Perfect Superstar - ตอนที่ 185 บุปผานารี
ห้องอัดเสียงของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดถือว่าเป็นห้องอัดเสียงที่ได้มาตรฐานชั้นยอดของประเทศ ทั้งในด้านขนาดพื้นที่และคุณภาพของอุปกรณ์
การเป็นบริษัททำแผ่นเสียงเก่าแก่แห่งหนึ่ง บริษัทเฟยสือเรคคอร์ดยินดีลงทุนในอุปกรณ์ต่างๆ เคยมีซูเปอร์สตาร์มาอัดเพลงออกอัลบั้มในห้องอัดเสียงนี้ เคยชื่นชมว่าการอัดเสียงในห้องที่มีสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ช่วยให้อารมณ์ของเขาเพิ่มสูงขึ้น หรืออาจจะพุ่งถึงขีดสุด
แม้การชื่นชมจากซูเปอร์สตาร์จะเกินจริงไปบ้าง แต่ห้องอัดเสียงของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดก็มีชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ด้วยเหตุนี้เฉินเฟยเอ๋อร์ถึงนำอัลบั้มของตัวเองมาจัดทำที่นี่ตั้งแต่ไหนแต่ไร
ลู่เฉินที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกถึงกับตกตะลึง
ต่อให้เขาไม่เชี่ยวชาญด้านการอัดเสียง ยังมองออกว่าห้องอัดเสียงของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดไม่ธรรมดา เงินลงทุนน่าจะใช้สักหลายสิบล้าน เมื่อเปรียบเทียบกับห้องอัดเสียงของสตูดิโอเนี่ยผานแล้วฝ่ายหลังเล็กจนน่าสงสาร
แต่ลู่เฉินยังคงชื่นชมสองพี่น้องหวังจิ้งแห่งสตูดิโอเนี่ยผานอยู่เหมือนเดิม เมื่อมีเงื่อนไขที่จำกัด ยังต้องช่วยเขาจัดทำอัลบั้มที่โด่งดังชุดแรกออกมาได้ เพียงพอแล้วที่จะภูมิใจ!
เฉินเฟยเอ๋อร์เข้าไปในห้องอัด
ลู่เฉิน หลินจื้อเจี๋ย อี้เซียงจวิน ฟ่านจวิ้น สมาชิกวงเอ็มเอสเอ็น และคนของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดต่างอยู่กันด้านนอก
นอกจากนี้ยังมีอีกหกเจ็ดคน ที่ได้ข่าวจึงรีบเข้ามา
หนึ่งในนั้นเมื่อลู่เฉินมองเห็นแล้วก็รู้สึกคุ้นหน้า เป็นนักแสดงที่มักโลดแล่นอยู่ในจอแก้ว
พวกเขาก็อยากฟังเฉินเฟยเอ๋อร์ร้องเพลงใหม่
เฉินเฟยเอ๋อร์สวมหูฟังอย่างคุ้นเคย ยืนอยู่หน้าไมโครโฟน
เธอหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เริ่มปรับอารมณ์
นักร้องที่โดดเด่นมากประสบการณ์ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อให้เหมาะกับเนื้อเพลงและทำนอง
เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้ว เสียงร้องที่เปล่งออกมาถึงจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์เพลงออกมาได้ดี ทำให้คนฟังไม่รู้สึกว่าจอมปลอม
เฉินเฟยเอ๋อร์เข้าวงการมาแล้วสิบกว่าปี เข้าห้องอัดเสียงไม่รู้กี่รอบ การปรับอารมณ์สำหรับเธอเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด
แต่ผ่านไปครึ่งนาทีแล้ว เธอยังไม่ลืมตา
ไม่เหมือนกับทุกที
ต้องรู้ว่านี่เป็นเพียงการทดสอบร้องเพลงเท่านั้น ยังไม่ใช่การอัดจริง มาตรฐานไม่จำเป็นต้องสูง!
