Pet King นักล่าสัตว์เลี้ยง - ตอนที่ 1562
ที่จริงจางจื่ออันทั้งดมทั้งชิมไปแล้ว แท่งโปรตีนไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีกลิ่นหอม คนในยุคปัจจุบันที่กินอาหารรสชาติล้ำเลิศจนเคยชินกินแล้วคงไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไร
แต่สำหรับหมาป่าที่มีชีวิตอยู่ในป่าแล้ว หากตัดแมวที่มาใหม่พวกนั้นไป ปกติอัตราความสำเร็จมีแค่หนึ่งในสิบส่วน หนึ่งอาทิตย์ถึงจะกินสักหนึ่งมื้อ ทำได้แค่กินเหยื่อโชกเลือดสดๆ ที่จับมาได้อย่างยากลำบาก ชินกับกระดูกที่แทะยากและขนติดตามไรฟันแล้ว เมื่อจู่ๆ เจอของที่ทั้งนุ่มทั้งน่าดมขนาดนี้ ก็อดดมไม่ได้
มันเห็นจางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงกินของสิ่งนี้กันหมด จึงลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ต้านทานความหิวไม่ได้ ลองคาบแท่งโปรตีนเข้าไปในปาก และแทบจะกลืนลงไปทั้งอัน
“ยังมีอันนี้อีก”
จางจื่ออันรู้ว่าหมาป่าก็เหมือนอูฐ มักจะไม่กินอะไรทั้งอาทิตย์ แล้วกินปริมาณอาหารของทั้งอาทิตย์ในหนึ่งมื้อ แท่งโปรตีนเล็กน้อยแท่งเดียวไม่พอกระเพาะของมันแน่นอน เขาจึงโยนเนื้อวัวตากแห้งให้มันทั้งถุง
หมาป่าต้านทานกลิ่นหอมรุนแรงของเนื้อตากแห้งไม่ได้โดยสิ้นเชิง กินเนื้อตากแห้งหมดภายในสองสามวินาทีโดยไม่แม้แต่จะลังเล จากนั้นก็เลียปากจ้องจางจื่ออันอย่างรอคอย
เขาเปิดกระป๋องเนื้อน้ำแดงกระป๋องหนึ่ง แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ได้กินอะไร เปิดกระป๋องแล้วตัวเองเลยน้ำลายไหลก่อน
ทิ้งฝากระป๋องที่เปิดแล้วไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่น้ำก็จะสาดไปทั่ว เขาจึงหยิบกระป๋องส่ายไปมาข้างหน้ามันสองครั้ง และวางลงห่างจากหน้ามันครึ่งเมตร เป็นการบอกให้มันเข้ามากิน
เป็นสัตว์ประเภทสุนัขเหมือนกัน แม้แต่จางจื่ออันก็ต้านทางกลิ่นเนื้อน้ำแดงไม่ได้ หมาป่ายิ่งจ้องกระป๋องตาเป็นมัน หลังจากลังเลเล็กน้อยก็ยื่นปากเข้าไปในกระป๋อง และกินหมดภายในสองสามคำ
สำหรับมันแล้ว กลิ่นเนื้อนี้แปลกเล็กน้อย ไม่เหมือนกับเนื้อดิบที่มันกินบ่อยๆ แต่นุ่มมาก เข้าปากแล้วได้รสชาติทันที
“หมดแล้ว”
จางจื่ออันแบมือยักไหล่ แสดงท่าทางว่านายดูฉันสิ ฉันไม่มีให้นายแล้ว
ที่จริงเขายังมีอีก แต่กี่กระป๋องถึงจะเติมกระเพาะของหมาป่าตัวนี้จนเต็มได้ล่ะ? เป็นหลุมดำหรือยังไง
หมาป่าโตเต็มวัยกินเนื้อมื้อหนึ่งได้เก้ากิโลกรัม พอจะเรียกได้ว่าราชันกระเพาะยักษ์
หมาป่ารออยู่สักพัก เห็นเขาไม่คิดจะหยิบอาหารออกมาต่อ มันก็จำใจต้องหมุนตัวถอยกลับไปสองสามก้าวอย่างผิดหวัง แต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนเป็นหมอบลงบนพื้น กระดกขาหลังข้างที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมา แล้วสอดหัวเข้าใต้หว่างขา ใช้ลิ้นเลียแผล
แผลที่เสวี่ยซือจื่อข่วนไม่นับว่าลึกมาก ถึงอย่างไรมันก็ขาสั้น ข่วนให้เนื้อเปิดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายถึงเส้นประสาทและกระดูก
