Perfect World โลกอันสมบูรณ์แบบ - ตอนที่ 1252
อินสี่ภพในฝ่ามือซ้ายมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับซับซ้อนอย่างมาก ประหนึ่งท้องฟ้ายามราตรีอันลึกล้ำ และเหมือนวงแหวนเวียนว่ายตายเกิดหดตัว
อินวัฏจักรสี่ภพ พร่าเลือนยิ่งนัก แต่ก็สมจริงเหลือเกิน!
สือฮ่าวตะลึงงัน นี่มันเรื่องอะไรกัน? สิ่งที่เขาประสบเป็นเรื่องจริงหรือ? แต่ไยตอนนี้กลับยืนอย่างสุขกายสบายดีอยู่ตรงนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง!
เพียงเสี้ยววินาที เขานึกไปต่างๆ นานา ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนี้ ราวกับแข็งเป็นหินท่ามกลางกาลเวลา
คล้ายจะจำได้ว่า ตอนที่เขาบำเพ็ญเพียรพลังเซียนสองเส้น เกือบจะสิ้นชีพ ติดอยู่ในกรงขังดำมืด มองเห็นดวงจิตลึกลับที่ถูกจองจำมากมาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเห็นการเกิดใหม่ในสถานที่อันมืดมิดแห่งนั้นอีกด้วย!
“เกิดใหม่ในพริบตา รวบรวมสมาธิในเสี้ยววินาที ก็เป็นการเกิดใหม่หนึ่งครั้ง” สือฮ่าวพึมพำ ในใจสับสนวุ่นวาย
วัฏจักร การเกิดใหม่ นี่เป็นหัวข้อที่จริงจังยิ่งนัก ทำให้อัจฉริยะมากเหลือคณานับงุนงง ไร้คำตอบมาเนิ่นนาน ไม่ว่าใครก็อธิบายไม่ได้
คนทั่วไปลุ่มหลงได้ง่ายนัก บางคนงมงาย คิดว่ามีสวรรค์และนรก มีภพก่อนและชาตินี้ แต่นักพรตจะเชื่อเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งเชื่อในตัวเอง ไม่เชื่อโชคชะตา ฟ้าลิขิตที่ว่า นักพรตเดินสวนทางกับจักรวาล เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงชะตา
มิเช่นนั้น นักพรตจะเป็นอมตะ อายุยืนกว่าคนทั่วไปได้อย่างไร
เพียงแต่ว่า กาลเวลาผันผ่าน ล่วงเลยไปเนิ่นนาน กลับไม่มีใครไขปริศนาของการเวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่เชื่อว่ามีจริงหรือไม่
พูดว่าไม่มี แต่บางครั้งก็มีคนที่วิญญาณคืนชีพเช่นชิงยี และมีอัจฉริยะที่มีอินสงสารวัฏปรากฏให้เห็นเช่นสือฮ่าวในตอนนี้!
หากพูดว่ามีวัฏสงสาร แต่กลับไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้โดยตรง ใครจะเชื่อว่าเซียนที่สิ้นชีพในยุคใดยุคนี้จะกลับชาติมาเกิด?
บางทีวัฏสงสารอาจเป็นแค่เพียงร่องรอยของกาลเวลา เป็นการเดินทางอันแสนวิเศษของจิตที่ลอยล่อง เป็นประสบการณ์มายาหลังวิญญาณออกจากร่าง
สือฮ่าวครุ่นคิด พิจารณาและหาข้อสรุป
เขาไม่อยากคิดถึงความหมายที่แท้จริงของอดีตชาติ ชาตินี้และอนาคตมากเท่าใดนัก เพราะมันขัดแย้งกับความคิดของเขา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด กว่าเขาจะเงยหน้าขึ้น ตื่นจากภวังค์เงียบงันแบบนี้
“ชั่ววินาทีที่ข้าเหม่อลอย จิตใจไม่สงบ รู้สึกว่าทุกประสบการณ์ในตอนนี้เคยเกิดขึ้นในอดีต มันนับเป็นการเกิดใหม่หรือไม่?” สือฮ่าวยิ้มเยาะ
บางครั้งเขารู้สึกว่าเรื่องที่กำลังทำ เคยเกิดขึ้นแล้ว เสมือนคุ้นเคย มันนับว่าเป็นวัฏจักรหรือไม่
เขาส่ายหน้า นี่ไม่ใช่ความลับที่เขาควรไขในตอนนี้ มันเป็นขอบเขตของเซียน มีเพียงตัวเองดำรงอยู่ในฟ้าดินได้ยาวนาน ค่อยใคร่ครวญการเวียนว่ายตายเกิด จึงจะมีความหมาย
ตอนนี้สิ่งที่เขาจะทำมีแค่การสร้างความแข็งแกร่งเท่านั้น!