เหตุผลเดียวที่อธิบายได้ก็คือ เฉินเฟยเอ๋อร์เองตั้งความคาดหวังไว้สูง ตั้งมาตรฐานการร้องเพลงแรกไว้สูงยิ่งกว่า
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการทดสอบร้องก็ตาม!
ในห้องผู้ฟังเงียบสงัด ไม่มีใครพูดคุย ทุกคนพยายามควบคุมลมหายใจให้บางเบา
ด้วยเงื่อนไขของอุปกรณ์ในห้องอัดเสียงของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด หากตะโกนเสียงดัง ตีกลองเคาะโต๊ะในห้องฟังเสียงจากด้านนอก เสียงจะไม่มีทางเล็ดรอดเข้าไปในห้องอัดเสียงด้านในได้เลย แต่ทุกคนก็กลัวว่าจะรบกวนเฉินเฟยเอ๋อร์
สามสาวของวงเอ็มเอสเอ็นยืนอยู่หน้าสุดในมุมหนึ่งของห้องควบคุมเสียง พวกเธอมองผ่านกระจกบานใหญ่ มองดูราชินีเพลงรักด้วยแววตาที่ตื่นเต้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นมา
ริมฝีปากหยักขึ้นเผยเป็นรอยยิ้ม มองไปทางนักอัดเสียงส่งสัญญาณ “OK”
ฝ่ายหลังพยักหน้ากดปุ่มเปิดทำนองเพลงบนแผงควบคุมเบื้องหน้า
ทำนองเพลงที่เฉินเฟยเอ๋อร์ทดลองร้องเป็นทำนองที่ลู่เฉินร่วมกับหวังจิ้งจัดทำขึ้นที่สตูดิโอผานสือ อย่างมากถือว่าเป็นผลงานครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าต้องเรียบเรียงทำนองใหม่ทั้งหมด
การทดลองร้องแล้วไม่มีปัญหา
เพลงนี้เฉินเฟยเอ๋อร์จะนำมันมาใส่ลงในอัลบั้มใหม่ และทำนองท่อนแรกของเพลงหลักนี้ เมื่อผ่านการปรับเสียงระดับสูงแล้ว น้ำเสียงที่มีความคมชัดก็ไหลผ่านเข้าสู่รูหูของทุกคน
หลินจื้อเจี๋ยขมวดคิ้ว
เพียงแค่ดนตรีท่อนแรก ช่างแตกต่างจากแนวเพลงของลู่เฉินและสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง ทั้งยัง…หยาบเล็กน้อย
ฟ่านจวิ้นหนังตากระตุก ใบหน้าฉายแววเยาะเย้ยแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ยังคงร้องเพลงต่อ ภายในพริบตา ท่าทางของเธอเหมือนนิ่งค้าง!
“ฉันมีดอกไม้ดอกหนึ่ง
ปลูกไว้ในหัวใจ
ดอกตูมส่งกลิ่นหอมอ่อน
ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น
ฉันเฝ้ารอแล้วรอเล่า
ใครบางคนมาเข้าฝัน
บุปผานารี~ลอยล่องอยู่ในโลกที่มีราคี
บุปผานารี~ปลิวไสวตามสายลมละมุน
หวังเพียงแค่~มืออันอบอุ่น
มาช่วยปลอบโยน~ใจฉันที่เดียวดาย
…”
ในห้องควบคุมเสียง นอกจากลู่เฉิน คนทำเพลงทั้งหลายประหลาดใจ
เพราะพวกเขาคิดไม่ถึงว่า คนที่กำลังร้องเพลงเข้าถึงอารมณ์อยู่ตอนนี้คือเฉินเฟยเอ๋อร์
ไม่ใช่ว่าเฉินเฟยเอ๋อร์ร้องเพลงไม่เข้าขั้น เธอร้องได้ไพเราะมาก เข้าถึงและคล้อยตามอารมณ์เพลงได้อย่างลึกซึ้ง
แต่เพลงนี้มันอาจจะทำลายตัวเฉินเฟยเอ๋อร์
การเป็นราชินีเพลงรักตัวท็อปของวงการในประเทศ ผลงานของเฉินเฟยเอ๋อร์ล้วนแล้วแต่ไพเราะเพราะพริ้ง เพลงที่เธอร้องล้วนอ่อนหวานหยาดเยิ้ม ความหวานแทรกซึมเข้าไปในใจของคนฟัง ทำให้รู้สึกถึงความผาสุกและสวยงาม
ฟังเพลงของเธอเหมือนกำลังดื่มน้ำผึ้งเดือนห้าอยู่
ทั้งในและนอกวงการ แค่เอ่ยถึงเพลงหวาน ทุกคนต้องนึกถึงเฉินเฟยเอ๋อร์เป็นคนแรก!
