Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1633 ลูกแมว
เช้าวันต่อมา
จางจื่ออันที่เปิดประตูม้วน ก็บังเอิญเห็นแขกไม่ได้รับเชิญที่หน้าประตูร้าน
เมี๊ยว
เจ้าตัวน้อยขดตัวอยู่ในมุมของกล่องรองเท้าใบหนึ่ง มันพิจารณาเขาอย่างระแวง ก่อนสะส่งเสียงร้องอ่อนล้า
อย่าว่าแต่จางจื่ออันที่เจอแมวมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้แต่เสี่ยวฉินไช่ที่ที่บ้านไม่ให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็ยังร้องว่า “ว้าว! ลูกแมวส้ม!”
จางจื่ออัน “…เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
คำถามนี้เขาไม่ได้ถามแมวส้มแน่นอน แต่ถามเสี่ยวฉินไช่
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ชายเจ้าของร้าน! ไม่เจอกันนานเลยนะคะ! หนูเพิ่งมาค่ะ เห็นพี่ชายกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น หนูคิดว่าพี่ชายก็ชอบใช้กิ่งไม้จิ้มมดเหมือนกัน เลยนั่งยองๆ ดูบ้าง”
เสี่ยวฉินไช่ใส่เสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนขาสั้น เธอนั่งยองๆ อยู่ข้างเขา พร้อมกับจ้องมองลูกแมวส้มกับเขา
จางจื่ออัน “…ฉันเลยวัยใช้กิ่งไม้จิ้มมดไปแล้วโอเคไหม!”
กลับมาที่ประเด็น ดูไปแล้วแมวส้มในกล่องรองเท้าอายุประมาณหนึ่งถึงสองสัปดาห์ อาจจะเพิ่งลืมตา ตัวเล็ก อ่อนแอ น่าสงสาร ช่วยตัวเองไม่ได้ มันนอนอยู่ในที่ร่มของกล่องรองเท้าเพื่อหลบแสงแดดตอนพระอาทิตย์ขึ้น ร้องเมี๊ยวๆ ด้วยเสียงอ่อนหวานไม่หยุด
ถึงแม้จางจื่ออันจะไม่ใช่ เชอร์ล็อค โฮล์มส์ แต่เห็นลักษณะแบบนี้แล้วก็เดาได้ทันที เจ้าของแมวส้มตัวนี้คงทิ้งมันด้วยเหตุผลที่ไม่อาจทราบได้ แต่ก็กลั้นใจให้มันเป็นไปตามยถากรรมไม่ได้ จึงใส่มันเข้าไปในกล่องรองเท้าด้วย ‘เจตนาดี’ แล้วทิ้งไว้หน้าร้านขายสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าเจ้าของร้านรับเลี้ยงมัน หรือลูกค้าที่มาซื้อแมวในร้านขายสัตว์เลี้ยงรับเลี้ยงมัน ล้วนทำให้ตัวเองพ้นจากการถูกประณามไปได้ และโอบกอดชีวิตใหม่ได้อย่างมีเหตุผล พูดไปแล้วก็เป็นคุณธรรมลักพาบางอย่าง
นี่ก็เหมือนสัตว์เลี้ยงป่วยและถูกทิ้งในคลินิกสัตว์เลี้ยง ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนหมดคำพูด คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ น่าจะเป็นคนที่ชินกับการยกเรื่องยากลำบากให้คนอื่นจัดการในเวลาปกติและในการทำงาน
แต่ช่วยไม่ได้ ลักพาคุณธรรม ที่ลักพาไปก็คือคนที่มีคุณธรรมและมีจิตใจดีงาม
ซุนเสี่ยวเมิ่งกลั้นใจกวาดสัตว์เลี้ยงที่ถูกทิ้งในคลินิกออกมาไม่ได้ เขาก็ปล่อยให้แมวตัวไหนเป็นไปตามยถากรรมไม่ได้เช่นกัน แสงแดดร้อนแรงมากในช่วงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ผลิ วันนี้เป็นวันฟ้าใส เห็นพระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ พอมุมร่มสุดท้ายของกล่องรองเท้าถูกแสงแดดส่องถึง ลูกแมวตัวนี้ก็อาจจะต้องตากแดดตายทั้งเป็น
เขายกกล่องรองเท้าขึ้น ก่อนจะเรียกเสี่ยวฉินไช่ให้เข้าไปในร้านด้วยกัน อย่าตากแดดให้หน้ามันอยู่ข้างนอกเลย
ในร้านเปิดเครื่องปรับอากาศตั้งแต่เช้า แม้ตอนนี้อุณหภูมิจะลดลงจากช่วงกลางฤดูร้อนแล้ว แต่เขาเคยชินกับอากาศเย็นสบายในป่าเรดวูด ถ้าไม่เปิดเครื่องปรับอากาศอีก พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ต้องบ่นแล้ว
“เสี่ยวฉินไช่ ทำไมถึงมาได้ล่ะ เปิดเทอมแล้วเหรอ” เขาวางกล่องรองเท้าไว้บนเคาน์เตอร์เก็บเงินตามใจชอบ แล้วหยิบแตงโมที่กินเหลือเมื่อคืนออกมาจากในตู้เย็น “กินข้าวเช้าหรือยัง? จะกินแตงโมสักหน่อยไหม?”
