Perfect World โลกอันสมบูรณ์แบบ - ตอนที่ 1265
สายลมโชยปะทะหน้า เห็นภูมิทัศน์ข้างล่างชัดเจน กว้างใหญ่ไพศาล
สือฮ่าวเหินเวหา ข้ามผ่านมหาสมุทร ผ่านทะเลทรายสีทองไร้ที่สิ้นสุด และภูเขานับล้านอันอุดมสมบูรณ์
สวรรค์ไร้ขอบเขตมีชื่อในเก้าสวรรค์มาก มีขนาดใหญ่ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ยอดเขาสีแดงข้างหน้าเป็นเหมือนปะการังในท้องทะเล แดงพร่างพรายจนแทบโปร่งแสง วิเศษยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นดินวิเศษ
ภูเขาแทบจะโปร่งใส แต่ยังคงเต็มไปด้วยพืชพรรณมากมาย ล้วนเป็นยาวิเศษ และยังมีสมุนไพรทั้งหลายงอกเงยตามซอกหินของภูเขา
ยิ่งไปกว่านั้น มีควันเบาบางลอยขึ้น พร้อมกับแสงสีแดงอ่อน ที่นี่เหมือนดินแดนเทวสถิต บวกกับภูเขาขนาดมหึมา ดึงดูดสายตามากเป็นพิเศษ
เมื่อสือฮ่าวผ่านมาที่นี่ ก็หยุดลง
ที่นี่มีนักพรตไม่น้อยเลย ผู้คนขวักไขว่ คึกคักอย่างมาก และมีนักพรตชราบางส่วนกำลังจับยามสามตา ตรวจสอบรากฐานใต้พิภพ เห็นได้ชัดว่าจะสร้างสำนักขึ้นที่นี่
สือฮ่าวทะยานลงมา เอ่ยถามคนคนหนึ่งว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องทำแบบนี้?
“เจ้าไม่รู้หรือว่า ตอนนี้สำนักเซียนรุ่งโรจน์ สำนักปราชญ์รุ่งเรือง ต่างก็มีบุคคลไม่ธรรมถือกำเนิด คนของพวกเขากำลังค้นหาถ้ำสวรรค์แน่ะ” มีคนตอบ
สือฮ่าวแปลกใจ ทั้งสองสำนักล้วนมีแดนสุขาวดี ตัดขาดจากภายนอก เป็นสถานที่ซึ่งมีพลังปราณหนาแน่นที่สุด ยังต้องหาถ้ำสวรรค์อีกหรือ?
ไม่นานเขาก็ทราบสถานการณ์ ผู้คนสัญจรเยอะยิ่งนัก จึงมีคนอธิบาย
“ตอนนี้ สำนักเซียนและสำนักปราชญ์รุ่งเรืองยิ่งนัก แต่สองสำนักไม่พอใจแต่อย่างใด กำลังพิจารณาเรื่องร่วมมือ จะรวมตัวกัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนของลูกศิษย์ เพื่อรับมือกับหายนะ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน”
สือฮ่าวชะงัก มันไม่กะทันหันเลย เขานึกถึงเรื่องที่สองสำนักไปคัดเลือกศิษย์ในสำนักเทพสวรรค์ ก็เคยมีข่าวลือแล้วว่า สามสำนักจะร่วมมือกัน
เมื่อถึงตอนนั้น จะถอนรากฐานใต้ดินของสามสำนักแล้วเคลื่อนมาอยู่ด้วยกัน แม้กระทั่งว่าย้ายถ้ำสวรรค์ของเซียนใต้สำนักไปด้วย
เมื่อถึงตอนนั้น พลังปราณฟ้าดินจะต้องหนาแน่นจนแยกจากกันไม่ได้ กลายเป็นดินแดนบำเพ็ญเพียรที่น่าตะลึงที่สุดในเก้าสวรรค์
“เลือกตำแหน่งที่นี่หรือ?” สือฮ่าวเอ่ยถาม
“นี่เป็นเพียงหนึ่งในเป้าหมายเท่านั้น ยังไม่แน่ใจ มีเป้าหมายหลายแห่ง กระจายอยู่ในเก้าสวรรค์ ตอนนี้กำลังเลือกและตัดสินใจขั้นสุดท้าย”
สำนักเซียนกับสำนักปราชญ์เลือกตำแหน่ง ต้องขุดเจอร่องรอยเซียนที่น่าตะลึงที่สุดแน่นอน มันต้องน่าตะลึงอย่างยิ่ง แท้ที่จริงแล้วความลับแพร่สะพัดนานแล้ว ผู้เฒ่าเหล่านั้นกำลังค้นหาถ้ำวิถีเซียนหลายแห่งในตำนาน!
