Perfect World โลกอันสมบูรณ์แบบ - ตอนที่ 1290
“เจ้าใช้ได้!” สวีหมิงซวนเดินมาอย่างสง่างาม แผ่รังสีของจักรพรรดิ ตบไหล่สือฮ่าวปุๆ
มดสีทองทำหน้าเหยเก รีบหลบทันที เพราะเกือบจะโดนตัวมันอยู่แล้ว ซ้ำมันยังสงสัยว่าฮ่องเต้ผู้ที่ไม่ขึ้นกับใครองค์นี้ตั้งใจ อยากจะตบมันต่างหาก
ผมสีดำของสวีหมิงซวนหนาหนุ่ม ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาฉายภาพดวงดาวระเบิด เป็นภาพที่น่าตะลึง! ดูแล้วเหมือนอยู่ในวัยกลางคน แต่มีกำลังวังชา ชุดสีทองเปล่งประกายส่องสะท้อนมิติ ประหนึ่งเทพเจ้าสงครามไร้พ่าย
“ผู้อาวุโสมีปรีชาญาณ องอาจยิ่งนัก!” สือฮ่าวหัวเราะลั่น ประจบประแจงอยู่ตรงนั้น
“เจ้าหนูนี่ เมื่อครู่เลือดร้อนยิ่งนัก ตอนนี้รู้จักประจบด้วยหรือ” สวีหมิงซวนยิ้ม
“ข้าแค่พูดความจริง เท่านั้น เห็นท่านตบหน้าเจ้าคนตระกูลหวางที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนั้น อหังการยิ่งนัก รู้สึกเหมือนได้ระบายอารมณ์” สือฮ่าวหัวเราะ
หลายคนทำหน้าพิลึก คนตระกูลหวางได้ฟังก็เจ็บแค้นเป็นที่สุด นี่มันเหยียดหยามซึ่งๆ หน้า ฮวงไม่ใช่คนดีจริงๆ ทำให้พวกเขายิ่งเกลียดชังมากขึ้นไปอีก
“คนตระกูลหวาง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ บางอย่างพูดส่งเดชไม่ได้ อีกอย่างข้ายังไม่ได้เลือกว่าจะให้ใครเป็นคู่ครองของลูกสาวข้า ต่อให้เลือกแล้วจริงๆ ก็ไม่ใช่สิ่งพวกเจ้าจะพูดจาให้ร้ายตามอำเภอใจได้” สวีหมิงซวนพูด
จากนั้น เขาก็มองมดเขาสวรรค์บนไหล่สือฮ่าว พร้อมกับทำหน้าตาแปลกใจ “ไยเจ้ามองข้าแบบนี้ คิดเป็นปรปักษ์หรือ?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ชุดวาดลายงูสี่เท้า นี่เป็นการประกาศศักดาต่อหน้าข้าหรือ จะปักควรปักลายมดสีทองมากกว่า!” มดเขาสวรรค์พูดอย่างมีน้ำโห
เผ่าพันธุ์นี้มีปมในใจ อยากชิงที่หนึ่งในปฐพีกับมังกร
ผู้คนได้ฟังก็พากันหัวเราะดังลั่น สวีหมิงซวนก็พูดไม่ออกเช่นกัน
ปรมาจารย์กลับมา ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามอีก คนที่จับจ้องถ้ำราชันเซียนใต้พิภพในตอนแรกต่างก็สงบเสงี่ยม ไม่กล้าล่วงเกินชายชราคนนี้อีก
เมื่อทักทายปราศรัยกันแล้ว ปรมาจารย์ก็พาแขกผู้มีเกียรติเข้าไปในตำหนักบนเขาเทพเจ้า เพื่อหารือกัน
ตอนนี้ อัจฉริยะหลายคนลงไปใต้พิภพแล้ว ต่างก็ไปแสวงหาโชคชั้นใหญ่แล้ว เพราะมีข่าวแว่วมาจากเมืองเซียน ผู้คนรู้แล้วว่าที่นั่นไม่มีอันตราย
“สือฮ่าว เจ้ามานี่” ปรมาจารย์แอบเรียกเขา
สือฮ่าวไม่ใจร้อนจะจากไป เพราะได้รับคำสั่งจากปรมาจารย์นานแล้วว่า ให้รอเขาที่นี่
ปรมาจารย์ดูแลแขกคนสำคัญเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกจากตำหนักใหญ่ พาสือฮ่าวมายังภูเขาด้านหลัง มันเป็นสถานที่อันเงียบสงบ มีเพียงที่อยู่อาศัยและไผ่โบราณ ไม่มีใครมาที่นี่ได้
“ผู้อาวุโส สิ่งที่ท่านขุดได้จากถ้ำแห่งนั้นคืออะไรกันแน่?” สือฮ่าวสงสัยมาโดยตลอด
ดินแดนโบราณแห่งนั้นลึกลับเหลือเกิน แต่ปรมาจารย์กลับขุดเจอสัตว์ที่ไร้ลมหายใจได้จากกองกระดูก น่าตกใจไม่น้อยเลย
ต้องรู้ว่า ที่นั่นเก่าแก่อย่างยิ่ง กระดูกมากมายแทบจะผุพังเป็นผุยผง เมื่อนานมาแล้ว ต่างก็เป็นมือดีสะเทือนปฐพี
มันหมายความว่า สัตว์ที่ฝังอยู่ใต้กองกระดูกที่อยู่ลึกเข้าไปอาจเก่าแก่เป็นที่สุด อยู่นานจนไม่อาจจินตนาการได้!
เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว สัตว์ตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่ มันช่างน่าเหลือเชื่อ มันเป็นพลังชีวิตที่แข็งแกร่งปานใดกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นสือฮ่าวรู้สึกได้ชัดเจนว่า สัตว์ตัวนั้นอ่อนระโหยโรยแรง แต่ก็น่ากลัวเหนือความคาดหมายของเขา เมื่อกางปีก ฟ้าดินก็ถล่มทลาย!
หากทำให้มันคืนชีพ จะประเมินไม่ได้เลยว่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหน!
“ข้าเรียกเจ้ามาเพราะเรื่องนี้นี่แหละ เรื่องนี้ให้มันตายไปกับเจ้า ห้ามพูดกับใครเด็ดขาด บอกใครไม่ได้!” ปรมาจารย์จริงจังยิ่งนัก
“พวกเจ้าพูดอะไรกันอยู่?” มดน้อยบนไหล่สือฮ่าวฉงนใจ เพราะมันไม่ได้ยินเลยสักประโยค ถูกปรมาจารย์ใช้ญาณวิเศษปิดบัง
จากนั้น ปรมาจารย์ก็มอบแหวนวงหนึ่งให้เขา มันดูเก่ามาก มองไม่ออกว่าคืออะไร หม่นหมองไม่แวววาว ไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอะไร มันเป็นสีน้ำเงินเข้ม
ราวกับทำมาจากหินสีน้ำเงิน ไร้ความงดงาม ถึงขั้นเรียกได้ว่าไม่ค่อยประณีต
มันคืออะไร? สือฮ่าวมองปรมาจารย์ด้วยความงุนงง
“สวมมันไว้ บางทีสักวันอาจได้ใช้ประโยชน์ เรื่องอื่นไม่ต้องถาม แต่จำไว้ให้ขึ้นใจว่า เรื่องของสัตว์ที่ถูกขุดขึ้นมาห้ามบอกใครเด็ดขาด!” ปรมาจารย์กำชับอย่างจริงจังอีกครั้ง
เดิมที สือฮ่าวใช้กายเป็นพันธุ์ ประสบความสำเร็จ บุกเบิกเส้นทางที่ไม่มีใครทำได้ ปรมาจารย์จะต้องดีใจยิ่งนัก ตื่นเต้นเป็นที่สุด ถึงขั้นเฉลิมฉลอง
แต่เพราะสัตว์ที่ขุดได้จากใต้ดินตัวนั้น ทุกอย่างกลับตาลปัตร ปรมาจารย์เคร่งขรึมมากเป็นพิเศษ มีความกังวลใจ!
