Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1655 อย่าจ้องฉัน
ทางขึ้นเขาเหลืออีกสองสามก้าวก็ถึงปลายทางแล้ว ร่างกายของจางจื่ออันแข็งแรงขึ้นกว่าตอนขึ้นมาครั้งก่อนมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้หอบแฮกเหมือนวัว เขาเพิ่งคิดจะกระโดดข้ามบันไดสองสามขั้นสุดท้ายในคราวเดียว แต่เกือบจะชนเข้ากับหน้าอกหญิงสาวคนหนึ่ง
“จวง…”
เขาอยู่ตรงทางเดินที่ค่อนข้างเตี้ย และกำลังก้มหน้ามองบันไดเพื่อป้องกันการก้าวพลาด ถึงอย่างไรบนยอดเขาก็มีหมอกตลบอบอวลและลื่นมาก ด้วยเหตุนี้จึงมองเห็นแค่ชุดฮั่นกระโปรงยาวสีเหลืองอ๋อย เขาตกใจจนเกือบจะหลุดปากร้องออกมา คิดว่าจวงเสี่ยวเตี๋ยปรากฏตัวในโลกความจริงแล้ว หรือ…นี่เป็นอีกความฝันหนึ่ง? หรือจะบอกว่า…เขาหลับไม่ตื่นอยู่ในความฝันนั้นตั้งแต่แรก?
พอเขาเงยหน้ามองก็พบว่าไม่ใช่จวงเสี่ยวเตี๋ย เป็นแค่ผู้หญิงใส่ชุดฮั่นธรรมดาคนหนึ่ง
สวมชุดฮั่นปีนเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว เขากำลังอยากชมกำลังกายของเธอ จากนั้นก็พบว่าเธอยกชายกระโปรงขึ้นเหนือพื้นเพื่อไม่ให้เหยียบชายกระโปรง จึงเผยให้เห็นชายกางเกงยีนใต้กระโปรงชุดฮั่น
ดูท่าทางเธอสวมชุดธรรมดาขึ้นเขา จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นชุดฮั่น
ที่ทำเรื่องหาปัญหาใส่ตัวเองแบบนี้ ประสิทธิภาพกับราคาเหมือนจะไม่สูง ไม่งั้นจะสวมชุดฮั่นหรูหราปีนขึ้นมาถึงยอดเขาให้ใครดูเหรอ?
ตอนนี้เอง เธอก็เอียงคอตะโกนด้วยเสียงอ่อนหวานกับคนข้างๆ “รุ่นพี่! ยังไม่ถึงตาฉันอีกเหรอคะ”
“แป๊บหนึ่ง! แป๊บหนึ่ง! อีกสองสามวินาทีก็เสร็จแล้ว!”
ผู้ชายที่รูปร่างผอมสูงเหมือนราวไม้ไผ่วิ่งเหยาะแหยะเข้ามา บนคอแขวนกล้องถ่ายรูปเอสแอลอาร์ขนาดใหญ่ ก่อนจะหัวเราะกับเธอเชิงเอาใจ
มีหญิงวัยกลางคนพาลูกมาปีนเขาด้วยกันคนหนึ่งจูงลูกเริ่มลงเขาแล้ว ลูกของเธอเงยหน้ามองผู้ชายที่รูปร่างเหมือนราวไม้ไผ่ แล้วร้องอย่างหวาดกลัว “แม่! คนนี้เขาเอารูจมูกมาจ้องผม!”
หญิงวัยกลางคนรีบดึงลูกชาย แล้วเร่งฝีเท้าลงเขาไป
จางจื่ออันสบตากับผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็พูดขึ้นพร้อมกัน “คุณ/นายนั่นเอง!”
ผู้ชายข้างหน้าคือลั่วชิงอวี่ ประธานชมรมถ่ายภาพของมหาวิทยาลัยปินไห่ เขาชอบเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเวลาพูด บวกกับตัวสูงอยู่แล้ว ก็เหมือนใช้รูจมูกจ้องคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ…
ลั่วชิงอวี่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขากระโดดข้ามมาคว้าคอเสื้อของจางจื่ออัน แล้วพูดด้วยท่าทางฮึกเหิม “แสงพระเยซูในป่านั่น คุณใช้โฟโต้ช็อปใช่ไหม!”