การค้นหามาอย่างยาวนาน พวกเขารู้พิกัดคร่าวๆ แล้ว ตอนนี้หากจะเลือกเป้าหมายที่แท้จริง คงจะตั้งอยู่บนดินแดนโบราณเป็นแน่
“หากเจอแดนลับของราชันเซียน มันจะเหนือจินตนาการ ได้รับมรดกขั้นสุดยอดของราชันเซียน!”
“ชู่ว อย่าพูดส่งเดช มันยังไม่ถูกเปิดเผย ระวังผู้อาวุโสในสำนักจะลงโทษเจ้า!” มีคนแทรกคำพูดของคนคนนั้น
มันทำให้สือฮ่าวตื่นตะลึง ดินแดนโบราณหลายแห่งในตำนาน ถ้ำสวรรค์ที่เหล่าผู้เฒ่าตามหา มันเป็นแดนลับราชันเซียนหรือ? น่าตะลึงนัก!
ตั้งแต่อดีตยันวันนี้ จะมีราชันเซียนกี่คนกัน?
สือฮ่าวหายใจเข้าดังเฮือก ต้องรู้ว่า จวบจนวันนี้ ไม่มีแม้แต่เซียนขนานแท้ ไม่มีให้เห็นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ในเซียนโบราณ ผู้อมตะก็มีจำนวนน้อยจนนับได้
แต่ตอนนี้กลับขุดเจอแดนลับราชันเซียน จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร?!
นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ใหญ่ที่สุดของเก้าสวรรค์สิบพิภพอย่างไม่ต้องสงสัย!
หมอกลอยมาทางทิศตะวันออก กลิ่นอายความเป็นมงคลลอยลงมาจากฟากฟ้าราวกับธารน้ำตก อาบย้อมเทือกเขา
สือฮ่าวแปลกใจ เขาเป็นใครกัน ทรงพลังไม่น้อยเลย ขี่เมฆมาเช่นนี้ ขั้นบำเพ็ญคงจะไม่ธรรมดาอย่างมาก
“นั่นคงจะเป็น…เด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง มาเลือกถ้ำสวรรค์ที่นี่” มีคนกระซิบ ท่าทางเหมือนหวาดกลัวมาก
จากบทสนทนาของผู้คน สือฮ่าวจึงทราบว่า อัจฉริยะขั้นสุดยอดบางส่วนของสำนักเซียนส่งผู้ติดตามมา เพื่อชิงถ้ำสวรรค์ในเทือกเขาที่คิดว่าจะได้เป็นแดนแห่งการบำเพ็ญเพียรในวันหน้า
เมื่อเลือกตำแหน่งแล้ว จุดที่มีพลังปราณหนาแน่นที่สุดคงจะถูกมอบให้อัจฉริยะสะเทือนโลกาเหล่านั้น
เทพตะวันม่วงโด่งดังมากหรือ สือฮ่าวส่ายหน้า เขาไม่เคยได้ยิน รู้จักแค่สุนัขนรกกับราชันสวรรค์น้อย คนอื่นไม่เคยได้ยิน
หมอกขมุกขมัวเป็นเหมือนผ้าบาง ปกคลุมเทือกเขา ให้ความรู้สึกสุขสงบอย่างน่าประหลาด ทำให้เกิดความรู้สึกตอบสนอง อยากจะก้มลงกราบคารวะ
เป็นแค่เด็กรับใช้จริงหรือ? สือฮ่าวตกใจเล็กน้อย คงจะอยู่ในขั้นเจ้าสำนักแล้ว แต่ท่าทางของคนคนนี้อวดดีไม่เบาเลย
“เด็กรับใช้คนนี้ ช่าง…ไร้เดียงสาเสียจริง” มีคนอยากแสยะยิ้ม พูดจาไม่น่าฟังออกมา แต่สุดท้ายก็ต้องกลับคำ
“สหายโปรดระวังคำพูด อย่าล่วงเกินเขา แต่เขาอายุยังน้อยมากจริงๆ สำรวมต่อหน้าเทพตะวันม่วงจนชิน ออกมาได้ยาก มีกิริยาเช่นนี้ ย่อมเข้าใจได้” เทพสวรรค์ชราอายุไม่น้อยแล้วคนหนึ่งพูดขึ้นมา