สือฮ่าวบอกปรมาจารย์ว่า จะไปตามหาคัมภีร์อมตะ สถานการณ์คับขัน สิ่งมีชีวิตอีกฝั่งของดินแดนอาจเคลื่อนไหวได้ทุกเมื่อ หากข้ามชายแดนมาได้ แดนนี้จะเป็นอันตราย ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องรีบจากไป เพื่อทำตนให้แข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว
“ไปเถอะ ระวังตัวด้วย” ปรมาจารย์กำชับ
“คนพวกนั้นคงไม่เพ่งเล็งข้าอีกแล้วใช่ไหม?” ตาของสือฮ่าวเป็นประกาย
“ไปแล้วนะ!” หลังออกจากผืนป่า มดน้อยก็กู่ร้อง สูดลมหายใจอันสดชื่นจากด้านนอกอย่างตะกละตะกลาม
ที่จริง ที่นี่แตกต่างจากถ้ำใต้พิภพเหลือเกิน ตรงนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณหนาแน่น แม้กระทั่งว่ามีพลังเซียนปะปน เหนือกว่าโลกภายนอกมากโข
แต่สำหรับมดน้อยแล้ว ทุกอย่างภายนอกแปลกใหม่ เปี่ยมด้วยพลังชีวิต ไม่จืดชืดเหมือนโลกใต้พิภพ
“พวกเราจะไปตามหาคัมภีร์อมตะที่ไหน?” มดน้อยถาม
“ป่าหินทะเลเหนือ!” สือฮ่าวพูด นี่เป็นสถานที่ที่สำคัญอย่างยิ่ง คงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นป่าหินที่อยู่กลางทะเลกว้าง
มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่นี่มากมายเหลือเกิน
หากเป็นคนที่ประสบผลสำเร็จในยุคนี้ มักจะชอบไปที่นั่น ทิ้งชื่อไว้ในป่าหิน สลักชื่อบนยอดเขาสูง เป็นการแสดงความสามารถของตัวเอง
เช่นพวกเทพจื่อรื่อและหลานเซียน หลังบำเพ็ญเพียรเสร็จสิ้น ต่างก็เคยไปที่นั่น สลักชื่อตัวเองลงบนหน้าผา ต่างก็สูงส่ง เหนือกว่าบรรพบุรุษทั้งหลาย เจิดจรัส เปล่งประกายโชติช่วง!
ว่ากันว่า เกือบครึ่งของผู้สูงส่งต่างก็ไปทิ้งชื่อไว้ที่นั่นแล้ว ทำให้ยอดเขาบางส่วนในทะเลสั่นสะเทือนไปตามกัน!
โชคดีที่ป่าหินทะเลเหนืออยู่ในสวรรค์ไร้ขอบเขต หากมิเช่นนั้น การข้ามแดนเป็นปัญหาใหญ่สำหรับสือฮ่าว โดยปกติแล้วคนทั่วไปทำไม่ได้
สวรรค์ไร้ขอบเขตกว้างใหญ่ยิ่งนัก มากด้วยแอ่งน้ำ ผืนดินเต็มไปด้วยเมืองใหญ่มากมาย ห่างกันหลายหมื่นลี้
ซ้ำยังมีเมืองศูนย์กลางหลายแห่ง ใหญ่จนน่าตกใจ ดีไม่ดีอาจอยู่ห่างกันนับสิบล้านลี้ ด้วยเหตุนี้ต่างก็มีค่ายกลขนส่งขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ตลอดทางนี้สือฮ่าวอาศัยเส้นทางนี้ ใช้ค่ายกลขนส่งแห่งแล้วแห่งเล่า ทุกครั้งจะถูกส่งไปไกลหลายสิบล้านลี้ มุ่งหน้าไปทางเหนือ จะออกจากแผ่นดินผืนนี้ เพื่อเข้าสู่ทะเลเหนือ
จินตนาการได้ยากยิ่งนักว่า แดนนี้กว้างใหญ่ปานใดกันแน่ เขาเดินทางไม่หยุดหย่อน ใช้ค่ายกลขนส่งอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลานานถึงเจ็ดวัน กว่าจะมาถึงบริเวณที่เหนือสุด
ที่นี่ยังคงมีป่าดึกดำบรรพ์ สัตว์โบราณต่างๆ ปรากฏให้เห็น ปักษากางปีก ในฟ้าดินเต็มไปด้วยเสียงสัตว์ร้อง กลิ่นอายวังเวงกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
แม้จะเข้าใกล้ทะเลเหนือ ได้ยินเสียงคลื่นทะเลแล้ว สัตว์นานาชนิดยังคงปรากฏให้เห็นริมทะเล เห็นเงาผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บ่อยครั้ง
สือฮ่าวอดอุทานไม่ได้ กระทั่งเข้าขั้นธรรมปลอม เขาจึงนับว่าเดินเหินอยู่ในผืนป่าได้ เพราะอสูรไม่น้อยล้วนอยู่ในขั้นธรรมปลอม!