“อย่าพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อกันสิ” จางจื่ออันตีมือเขาออก “จะใช้โฟโต้ช็อปได้ยังไง ฉันมีคลิปด้วยนะ”
หลังจากกลับมาถึงเมืองปินไห่ จางจื่ออันก็โพสต์วิวทิวทัศน์สวยงามที่ถ่ายได้ในอเมริกาลงในกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะแสงพระเยซูในป่าเรดวูด ได้รับคำชมอย่างเป็นเอกฉันท์ของทุกคน
ที่สำคัญที่สุดในการถ่ายรูปของแบบนี้ก็คือทิวทัศน์สวยงาม อาศัยแค่ฝีมืออย่างเดียวแต่ไม่มีทัศนียภาพแปลกมหัศจรรย์ชวนตะลึง รูปที่ถ่ายออกมาก็ไม่มีคนสนใจ ก็เหมือนสิ่งที่สำคัญที่สุดในการถ่ายภาพหญิงสาวก็คือสาวสวย นี่เป็นโลกที่มองกันที่หน้าตานะ
ทัศนียภาพของสถานที่ท่องเที่ยวมีให้เห็นเกลื่อนกลาด แต่ทัศนียภาพแปลกงดงามจะปรากฏในที่ที่มีคนน้อยนิดเท่านั้น ลั่วชิงอวี่ที่คลุกตัวอยู่แค่รอบๆ เมืองปินไห่ทั้งวันไม่มีโอกาสสัมผัสกับทัศนียภาพระดับนั้นโดยสิ้นเชิง แต่ถึงแม้ฝีมือการถ่ายภาพของจางจื่ออันจะธรรมดาและไม่มีกล้องเอสแอลอาร์ แต่เขาอยู่ถูกที่ ถูกเวลา ถ่ายเรื่อยเปื่อยก็ได้รูปที่ยิ่งใหญ่แล้ว
“น่ารังเกียจ! ผมจะเก็บเงิน! ผมจะไปเที่ยวต่างประเทศ! ผมจะเที่ยวรอบโลก! ถึงตอนนั้นรูปที่ผมถ่ายต้องได้ลงนิตยสารระดับประเทศแน่นอน!” ลั่วชิงอวี่ร้องด้วยความโศกเศร้าราวกับเสียดายพรสวรรค์ที่ไม่ได้ค้นพบ
“นายมาทำงานพิเศษที่ร้านฉันได้ บัญชีสาธารณะของฉันขาดคนถ่ายรูปหมาแมวดีๆ อยู่พอดี” จางจื่ออันเสนอโอกาสทำงานด้วยเจตนาดี
“ชิ! ผมทำงานพิเศษไม่ได้หรอก ทั้งชีวิตนี้ทำงานพิเศษไม่ได้ ผมต้องขายภาพหาเงิน ตอนนี้ขาดแค่แมวมองตาดีสักคนเท่านั้นเอง ผมเพิ่งส่งรูปไปให้เว็บไซต์ลิขสิทธิ์รูปล็อตหนึ่ง คราวนี้ต้องได้เซ็นสัญญาแน่!” ลั่วชิงอวี่พูดอย่างเหยียดหยาม
“งั้นนายก็สู้ๆ แล้วกัน” จางจื่ออันไม่สนแล้ว
“รุ่นพี่ คนนี้ใครคะ คนรู้จักของพี่เหรอ” สาวกระโปรงสีเหลืองถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลั่วชิงอวี่ “เอ่อ…ก็ไม่ได้รู้จักกันหรอก”
อยู่ๆ จางจื่ออันก็นึกคำถามหนึ่งออก “เดี๋ยวก่อน ลั่วชิงอวี่ ปีที่แล้วนายอยู่ปีสี่แล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้น่าจะเรียนจบแล้วสินะ”
ลั่วชิงอวี่กระแอมครั้งหนึ่ง “รุ่นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่หน้าตาใช้ได้ ผมเลยตัดสินใจเรียนซ้ำปีสี่ เพื่อรุ่นน้องที่น่ารักพวกนี้…”
ตอนนี้มีผู้ชายแขวนกล้องเอสแอลอาร์บนคออีกคนหนึ่งเดินเข้ามาอีก ก่อนจะบ่นว่า “รุ่นพี่ ถึงพี่จะเรียนไม่จบก็ควรคืนตำแหน่งนะ ตั้งแต่ผมเข้าปีหนึ่งมาพี่ก็เป็นประธานชมรมมาตลอด ตอนนี้ผมอยู่ปีสี่แล้ว พี่ก็ยังเป็นประธานชมรม คำว่า ‘รอง’ ของผมต้องจบตามการเรียนจบของผมใช่ไหมเนี่ย”
“ดูนายสิ รีบร้อนอะไรนักหนา ไม่เห็นเหรอว่าฉันคุยกับคนอื่นอยู่!” ลั่วชิงอวี่โบกมือรำคาญ “ไป ขัดเกลาฝีมือให้มาก ฝึกเปลี่ยนเลนส์ให้มากๆ อย่าแอบอู้”
ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด
จางจื่ออันพยักหน้าอย่างเลื่อมใส “ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว ขอให้นายขึ้นปีสี่ทุกปี มีรุ่นน้องสาวๆ ตลอดไป”
ลั่วชิงอวี่รู้ว่าเขากำลังพูดเหน็บแนม ก่อนจะถลึงตามองพร้อมกับกำลังจะระเบิดอารมณ์ พอรุ่นน้องอีกคนข้างๆ ตะโกนเรียกรุ่นพี่ลั่ว เขาก็ปั้นหน้ายิ้มวิ่งดุ๊กดิ๊กกลับไป “รุ่นน้อง อะไรเหรอจ๊ะ”
จางจื่ออัน เหล่าฉา และฟราเทอร์ก็มาถึงยอดเขาแล้ว
คนแก่สวมเสื้อและกางเกงสีขาวสองสามคนมาถึงยอดเขาก่อนพวกเขาหนึ่งก้าว พวกเขาใช้ลำโพงแบบเสียบการ์ดที่นำมาเองเปิดเพลงรำดาบกันเป็นกลุ่ม ฝึกฝนกันแบบนี้ทุกวัน การเคลื่อนไหวและเสื้อผ้าเหมือนกันทั้งหมด บวกกับหมอกตลบอบอวลรอบๆ และสนสีเขียวรูปร่างเหมือนร่ม มีกลิ่นอายของความเป็นเทพเซียนอยู่หลายส่วน
หญิงสาวในชุดฮั่นที่เป็นนักศึกษาสองสามคนกำลังโพสท่า ยังมีผู้ชายของชมรมถ่ายภาพ มหาวิทยาลัยปินไห่ถ่ายรูปพวกเธอจากมุมต่างๆ อีกสองสามคน
จางจื่ออันอยากเตือนผู้ชายสองสามคนนั้น การถ่ายรูปเป็นหนทางสู่ความหายนะได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกประธานชมรมของพวกนายพาเสียคน รีบลงจากเรือลำนี้เสียเถอะ
การจัดวางบนยอดเขาแตกต่างกับตอนที่จางจื่ออันขึ้นมาเมื่อปี้ก่อนอยู่บ้าง มีศาลาหลังคาสี่มุมเพิ่มขึ้นมาหลังหนึ่ง อาจจะสร้างเพื่อให้นักท่องเที่ยวไว้หลบฝน แต่การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ได้ปรากฏในความฝันที่จวงเสี่ยวเตี๋ยสร้างขึ้น อธิบายได้อย่างเดียวว่าความฝันของเธอสร้างขึ้นจากพื้นฐานความทรงจำของเขา ในความทรงจำของเขาไม่มีศาลาหลังคาสี่มุม ในความฝันของเธอก็ไม่มีเช่นกัน
โรงน้ำชาอิ่นอู้ไม่ต่างจากในความทรงจำของเขา มีเพียงป้ายที่ทำจากไม้เพิ่มขึ้นมาตรงหน้าประตู บนป้ายแผ่นไม้วาดรูปชุดน้ำชาขึ้นชื่อของโรงน้ำชาและเขียนราคาของพวกมันเอาไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวที่อยากรู้อยากเห็นเตรียมใจก่อนเข้าไปในโรงน้ำชา น่าจะเกิดความวุ่นวายเพราะเหตุนี้ไม่น้อยเลย
จางจื่ออันมองรอบๆ ยอดเขา ยอดเขาที่ใหญ่เท่าฝ่ามือไม่มีเงาร่างเด็กสาวมัธยมต้นคนนั้น หรือว่าเธอเข้าไปในโรงน้ำชาแล้ว?
โรงน้ำชาระดับนี้ ถึงเป็นพนักงานออฟฟิศก็ต้องพิจารณากระเป๋าเงินของตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าไป เด็กนักเรียนมัธยมต้นเข้าไปใช้จ่ายเงินก็บอกได้แค่ว่า ‘ลูกคนรวย’
ฟราเทอร์ไม่สนใจดื่มชาและกินขนมเลยสักนิด มันสนใจคนแก่ที่กำลังรำดาบอยู่มากกว่า รู้สึกว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันลึกลับของโลกตะวันออก ขึ้นมาถึงบนยอดเขาแล้วก็มองพวกเขาไม่วางตา
จางจื่ออันถามความเห็นของมันแล้ว มันอยากดูรำดาบอยู่ข้างนอก จางจื่ออันจึงผูกเชือกจูงฟราเทอร์ไว้ที่เสาประตู ถึงมีอะไรเกินความคาดหมาย ฟราเทอร์ก็หลุดพ้นจากเชือกจูงได้สบายๆ อยู่แล้ว