูจากการแต่งตัว หน้าตา และนิสัยของของเด็กสาวคนนี้แล้ว พวกเธอก็รู้สึกว่าเธอน่าจะเป็นลูกของครอบครัวร่ำรวย บอกว่าเธอตัดสินคนจากหน้าตาก็ช่างเถอะ ความจริงแล้วพวกเธอไม่ได้สนใจเรื่องเงิน แค่ไม่อยากรู้สึกไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ และไม่อยากถูกเห็นเป็นพวกเห็นแก่เงิน
กลัวอะไร สิ่งนั้นก็จะมา ความกังวลของพวกเธอกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว เด็กสาวคนนี้ไม่มีเงินจ่ายจริงๆ
เสี่ยวเอ้อร์ยังมีความหวังบางๆ เธอพิจารณารอบตัวเด็กสาว ดูว่าเธอตั้งกล้องแอบถ่ายหรือเปล่า เพราะเด็กวัยรุ่นบางคนชอบถ่ายคลิปแกล้งคนอื่นโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น ปฏิกิริยาของเจ้าของร้านตอนกินแล้วชิ่ง
เมื่อมองดูแล้วรอบหนึ่ง ความเป็นไปได้แบบนี้ก็ถูกตัดทิ้งไป
เสี่ยวเอ้อร์ควักโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยความโมโห
“อันซิน เธอจะทำอะไร” เถ้าแก่เนี้ยขมวดคิ้ว
“แจ้งตำรวจค่ะ จะได้ไม่ซ้ำรอยเดิม” เสี่ยวเอ้อร์มองตาขวางใส่จางจื่ออันอย่างมีเลศนัย
จางจื่ออัน “…”
“ช่างเถอะ อย่าแจ้งตำรวจเลย วุ่นวายเกินไปเดี๋ยวทุกคนก็รังเกียจหรอก” เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วพูดกับเด็กสาวว่า “สาวน้อยเธอไปเถอะ ครั้งนี้ช่างมันแล้วกัน ฉันให้เธอกินฟรี ครั้งหน้าตอนไปกินข้าวที่ร้านอื่นต้องพกเงินด้วยนะ…”
ก่อนหน้านี้จางจื่ออันรู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยเย่คนนี้ใจกว้าง นิสัยดี พูดแล้วให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางลมฤดูใบไม้ผลิ และมีเพียงนิสัยแบบนี้ถึงจะชงชาดีๆ ออกมาได้ล่ะมั้ง
“ฉันไม่ยอม มีเหตุผลอะไรจะต้องช่างมันแบบนี้ ให้ตำรวจเรียกผู้ปกครองของเธอมาจัดการลูกดีกว่า!” เสี่ยวเอ้อร์หัวร้อน พนักงานบริการตัวหลักคือเธอ เธอยกน้ำชามาเสิร์ฟ เธอจึงมีสิทธิ์ที่จะโกรธ
ตอนนี้ ถ้าเด็กสาวมัธยมต้นก้มหน้ายอมรับผิดจากใจจริง เสี่ยวเอ้อร์ต้องใจอ่อนอยู่แปดส่วน ใครใช้ให้เธอมีหน้าตาสวยน่ารักแบบนี้กันล่ะ นี่เป็นโลกที่มองกันจากหน้าตา ถึงเป็นผู้หญิงก็ชอบเด็กสาวสวยๆ เหมือนกันนะ
เสี่ยวเอ้อร์ไม่สนใจเงินเล็กน้อยแค่นี้ แต่ระงับอารมณ์โกรธไม่ได้
แต่ทว่า เด็กสาวมัธยมต้นกลับไม่ได้รับเจตนาดีของเถ้าแก่เนี้ย เธอพูดอย่างดื้อรั้น “ไม่ต้องให้กินฟรีหรอกค่ะ ติดเงินไว้ก็พอ ครั้งหน้าหนูจะจ่ายเงินให้พวกคุณแน่นอน ทำไมพวกคุณไม่เชื่อล่ะคะ”
เห็นได้ชัดว่าจนมุมแล้วยังปากแข็ง เสี่ยวเอ้อร์โกรธมากขึ้นไปอีก เริ่มโทรศัพท์หาสถานีตำรวจที่ตีนเขาแล้วจริงๆ
จางจื่ออันก็ไม่แน่ใจว่าเด็กสาวมัธยมต้นมีเจตนากินฟรีหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ควรจะให้ผู้ปกครองมาสั่งสอนเธอสักหน่อยจริงๆ นี่ก็เป็นการดีต่อเธอเอง
แต่ถ้าเธอตั้งใจกินฟรี ทำไมไม่ยอมรับเจตนาดีของเถ้าแก่เนี้ยเสียเลยล่ะ
เขาจึงค่อนไปทางที่คิดว่าเธอพูดความจริง เธอไม่ได้พกเงินมา โทรศัพท์มือถือจ่ายเงินไม่ได้ และไม่มีคนให้ยืมเงินได้จริงๆ
“ช่างเถอะ ผมจะช่วยเธอเช็คบิลเอง”
พอเขาเอ่ยปากก็เริ่มเสียใจภายหลัง แต่พูดออกไปแล้ว จะกลืนกลับลงไปอีกคงไม่ได้
“คุณเนี่ยนะ?”
