Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1594 ในหัวเต็มไปด้วย...
อาชญากรที่ถูกศาสนาน่าสงสัยล้างสมองอย่างพวกเขาอาจจะไม่กลัวสิ่งที่เป็นรูปธรรม ถึงแม้ตำรวจพิเศษเอฟบีไอมา พวกเขาก็กล้ายิงปืนจริงใส่พื้น แต่พอเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ต่างก็มีสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัวทั้งนั้น โดยเฉพาะวิญญาณและภูตผี
พวกเขาถูกเสียงเพลงปลอมๆ ของเซฮวาจู่โจมสู่ก้นบึ้งหัวใจจนสติกระเจิง เสียงหอบหายใจหยาบหนักเหมือนตาแก่ที่ใกล้โลงขึ้นทุกที
ผู้ไม่ศรัทธาในพระเจ้าก็จัดการกับความกลัวแบบนี้ไม่ได้ พวกเขาได้ยินเสียงเพลงตอนกลางดึกก็กลัวเหมือนกัน แต่ไม่ได้กลัวขนาดนี้ เพราะคนที่พวกเขากลัวไม่ใช่ผี
“อย่าลุกลี้ลุกลน! ต้องมีคนเล่นพิเรนทร์แน่ๆ!”
หัวโจกของพวกผู้คุมพยายามใจเย็น ก่อนจะตะโกนใส่คนอื่น
พวกฆาตกรห้าคนเมื่อกลางวันเป็นอันอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาโยนเมแกนลงไปในทะเลด้วยตัวเอง ความทรงจำเมื่อครั้งที่เห็นสายตาสิ้นหวังและเคียดแค้นของเมแกนนั้นยังเหมือนใหม่
“ไม่! ไม่! พี่ใหญ่! ต้องเป็นผู้หญิงเมื่อกลางวันแน่ๆ! ผมฟังเสียงเพลงก็รู้แล้ว เธอกำลังสาปแช่งพวกเรา! ไม่ผิดแน่! เธออยากกลับมาจัดการพวกเรา และลากพวกเราลงไปก้นทะเล…หรือลากพวกเราลงไปใต้ทะเลให้จมน้ำตายทั้งเป็น!”
ห้าคนนี้ตัวสั่น พลางก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ
“ไร้สาระ! มีอาจารย์ลีอยู่ตรงนี้ วิญญาณเร่ร่อนที่ไหนจะกล้าก่อกวน!” หัวโจกตำหนิ ความจริงเขาเองก็ไม่มั่นใจมาก เพราะเสียงเพลงนี้แปลกเกินไปจริงๆ คิดอย่างไรก็ไม่เหมือนเพลงที่คนร้อง
“พวกแก ตามฉันมา! พวกเราจะพายเรือไปดู ไม่ว่าใครแกล้งทำผีหลอกอยู่ตรงนั้น ฉันจะถลกหนัง ตัดเอ็นขาให้ได้!” หัวโจกสั่ง
ตรงท่าเรือมีเรือไม้ลำเล็กจอดอยู่หลายลำ ใช้เชือกป่านมัดไว้บนเสาไม้ โคลงเคลงตามคลื่นทะเล
พวกเขาก็มีเรือยอร์ชทันสมัย แต่ตอนนี้เรือยอร์ชไม่ได้จอดอยู่ที่นี่ เพราะขับออกไปซื้อเสบียงอาหารที่ซานฟรานซิสโก ชาวนาพวกนั้นทำงานเหมือนวัว เหมือนม้า และกัดก้อนเกลือกิน เพราะตามคำสอนของอาจารย์ลี ชาติก่อนพวกเขามีความผิดติดตัว ชาตินี้คือการชดใช้ให้ชาติก่อน ส่วนพวกผู้คุม รวมถึงพวกอาจารย์ลีและทูตคงร่วมกัดก้อนเกลือกับพวกเขาไม่ได้แน่นอน ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนมีบุญมาสิบชาติ ชาติก่อนไม่มีความผิดติดตัว
เมื่อไม่มีเรือยอร์ช พวกเขาก็ได้แต่พายเรือเล็กออกไปดูในทะเล
