Perfect World โลกอันสมบูรณ์แบบ - ตอนที่ 1253
เส้นทางที่กลับมาราบรื่นอย่างมาก ระหว่างทาง สือฮ่าวเจอคนรู้จักบางส่วน เช่นสวนคุน หวางซีและเยาเยว่ รวมถึงนักพรตยิ่งใหญ่ของสองสำนักด้วย
“เขากลับมาแล้ว เวลายังมีเหลือเฟือ หรือเขาจะได้ไพ่พ้นภัยที่อยู่ในเนินเขาเซียนแล้ว?” อัจฉริยะคนหนึ่งของสำนักเซียนพึมพำ นัยน์ตาเป็นประกาย
คนอื่นได้ยินก็พากันมองมาด้วยใจที่ว้าวุ่น พวกเขาทุ่มเทแรงกายและใจ ร่วมมือกันฝ่าเข้ามาถึงหน้าประตู แต่อีกฝ่ายกลับผ่อนคลายยิ่งนัก จะจากไปเสียแล้ว
“สหาย ได้อะไรหรือไม่” คนหนึ่งจากสำนักเซียนถามด้วยรอยยิ้ม
สือฮ่าวปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “ได้มาบ้าง”
“คงไม่ได้เจอไผ่พ้นภัยจริงๆ หรอกนะ?” ดวงตาขององค์หญิงเยาเยว่สุกใส เดิมทีงดงามดุจเซียน แต่ตอนนี้กลับดูซุกซนนิดหน่อย
สือฮ่าวส่งยิ้ม ไม่ตอบอะไร แต่มันกลับทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย แต่ละคนต่างก็ทำหน้าฉงน ในใจระส่ำระสายยิ่งนัก
“เจ้าคงไม่ได้เจอไผ่พ้นภัย แถมยังเอามันมาด้วยหรอกนะ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งของสำนักเซียนถามอย่างจริงจัง
สือฮ่าวไม่ตอบ หันหลังแล้วเดินจากไป เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกคนพวกนี้
“หยุดนะ!” หลังถูกมองข้าม ชายสำนักเซียนคนนั้นก็โมโห จึงตวาดเสียงดังลั่น
สือฮ่าวไม่แยแส ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า ใกล้จะเดินพ้นจากประตูแล้ว
ชิ้ง!
เมื่อชายคนนั้นยกมือ ก็มีลำแสงพุ่งออกจากฝ่ามือ แบ่งเป็นห้าสี เจือกลิ่นอายของทองไม้ดินน้ำไฟ กระบี่ปัญจธาตุแบบนี้ เป็นญาณวิเศษโบราณอย่างหนึ่ง
ทว่า ลำแสงห้าสีไม่ได้พุ่งไปหาสือฮ่าว แต่พุ่งลงบนก้อนหินข้างเขาก้อนหนึ่ง ถูกฟันจนเป็นสองท่อน จากนั้นก็แหลกเป็นผุยผง
ลำแสงกระบี่ดุจสายรุ้ง ทลายฟากฟ้าได้!
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” สือฮ่าวหันมามองเขาแล้วถามเสียงเรียบ
ทุกคนต่างก็ตกใจ เพราะวีรกรรมของสือฮ่าวน่าตะลึง หลังเอาชนะสุนัขนรกได้ มีลักษณะอันดับหนึ่งในขั้นเทพสวรรค์อย่างเช่นตอนนี้ จะมีใครกล้าท้าทาย?
อัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่กว่าบรรลุนานแล้ว จัดอยู่ในแนวหน้า รอคอยฮวงอยู่ตรงนั้น ตอนนี้มีเทพสวรรค์จำนวนน้อยที่กล้ายั่วยุเขา
“สหายอย่าเข้าใจผิด สหายคนนี้หุนหันพลันแล่น เมื่อครู่ตื่นเต้นไปหน่อย” อีกคนของสำนักเซียนรีบชี้แจงทันที
ส่วนชายหนุ่มคนนั้นก็ได้สติคืนมา เนื้อตัวเย็นวาบ เขารู้สึกว่าตนมุทะลุเกินไป ปกติลูกศิษย์สำนักเซียนถือตัวได้ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนย่อมได้รับการเคารพ แต่ไม่ใช่กับคนคนนี้ เขาเป็นปีศาจ!