แต่เพลงที่เธอกำลังร้องอยู่ในตอนนี้ เป็นเพลงรักตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเพลงรักที่เศร้าโศกอาวรณ์
เสียงของเธอไม่อ่อนหวานหยดย้อยอีกต่อไป เสียงทุ้มต่ำเจือปนด้วยความทุกข์ ยิ่งกว่านั้นเจือไปด้วยความโศกเศร้า
ทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบตาลปัตร เปลี่ยนทิศทางอย่างใหญ่หลวง!
“…
ฉันมีดอกไม้ดอกหนึ่ง
ส่งกลิ่นหอมฟุ้งทุกก้านใบ
จะมีผู้ใดค้นหามันด้วยใจจริง
บุปผาเบ่งบานไม่นานนัก
ฮา~ไยไม่หักเด็ดดอมก่อนจะสาย
นารีราวบุปผาในความฝัน!
ฉันมีดอกไม้ดอกหนึ่ง
เติบโตในหัวใจของฉัน
รักแท้ไม่มีใครเข้าใจ
ทุ่งหญ้าอันห่างไกล
เต็มไปด้วยเนินดินหินทราย
ดมดอมกลิ่นหอมเพียงลำพังช่างเจ็บปวด!
……”
บุปผานารี ไม่อดทนต่อการทดสอบของกาลเวลา หญิงสาวเหมือนดอกไม้ส่งกลิ่นหอมหวนไร้สุ้มเสียง หญิงสาวราวบุปผา แข่งสีสันกันเพียงเพื่อให้คนชื่นชม…เพลงธรรมดาๆ เพลงหนึ่ง ร้องถ่ายทอดความโดดเดี่ยวและช้ำใจของผู้หญิงออกมา
เนื้อร้องแม้จะสั้น แต่ก็เป็นข้อดีของการเปรียบเทียบผู้หญิงกับดอกไม้ หญิงสาวเสมือนดอกไม้ ดอกไม้ราวกับความฝัน ทั้งหมดมันคือความว่างเปล่าจับต้องไม่ได้ เมื่อความรักลึกซึ้ง ความหมายของบทกวีที่สวยงามปรากฎออกมาจนหมด
เพลงอันอ้างว้างและอ่อนโยนนี้ เป็นเพลงเศร้า มันสะท้อนความรู้สึก แสดงออกถึงความรัก ที่ถูกปกคลุมด้วยความเหงา!
หลินจื้อเจี๋ยมองลู่เฉินอย่างไม่เชื่อมัน…เขาทำได้ยังไง ทำไมถึงเขียนเพลงแบบนี้ออกมาได้?