พอได้ยินคำสั่งนี้ พวกผู้คุมก็ขาอ่อนเล็กน้อย ถ้าเป็นเวลากลางวันยังไม่ใช่ปัญหา แต่ในค่ำคืนที่มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือที่ยื่นออกไปแบบนี้ พายเรือเล็กเข้าใกล้วิญญาณอาฆาตร้องขอชีวิต นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายเหรอ
“พี่ใหญ่ พวกเราทำเป็นไม่ได้ยิน หรือไว้พรุ่งนี้ฟ้าสางแล้วค่อยไปดูไม่ได้เหรอ…” มีคนเสนอขึ้น และได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์จากคนอื่น
“ไร้สาระ! ฟ้ามืดขนาดนี้ ยังห่างจากตอนฟ้าสางตั้งสิบกว่าชั่วโมง! จะให้เธอร้องไปทั้งคืนหรือไง? ถ้าทำให้อาจารย์กับทูตของเทพตกใจ แกกับฉันใครจะรับผิดชอบไหว?” หัวโจกตะโกน
ผู้คุมคนอื่นถูกตำหนิจนไร้ข้อโต้เถียง ระหว่างถูกผีสาวเอาชีวิตกับทำผิดต่ออาจารย์และทูตของเทพ ยากจะบอกได้ว่าอะไรน่ากลัวกว่ากัน
ถ้าเป็นผีสาวบนแผ่นดิน ยังขอให้แมวเทพส่งแมวไปตรวจสอบได้ แต่เรื่องในทะเล พวกเขาทำได้แค่ฝืนใจออกโรง
ช่วยไม่ได้ พวกเขาต้องก้มหน้าก้มตาปลดเรือเล็ก แบ่งกลุ่มกันสองสามกลุ่ม และพายเรือเล็กไปยังทางเข้าอ่าว
ตอนนี้ชายฉกรรจ์สูงใหญ่กลับเหมือนหญิงสาวตัวโตที่อ่อนแอไม่ต้านลม ตอนพายเรือก็ทำงานแต่ไม่ออกแรง ต่างก็คิดจะให้เรือลำอื่นนำหน้าไปก่อนช่วงหนึ่ง แล้วให้เรือของตัวเองรั้งท้าย ถ้าเกิดอันตรายแล้วอยากหนีก็ง่ายกว่าคนอื่นหน่อย
บนเรือเล็กทุกลำมีคนหนึ่งเปิดไฟฉายอยู่ตรงหัวเรือ และสอดส่องไปยังเบื้องหน้า
พอเข้าใกล้ต้นตอของเสียงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทุกคนก็เหงื่อแตกไปทั้งตัว หัวใจเต้นเร็วเหมือนจะเป็นโรคหัวใจ กลัวว่าจะเห็นอะไรที่มัน…น่ากลัว
แต่กลัวอะไรมักจะเจอสิ่งนั้น แสงไฟฉายของบางคนส่องเจอเงาคนรางๆ อย่างกะทันหัน ตกใจจนเผลอร้องเสียงดังขึ้นมา แม้แต่ไฟฉายก็ตกลงน้ำไปหมดแล้ว
เขามองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในทะเลจริงๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้นั่งอยู่บนเรืออีกลำหนึ่ง และไม่ได้ว่ายน้ำทว่าลอยอยู่บนผิวน้ำ แต่…ครึ่งตัวบนโผล่พ้นผิวน้ำพร้อมหลังเหยียดตรง ผมยาวสลวยแผ่กระจายออก พลางเขม็งมองมาที่เขา
เธอ…เหมือนยืนอยู่ในทะเลได้อย่างง่ายดายราวกับไร้ตัวตน
พวกเขารู้จักอ่าวนี้เป็นอย่างดี เป็นอ่าวหลบลมโดยธรรมชาติ ในเส้นทางเดินเรือไม่มีโขดหิน ไม่มีทางที่คนจะยืนอยู่บนโขดหินและโผล่ออกมาแค่ครึ่งตัวบน
งั้นผู้หญิงคนนี้… ‘ยืน’ นิ่งอยู่ในทะเลได้ยังไง?