ฮวงคนนี้เข้าร่วมได้ทั้งสำนักเซียนและสำนักปราชญ์ แต่เพราะผู้อาวุโสทั้งสองสำนักให้สิทธิพิเศษกับเขาได้ไม่มากพอ จึงพิโรธ ละทิ้งทั้งหมด
สำหรับผู้มีพรสวรรค์ที่มองข้ามสำนักเซียนกับสำนักปราชญ์ได้ เขาไม่มีความกล้าจะท้าทาย ไม่กล้าพูดจาล่วงเกินจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อชายคนนั้นได้สติ ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ซิ่ว!”
สือฮ่าวลงมือ กระบี่เหินเวหา รวดเร็วเกินคาดคิด ฟันมงกุฎทองของชายหนุ่มคนนั้นจนร่วง พร้อมกับมีเส้นผมกระจุกหนึ่งร่วงลงมา
“เจ้า…” ชายหนุ่มคนนี้หน้าถอดสี อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกคนข้างๆ ดึงแขนไว้ จึงปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
“อย่าใช้กระบี่ชี้หน้าคนอื่นตามอำเภอใจ มิเช่นนั้นข้าจะเข้าใจผิดว่าเจ้าจะเปิดศึกกับข้า” สือฮ่าวมองเขาแวบหนึ่งแล้วหันหลังเดินจากไป
ผู้คนพูดไม่ออกอยู่นาน ลักษณะท่าทางของฮวงยังคงไม่เปลี่ยน ไม่แยแสความน่าเกรงขามของสองสำนัก ใครกล้าท้าทายเขา ต่อให้เป็นศิษย์คนสำคัญของผู้อาวุโสทั้งสองสำนักก็ต้องสั่งสอน
“พอเถอะ ไม่ลงมือกับเจ้าก็ดีมากแล้ว” คนข้างๆ ห้ามปราม
ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ คับแค้นใจแต่ไม่กล้าเอ่ย แม้พลังเซียนสามเส้นจะได้มาจากการทุ่มเทแรงกายแรงใจผู้อาวุโสของตระกูลอมตะ ได้รับการประทานมา แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็นับว่าเป็นคนที่มีพลังเซียนสามเส้น แต่ศักดิ์ศรีและความน่ายำเกรงกลับถูกคนเหยียบย่ำเสียแล้ว
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่า เขาจะไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ ผลสำเร็จวันหน้าต้องน่าตะลึงมากแน่นอน” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม
ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่า ฮวงต้องการเมล็ดพันธุ์ไร้ที่ติ จึงจะเหมาะสมกับพรสวรรค์ของเขา แต่สองสำนักเตรียมให้เขาไม่ได้ ตอนนี้สถานภาพของเขากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก หากรวมเป็นหนึ่งกับเมล็ดพันธุ์ สามารถคาดการณ์ผลสำเร็จในวันหน้าได้ ไม่เพียงพอจะได้รับความสำคัญ
