Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1652 แผนสำรอง
รอบๆ ลานฝังกลับขยะที่ชานเมืองห่างจากเมืองปินไห่มีหมู่บ้านกระจายตัวอยู่สองสามแห่ง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ากลิ่นแถวลานขยะจะต้องย่ำแย่มากขนาดไหน แต่คนที่มีสภาพทางการเงินมั่นคงจะต้องเลือกย้ายบ้าน ส่วนคนที่เหลือเป็นชาวบ้านชั้นล่างสุดของสังคมทั้งนั้น อาจจะอาศัยเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อดำรงชีพ
ถึงเป็นชาวบ้านที่ไม่มีฐานะ แต่ก็เลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้านเสียส่วนใหญ่ สำหรับชาวบ้านแล้ว อาหารสุนัขที่ถูกชาวเมืองโยนทิ้งไม่ไยดีพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับขนมเปี๊ยะสอดไส้ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า ส่วนเรื่องสุขภาพของสุนัขไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกเขาเลย ถึงอย่างไรแม้แต่สุขภาพของพวกเขาเองก็ต้องฟังบัญชาสวรรค์ จะไปสนใจชีวิตสุนัขได้อย่างไร
ตามหลักการคืออาหารสุนัขพวกนี้ควรจะรวมกันและเผาทำลายทิ้งทั้งหมด แต่เหตุผลตามความจริงจึงทำได้แค่กองสุมอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับในลานขยะของเมืองอื่น ก็คงจะเป็นภูเขาขยะลูกหนึ่งหรือหลายลูกแล้ว
“งั้นนายคิดว่าควรจะจัดการอาหารหมาพวกนี้ยังไงดี” จางจื่ออันถาม ก่อนจะเงยหน้าพิจารณาภูเขาขยะที่เกิดจากการกองสุมของอาหารสุนัข “หรือว่านายจะให้ฉันเผาขยะพวกนี้ทั้งหมด?”
การเผาไหม้และฝังกลบล้วนเป็นวิธีการจัดการขยะที่ได้ผล แต่เผากลางแจ้งจะทำให้อากาศปนเปื้อนอย่างร้ายแรง และอาหารสุนัขมากมายขนาดนี้ ต้องเผาด้วยเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันเบนซินแน่นอน เผาจริงๆ แล้วคงจะมีกองไฟสูงขึ้นไปถึงท้องฟ้า อาจจะยังดึงดูดทีมนักดับเพลิงมาด้วย แบบนั้นก็จบเห่แล้ว…
ลานฝังกลบมีขนาดใหญ่มาก ตอนพวกคนงานจัดการขยะก็แบ่งระดับความสำคัญ ยังไม่ถึงคราวของอาหารสุนัขที่วางไว้ได้เป็นเวลานานพวกนี้ กว่าจะถึงคราวก็คงถูกพวกชาวนาขโมยไปจนหมดแล้ว
เสี่ยวไป๋ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ด้านหนึ่งฉันไม่หวังให้เพื่อนๆ ของฉันกินสิ่งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพพวกนี้ อีกด้านหนึ่งชาวนาพวกนั้นก็น่าสงสารเหมือนกัน เสื้อผ้าที่ใส่ก็ขาดลุ่ย รถที่ขับก็เหมือนจะแยกชิ้นส่วนได้ตลอดเวลา…มีวิธีอะไรดีๆ ที่ให้ความพึงพอใจกับทั้งสองฝ่ายไหม”
สังคมปัจจุบันนี้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างความร่ำรวยและยากจนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยเห็นชาวนาที่ขโมยอาหารสุนัขพวกนั้นด้วยตาตัวเอง แต่ก็จินตนาการได้ว่าจะต้องมีผมเผ้ายุ่งเหยิงและหน้าตาสกปรก ไม่อย่างนั้นใครจะมาเก็บสิ่งของในลานขยะที่กลิ่นเหม็นฉึ่งแบบนี้กัน
ส่วนวิธีที่ทำให้พึงพอใจได้ทั้งสองฝ่าย…
เขาคิดแล้ว “ฉันจำได้ว่ายังไม่มีตัวอย่างหมูติดเชื้อโปรตีนพรีออนนะ”
“หมายความว่ายังไง” เสี่ยวไปไม่เข้าใจ เพราะมันไม่ได้ร่วมเดินทางไปอเมริกา จึงไม่รู้จักโปรตีนพรีออน