ส่วนหน้าตาของเธอกลับมองเห็นไม่ชัดเจน เพราะไกลเกินไปและตื่นกลัว ทำได้เพียงยืนยันจากสีผิวว่าเธอเป็นผู้หญิงผิวขาวคนหนึ่ง เหมือนกับผู้หญิงที่จมน้ำตายเมื่อตอนกลางวันคนนั้น
น่ากลัว น่ากลัวชิบหาย เสียงร้องตกใจที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้คนอื่นตกใจกลัวจนเหลืออดแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น นายเห็นอะไร” หัวโจกตะโกนถาม
“ผี…เป็นผี…ผู้หญิงเมื่อตอนกลางวัน กลายเป็นผีมาเอาชีวิตแล้ว!” คนคนนั้นหน้าซีดเผือด ชี้ไปที่ผู้หญิงแล้วพูด แค่ประโยคเดียวนี้กัดลิ้นไปตั้งหลายครั้ง กัดลิ้นจนเลือดออกแต่ไม่รู้สึกเจ็บเลย
“มารดานายสิ แน่ใจนะว่าไม่ได้มองผิด?”
คนอื่นๆ ได้ยินแล้วก็หวาดกลัวขึ้นมา พากันส่องไฟฉายไปทางเขา แต่ก็เคลื่อนไหวรุนแรงจนเรือเล็กโคลงเคลง
แต่พวกเขาส่องช้าไปก้าวหนึ่ง แสงไฟฉายส่องเห็นเพียงละอองน้ำขนาดใหญ่เท่านั้น ก่อนจะหายลงทะเลอย่างรวดเร็วเหมือนสัตว์ป่าขนาดใหญ่บางชนิด และเสียงเพลงก็หายไปพร้อมกัน
“นายเห็นแมวน้ำหรือพะยูนหรือเปล่า แถวนี้มีแมวน้ำหลายตัว พะยูนก็มีบ้างนิดหน่อย ได้ยินว่ากะลาสียุคโบราณเห็นพะยูนเป็นนางเงือก หัวสมองนายมีแต่เรื่องผู้หญิงใช่ไหมเนี่ย ถึงได้เห็นพะยูนเป็นผู้หญิง”
ที่หัวโจกพูดออกมาเหมือนจะมีเหตุผล แต่จะอธิบายเรื่องเสียงเพลงอย่างไรล่ะ
“อาจจะเป็นเสียงร้องของแมวน้ำหรือพะยูน” หัวโจกพยายามอธิบาย แต่ก็ยังโน้มน้าวคนอื่นได้ยากมาก เพราะพวกเขาเคยได้ยินเสียงร้องของแมวน้ำมาเยอะแล้ว แถมเป็นคนละเสียงกับเสียงเพลงเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
ตอนที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกยากลำบากสองทาง เสียงเพลงก็ดังขึ้นมาอีก ครั้งนี้อยู่ทางซ้ายของแคมเรือ
พวกเขารีบจับไฟฉายจนแน่น แต่ยังส่องโดนละอองน้ำที่พุ่งเข้ามาเท่านั้น
จากนั้นก็มีเสียงเพลงดังขึ้นจากทางขวาของแคมเรือและข้างหลังเรือเล็กอย่างต่อเนื่อง พวกเขาส่องไฟฉายไปตามเสียงเพลงอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับอยากจะจับต้นตอให้ได้
พวกเขาแน่ใจอีกครั้ง เสียงเพลงนี้ไม่ใช่เสียงร้องของสัตว์ แต่เป็นภาษาบางอย่างที่พวกเขาฟังไม่รู้เรื่อง
แต่อะไรจะว่ายน้ำได้เร็วขนาดนี้?
ถึงเป็นฉลามขาวก็ไม่ได้เร็วจนน่ากลัวขนาดนี้ นอกเสียจากเป็น…ผีน้ำ
เจอสถานการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ ในที่สุดหัวโจกก็ทนไม่ไหวแล้ว ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาตรวจดูสถานการณ์ พูดขึ้นมาแล้วอย่างน้อยก็ไม่นับว่าเป็นไอ้ขี้ขลาด กลับไปแล้วก็ยังมีคำอธิบาย
ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ถอยกลับ
พวกผู้คุมตึงเครียดขึ้นมา ช่างแตกต่างกับตอนขามา พวกเขาต่างก็ใช้แรงพายเรือกลับไปอย่างสุดกำลัง
แต่พวกเขาพายเรืออยู่ตั้งนาน เรือเล็กกลับนิ่งอยู่ในทะเลเหมือนไม่ได้ขยับไปเลย
ตอนนี้ฝูงวาฬยันใต้เรือเล็กหลายลำขึ้นมาแล้ว