สือฮ่าวเริ่มหมดความอดทนแล้ว จึงถามว่าเทพตะวันม่วงเป็นใครกันแน่ เด็กรับใช้ของเขาทำให้คนหวาดกลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หลายคนเผลอปรายตามองเขาหลายครั้งราวกับเห็นตัวประหลาด ดูแปลกใจอย่างมาก
“สหายคนนี้คงจะจำศีลเป็นเวลานาน ไม่ออกมามองโลก จึงไม่รู้ความเหนือชั้นและความรุ่งโรจน์ของเทพตะวันม่วง” มีคนพูดยิ้มๆ
ครู่หนึ่งสือฮ่าวก็ได้รู้ว่าเทพตะวันม่วงไม่ธรรมดาอย่างไร ยามคนเหล่านี้พูดถึง ต่างก็เคารพยำเกรงอย่างยิ่ง
เทพตะวันม่วงมาจากตระกูลอมตะ ซึ่งมีชื่อว่า จวนม่วง เป็นหนึ่งในแดนโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดในเก้าสวรรค์สิบพิภพ!
ตระกูลนี้มีต้นกำเนิดจากยุคก่อน บางทีอาจเรียกได้ว่าผู้อมตะเป็นผู้บุกเบิก มีอานุภาพสูงส่งในอดีต สว่างโชติช่วงราวกับดวงอาทิตย์กลางผืนฟ้า
เทพตะวันม่วงอายุไม่มาก เป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง ตอนที่เขากำเนิดมีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในมาตุภูมิของตระกูล เช่นสัตว์เทพเจ้าและปักษาเซียนแผดร้อง
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าตะลึงที่สุดคือ ดวงอาทิตย์สีม่วงคล้อยลงมาจากฟากฟ้า สาดส่องไปทั่วปฐพี บดเบียดเต็มนภา
สุดท้ายมันก็หดเล็กลง ตกลงไปในห้องคลอด ผ่านไปไม่นาน เทพตะวันม่วงก็ถือกำเนิด
เรื่องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำนาน หลายคนไม่เชื่อ แต่ก็มีคนส่วนหนึ่งเชื่อ ซ้ำยังบอกว่ามีหลักฐาน คิดว่าเขาเป็นบุคคลวิถีเซียนกลับชาติมาเกิด
และเขาถูกส่งตัวเข้าสำนักเซียนตั้งแต่เด็ก เพื่อรับการศึกษาจากเหล่าผู้เฒ่า ได้รับทรัพยากรชั้นยอดจากตระกูล และได้รับสมุนไพรล้ำค่าที่เหล่าผู้เฒ่าสำนักเซียนประทานให้ ถูกอาบชำระด้วยยาขั้นเทพนานาชนิด ว่ากันว่าฝึกตนจนมีร่างคงกระพันแต่เยาว์วัย ถูกขนานนามว่าอมตะ!
จากนั้น สิ่งที่เหมือนตำนานยิ่งกว่านั้นคือ ยามเหล่าผู้เฒ่าสำนักเซียนขุดเจอถ้ำสวรรค์ใต้พิภพ เทพตะวันในวัยเยาว์ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีเมล็ดพันธุ์สีม่วงลอยออกมาจากถ้ำ ซึมลงไปในตัวเขา
“รู้ไหมว่ามันเป็นเมล็ดพันธุ์อะไร ธาตุปฐมกาล เมล็ดพันธุ์สูงส่งที่หายากในประวัติศาสตร์ เลื่องชื่อในยุคเซียนโบราณยิ่งนัก ว่ากันว่าหากรวมเป็นหนึ่ง จะกวาดล้างเก้าสวรรค์สิบพิภพได้ มันเป็นเมล็ดพันธุ์ไร้พ่าย!”
