Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1575
เส้นไหมที่ได้จากลำไส้ของแพะเป็นไหมเย็บที่ใช้ในการแพทย์ทั่วไป หลักๆ ใช้เย็บแผลที่ตัดไหมยาก เมื่อพัฒนาตามยุคสมัย แหล่งที่มาก็ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ลำไส้ของแพะอีก แต่ก่อนที่เส้นไหมจากลำไส้ของแพะจะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง เอ็นหางหนูก็เคยนิยมนำมาใช้เป็นไหมเย็บแผล
เมื่อเทียบเอ็นหางหนูกับลำไส้ของแพะ เอ็นหางหนูมีข้อดีมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือหนูเลี้ยงง่ายกว่าแพะมาก และร่างกายคนยังเข้ากันได้ดีกับเอ็นหางหนู แทบจะไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน แต่ข้อเสียก็คือหนูหางสั้นและบาง ความยาวของเอ็นหางไม่เพียงพอ
เทียบกับหนูทั่วไปแล้ว หางของบีเวอร์ทั้งหนา ทั้งยาว เอ็นหางยังดีของเอ็นหางหนูทั่วไป และยังไม่มีข้อเสียอื่นใด เป็นไหมเย็บแผลทางการแพทย์ที่เหมาะสมที่สุด แต่เพราะตัวบีเวอร์เลี้ยงยาก จึงเก็บเอ็นหางได้ยาก ดังนั้นราคาไหมเย็บแผลที่ได้มาจากเอ็นหางของบีเวอร์จึงมีราคาแพงมาก
แน่นอนว่าการเก็บเอ็นหางของบีเวอร์ป่าจำเป็นต้องผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดีถึงจะใช้ได้ นี่ก็คือสิ่งที่จางจื่ออันกำลังทำอยู่
เนื้อบีเวอร์ไขมันเยิ้มถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทองแล้ว น้ำมันสีเหลืองกรอบซึมออกมาจากในเนื้อเป็นหยดใหญ่รวมกัน ตอนที่หยดน้ำมันเริ่มรวมตัวกันจนหนัก ก็จะหยดลงไปในกองไฟ และกองไฟก็จะพ่นเปลวไฟขึ้นมากอย่างรุนแรง แทบจะสัมผัสกับเนื้อบีเวอร์อยู่รอมร่อ
ฝูงหมาป่าที่กลัวไฟยังถูกกลิ่นหอมเตะจมูกดึงดูดให้วนเวียนอยู่แถวนี้
อกไก่ย่างที่ปกติพวกภูตสัตว์เลี้ยงกินไม่ได้มีไขมันมากขนาดนี้ เทียบกันแล้วนี่เหมือนเป็ดย่างมากกว่า
แม้แต่เสวี่ยซือจื่อที่ชอบกินเนื้อดิบยังน้ำลายสอ เอาแต่เร่งให้เขาหยุดย่างอย่างรอไม่ได้ เดี๋ยวย่างเกรียมก็ไม่อร่อยกันพอดี
แต่จางจื่ออันระมัดระวังไว้ก่อน จึงย่างต่ออีกสักหน่อย จนกระทั่งสุกหมดทั้งข้างนอกและข้างใน เพราะบีเวอร์เป็นสัตว์ที่มีฟันแทะเหมือนกับหนู แพร่เชื้อโรคได้มากมาย อย่างเช่น อหิวาตกโรค