“พลังจิตน่าตะลึงอย่างแท้จริง” สือฮ่าวพึมพำ แม้แต่ตัวเขาเองก็เอ่ยปากชมไม่หยุด เทพสวรรค์ทั่วไปไหนเล่าจะมีดวงจิตที่น่ากลัวเช่นนี้
สือฮ่าวยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง หน้าผากส่องแสง มีร่างเดินออกมาจากกระดูกหน้าผาก สาดแสงสว่างไสว ลำแสงนับหมื่นพุ่งออกมา หมอกห้อมล้อม ศักดิ์สิทธิ์และเหนือชั้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
มันยืนอยู่หน้าหว่างคิ้วของสือฮ่าว ส่องแสงราวกับดวงตะวัน เป็นผู้สูงสุดในขั้นเทพสวรรค์แน่นอน แต่ไหนแต่ไรมา น้อยคนที่จะมีดวงจิตทัดเทียบเขาในขั้นนี้
มันแผ่ความน่าเกรงขามโดยไม่รู้ตัว!
นอกจากนี้ ดวงจิตสูงเท่ากำปั้นยังมีอักขระกระดูกหลากหลาย ก่อตัวเป็นชุดเกราะตามธรรมชาติและคอยคุ้มกันมัน
“การหยั่งรู้ดั้งเดิม” สือฮ่าวรำพัน ลวดลายเหล่านี้เป็นอักขระของการหยั่งรู้ดั้งเดิม ตอนนี้หลอมเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิตของเขา กลายเป็นชุดเกราะสูงส่ง
ดวงจิตกลับเข้ามายังศีรษะ สือฮ่าวมีกำลังเต็มเปี่ยม ไต่สูงถึงระดับขั้นสุดยอด!
ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือจิต สือฮ่าวล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางของตัวเอง หากเจอสุนัขนรกอีกครั้ง เขาเชื่อมั่นว่าไม่มีทางรบลำบากปานนั้นแล้ว
ตอนนี้ เขาเชื่อมั่นว่ากวาดล้างศัตรูได้ ตอนนี้จะมีใครสู้เขาในขั้นเทพสวรรค์ได้?!
สือฮ่าวนำหม้อหยกไขมันแกะออกมา เก็บผลน้ำพุเหลืองที่เหลือ บนต้นแรกเกลี้ยงไปนานแล้ว ถูกแมลงน้ำพุเหลืองกินจนหมดสิ้น เดิมทีต้นที่สองมีสามผล แต่เขากินไปผลหนึ่ง ต้นที่สามยังมีทั้งหมดห้าผล
ผลไม้ทั้งเจ็ดเป็นสีทองอร่าม ส่งกลิ่นหอมหวนชวนให้ลุ่มหลง แต่กลับอันตรายเป็นที่สุด ใครเล่าจะคิดว่า เมื่อกินมันแล้วจะเหมือนกับการเวียนว่ายตายเกิด
หากพลาดท่า อาจทำให้คนคนหนึ่งจมอยู่ข้างใน ถอนตัวไม่ขึ้น ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาตลอดกาล
กระทั่งตอนนี้ สือฮ่าวยังคงสงสัยว่ามันเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่? เพราะอินสี่ภพบนฝ่ามือสะดุดตาเหลือเกิน เตือนความจำเขาตลอดเวลา!