มีคนอุทานขึ้นมา คนอื่นก็ทำหน้าอิจฉา แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเล่าของเทพตะวันม่วง แต่ยังคงรู้สึกว่าคนคนนี้เหนือชั้น นี่มันบุตรแห่งสวรรค์ ได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ชัดๆ
ส่วนพลังต่อสู้ของเขานั้นยิ่งไร้เทียมทาน ตอนนี้เขารวมเป็นหนึ่งกับธาตุปฐมกาลอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว วันที่ออกจากการจำศีล หมอกกระจายไปทั่วสามหมื่นลี้ สะเทือนปฐพี
ปรากฏการณ์น่าตะลึงแบบนี้ เหนือกว่าตำนานในสมัยโบราณ เหนือกว่าบรรพชนเสียอีก!
“พวกเจ้ารู้จักป่าหินทะเลเหนือใช่ไหม ผู้มีพลังแก่กล้าไปทิ้งชื่อไว้ได้ สลักชื่อของตัวเอง หลังเทพตะวันม่วงไปที่นั่น ก็สลักชื่อไว้บนยอดของลานประลองแห่งหนึ่งได้สำเร็จ เปล่งประกายไปทั่วเก้าสวรรค์!”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ สือฮ่าวก็พูดไม่ออก ภูมิหลังชีวิตของคนคนนี้เจิดจรัสเหลือเกิน ไม่อยากเลื่องชื่อลือชาก็ไม่ได้
เมื่อก่อน เทพตะวันม่วงจำศีลมาตลอด จึงไม่มีใครล่วงรู้ หลังเสร็จสิ้นการบำเพ็ญเพียร จึงกระฉ่อนไปทั่ว
และสือฮ่าวก็รู้แล้วว่าทำไมเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วงจึงยิ่งใหญ่ปานนี้ เพราะเทพตะวันม่วงโปรดปรานการอ่านคัมภีร์เป็นชีวิตจิตใจ เด็กรับใช้คนนี้จะคอยอยู่เคียงข้าง เมื่อสั่งสมเป็นเวลานาน เด็กรับใช้จึงบรรลุธรรม พลังก้าวหน้า เหนืออัจฉริยะทั่วไป
ตูม!
มีเสียงปะทะอย่างรุนแรงดังมา ทำให้ยอดเขาสีแดงสั่นสะเทือน
มีคนกำลังต่อสู้กับเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง แสงสีแดงไหลเวียน ประหนึ่งดวงตะวันยามอรุณรุ่งระเบิด และเหมือนลาวาจำนวนมหาศาลไหลหลั่งกลางอากาศ โชติช่วงจนน่าตกใจ
“เอ๊ะ นั่นใครน่ะ ถึงกล้าต่อสู้กับเด็กรับใช้ของเทพตะวันม่วง คิดจะกำราบหรือ?”
ทุกคนต่างก็แปลกใจ ต้องรู้ว่าเทพตะวันม่วงในตอนนี้เป็นดั่งดวงตะวัน ส่องแสงไปทั่วหล้า เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายต่างฝากความหวังไว้ที่เขา น้อยคนจะกล้าท้าทาย
“กล้าแตะต้องคนของเทพตะวันม่วง ใครกัน?”
“แสงสีแดงฉานนั่น เป็นเหมือนอินขนาดใหญ่” มีคนพูดด้วยความสงสัย จากนั้นนัยน์ตาก็แววโรจน์ “ข้ารู้แล้ว ถึงว่ากล้าแตะต้องเด็กรับใช้คนนั้น”
“เขาเป็นผู้ติดตามของมหาโสดา ย่อมไม่กลัวคนของเทพตะวันม่วง เพราะทั้งสองสูสีคู่คี่กัน”
สือฮ่าวเงียบงัน ดูแล้วมีบุคคลเหนือข้อพิพาทปรากฏกายในช่วงที่เขาจำศีล และเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่า มหาโสดาคนนั้นต้องน่าตะลึงยิ่งเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะเทียบเคียงเทพตะวันม่วงได้อย่างไร
แน่นอนว่าเขาต้องเอ่ยถามคนข้างๆ
“มหาโสดา เป็นบุคคลเหนือธรรมชาติ ผลสำเร็จในวันหน้าจะน่ากลัวเหนือจินตนาการ กลายเป็นเซียนแน่นอน” มีคนอุทาน
มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? สือฮ่าวไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใดนัก ตอนนี้ในโลกไม่มีผู้อมตะแล้ว จะมีกี่คนกล้าพูดว่าตัวเองจะบรรลุเป็นเซียน?!
