Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1639 ลูกนกตามแม่นก
จากสีหน้าของเสี่ยวหวาง จางจื่ออันก็รู้ว่าตัวเองเดาถูกแล้ว
เป็นไปตามคาด เถียนเถียนใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบแฟนหนุ่มของตัวเองครั้งหนึ่งทันที แล้วบ่นว่า “ให้คุณเลิกบุหรี่นานแล้วนะ คุณผลัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมฟัง เลิกได้สองวันก็เหมือนกับไร้วิญญาณ ถือโอกาสตอนที่ฉันไม่สังเกตแอบสูบอีก…บุหรี่มีอะไรดี? ทั้งทำลายสุขภาพ ทั้งเปลืองเงิน ทำไมคุณถึงปรับปรุงตัวไม่ได้สักทีเนี่ย”
สีหน้าของเสี่ยวหวางเหมือนกับท้องผูก ยิ่งรู้สึกลำบากใจยามอยู่ต่อหน้าจ้าวฉีและจางจื่ออัน แต่เขาไม่มีเหตุผลมาตอบโต้ ทำได้แค่ไม่โต้ตอบ และขอโทษอย่างระมัดระวัง
เถียนเถียนกับเสี่ยวหวางดูสนิทกันดีทีเดียว แต่เรื่องบุหรี่ก็คุยกันมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว เธอเป็นห่วงสุขภาพของแฟนหนุ่ม ถูกงานทำร้ายทุกวันแล้วยังต้องถูกบุหรี่ทำร้ายอีก ประเด็นคือเขาเองยังไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ เธอก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ที่เธอโมโหยิ่งกว่านั้นคือ เสี่ยวหวางยืนยันรับประกันทุกครั้งว่านี่เป็นมวนสุดท้าย สูบเสร็จแล้วก็จะไม่สูบอีก เธอเลือกที่จะเชื่อใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ทำให้เธอผิดหวังซ้ำซาก เพราะมักจะแอบสูบลับหลังเธอเสมอ นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องการสูบบุหรี่ แต่เป็นปัญหาของความซื่อสัตย์มากกว่า…ตอนนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงปัญหาของการเลี้ยงแมวด้วย
เสี่ยวหวางก็ลำบากใจที่จะพูด บ้านเขาอยู่ที่ชนบท ลองสูบบุหรี่ตั้งแต่เด็กด้วยอิทธิพลของคนในครอบครัวใหญ่ที่มีลุง อา และพี่ชาย ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสา รู้สึกว่าสูบบุหรี่ดูเท่มาก ต่อมาก็ ‘ค่อยๆ’ ติดโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ได้สูบบุหรี่วันหนึ่งก็แทบจะลงแดง ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการทำงาน เขาคิดเองว่าติดบุหรี่ไม่มาก หนึ่งวันสูบอย่างมากหนึ่งกล่องยังไม่ค่อยเท่าไร แต่แฟนสาวที่โน้มน้าวเก่งกลับไม่ยอมรับเรื่องนี้เลยสักนิด
ส่วนดื่มเหล้า เขากับเธอไม่คิดว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชาย ยากที่จะหลีกเลี่ยงการสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน งานวันเกิดรุ่นพี่ งานแต่งงาน และตอนมีงานเลี้ยงก็ต้องดื่มเหล้า ไม่ดื่มเหล้าก็จะถูกคนดูถูก คิดว่าไม่เป็นลูกผู้ชาย ปกติเธอจึงกำชับให้เขาดื่มน้อยๆ หน่อย ไม่ได้บังคับให้เขาเลิกเหล้าเหมือนเลิกบุหรี่
ก่อนหน้านี้สมัยที่จางจื่ออันยังทำงานอยู่ เขาก็ปฏิเสธเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนมีงานเลี้ยงไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็แค่ตอนนั้น ตั้งแต่เขารับช่วงต่อร้านขายสัตว์เลี้ยง ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ดื่มเหล้าเลย และไม่มีโอกาสดื่มเหล้าด้วย ถึออย่างไรดื่มเหล้าก็ต้องใช้เงินตัวเองซื้อ ไม่คุ้มกัน