เขาหยิบบีเวอร์อ้วนจ้ำม่ำสองตัวลงมาจากกองไฟ หลังจากเนื้อสุกแล้วจะแยกออกจากกระดูกได้ง่ายกว่าตอนยังมีชีวิต เขาแคะเนื้อชิ้นใหญ่สองชิ้นออกจากกระดูก ส่งชิ้นที่ทาเกลือแล้วให้เฟยหม่าซือกับฟราเทอร์กิน อีกชิ้นให้พวกฟีน่า เหล่าฉา และเสวี่ยซือจื่อกิน
ส่วนโครงกระดูกสองโครงที่เหลือ ที่จริงยังมีเนื้อไม่น้อย เขาจึงโยกให้ฝูงหมาป่าที่รออยู่ด้านข้าง
ฝูงหมาป่าไม่สนใจว่านี่เป็นอาหารเหลือหรือเปล่า หมาป่าที่น่าจะมีตำแหน่งเบต้าสองสามตัวแย่งกันไปมาในทันที พริบตาเดียวก็ฉีกแบ่งโครงกระดูกไปแล้ว เคี้ยวกร้วมๆ เหมือนเคี้ยวแผ่นมันฝรั่ง เคี้ยวเสียจนกระดูกแตกได้สบายๆ
ส่วนหมาป่าโอเมก้าหลายตัวที่ตำแหน่งตำกว่าก็ได้แต่มองตาปริบๆ พร้อมน้ำลายไหล
จางจื่ออันเองไม่ได้กิน เพราะขนของบีเวอร์ทุกตัวหนักประมาณห้ากิโล แต่หลังจากแคะกระดูกและนำอวัยวะออกไปแล้ว ก็ยากที่จะหาเนื้อจากกระดูก น้ำหนักของเนื้อชิ้นใหญ่อาจจะไม่ถึงครึ่ง พอให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงกินได้ เขาขี้เกียจขจัดการตัวที่สามอีก และไม่อยากทำเรื่องวุ่นวายนี้แล้ว ตอนแคะเนื้อบีเวอร์ตัวนั้นให้พวกฟีน่า อย่างมากเขาก็แค่แอบชิมไปสองสามชิ้น รสชาติคล้ายกับกระต่ายทีเดียว
แม้ท่าทางของเขาจะลับๆ ล่อๆ แต่กลับไม่ได้รอดพ้นสายตาของเสวี่ยซือจื่อ มันแฉเขาอย่างไม่ปรานีสักนิด “ถุยๆๆ! ชายเฮงซวยวันๆ รู้จักแต่ขี้โกง!”
ตอนพวกภูตสัตว์เลี้ยงกิน เขาไม่ได้รีบร้อนทำอาหารให้ตัวเอง แต่หยิบเอ็นหางที่แช่อยู่ในสารเหลวไฮโดรเจนออกมาก่อน วางไว้ในที่ที่พ้นแสงแดด พอตากลมจนแห้ง ก็ค่อยเริ่มเตรียมอาหารให้ตัวเอง และยังคงเป็นการผสมอาหารกระป๋อง ข้าว และผักป่าเหมือนเดิม
ถ้าฟราเทอร์กับเฟยหม่าซืออยากขยายกระเพาะจริงๆ เนื้อของบีเวอร์หนึ่งตัวไม่พอกิน ดีที่พวกมันสองตัวค่อนข้างมีมารยาท จึงแบ่งกันกินคนละครึ่ง
“เจ้ากินสิ่งเหล่านี้หรือ?”
ฟราเทอร์สังเกตเห็นวิธีหุงข้าวของเขา ก็คือนำข้าว ผักป่า และอาหารกระป๋องเทเข้าไปนึ่งในสุกด้วยกันในหม้อ หลังจากคนเข้ากันแล้วก็กินได้ ส่วนใหญ่ในนั้นเป็นข้าวกับผักป่า เนื้อในปาหารกระป๋องข้างในน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นก็ไม่นับว่าดีมาก แค่เป็นระดับที่พอจะกลืนไปได้
“อื้ม นายมาลองชิมหน่อยไหม?”