เถ้าแก่เนียและเสี่ยวเอ้อร์ต่างก็จ้องมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลง
“คุณรู้จักเธอเหรอ มาด้วยกันเหรอ” เสี่ยวเอ้อร์ถาม ถ้าเขายอมรับ เธอจะต้องโกรธมากกว่าเดิมแน่ เพราะนี่ก็หมายความว่าพวกเขาสองคนร่วมมือกันมาก่อเรื่องที่นี่
“ไม่รู้จัก” เขาส่ายหน้า “เจอกันครั้งแรก”
“งั้นทำไมคุณต้องช่วยเธอจ่ายเงินด้วย” เสี่ยวเอ้อร์ไม่ค่อยเชื่อ ถ้าค่าน้ำชาแค่สิบกว่าหยวน คนธรรมดามีน้ำใจออกเงินช่วยเด็กสาวหน้าตาสะสวยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่เด็กสาวมัธยมต้นสั่งคือชุดน้ำชาระดับกลางที่มีราคาแพง แล้วคนขี้เหนียวคนนี้ก็ดันประกาศว่าจะจ่ายเงินแทน นี่มันไม่น่าเชื่อเกินไปแล้ว
ความจริงแล้วจางจื่ออันตัดสินใจทำแบบนี้ด้วยองค์ประกอบสามอย่าง หนึ่งคือเพราะเขาค่อนข้างเชื่อเด็กสาวมัธยมคนนี้ สองคือติดหนี้คนก็ควรคืน ครั้งก่อนเขาคิดแทบล้มประดาตายว่าจะกินฟรีอย่างไรและถูกผูกใจเจ็บมาหนึ่งปี ก็ถือว่าคืนเงินครั้งที่แล้วทั้งต้นทั้งดอก ส่วนข้อสาม นั่นก็คือความฮึกเหิมชั่วคราวอันน่าประหลาด
“ไม่มีเหตุผลพิเศษอะไร หลักๆ คือเพราะผมรู้สึกว่าที่เธอพูดมาเป็นความจริง มิหนำซ้ำออกมาข้างนอกบ้าน ใครก็มีเวลาที่เงินติดขัดกันหมดนั่นแหละ ช่วยเหลือกันสักครั้งก็พอจะเข้าใจได้ไม่ใช่เหรอ อยู่ในยุทธภพไม่สามารถทำตามใจชอบได้ ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนก็เป็นเรื่องธรรมดา พวกคุณไม่รับการติดเงินของเธอ งั้นก็ถือว่าผมให้เธอยืมเงิน อย่างนี้ได้ใช่ไหม” จางจื่ออันพูดเรียบๆ ในเมื่อทำเท่แล้ว ก็ต้องฝืนทำจนถึงที่สุด
เหล่าฉาลูบหนวดพยักหน้าถี่ๆ ด้วยความชมเชย ขณะเดียวกันก็แอบชี้มือของเถ้าแก่เนี้ย
เถ้าแก่เนี้ยเพิ่งเริ่มชงชาเถี่ยกวนยินก็ถูกเรื่องนี้ขัดจังหวะอย่างไม่คาดฝัน จึงหยุดชงชาต่อ แค่ตักใบชาเถี่ยกวนยินออกมาจากในกระป๋องชาเท่านั้น
ความหมายของเหล่าฉาคือ กาน้ำชาของมันนี้ มันไม่เอาแล้ว นับว่าช่วยเขาประหยัดเงิน
จางจื่ออันไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่ทำเป็นไม่เห็นสัญญาณลับของเหล่าฉา ออกจากบ้านครั้งนี้เดิมทีก็อยากเลี้ยงน้ำชาเหล่าฉาอยู่แล้ว จะประหยัดเงินอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“คุณพูดจริงเหรอ” เสี่ยวเอ้อร์เชื่อครึ่ง สงสัยครึ่ง ก่อนจะพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับเพิ่งเคยเจอเขาครั้งแรก
“จริงสิ” เขาเน้นย้ำ “คุณวางมือถือลงเถอะ อย่าแจ้งตำรวจเลย”
“นี่ งั้นคุณก็จ่ายเงินให้เธอก่อนแล้วกัน” เสี่ยวเอ้อร์พูดด้วยความระแวดระวัง “ยังมีค่าน้ำชาของตัวเองด้วย คุณจ่ายเงินมาให้หมด ฉันถึงจะเชื่อ”
จางจื่ออันรู้ว่าเมื่ออยู่ที่นี่ ความน่าเชื่อถือของตัวเองจะลดลงถึงศูนย์ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาควักโทรศัพท์มือถือให้เธอแสกนคิวอาร์โค้ด ก่อนจะหลับตาไม่กล้ามองตัวเลขชำระเงิน กลัวว่าโรคหัวใจจะกำเริบกะทันหัน
เสียงแจ้งเตือนการจ่ายเงินสำเร็จดังขึ้นทันที