หากเป็นเมื่อก่อน คงทำได้เพียงหลีกเลี่ยง ไม่กล้าเดินสง่าผ่าเผยแบบนี้ จำต้องระวังสัตว์ประหลาดทั้งหลาย
ตอนนี้ เขาก็นับว่าเป็นบุคคลขั้นเจ้าสำนักแล้ว สุขุมขึ้นมากแล้ว
แน่นอนว่า หากคิดว่าตะลุยไปทั่วหล้า ตะลอนทั่วป่าดึกดำบรรพ์ได้ เช่นนั้นก็ถือว่าผิดมหันต์แล้ว ยังต้องระวังตัว ไม่แน่ว่าลึกเข้าไปในเทือกเขาอาจมีผู้ยิ่งใหญ่หลบซ่อนอยู่ก็เป็นได้
หรืออาจมีมังกรร้ายซ่อนตัวอยู่ใต้แอ่งน้ำ ของแบบนั้น ดีไม่ดีอาจมีอายุถึงหลายแสนปี ขั้นบำเพ็ญแก่กล้าเหนือคำบรรยาย
ทะเลเหนือกว้างใหญ่ไพศาล ไกลสุดลูกหูลูกตา
แต่เมื่ออยู่ริมฝั่ง ก็ทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เพราะมันน่ากลัวเกินไป
เมื่อมองไปข้างหน้า ทุกอย่างขมุกขมัว เลือนราง มหาสมุทรกว้างใหญ่เต็มไปด้วยหมอกดำทะมึน ประหนึ่งทะเลวิญญาณ วังเวงไม่น้อยเลย
มีค่ายกลที่ขนส่งไปยังทะเลเหนือเช่นกัน แต่เชื่อถือไม่ค่อยได้
ค่ายกลโบราณเหล่านั้นขาดการซ่อมบำรุงนานหลายปี มักจะเกิดปัญหา ส่งคนเข้าไปในทะเลลึกอันกว้างใหญ่แล้วหายสาบสูญไปอยู่บ่อยครั้ง
สือฮ่าวมาที่นี่ก็อยากเป็นเหมือนคนอื่น นั่งรอเรือวิญญาณ แม้ชื่อจะฟังดูน่ากลัว แต่มันกลับไม่มีอันตรายใด
เห็นเงาของเรือท่ามกลางม่านหมอก ราวกับมีวิญญาณโลดแล่นท่ามกลางหมอกสีดำ เรือโบราณบางส่วนกำลังลอยล่องอย่างเป็นอิสระ มีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่บนเรือ
มันดูน่าขนลุกอยู่บ้าง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา น้อยครั้งที่จะได้ยินว่าเกิดอันตรายอะไร
ครู่หนึ่ง เรือวิญญาณหลายลำก็โผล่มา ลอยเข้ามาใกล้โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง โคมไฟสีเลือดสาดแสงวูบไหวออกมาจากหัวเรือ
“นี่หรือเรือวิญญาณ?” สือฮ่าวพึมพำ
“น่ากลัวจริงๆ!” มดสีทองตัวสั่นระริกขึ้นมา
“เจ้าไม่รู้หรือว่า เรือนี่มีมาตั้งแต่เซียนโบราณ คงอยู่ตั้งแต่ยุคก่อนมาถึงตอนนี้ ไม่เคยผุพัง ลอยล่องอยู่ในทะเล พาคนริมฝั่งมุ่งหน้าไปข้างหน้าได้” สือฮ่าวพูด
“ไม่รู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน” มดน้อยส่ายหัว เพราะมันเกิดในยุคนี้
แท้ที่จริงแล้ว สือฮ่าวก็ฉงนใจมากเหมือนกัน ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าต้องอาศัยเรือลำนี้ข้ามทะเลเหนือ ก็ตกใจเช่นกัน
มันมีความวิเศษอย่างไรกันแน่? เรือที่ดำรงอยู่มายาวนาน แถมยังกำหนดทิศทางเดินเรือได้ ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ใกล้แล้ว เรือลำหนึ่งลอยเข้าฝั่งแล้ว ขนาดไม่ใหญ่ปานนั้น แต่กลับทนทานอย่างมาก เรือเป็นสีดำ ผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชนแต่ไม่เสื่อมโทรม