คนแก่พูดกันว่าน้ำลายฆ่าเชื้อโรคได้ พอเด็กๆ ได้รับบาดเจ็บแล้วจะเลียแผลให้พวกเขา ด้วยเพราะเวลาสัตว์ได้รับบาดเจ็บแล้วเลียแผลหาย แต่ความจริงแล้วต้องแยกออกเป็นสองประเด็น
สัตว์ได้รับบาดเจ็บ อาจจะเป็นการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือถูกสัตว์อื่นกัด แผลพวกนี้สกปรกมากอยู่แล้ว ความจริงใช้ลิ้นเลียได้ผลภายนอก อย่างน้อยก็ทำความสะอาดแผลได้ แต่ถ้าแผลไม่ได้สกปรกแต่แรก แล้วใช้ลิ้นเลียอีกก็จะให้ผลตรงข้ามกัน
ส่วนคน เรื่องการเลียแผลนี้เป็นแค่ความเชื่อผิดๆ ใช้น้ำประปามาล้างยังดีกว่าเลียเสียอีก
จางจื่ออันหยิบสารเหลวไฮโดรเจนและผ้าพันแผลออกมา ก่อนลองลุกขึ้น แล้วหมาป่าก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางระแวดระวังทันที จับจ้องการกระทำของเขา
“ช่วยนายพันแผลสักหน่อยไง?” เขาใช้ผ้าพันแผลพันบนแขนของตัวเองสองสามรอบเป็นการสาธิต
หมาป่าเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายของเขา
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์ป่ากินเนื้อตัวหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์กินพืชอย่างกวาง เรื่องพันแผลแบบนี้อันตรายเกินไป แถมดูท่าทางแผลไม่ลึกมาก เลือดหยุดไหลแล้ว คาดว่าถึงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไร
กวางจ่าฝูงถูกกรงเล็บหมีแหลมเหมือนตะขอเหล็กข่วนจนบาดเจ็บ แผลลึกมาก ไม่พันแผลเลือดคงไม่หยุดไหล
พูดถึงกวาง ตอนหมาป่าปรากฏตัว ฝูงกวางก็ถอยไปอยู่ในระยะปลอดภัยแล้ว พวกมันไม่รู้จักสัตว์ประเภทหมาป่า แต่ลางสังหรณ์บอกพวกมันว่าสถานการณ์แบบนี้อันตรายมาก
นี่ก็อธิบายได้ว่าหมาป่าเพิ่งมายังอุทยานแห่งนี้จริงๆ
จางจื่ออันเก็บสารเหลวไฮโดรเจนและผ้าพันแผลกลับเข้าไปในกระเป๋า
อยู่แบบนี้ต่อไปไม่ใช่เรื่องดี เขาจึงยืนขึ้นเรียกพวกภูตสัตว์เลี้ยงครั้งหนึ่ง เตรียมออกเดินทางต่อ
พวกภูตสัตว์เลี้ยงจดจ่ออยู่กับการตามหาฆาตกรฆ่าแมวพวกนั้น ทีแรกอยากแก้แค้น ต่อมาอยากเห็นใบหน้าแท้จริงของฆาตกรสักครั้ง ตอนนี้พวกมันเห็นแล้ว แต่เหมือนจะทำอะไรไม่ได้
เหล่าฉาบอกว่า ไม่สอนแต่ฆ่าเท่ากับทารุณ
หากตอนนี้พวกมันจู่โจมหมาป่าตัวนี้สักครั้ง หรือฆ่ามันไปแล้ว จะทำให้มันเข้าใจว่าทำไมมันต้องจู่โจม ทำไมมันต้องฆ่าไหม? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นนี่เท่ากับการทารุณ
เจรจาไม่ได้ แถมยังฆ่าไม่ได้ อยู่ต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
พวกมันพักพอแล้ว จึงคิดจะจากไปกับจางจื่ออัน
หมาป่ามองการเคลื่อนไหวของพวกเขา ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ตอนนี้เอง หูของเฟยหม่าซือกับหมาป่าก็ขยับพร้อมๆ กัน ราวกับได้ยินเสียงอะไรเข้า
“หมาป่าหอน”
เฟยหม่าซือมองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ทำไมฉันไม่ได้ยิน?”