“เจ้ารู้จักนักพรตที่มีนามว่าสงฆ์หรือไม่?” คนคนนั้นกระซิบถาม
“รู้จัก!” สือฮ่าวย่อมรู้จัก นักพรตแบบนั้นเคยมีอยู่ในยุคเซียนโบราณ แถมยังยิ่งใหญ่สุดแสน และลึกลับยิ่งนัก เป็นเซียนโบราณประเภทหนึ่ง
เพียงแต่ว่า มันสูญสิ้นไปแล้ว ไม่มีให้เห็นในยุคนี้แล้ว
“มหาโสดาไม่ได้หลอมรวมกับเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์เช่นคนอื่น เขามีความเฉพาะตัว พบสารีริกธาตุของสงฆ์โบราณในโบราณสถานแห่งหนึ่ง จึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ตามข่าวที่แว่วมาจากสำนักเซียน สารีริกธาตุของสงฆ์รูปนั้นสะเทือนฟ้าดิน มีพลังที่น่ากลัวเกินจินตนาการแฝงอยู่ ร่ำลือกันว่าเป็นพลังปราณทั้งชีวิตของเซียนโบราณท่านหนึ่ง
สารีริกธาตุของสงฆ์ขั้นเซียน หลอมรวมเป็นหนึ่งกับมหาโสดา ย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ เขาได้รับมรดกของสงฆ์รูปนั้น ความสามารถยากลึกหยั่งถึง
ประสิทธิภาพของสารีริกธาตุไม่ด้อยกว่าเมล็ดพันธุ์สมบูรณ์แบบ มีคนคาดการณ์ว่า สงฆ์โบราณที่นิพพานอาจมีภูมิหลังสะเทือนเก้าสวรรค์
สือฮ่าวออกเดินทางพร้อมกับความตกใจและแปลกใจ มุ่งหน้ากลับสำนักเทพสวรรค์ เขาไม่คิดว่าหลังปรากฏตัวจะมีสถานการณ์แบบนี้ มีอัจฉริยะวิปริตเช่นนั้นทยอยกันถือกำเนิด
ต่อมาไม่นาน เขาก็กลับมาถึงสำนักเทพสวรรค์ พบว่าที่นี่คึกคักยิ่งกว่า มีคนจำนวนมากที่มาจากสำนักเซียนและสำนักปราชญ์
เสียงคนดังอึกทึก หลายคนกำลังวิจารณ์ กำลังเปรียบเทียบว่าใครยิ่งใหญ่ที่สุด กลายเป็นบุคคลผู้สูงสุดของรุ่นหนุ่มสาว
ทำไมครื้นเครงแบบนี้? สือฮ่าวฉงนใจ
จากนั้น บทสนทนาของคนอื่นก็ทำให้เขาเข้าใจ เพราะมีถ้ำสวรรค์ใต้สำนักเทพสวรรค์ ถ้ำที่ไม่เคยถูกเปิด ตอนนี้สามสำนักจะรวมเป็นหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้ย่อมจะได้เห็นแสงตะวันแล้ว
ด้วยเหตุนี้ อัจฉริยะทั้งสองสำนักจึงโผล่มา เพื่อช่วงชิงโชคชั้นใหญ่ที่นี่
“เฮ้อ น่าเสียดาย นี่เป็นถ้ำโบราณของสำนักเทพสวรรค์ แต่กลับไม่มีอัจฉริยะช่วงชิงกับสองสำนัก สุดท้ายต้องกลายเป็นของคนอื่น เจ็บใจนัก!” มีคนไม่พอใจ
เพราะตอนนี้ สำนักเทพสวรรค์เรียกได้ว่าขาดแคลนอัจฉริยะ บุคคลเหนือชั้นขนานแท้ถูกสองสำนักเลือกไปแล้ว คนที่เหลือเมื่อเทียบกันแล้วความสามารถไม่เพียงพอ