“ต่อให้เจ้าอวดี จองหองมากเท่าใด ก็จะจำกัดอยู่แค่ในขั้นเทพสวรรค์ ข้าจะรอเจ้าในขั้นที่สูงกว่า เป็นบุคคลเจ้าสำนักเช่นเดียวกัน ดูสิว่าเจ้าจะเอาอะไรมาเฉิดฉาย!” เสียงของชายหนุ่มเย็นเยือก แต่กลับพูดอย่างสบายอารมณ์
แน่นอนว่า ประเด็นหลักเป็นเพราะสือฮ่าวเดินจากไป ทลายพลังกำบังของประตู ไปจากที่นี่แล้ว
แต่ผู้คนต่างก็พากันพยักหน้า ไม่ต้องพูดถึงเมล็ดพันธุ์หยินหยางหรือต้นอ่อนของต้นไม้โลกเลย แม้แต่เมล็ดพันธุ์ที่ด้อยกว่า ฮวงก็ไม่มีปัญญาได้มาครอง ต่อไปหากต้องการประมือกับบุคคลขั้นสุดยอด มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นราชันสวรรค์น้อยหรือคนอื่นๆ ต่างก็หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สูงส่งแล้ว เย้ยหยันรุ่นเดียวกัน ไร้เทียมทานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ไร้มลทินยิ่งกว่าเดิม รวมเป็นหนึ่งกับเมล็ดพันธุ์ ไม่มีใครต้านทานได้
“น่าเสียดาย เขาไม่เลือกสวามิภักดิ์กับตระกูลอมตะ บางทีอาจเฉิดฉายก็เป็นได้” หวางซีก็เอ่ยปาก นางคิดว่าหนทางข้างหน้าของสือฮ่าวน่ากังวล สูญเสียสิทธิ์แย่งชิงอันดับหนึ่งของรุ่นหนุ่มสาว! เพราะในเมื่อเลือกวิชาโบราณแล้ว ต้องมีเมล็ดพันธุ์ที่ล้ำค่าที่สุด แต่เขาไม่มี
“ไม่แน่สำนักเทพสวรรค์อาจจะมีเมล็ดพันธุ์โบราณก็ได้” มีคนกระซิบเสียงเบา
“ตั้งแต่อดีตยันวันนี้ เมล็ดพันธุ์สมบูรณ์หายากยิ่งนัก เรียกได้ว่ามีจำนวนจำกัด เมล็ดพันธุ์โบราณหลายเม็ดเห็นแสงตะวัน ถูกขุดออกมา เขาจะไปหาที่ไหนได้อีก น่าเสียดายจริงๆ” องค์หญิงเยาเยว่พูดแบบนี้
ตอนนี้ทุกคนคิดว่าหนทางข้างหน้าของสือฮ่าวต้องขรุขระเป็นแน่ จะสูญสิ้นรัศมีที่เคยมี ไม่มีทางเป็นตำนานในวันหน้าได้
ผู้คนรู้ว่า เขาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการแปรสภาพ แต่กลับไม่มีความหวัง หากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ นับจากนี้ไป จะเป็นช่วงขาลงของเขา
“ต่อให้เขาได้ไผ่พ้นภัยไปก็ไม่มีประโยชน์มากนัก แม้จะขัดเกลาจนมีกายที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในหล้า ก็ต้านทานคนที่หลอมรวมเป็นหนึ่งกับพันธุ์เซียนไม่ได้ วันหน้าจะมีวิชาไร้พ่าย ทำลายธรรมกายทั้งปวงได้” มีคนพูดพลางแสยะยิ้ม
ไม่มีใครคาดหวังกับอนาคตของสือฮ่าว แม้ตอนนี้จะหวาดกลัวเขา แต่หากเพียงพ้นจากขั้นเทพสวรรค์ ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง!