เขาอธิบาย “สำหรับชาวนา อาหารหมาพวกนี้ให้หมากินไม่ได้ แต่ใช้ได้ดีกับหมู เพราะบำรุงให้มีเนื้อได้เร็วกว่ากินข้าวหรือผักที่เหลือทั้งวัน ถึงยังไงในวัตถุดิบของอาหารหมาก็มีโปรตีนในปริมาณมาก ดีกว่าอาหารสัตว์ชนิดอื่นๆ เสียอีก…และที่สำคัญที่สุดคือไม่ทำให้หมูติดเชื้อ”
“ก็หมายความว่า ส่งเสริมให้ชาวนาเก็บอาหารหมากลับไปให้หมูกิน แต่ไม่ได้ให้หมากินเหรอ” เสี่ยวไป๋เหมือนจะเข้าใจแล้ว
“ใช่”
จางจื่ออันไปเก็บแผ่นไม้และแผ่นกระดาษแข็งรอบๆ ที่ดูสะอาดมาสองสามแผ่น แล้วใช้ปากกามาร์คเกอร์เขียนตัวหนังสือสองสามบรรทัดอยู่ในรถ จากนั้นก็แขวนหรือเสียบอยู่รอบภูเขาขยะ บนนั้นเขียนว่า ‘อาหารหมามีพิษ ให้หมูกินได้ ห้ามให้หมากิน’
“นี่จะมีประโยชน์เหรอ” เสี่ยวไป๋สงสัยเล็กน้อย ตอนกลางคืนมืดสลัว พวกชาวนาอาจจะมองไม่เห็นตัวหนังสือพวกนี้ก็ได้ หรือถึงเห็นก็อาจจะไม่ใส่ใจ
“นี่ก็ต้องให้นายกับหมาจรจัดออกแรงช่วยแล้ว”
จางจื่ออันเก็บอาหารสุนัขที่ถุงขาดแล้วขึ้นมาถุงหนึ่ง แล้วเทอาหารสุนัขที่เหลือข้างในทิ้ง “พวกนายได้ยินเสียงชาวนาขับรถมาก่อน ถึงตอนนั้นพวกนายก็แสดงละครสักหน่อย ใช้ถุงเปล่าใส่อาหารหมาธรรมดาที่ฉันหรือผู้ต้องสงสัยวายขนมาให้ พอพวกชาวนามาถึงที่นี่ พวกนายก็ทำเป็นกินอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าพวกเขา จากนั้นก็ทำท่าทางไม่สบายมากๆ กลิ้งอยู่บนพื้น น้ำลายฟูมปาก ร้องครวญคราง…สรุปคือทำให้ดูน่ากลัว พวกชาวนาเห็นภาพแบบนี้แล้วต้องเห็นป้ายพวกนี้แน่นอน อย่างน้อยก็เชื่อไปแปดส่วน”
วลาดิเมียร์พยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เลวเลย! ต้องให้ชาวนาเห็นและได้ยินถึงจะเข้าใจ การแสดงที่ใกล้เคียงกับนักรบชาวนาถึงจะเป็นละครที่ดี!”
“แน่นอน หลังจากพวกนายแสดงท่าทางไม่สบายอย่างมากออกไปแล้ว ต้องวิ่งไปให้ไกลด้วยท่าทางทุลักทุเล ห้ามแกล้งนอนตายอยู่ที่เดิม ไม่อย่างนั้นถ้าพวกชาวนาตรวจการหายใจและการเต้นของหัวใจพวกนาย ก็จะพบว่าพวกนายแกล้งแสดงละคร พอถึงตอนนั้นทุกอย่างที่ทำมาก็จบสิ้น…”
จางจื่ออันเสริมอีก แต่ความจริงแล้วความหมายโดยนัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ แกล้งตายอยู่ที่เดิมอาจจะถูกคนลากกลับไปตุ๋นหม้อไฟที่บ้าน…
เสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอีกเล็กน้อย รู้สึกว่าวิธีนี้ก็ใช้ได้ ทั้งปกป้องสุนัขที่พวกชาวนาเลี้ยงไว้ในบ้านไม่ให้เจอกับงูพิษอย่างอาหารสุนัข และยังให้ชาวนาได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง ส่งสุนัขจรจัดสองสามตัวมาแสดงละครที่นี่ทุกคืนก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสุนัขจรจัดที่รับผิดชอบแสดงละครยังได้กินมื้อดึก เรียกได้ว่าทำให้พึงพอใจได้ทั้งสามฝ่าย
“ได้ ฉันจะไปจัดการ”
ในที่สุดก็ออกจากลานฝังกลบขยะได้แล้ว จางจื่ออันยืนอยู่ที่นี่สักพักก็เวียนหัวเพราะกลิ่นเหม็นเน่า ยังสังเกตเห็นว่าแมลงวันบินตอมกลิ่นแผลของวลาดิเมียร์แล้ว พวกมันบินวนอยู่บนหัวของมัน คอยจ้องหาโอกาสเกาะลงมาบนตัวมัน ทำให้มันจำต้องบิดตัวอยู่ตลอดเวลา
พอกลับมาด้านข้างป่าขนาดเล็กอีกครั้ง จางจื่ออันก็เดินไปตรวจสอบคุณภาพของเพิงไม้ พวกสุนัขจรจัดอาจจะจำหน้าตาของเขาไม่ค่อยได้ แต่จำกลิ่นของเขาได้ จึงล้อมเข้ามาข้างๆ เขาอย่างกระตือรือร้น เพราะก่อนหน้านี้เขาจะมาพร้อมกับอาหารสุนัขจำนวนมากทุกครั้ง ทำให้พวกมันสร้างพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไขขึ้น