จางจื่ออันเช็ดปาก จำนวนของอาหารกระป๋องเหลือไม่มากแล้ว ต้องคิดถึงขากลับด้วย ดังนั้นเขาตั้งใจจะควบคุมปริมาณการกินอาหารลง พออิ่มท้องได้ก็พอแล้ว
ฟราเทอร์ส่ายหน้า “ไม่ล่ะ เจ้ากินเถอะ”
วุ่นวายอยู่ตั้งนาน มีเรื่องลอกหนังและดึงเอ็นอีก จางจื่ออันหิวมากแล้ว พอได้ยินก็ไม่เกรงใจอีก ใช้ช้อนตักข้าวเข้าปากคำใหญ่
ฟราเทอร์มองท่าทางกินข้าวของเขา แล้วมองพวกฟีน่าที่กำลังแบ่งกันกินเนื้อบีเวอร์ แล้วถามด้วยความสงสัย “อาหารพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าให้เจ้าแทนฝูงหมาป่า เจ้ามีสิทธิ์แบ่งตามความต้องการของเจ้า แต่เพราะเหตุใดเจ้าต้องแบ่งเนื้อให้พวกมันทั้งหมด ไม่แบ่งไว้ให้ตัวเองส่วนหนึ่งเล่า? ถึงแม้แบ่งเท่าๆ กันก็ยังดี ใครก็ไม่มีสิทธิ์ตำหนิอะไร”
จางจื่ออันคิด ก่อนจะใช้ช้อนเคาะขอบชามเบาๆ “เพราะฉันยังกินข้าวได้ แต่พวกมันกินได้แค่เนื้อ”
ฟราเทอร์มองเฟยหม่าซือครั้งหนึ่ง แล้วถามต่อ “เช่นนั้นพวกข้าเล่า? เจ้าเหลือเนื้อบีเวอร์ตัวนี้จากพวกข้าให้ตัวเองส่วนหนึ่งก็ได้”
“เพราะพวกนายเหนื่อยกว่า แล้วฉันก็ไม่ต้องลอดไปมาอยู่ในพุ่มไม้เตี้ยๆ กินข้าวก็ได้” เขาตอบ
ฟราเทอร์หันกลับไปมองกระเป๋าสะพายหนักอึ้งที่พิงอยู่บนต้นไม้ แม้มันจะไม่แน่ใจน้ำหนักจริงๆ ของกระเป๋าสะพายใบนี้ แต่จากการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นตอนเขาสะพายกระเป๋าเดิน รวมถึงความลึกที่รองเท้าจมโคลนก็รู้ว่าน้ำหนักของกระเป๋าสะพายนี้ไม่เบาแน่นอน
ในกระเป๋าสะพายมีของใช้สำหรับการตั้งแคมป์ต่างๆ หม้อ ชาม กระบวย กะละมัง เต็นท์ เครื่องกันฝน เบาะกันน้ำ ถุงนอน และอื่นๆ มีอาหารที่เพียงพอสำหรับหลายวัน ยังมีสิ่งของจิปาถะอีก แม้กระทั่งพกชามของภูตสัตว์เลี้ยงทุกตนมาเพื่อให้ความเคารพกับพวกมัน…วันแรกที่เดินเข้ามาในป่า กระเป๋าสะพายหนักจนเขาแทบจะไม่สามารถรักษาสมดุลขณะเดินได้
ระหว่างทางมา งานส่วนใหญ่เขาต้องทำด้วยกำลังของตัวเอง นอกจากรับหน้าที่เฝ้าระวังได้แล้ว พวกภูตสัตว์เลี้ยงก็ช่วยงานอื่นไม่ได้ ตอนเขาจัดการศพบีเวอร์เสร็จและไปล้างมือที่ริมแม่น้ำเมื่อครู่ ฟราเทอร์ก็สังเกตเห็นแผลถลอกและตุ่มน้ำอันเกิดจากการเสียดสีกับกิ่งไม้ ไม้เท้าปีนเขา และก้อนหินบนฝ่ามือของเขา
“เจ้าก็เหมือนลาตัวหนึ่ง” อยู่ๆ ฟราเทอร์ก็พูดขึ้นมา
จางจื่ออันแทบจะพ่นข้าว!
นี่กำลังชมหรือด่าอยู่นะ?
แม้นักเดินป่าส่วนมากจะถูกเรียกว่าเพื่อนลา เพราะท่าทางสะพายกระเป๋าเดินทางไกลเหมือนลาที่รับผิดชอบขนส่งสิ่งขอหนักๆ แต่ก็เรียกคนอื่นว่าลาตรงๆ แบบนี้ไม่ได้มั้ง?
ริชาร์ดกำลังเคี้ยวผลไม้ตากแห้ง มันเสริมว่า “แกว๊กๆ! ดูไม่ออกเลยว่าเอ็งก็ตาดีมากเหมือนกัน! เจ้าโง่นี่โง่เหมือนลาจริงๆ!”
“โชคชะตาของลาคือแบกของหนักเดินทาง ถูกคนเฆี่ยนตี กินอาหารที่หยาบและปริมาณน้อยที่สุด” ในสายตาของฟราเทอร์ค่อยๆ หวนนึกถึงอดีตและจินตนาการเอ่อขึ้นมา “เรื่องที่เจ้าเหมือนลาไม่ใช่เรื่องขายหน้า มีเพียงคนที่อดทนทำงานหนัก ถึงจะเดินสู่เส้นทางแห่งการชำระบาปได้”