เขาไม่ได้กินผลที่สอง เพราะปรมาจารย์เคยกำชับว่า กินผลน้ำพุเหลืองเพียงหนึ่งผลก็พอแล้ว หากกินมากไปก็ไม่เกิดประโยชน์
“เจ็ดลูกที่เหลือมอบให้คนอื่นได้ แต่ต้องคอยคุ้มกันพวกเขา มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาได้ง่าย” สือฮ่าวพูด เขาหันหลังแล้วไปจากที่นี่
เขาไม่ขุดต้นไม้ทั้งสามต้น เพราะเอาไปจากที่นี่ก็จะเฉาตาย เขาเคยได้ยินมาว่า สถานที่ซึ่งมีผลน้ำพุเหลืองต้องเต็มไปด้วยพลังหยิน น่ากลัวเป็นที่สุด
มันหมายความว่า ต้องเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยซากศพและกระดูก
แต่สาเหตุที่ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพราะกระดูกเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทั่วไป คงเป็นศพเซียน แม้จำนวนจะไม่มาก แต่กลับมีสรรพคุณวิเศษ
“ไม่ว่าจะเป็นที่นี่ หรือหุบเขาที่อยู่ไม่ไกล ล้วนมีศพที่สงสัยว่าจะเป็นเซียน เสียดายที่ความสามารถในตอนนี้ของข้าเข้าใกล้ไม่ได้” สือฮ่าวพูด
มิเช่นนั้น เขาไม่ถือสาหากต้องเป็นคนขุดสุสานสักหน ดูสิว่ามีในตัวของสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งจะวัตถุล้ำค่าวิถีเซียนหลงเหลือหรือไม่
เขาเดินกลับทางเดิมครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง สำรวจเนินเขาแห่งนี้ ดูว่ามีโชคชั้นใหญ่อีกไหม เพราะมันมีนามว่าเนินเขาเซียน
ไม่นานเขาก็มาถึงป่าหินแห่งหนึ่ง ก้อนหินตั้งระเกะระกะ มีทั้งหินที่ตั้งตรงประหนึ่งกระบี่สวรรค์ บ้างก็เหมือนวัวแก่นอนหมอบขวางทางเดิน บ้างก็ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าราวกับคุนเผิงกางปีก
มิหนำซ้ำ บริเวณนี้ยังมีหมอกเซียนรายล้อม ชวนให้คนอยากเข้าใกล้อย่างอดใจไม่ไหว
สือฮ่าวเดินเข้ามา สำรวจข้างหน้าตามความรู้สึก สุดท้ายก็เดินลึกเข้ามาในป่าหิน ที่นี่ภูเขาลูกหนึ่ง ไม่สูงมากนัก แต่กลับดูทรงพลัง
“เอ๊ะ ชายชราคนนั้นอีกแล้ว!”
สือฮ่าวเห็นชายชราที่เจอก่อนหน้านี้ วนเวียนอยู่ที่นี่ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ปริปาก เสมือนเขากำลังตั้งใจฟังเสียงสวดมนต์บางอย่าง ทำการหยั่งรู้ที่นี่
สือฮ่าวก็ได้ยินเช่นกัน มีเสียงสวดมนต์แว่วมาเป็นระลอกๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่เสียงสวดมนต์จากคนคนเดียว หลากหลายยิ่งนัก ถึงขั้นว่าเอะอะโวยวาย ดังอย่างต่อเนื่อง ภูเขาทั้งลูกถูกฉาบด้วยรัศมีประหลาดชั้นหนึ่ง
สือฮ่าวพุ่งขึ้นฟ้าดังฟิ้ว เหยียบลงบนภูเขาแล้วมองหลังเขา จากนั้นก็ขนหัวลุก ถอยหลังทันที
ด้านหลังของภูเขามีหมอกดำปกคลุมจนมืดสลัว แต่ก็มีหมอกเซียนปะปนอยู่บ้าง เงาดำตะคุ่ม เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต
พวกมันครวญคราง คำรามท่ามกลางความมืดมน
ขณะเดียวกัน สิ่งมีชีวิตพิเศษบางส่วนก็นั่งสมาธิ นิ่งไม่ไหวติง กำลังสวดมนต์ รอบกายของพวกมันรายล้อมไปด้วยผู้ติดตาม นั่งลงและทำสมาธิไปตามๆ กัน
วิญญาณวีรชน!
วิญญาณวีรชนมากมายเช่นนี้ เบียดเสียดยัดเยียดราวกับเป็นทะเลกระดูก รวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด
วิญญาณวีรชนส่วนใหญ่ไม่สมบูรณ์ มีแค่วิญญาณวีรชนยิ่งใหญ่ที่สวดมนต์เหล่านั้นมีสมบูรณ์ หากจะพูดว่าสวดมนต์ สู้พูดว่าสำแดงเคล็ดวิชา กำราบสมุนจะเหมาะสมกว่า
“นี่เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง!” สือฮ่าวตกตะลึง สักวันหากปล่อยวิญญาณวีรชนเหล่านี้ออกไป ฟ้าดินต้องถอดสีแน่นอน
“เจ้าเพ่งมองให้ดี ข้างหลังสุดมีวิญญาณหลายตนเปลี่ยนเป็นสีทอง ปราศจากพลังหยินแล้ว ไม่ด้อยกว่าก่อนตายเท่าใดนัก” ชายชราโผล่มาข้างๆ แล้วพูดกับสือฮ่าวแบบนี้
สือฮ่าวลืมตาขึ้น และเห็นท่ามกลางหมอกดำ มีแสงทองปะปนอยู่ในกลุ่มวิญญาณวีรชน สว่างโชติช่วง ประดุจเป็นดวงอาทิตย์ที่ลุกโชนในม่านรัตติกาล
มันทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน วิญญาณแทบจะหยุดนิ่ง สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แผ่พลังเซียน หาใช่พลังความตาย!