นอกจากในร้านมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น เช่นตอนออกไปกินปิ้งย่างเลี้ยงฉลองกับพวกพนักงานร้าน เขาถึงจะสั่งเบียร์เย็นๆ มาหนึ่งกระป๋อง ปกติเขาจะไม่ดื่มเหล้าเอง เพราะเขารู้ว่าแมวไม่ชอบกลิ่นเหล้า และทำให้ภูตสัตว์เลี้ยงไม่ชอบ ถ้าความประทับใจที่ได้มาอย่างยากลำบากลดลงเพราะกลิ่นเหล้า ก็คงต้องร้องไห้จนเป็นลมอยู่ในห้องน้ำ
ร่างกายดึงดูดแมวเป็นแค่ความแตกต่างเรื่องเพศ ไม่ใช่ส่วนบุคคล ถ้ามีคนบอกว่าตัวเองมีร่างกายดึงดูดแมวได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างนั้นแทบจะตัดสินได้เลยว่าเขาหรือเธอฉีดน้ำหอมบางอย่างบนตัวแน่นอน ในน้ำหอมมีกลิ่นพืชพันธุ์ที่แมวชอบ กลิ่นของน้ำหอมต่างหากที่ดึงดูดแมว ก็เหมือนโคโลญจน์ของเควิน ไคลน์ที่ดึงดูดสัตว์ประเภทแมวขนาดใหญ่มาได้
เรื่องนี้เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แมวถูกคนดึงดูดได้ไม่ใช่เพราะการได้ยินและการดมกลิ่น มีคนดึงไปเกี่ยวกับความคิดทางด้านปรัชญาเสมอ
เสี่ยวหวางเป็นผู้ชาย เสียงทุ้มต่ำ สูบบุหรี่ตั้งแต่เด็ก มักจะออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนร่วมงาน แมวชอบเขาสิแปลก
ส่วนเรื่องการเงิน ส่วนสูง หน้าตา ความชอบ วาทะศิลป์ อนาคต อารมณ์ขัน และจิตใจแสวงหาความก้าวหน้าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ผู้หญิงชื่อชอบ แต่แมวไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย พวกมันหาทาสนะ ไม่ได้หาสามี…
จ้าวฉียังพูดใส่สีตีไข่อยู่ข้างๆ “กินเหล้าก็ไม่เห็นมีอะไรดี เลิกเหล้าไปด้วยเลยสิ คุณดู แม้แต่แมวยังรังเกียจ ยังมีอะไรตัดใจทำไม่ได้อีก”
ผู้หญิงสองคนผลัดกันพูด เสี่ยวหวางลำบากใจมาก มาซื้อสัตว์เลี้ยงแท้ๆ แต่กลับถูกต่อว่ายกหนึ่งอย่างน่าประหลาด
เขารีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วถามจางจื่ออันว่า “เอ่อ…ผมเข้าใจความสำคัญของการเลิกเหล้า เลิกบุหรี่อย่างลึกซึ้งแล้ว แต่กินข้าวยังต้องกินทีละคำ หนทางยาวไกลก็ต้องเดินทีละก้าว จริงไหม? ยิ่งเลิกเหล้า เลิกบุหรี่เนี่ย รีบร้อนไม่ได้เลย ใจร้อนเลิกเกินไปมีแต่ทำให้กลับมาลงแดงได้ง่าย…แต่ตอนนี้ผมกับแฟนของผมอยากซื้อสัตว์เลี้ยง ผมคิดดูแล้วว่า ถ้าเป็นแมวที่เลี้ยงตั้งแต่เล็ก มันน่าจะไม่ถึงขั้นรังเกียจขนาดนั้นหรอกมั้ง? มีคำกล่าวบอกว่า ลูกชายจะไม่ทอดทิ้งแม่เพราะหน้าตาน่าเกลียด หมาจะไม่ทิ้งเจ้าของเพราะความยากจน…”
พอพูดแบบนี้ออกมา เขาเองก็รู้สึกแปลกเล็กน้อย สุนัขจะไม่ทิ้งเจ้าของเพราะความยากจน แต่แมวอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น
“ลูกแมว? ที่นี่ก็มีแต่ลูกแมวทั้งนั้นแหละครับ” จางจื่ออันชี้พวกลูกแมวที่วิ่งซนอยู่ในตู้โชว์ให้เขาดู
“เอ่อ? นี่คือลูกแมวเหรอครับ แมวนี่ไม่ได้โตแล้วเหรอ มีที่เด็กกว่านี้หน่อยหรือเปล่า” เสี่ยวหวางถามด้วยท่าทางลำบากใจ
จางจื่ออัน “…เกรงว่าความหมายของลูกแมวที่คุณเข้าใจจะผิดพลาดแล้วล่ะครับ”
จ้าวฉีพูดแทรก “ใช่! ฉันเคยบอกคุณแล้ว ‘ตำราแมว’ ที่คุณพูดถึงบ่อยๆ น่ะ เลือกแมวอายุร้อยสองวัน แยกจากแม่เร็วเกินไปมีโรคพัวพัน อะไรนั่น…แต่เขาอยากเลี้ยงแค่ลูกแมว ยิ่งเล็ก ยิ่งดี เขารู้สึกว่าเลี้ยงตั้งแต่เด็กจะสนิมสนมกันมากกว่า”
คราวนี้แม้แต่เถียนเถียนก็พยักหน้าไม่หยุด บ่งบอกว่าเธอก็อยากเลี้ยงแมวตั้งแต่เล็กมากกว่า ยิ่งเด็ก ก็ยิ่งดี