มันเป็นเรือที่ลอยมาจากยุคที่แล้วหรือ? สือฮ่าวไม่อยากจะเชื่อเลย มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
เคยมีผู้ยิ่งใหญ่นำเรือบางส่วนกลับไป เพื่อศึกษา แต่ผลลัพธ์กลับไม่มีอะไรพิเศษมากนัก
“ไปกันเถอะ ออกเดินทางกันได้แล้ว” สือฮ่าวพูด
เขาจะออกทะเลแล้ว ว่ากันว่าลึกเข้าไปทะเลเหนือก็ครึกครื้นมากเช่นกัน รุ่งเรืองสุดแสน มีนักพรตอาศัยอยู่กันไม่น้อยเลย
“อืม คุ้นตามากทีเดียว!” เมื่อขึ้นเรือวิญญาณแล้ว สือฮ่าวก็ขมวดคิ้ว
ทำไมเรือลำนี้ยิ่งดูก็ยิ่งคุ้นตา สะเทือนไปถึงกลางใจเขา ทำให้ว้าวุ่นขึ้นมา เขารู้สึกไม่สบายใจ
สือฮ่าวก็นึกขึ้นทันทีว่า ตอนที่เขาอายุประมาณสิบปี เคยออกทะเลตอนอยู่โลกมนุษย์ มุ่งหน้าไปชิงเคล็ดวิชาเย้ยโลกาที่รังคุนเผิง เคยเจอมันที่นั่น…
เพียงแต่ว่า สิ่งที่เห็นตอนนั้นเป็นเรือกระดาษ ถูกคนพับขึ้นมา
เรือลำนี้ เหมือนเรือลำนั้นราวกับแกะ!
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเชื่อมั่นว่า เรือลำนี้ไม่ได้เกิดมาจากกระดาษ สมจริงยิ่งนัก เมื่อใช้มือแตะมันเย็นเฉียบเล็กน้อย
“เรือกระดูก!”
มันเป็นเรือที่ฝนจากกระดูก มันไม่จมลงน้ำ แถมยังแข็งแรงทนทาน ต้องมีความเป็นมายิ่งใหญ่แน่นอน!
ขณะที่สือฮ่าวกำลังตะลึง เรือลำนี้เปิดด้วยตัวเอง ทะลุผ่านม่านหมอกสีดำ แล่นตรงไปในทะเลเหนือ
สือฮ่าวนั่งลงแล้วเคาะเรือเบาๆ ตั้งใจตรวจสอบ หรือจะเป็นเหมือนในตำนาน ทำจากกระดูกของเจ้าแห่งนรกงั้นหรือ?
จู่ๆ สือฮ่าวก็หวาดผวา ลุกขึ้นยืนทันที เขาเห็นของเหลวสีแดงคล้ำกำลังไหลซึมออกมา
เลือด!
ในท้องเรือมีคราบเรือประปราย จู่ๆ ก็ไหลออกมา
เมื่อครู่เขาไม่ได้สังเกต พลันก็ยกมือลูบคาง มือเต็มไปด้วยเลือด น่ากลัวและประหลาดยิ่งนัก!
ไม่…เคยได้ยินมาก่อน! คนอื่นนั่งเรือข้ามทะเล ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ ต่างก็ปลอดภัย
สือฮ่าวขนลุกขนชันขึ้นมา นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ใจของเขาระส่ำระสาย เกิดข้อสันนิษฐานอันใจกล้าขึ้นมา หรือว่า เขามาถึงปลายทางแล้วจริงๆ หญิงที่พับเรือกระดาษคนนั้นอยู่ในทะเลแห่งนี้?!
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ สือฮ่าวก็ตกใจขึ้นมาทันที!
หญิงคนนั้นลคกลับเหลือเกิน สร้างความทรงจำอันลึกซึ้งให้เขา แม้กระทั่งว่าตอนอยู่ที่รังคุนเผิง นางเหนือกว่าเรื่องของคุนเผิง ทำให้เขาลืมไม่ลง