เสี่ยวฉินไช่กินข้าวเช้าแล้ว แต่พอเห็นแตงโมเย็นฉ่ำก็ทำตัวไม่ถูก ยังไงก็ไม่ได้รีบไปดูหนูแฮมสเตอร์กับกระต่ายมินิเอเจอร์ล็อปอยู่แล้ว เธอจึงรับแตงโมมาด้วยความดีใจ พูดจริงๆ นะ ฟันหน้าสองซี่ใหญ่ของเธอเหมือนสัตว์ที่มีฟันแทะ เหมาะกับการแทะแตงโมทีเดียว!
แม่ของเธอไม่ให้กินของจากคนแปลกหน้า แต่พี่ชายเจ้าของร้านไม่ใช่คนแปลกหน้าสักหน่อย
“ยังไม่เปิดเทอมค่ะ แต่ใกล้แล้ว” เธอแทะแตงโมพลางพูดพร้อมเสียงเคี้ยว “วันนี้ไม่มีกิจกรรมกลุ่มนอกห้องเรียน แล้วก็ไม่มีวิชาแนะแนว ก็เลยไม่เป็นไรค่ะ อยากมาดูว่าพี่ชายเจ้าของร้านกลับมาหรือยัง ก็เจอพอดีเลย”
“ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อวานนี่แหละ” จางจื่ออันเริ่มลงมือทำความสะอาด และถือโอกาสคิดด้วยว่าจะจัดการแมวส้มตัวนี้อย่างไร
จางจื่ออันสังเกตเห็นว่าเธอคายเม็ดแตงโมไว้ในฝ่ามือทั้งหมด จึงบอกให้เธอคายไว้บนพื้นเลยก็ได้ ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวก็ต้องกวาดพื้นอยู่แล้ว
เสี่ยวฉินไช่ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ อีกเดี๋ยวจะให้เสี่ยวหลิงกินเม็ดแตงโม! จริงสิ พี่ชายเจ้าของร้าน เที่ยวอเมริกาสนุกไหมคะ?”
“ก็ใช้ได้มั้ง แต่วุ่นวายนิดหน่อย มีคนเร่ร่อนเยอะ ความปลอดภัยก็แย่กว่าที่จีน ครั้งนี้ฉันไปเดินเที่ยวในป่าเป็นหลักน่ะ”
พอได้ยินคำว่าป่า เสี่ยวฉินไช่ก็ตาเป็นประกาย “ในป่ามีสัตว์น่าสนใจเยอะแยะเลยใช่ไหมคะ”
จางจื่ออันเล่าถึงสัตว์ที่เจอในป่าอย่าง แบดเจอร์ บีเวอร์ กวางแดง กวางหางดำ และนกเค้าแมวให้เธอฟัง แน่นอนว่าข้ามจุดจบของบีเวอร์ที่สุดท้ายกลายเป็นอาหารเย็นไป
เสี่ยวฉินไช่ฟังอย่างมีความสุข พอกินแตงโมสองชิ้นเสร็จ เธอก็ใช้กระดาษทิชชู่ห่อเม็ดที่คายออกมาไว้อย่างดี จากนั้นก็วิ่งไปล้างมือ
“โอ้โฮ! มีหมาตัวใหญ่เพิ่มขึ้นอีกตัวแล้ว!” เธอมองฟราเทอร์ด้วยหน้าตาประหลาดใจ แล้วหันมามองจางจื่ออันด้วยท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย “ทำไมเหมือน…หมาป่าในรายการ ‘คนกับธรรมชาติ’ เลยล่ะ”
“ไม่ใช่หรอก เธอจำผิดแล้ว ที่จริงมันเป็น…อลาสก้า แค่ไม่ใช่พันธุ์แท้” จางจื่ออันชี้หมาป่าเป็นสุนัข
โฮ่งๆ!