ที่จริงนี่เป็นความรู้ร่วมของหลายๆ คน คิดว่าเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่เล็ก ยิ่งเลี้ยงตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาแล้วยิ่งสนิทกับตัวเอง ไม่ใช่แค่คนเดียวที่มาเดินในร้านขายสัตว์เลี้ยงรอบหนึ่งแล้วไม่ชอบแมวและสุนัขที่นี่โตเกินไป ก็หมุนตัวเดินกลับไปเลย อยากไปซื้อลูกแมวและลูกสุนัขที่อายุหนึ่งหรือสองเดือนให้ได้ แนะนำอย่างไรก็ไม่ฟัง แถมยังพูดอย่างมีเหตุผลเสียงดังว่าสัตว์ก็เหมือนลูกนกตามแม่นกทั้งนั้น ยิ่งเลี้ยงตั้งแต่เล็กก็ยิ่งดี
นี่เป็นความรู้เพียงด้านเดียว ไม่ได้รู้ทั้งสองด้าน
โลกของสัตว์มี ‘พฤติกรรมฝังใจ’ อย่างหนึ่ง พูดตามธรรมดาก็คือสัตว์ที่เกิดมาไม่นาน สิ่งมีชีวิตแรกที่พวกมันลืมตาแล้วมองเห็น ก็จะกำหนดให้มันเป็นแม่ของตัวเอง และเกิดความรักผูกพันลึกซึ้งอย่างแรงกล้า
เนื่องจากปรากฏการณ์แบบนี้พบจากตัวนกมานานแล้ว จึงเรียกว่าลูกนกตามแม่นก
พฤติกรรมฝังใจมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์จอมปลอม แต่หลายๆ คนคิดตามนั้นว่าเลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็ต้องเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก นี่เป็นความรู้ที่ผิด เพราะพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ใช้ได้ทั่วโลก และไม่ได้ใช้ได้กับสัตว์เลี้ยงทุกชนิด
นกมีพฤติกรรมแบบนี้ สุนัขก็มีพฤติกรรมแบบนี้ นกและสุนัขที่เลี้ยงตั้งแต่เล็กจนโตแล้วยิ่งสนิทกับเจ้าของจริงๆ แต่แมวไม่มีพฤติกรรมแบบนี้ พูดลงลึกกว่านั้นคือ ตอนนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะยืนยันว่าแมวมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่
สนิทกับคนมากกว่าเป็นเรื่องดีไหม? ก็ไม่แน่
ยกเด็กมาเป็นตัวอย่าง เด็กสนิทกับพ่อแม่ที่สุด เรื่องนี้เขาไม่เห็นต่าง แต่หลังจากเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน กลับเชื่อฟังคำพูดของคุณครูมากกว่าเสมอ คุณครูพูดคำเดียวมีประโยชน์กว่าพ่อแม่พูดหลายสิบคำอีก
สุนัขก็คล้ายกัน สุนัขที่เลี้ยงตั้งแต่เล็กสนิทกับคนมากกว่าจริงๆ แต่ว่าสุนัขต้องการการฝึกสอน ไม่ควรเอาแต่เอาใจสุนัขเพียงอย่างเดียว สุนัขไม่ควรเห็นเจ้าของเป็นพ่อแม่ แต่ควรเห็นเจ้าของเป็นเจ้านาย เห็นเจ้าของเป็นคุณครูที่น่าเคารพ ดังนั้นพอสุนัขโตขึ้นหน่อยค่อยพากลับมาเลี้ยงที่บ้าน สะดวกต่อการฝึกมากกว่า และทำให้สุนัขเข้าใจตำแหน่งที่เป็นลำดับขั้นของมันในบ้านได้มากกว่า เพื่อกันไม่ให้บ้าคลั่งขึ้นมาแล้วไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
เรื่องที่สุนัขตัวใหญ่รื้อบ้าน สุนัขตัวเล็กวิ่งซนฉี่ไปทั่วและกัดไปทั่วพวกนั้น มักจะทำให้เจ้าของกลายคนต้องปวดหัวเสมอ และไม่มีวิธีจัดการดีๆ ซึ่งเหตุผลหลักก็คือสุนัขถูกพากลับบ้านมาตั้งแต่ยังเล็กเกินไป พฤติกรรมฝังใจทำให้พวกมันเห็นเจ้าของเป็นพ่อแม่ แน่นอนว่าอยู่ต่อหน้าพ่อแม่แล้วออดอ้อนได้เต็มที่
ทำให้เจ้าของโกรธแล้วโดนตีจะทำอย่างไรได้? คุณดูเด็กดื้อพวกนั้นสิ มีคนไหนกลัวพ่อแม่ตีบ้าง?
เด็กดื้อก็เหมือนสุนัขที่เห็นเจ้าของเป็นพ่อหรือแม่ ยิ่งตี ยิ่งดื้อ สุดท้ายจัดการไม่ได้ ก็ไม่ได้ผลอะไร
ถ้าเจ้าของเห็นสุนัขเป็นลูกเหมือนกัน อย่างนั้นก็ยิ่งน่าเศร้ากว่าเดิม