เขาสังเกตเห็นว่าเสี่ยวไป๋เหมือนจะแยกสุนัขจรจัดตัวผู้กับตัวเมียที่โตเต็มวัยออกจากกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างอาศัยอยู่ในเพิงที่แตกต่างกัน และจำนวนลูกสุนัขที่ร้องหาอาหารก็น้อยกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ดูท่าทางเสี่ยวไป๋คงเรียนรู้แล้ว ว่าไม่ควรให้สุนัขจรจัดผสมพันธุ์กันอย่างไร้ขอบเขต ไม่อย่างนั้นก็ต้องวิ่งเต้นหาอาหารอยู่ตลอดเวลา จำนวนสุนัขจรจัดที่เพิ่มขึ้นก็นำความหวาดกลัวมาสู่คนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้เช่นกัน
ในอนาคตอาจจะมีสักวันหนึ่งที่แมวจรจัดและสุนัขจรจัดหาที่พักพิงที่ดีกว่านี้ได้ แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น รักษาสภาพเป็นอยู่อย่างสงบกับมนุษย์จะดีกว่า
ตอนจางจื่ออันเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ในเขตเพิงไม้ เสี่ยวไป๋ก็เดินมาข้างหน้าวลาดิเมียร์ พร้อมกับจ้องมองมันแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นายขยิบตาให้ฉัน มีเรื่องอะไรอยากพูดเป็นการส่วนตัวเหรอ”
“นายจัดการแสดงเรียบร้อยแล้วเหรอ” วลาดิเมียร์ถาม
“วันนี้จะแสดงเป็นครั้งแรก ฉันจะแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างก่อน” เสี่ยวไป๋ตอบเรียบๆ “นายเรียกฉันมาคนเดียว คงไม่ใช่เพื่อพูดเรื่องนี้หรอกมั้ง”
วลาดิเมียร์สีหน้าเคร่งขรึม “ที่อเมริกา ฉันถูกศัตรูลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เหมียวเขาสิ เกือบจะทิ้งชีวิตไว้ที่อเมริกาแล้ว”
เสี่ยวไป๋กำลังตั้งใจฟัง
“ที่ถูกลอบทำร้ายเนี่ยโทษคนอื่นไม่ได้ ต้องโทษที่ฉันสะเพร่าเอง ได้รับบาดเจ็บครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะฉันได้เข้าใจบางอย่าง ในเงาดำมืดยังมีศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่า แต่นายกับฉัน…ไม่ใช่สิ ควรจะพูดว่าระหว่างแมวจรจัดกับหมาจรจัด ความขัดแย้งภายในระหว่างสัตว์จรจัด ฉันอยากเสนอให้หยุดการคุมเชิงกันไม่ลดละของพวกเรา จนกระทั่งจัดการปัญหาภายนอกได้จบสิ้นแล้ว” วลาดิเมียร์พูด
เสี่ยวไป๋เงียบไปพักหนึ่ง “แม้จะเอนเอียงไปทางศัตรูภายนอกต้องมาก่อนความปลอดภัยภายใน แต่ก็ได้เรียนรู้ตอนเกิดภัยหนอนมาแล้ว ฉันคิดว่าไม่เสียหายที่จะร่วมมือกันชั่วคราว…แต่ฟังจากที่นายพูดแล้ว หรือว่าแม้แต่พวกเราหมาจรจัดก็หนีปัญหาไม่พ้น”
“ฉันไม่รู้ แต่อยากเสนอให้นายเตรียมแผนสำรองเอาไว้ก่อน อย่างเช่น ถ้าอยู่ๆ นายหายไป ได้รับบาดเจ็บ หรือตาย แผนการในสถานการณ์คับขันน่ะ” วลาดิเมียร์พูดเป็นนัยๆ
เสี่ยวไป๋เข้าใจในทันที เพราะนี่เป็นจุดอ่อนขนาดใหญ่ที่สุดของสุนัขจรจัดในตอนนี้ อาศัยบารมีของมันเพียงตัวเดียวรักษาความสามัคคีเอาไว้ เมื่อมันสูญเสียความสามารถในการสั่งการไปเพราะเหตุผลบางอย่าง…เกรงว่าพวกสุนัขจรจัดคงจะแบ่งพรรคแบ่งพวกแยกย้ายกันไป
มันคิดแต่ว่ายังมีเวลาจัดการปัญหานี้อีกนาน ทว่าจริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้เหลือเวลาเยอะอย่างที่มันคิดเอาไว้