พอพูดออกไป จางจื่ออันก็รู้สึกว่าเป็นคำพูดไร้สาระ การได้ยินของเขาไม่ได้ว่องไวเหมือนพวกภูตสัตว์เลี้ยง ไม่ได้ยินก็แสดงว่าอยู่ห่างกันเกินไปแน่นอน
เฟยหม่าซือได้ยินหมาป่าหอน แต่มันไม่เข้าใจความหมาย ถึงอย่างไรสุนัขกับหมาป่าก็อยู่คนละทางมามากกว่าหมื่นปี เพียงพอที่จะสร้างระบบภาษาซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หมาป่าได้ยินเสียงประมาณสองสามวินาที มันก็ก้าวขาวิ่งไปอีกทางหนึ่ง
จางจื่ออันกับเฟยหม่าซือสบตากัน ฝ่ายหลังพยักหน้า ความหมายคือทางนั้นมีหมาป่าหอน
“ตามไปดู”
เขาโบกมือให้พวกภูตสัตว์เลี้ยงตามไป
เนื่องจากหมาป่าได้รับบาดเจ็บที่ขาหลัง จึงวิ่งได้ไม่เร็วนัก และเดินทางขรุขระมากไม่ได้ ดังนั้นพวกจางจื่ออันจึงไม่สิ้นเปลืองแรงตามไปด้วย
ส่วนเสวี่ยซือจื่อก็เอาแต่โวยวายอยากให้ฟีน่าเช็ดหน้าให้มัน
“จื่ออัน ข้าเกรงว่าถ้าหมาป่าตัวนี้รวมกลุ่มกับฝูงหมาป่า ตามไปแล้วเหมือนจะไม่ค่อยปลอดภัยนะ” เหล่าฉาพูดด้วยความเป็นห่วง “อีกทั้ง เรื่องที่พวกเราอยากรู้ หมาป่าตัวนี้บอกพวกเราไม่ได้ หมาป่าตัวอื่นก็น่าจะบอกพวกเราไม่ได้เช่นกัน”
ทำไมหมาป่าต้องจงใจกัดแมว แล้วทำไมกัดแล้วถึงไม่กิน แต่ยอมหิ้วท้อง นี่เป็นเรื่องที่พวกภูตสัตว์เลี้ยงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
จางจื่ออันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็ถามคำถามแปลกประหลาดขึ้นมา “ฉันไม่ได้ยินหมาป่าหอน พวกนายได้ยินหมาป่าหอน แล้วยืนยันได้ไหมว่านั่นเป็นหมาป่าหอนจริงๆ?”
คำถามนี้ทำเอาพวกภูตสัตว์เลี้ยงตะลึง
“ไม่ใช่หมาป่าจริงๆ หอน ยังเป็นหมาป่าปลอมได้เหรอ” เฟยหม่าซือถาม
“ก็ไม่แน่ ฉันแค่รู้สึกว่าเป็นไปได้”
เขาเดินไปด้วย อธิบายไปด้วย
นักล่าสัตว์ทางฝั่งอเมริกาเหนืออยากล่าหมาป่าไคโยตี อันดับแรกต้องหาหมาป่าไคโยตีให้เจอก่อน แต่จะหาอย่างไรล่ะ?
หมาป่าไคโยตีจะใช้เสียงร้องสื่อสารกันในระยะไกล ดังนั้นพวกนักล่าสัตว์เลยคิดวิธีขึ้นมา บันทึกเสียงหอนของหมาป่าไคโยตีตัวอื่นเอาไว้ จากนั้นฝังเครื่องกระจายเสียงไว้ใต้ดิน มักจะดึงดูดฝูงหมาป่าไคโยตีมาได้ พวกเขาเรียกวิธีนี้ว่า Coyote call (เรียกหมาป่าไคโยตี)
ถ้าวิธีนี้ดึงดูดหมาป่าไคโยตีได้ งั้นจะมีคนใช้วิธีนี้มาดึงดูดหมาป่าไหม?