“ไปกันเถอะ!” พวกเขาเดินหน้าต่อไป เพื่อไปแสวงโชคเหนือธรรมชาติเช่นไผ่พ้นภัย
ระหว่างทางกลับ สือฮ่าวเจอเพื่อนเก่าหลายคน พบว่าเฉาอวี่เซิงว่างเว้นที่สุด ตื่นจากภวังค์การต่อสู้กับวิญญาณวีรชน เป็นฝ่ายออกตามหาวิญญาณเหล่านั้น ไม่คิดว่าจะกำลังลักจำ
เขามีฝีมือวิเศษ สำรวจความทรงจำของวิญญาณ และศึกษาวิชาโบราณของพวกมันได้
“นี่หรือผลน้ำพุเหลือง?” เฉาอวี่เซิงไม่กล้ากิน เพราะเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากสือฮ่าว เขาก็รู้สึกพรั่นพรึง เผชิญหน้ากับการเกิดใหม่สี่ครั้ง สมจริงเช่นนั้น สะเทือนขวัญเขายิ่งนัก
เขาตัดสินใจว่าจะเก็บผลไม้ลูกนั้นไว้ก่อน ต่อไปจะขอคำแนะนำจากผู้เฒ่าสำนักปราชญ์ ไม่ก็นำไปให้อาจารย์ที่โลกมนุษย์ดู จากนั้นค่อยกินมัน
“ข้ากินเอง!” กระต่ายดวงจันทร์กระโดดเข้ามาพอดี ไม่ได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้ของพวกเขา คิดว่าเป็นผลไม้วิเศษ จึงแย่งไปแล้วกัดทันที
“อร่อยเหลือเกิน ข้าชอบกินเจที่สุด!” กระต่ายน้อยเบิกตากว้าง สะบัดผมสีเงินที่ยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ
แต่ต่อมาไม่นาน มันก็งุนงง จากนั้นก็นิ่งไม่ไหวติง ตกอยู่ในความเงียบงัน
“วิญญาณล่ะ ไปไหนเสียแล้ว?” เฉาอวี่เซิงร้องลั่น
กระต่ายน้อยตัวแข็งทื่อ ไม่เห็นดวงจิตแล้ว วิญญาณในร่างหายไป เหลือเพียงกายเนื้อ
กิเลนน้อยในอกมันร้องเสียงหลง เห็นได้ชัดว่าตกใจเช่นกัน แม้แต่วิญญาณก็หายไปแล้ว มันหมายความว่าคนคนหนึ่งได้ตายไปแล้ว
“บ้าระห่ำเหลือเกิน!” สือฮ่าวทำหน้าจริงจัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผลลัพธ์หลังจากที่มีคนกินผลน้ำพุเหลืองเข้าไป
เมื่อครู่นี่เอง เขารู้สึกรางๆ ราวกับมิติถูกฉีก เสมือนมีขอบเขตสีดำพุ่งผ่านไป แต่เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ดวงจิตของกระต่ายน้อยหายไปแล้ว มันร้ายแรงยิ่งนัก!
“หรือผลน้ำพุเหลืองจะพพาคนไปเกิดใหม่ได้?” สือฮ่าวพึมพำ
เขากับเฉาอวี่เซิงเฝ้าอยู่ตรงนี้ ไม่กล้าไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว แม้กระทั่งว่าไม่กล้าแตะต้องกระต่ายน้อย ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน กระต่ายดวงจันทร์เป็นเหมือนหญิงสาวที่ถูกแกะสลัก วิจิตรและงดงาม ผิวขาวหยวกดุจดั่งกระเบื้องเคลือบ แต่ไร้ดวงจิต ไม่ขยับเขยื้อน
ในที่สุด ยามอู่ ช่วงเวลาที่แสงแดดเจิดจ้าที่สุด ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น!