ฟราเทอร์เห่าเสียงดังกังวานสองครั้ง ก่อนจะกลิ้งบนพื้นครั้งหนึ่ง พยายามเลียนแบบท่าทางของสุนัข แถมยังส่ายหางด้วย
จางจื่ออันพูดในใจ ‘ดีที่ไม่ได้บอกว่ามันเป็นฮัสกี้ ไม่งั้นคงเลียนแบบความโง่ของฮัสกี้ได้ยากแล้ว…’
เสี่ยวฉินไช่กะพริบตา พูดเพราะคิดว่าเป็นเรื่องจริง “ในเรื่องเล่าที่แม่เล่าให้หนูฟัง บอกว่าหมาส่ายหางเป็น แต่หมาป่าส่ายหางไม่เป็น แต่มันส่ายหางเป็น แสดงว่ามันเป็นหมาจริงๆ!”
เดิมทีเธอนับถือความรู้เรื่องสัตว์เลี้ยงของจางจื่ออันอยู่แล้ว บวกกับการยืนยันจากเรื่องเล่าของแม่ เธอก็ไม่รู้สึกกลัวทันที
ไม่ว่าเธอจะได้รับความรู้นี้มาอย่างไร นี่ก็เป็นความรู้ผิดๆ ที่บอกเล่าต่อกันมาเท่านั้น หมาป่าส่ายหางได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้จางจื่ออันไม่สะดวกแก้ไขความเข้าใจผิด ทำได้แค่ปล่อยผ่านไป ถึงอย่างไรเสี่ยวฉินไช่ก็คงจะไม่เจอหมาป่าตัวอื่นในเมืองปินไห่ และนี่ก็ไม่ใช่อเมริกาที่มีหมาป่าไคโยตีเพ่นพ่าน
ฟราเทอร์ไม่หยิ่งยโสเหมือนภูตสัตว์เลี้ยงตัวอื่น มันไม่ได้สนใจว่าตัวเองเป็นหมาป่าหรือสุนัข ขอแค่ทำให้สาวน้อยตรงหน้าสบายใจก็พอ
ถ้าเปลี่ยนเป็นฟีน่า อย่าว่าแต่ให้มันแสร้งเป็นสุนัขเลย ถึงแม้ให้มันแสร้งเป็นเสือ มันคงจะพองขนทำหน้าบึ้งตึงแน่นอน
เสี่ยวฉินไช่ล้างมือสะอาดแล้ว แต่ไม่ได้รีบไปเล่นกับหนูแฮมสเตอร์และกระต่ายมินิเอเจอร์ล็อป ถึงอย่างไรก็มีเวลาเหลือเฟือ จึงหยิบผ้าขี้ริ้วมาช่วยจางจื่ออันทำความสะอาด
ผ่านไปสักพัก
“เชี่ย! ทำไมประตูร้านเปิดแล้วล่ะ เมื่อวานพวกเราลืมล็อกกุญแจ หรือมีขโมยเข้าไปในร้านแล้ว?”
“เมื่อคืนใครออกจากร้านเป็นคนสุดท้าย”
“ฉันลืมแล้ว…”
“ฉันก็ลืมแล้ว…”
“ทำยังไงดี ต้องแจ้งตำรวจไหม?”
เสียงผู้ชายโง่เง่าสองเสียงดังมาจากนอกร้าน
จางจื่ออัน “…อย่ายืนทำตัวน่าขายหน้าอยู่หน้าร้านสิ! ขโมยที่ไหนมาขโมยของที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง รีบเข้ามาทำงาน!”
หวางเฉียนและหลี่คุนมองตากันอยู่นอกร้าน ก่อนจะแลบลิ้น ทำหน้าตาทะเล้นเปิดประตูเข้ามา “อาจารย์ อาจารย์พูดแบบนี้ศิษย์ไม่พอใจเลย รูปปั้นเทพแมวก่อนหน้านี้ก็ถูกขโมยไปไม่ใช่เหรอ คนชั่วเพิ่มขึ้นมาก ยังไม่ลืมหูลืมตาอีก…”
ไม่เจอกันพักหนึ่ง ไอ้เด็กบ้าสองคนนี้เหมือนจะตากแดดจนตัวดำไม่น้อยเลย ดูท่าทางคงจะขับเรือยางออกทะเลอยู่บ่อยๆ
พวกเขามองเม็ดแตงโมที่กินเหลือไว้ คิดว่าแตงโมที่ตัวเองซื้อไว้ถูกจางจื่ออันหั่นกินหมดแล้ว จึงอดร้องโอดครวญไม่ได้