“วิญญาณวีรชนพวกนี้แข็งแกร่งเหลือเกิน หากพวกมันออกจากที่นี่ล่ะก็ ใครจะขวางได้?” สือฮ่าวเสียวสันหลังวาบ อย่าว่าแต่วิญญาณที่ส่องแสงทองเลย ต่อให้เป็นลูกสมุนพวกนั้น หากว่าพุ่งเข้ามา ก็ยากจะต้านทานได้ ไม่ใช่แค่สือฮ่าวจะตายอยู่ที่นี่ โลกหล้าก็โกลาหลเป็นแน่!
ชายชราพูดว่า “ที่นี่ชื่อว่าเนินเขาเซียน แท้จริงแล้วเป็นสุสานโบราณ ฝังร่างสิ่งมีชีวิตมากมายหลังศึกใหญ่ รวมถึงเซียนด้วย! บางส่วนกลายเป็นวิญญาณ ทำให้ที่นี่น่ากลัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องเป็นกังวล พวกมันออกไปไม่ได้ เพราะมีพลังผนึกที่นี่ไว้!”
สือฮ่าวเหาะขึ้นไปสูงกว่าเดิม และได้เห็นกระดาษสีเหลืองติดอยู่อีกฟากหนึ่งของภูเขา ด้านบนสลักอักษรเซียนโบราณว่า ผนึก
เป็นแค่กระดาษเก่าๆ ใบหนึ่ง ผ่านร้อนผ่านหนาวจนเหลือง แต่ยังมีอานุภาพยิ่งใหญ่ปานนี้ กำราบวิญญาณวีรชนมากเหลือคณานับที่นี่ ไม่มีใครย่างกรายเข้ามาได้แม้แต่ก้าวเดียว!
“คล้ายว่าจะเคยมีคนพูดไว้ คนมีวาสนาในรุ่นหลังจะมาเปิดผนึกที่นี่ พาวิญญาณวีรชนเหล่านี้ไปร่วมศึก เพียงแต่ต้องระวัง หากพลาดท่าวิญญาณจะแยกแยะไม่ออกว่าเป็นพวกเดียวกันหรือศัตรู” ชายชราพูด
เขาเป็นคนที่ถูกสลักบนผนังหิน ภายหลังเกิดมีปัญญาขึ้นมา ไม่มีทางรู้เรื่องในอดีตทั้งหมด แต่สิ่งที่เปิดเผยก็นับว่าสะเทือนปฐพีแล้ว
สือฮ่าวมองวิญญาณเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย ดวงแสงสีทองข้างในน่ากลัวเป็นที่สุด หากของพวกนั้นหลุดออกไปต้องน่ากลัวอย่างยิ่ง
“นอกจากนี้ เหมือนข้าจะเคยได้ยินเสียงหนึ่งบอกข้าว่า ให้ข้าบอกคนรุ่นหลัง ใต้พิภพผืนนี้มีผู้สูงสุดที่น่ากลัวยิ่งกว่าหลับใหลอยู่” ชายชราพูด
สือฮ่าวเหลียวมองเขาทันที จิตใจว้าวุ่นยิ่งกว่าเดิม
“ว่ากันว่า คงจะเป็นผู้กล้าสูงส่งในหมู่วิญญาณ เป็นวิญญาณสูงสุดตั้งแต่ยุคเซียนโบราณ อดีตชาติของเขายาวไกลจนจินตนาการไม่ออก!” ชายชราบอกเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม วิญญาณวีรชนที่นี่เป็นดาบสองคม
“ข้าจะจำไว้!” สือฮ่าวพูด หากมีทางเลือก เขาไม่อยากมาที่นี่ แต่หากมีวันนั้นจริง เขาก็อาจจะมาเยือนแล้วปลดพันธนาการโดยที่ไม่เกรงกลัวอะไร
สือฮ่าวหันหลังจากไป ไม่สดับฟังเสียงสวดมนต์ที่วุ่นวายพวกนั้นอีก มันไม่มีความหมายกับเขามากนัก
“ลาก่อน ข้าจะไปบำเพ็ญเพียร ใช้กายเป็นพันธุ์ ต้องสำเร็จแน่นอน!” สือฮ่าวตัดสินใจหวนกลับสำนักเทพสวรรค์ ไปจากเนินเขาเซียน เพื่อบุกเบิกเส้นทางนิพพานของตัวเอง