ความมืดปกคลุมที่นี่ในเสี้ยววินาที กายเนื้อของกระต่ายน้อยเลือนราง หายไปแล้ว
สือฮ่าวกับเฉาอวี่เซิงอยากห้าม แต่ไม่ทันเสียแล้ว ซ้ำยังถูกพลังลึกลับผลักกระเด็นออกไป กระต่ายน้อยอันตรธานหายไปแล้ว
“ไปไหนแล้ว?” เฉาอวี่เซิงตะโกนลั่น
ไม่นานความมืดก็จางหาย ร่างของกระต่ายน้อยปรากฏขึ้น ยังคงยืนอยู่ที่เดิม แถมแพขนตายาวยังสั่นระริก จากนั้นมันก็ลืมตาขึ้น
มันงงงวย เหม่อลอยเล็กน้อย ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
“ตื่น” สือฮ่าวปลูก ดึงมันออกจากภวังค์ ให้มันฟื้นคืนมา
“เจ้าเจออะไร เห็นอะไร?” เฉาอวี่เซิงถาม
กระต่ายน้อยเห็นสองคนตรงหน้าแล้ว แต่ยังคงมึนงง เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์เมื่อครู่ทำให้มันตกใจไม่น้อยเลย อ้าปากค้าง จากนั้นก็กรีดร้อง “ข้าตกใจแทบแย่ เหมือนกับมีวงแหวนบ้าๆ ส่งข้าไปเกิดใหม่ น่าแปลก ทำไม…ข้าจำอะไรไม่ได้เลย มีแค่ความทรงจำเลือนราง”
สือฮ่าวรีบดึงมือของมันมาดู เพื่อตรวจสอบว่ามีอินวัฏสงสารหรือไม่ แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า
“เจ้าลองตรวจสอบดูด้วยตัวเอง ดูว่าตามตัวมีตราประทับอะไรหรือไม่” สือฮ่าวพูด
“ตรงนี้!” กระต่ายน้อยชี้ไปที่ขาขวา ถลกกระโปรง เผยให้เห็นร่องรอยบนขา เหมือนกับเป็นแผลจากไฟลวก พร่ามัวไม่ชัดเจน
กระต่ายดวงจันทร์โมโห “ใครลอบทำร้ายข้า อยากให้ข้าเสียโฉม!”
สือฮ่าวแปลกใจ มันเป็นรอยแผล ราวกับพยายามลบล้างอะไรบางอย่าง จึงไม่รู้ว่าใช่อินวัฏจักรหรือไม่ มันมีพลังประหลาดแฝงอยู่ ขจัดทุกสิ่งแล้ว
“เจ้าเจออะไรกันแน่?” สือฮ่าวถาม
“เหมือนจะเป็นเวียนว่ายตายเกิด บนเส้นทางของวัฏสงสาร ข้าจำได้ว่าเห็นหม้อใบหนึ่ง หลอมจากทองคำเซียนหลายชนิด สาดแสงเก้าสี แถมยังมีมาตุธาตุไหลเวียน หม้อเต็มไปด้วยเลือด ไหลลงมาไม่หยุด ตอนที่พุ่งออกมามีพันธนาการจักรวาลหลุดออกมาด้วย เหมือนข้าจะเห็นภาพบางอย่าง เป็นภาพของสงคราม น่ากลัวเกินจินตนาการ แถมข้ายังเห็นเงาเลือนรางในหม้อ มันคุ้นเคย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ข้านึกไม่ออก”
กระต่ายน้อยพูดออกมาในอึดใจเดียว ทำให้สือฮ่าวทั้งกลัวและตกใจ ทุกอย่างพิลึกเหลือเกิน สิ่งที่กระต่ายน้อยเจอไม่ค่อยเหมือนเขามากนัก
หม้อที่นางเห็นทำให้สือฮ่าวใจเต้นระส่ำ เพราะเขารู้จักหม้อใบนั้น มันไม่ใช่ของชาตินี้ และไม่ได้อยู่ในอดีตชาติ
ยุคนี้ช่างแปลกเหลือเกิน เกี่ยวพันกับเรื่องราวมากมาย ทั้งยุคเซียนโบราณและอนาคต มีพลังทั้งหลายปะปน เกี่ยวพันกัน ทำให้ฟ้าดินผืนนี้โกลาหล
“ใช้กระแสจิตฉายออกมาให้ข้าเห็นชัดเจน ขอข้าดูหน่อย!” สือฮ่าวพูด เขาอยากเห็นประสบการณ์ของกระต่ายน้อย