ในห้องอัดเสียง เฉินเฟยเอ๋อร์กำลังร้องอย่างซาบซึ้ง สักพักน้ำตาก็ไหลออกมาเอง
เธอเข้าวงการมาสิบกว่าปี เดินทางมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่รู้ผ่านอุปสรรคความยากลำบากมาตั้งเท่าไหร่
เบื้องหลังของความรุ่งโรจน์คือคราบน้ำตา ความเสียใจ ความริษยา กฎของความมืดและแสงสว่าง คนที่มีใจคิดไม่ซื่อ เธอก็สามารถรักษาพื้นฐานความเข้มแข็งของตัวเองไม่ให้เอนเอียงไปสู่ทางมืดมน นอกจากความช่วยเหลือของเพื่อนแล้ว ตัวเองยังต้องเข้มแข็งมากด้วย
เธอระมัดระวังควบคุมอารมณ์ตัวเองด้วยดีเสมอมา ไม่เคยเปิดเผยด้านมืดของตัวเองออกไปง่ายๆ เพราะในวงการบันเทิง คนที่คู่ควรแก่การเชื่อถือและพึ่งพาได้มีน้อยเหลือเกิน
พวกผู้ที่ไล่ตามเธอซึ่งดูเหมือนมีอารยธรรม ไม่แน่ว่าอาจจะแอบซ่อนเล่ห์เพทุบายและความเห็นแก่ตัวเอาไว้
เมื่อก่อนเฉินเฟยเอ๋อร์มีข่าวเสียหายมากมาย นอกจากกระแสที่บริษัทสร้างให้เธอแล้ว นอกเหนือจากนั้นเกิดจากผู้ไม่หวังดีแขวนป้ายให้เธอ นี่ทำให้เธอยิ่งต้องระมัดระวังความรู้สึกของตัวเองตลอดจนถึงวันนี้ หรืออาจจะตลอดชีวิต
แต่เธอก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เป็นหญิงสาวที่เติบโตสมบูรณ์
ค่ำคืนอันเงียบเหงา เธอยังหวังในความรักที่จริงใจ หวังจะให้ใครมาเก็บเกี่ยวเธอเอาไว้
ตอนที่อาบน้ำ ยืนอยู่หน้ากระจก มองเงาของตัวเองด้วยความภูมิใจที่สุด อารมณ์ของเธอไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
เหมือนเนื้อร้องของเพลงบุปผานารี…ดมดอมกลิ่นหอมเพียงลำพังช่างเจ็บปวด!
เมื่อเฉินเฟยเอ๋อร์เปิดคำร้องและตัวโน้ตตัวอย่างที่ลู่เฉินส่งมา ตอนที่ได้ยินเพลงนี้เป็นครั้งแรก…
เธอถึงกับน้ำตาไหล
“รักแล้วถึงรู้ว่าลึกซึ้ง มัวเมาถึงรู้ว่าเหล้าแรง บุปผาผลิบานโรยร่วงล้วนศูนย์เปล่า…”
“บุพเพไม่คอยท่า ราวกับลมอุ่นพัดมาแล้วพัดไป หญิงสาวราวดอกไม้คล้ายความฝัน!”
เธอคือบุปผานารีที่อยู่กลางกระแสลม!
เธอหวังเพียงมีมือคู่หนึ่งที่อบอุ่นกอบกุม ปลอบประโลมหัวใจที่เดียวดาย
เธอถวิลหาไหล่อันแข็งแรงให้เธอได้พักพิง
เธอหวังเพียงบ้านสักหลังเพื่อพักใจ
เธอต้องการใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกของเธออย่างแท้จริง ชื่นชมความงามของเธอ
เธอใฝ่ฝันถึงความรักมาหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื่น
เธออยากอยู่กับคนที่รักไปจนแก่เฒ่า อยากมีสิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงมี!
เพลงนี้เป็นเพลงที่เขียนออกมาได้ตรงใจเฉินเฟยเอ๋อร์ ทำให้เธอตัดสินใจโดยไม่ลังเล
บุปผานารี
นี่เป็นเพลงหลักของอัลบั้มใหม่ของเธอ และจะใช้ชื่อเพลงเป็นชื่ออัลบั้มด้วย!
เฉินเฟยเอ๋อร์หลับตาลง ปล่อยให้หยาดน้ำตากลิ้งหล่นลงมาจากหางตา เธอร้องเพลงด้วยใจ
เธอลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง มองทะลุผ่านกระจกไปเห็นลู่เฉิน
ลู่เฉินมองเธออยู่เช่นกัน ในดวงตาดำขลับเจือปนด้วยความเข้าใจและอบอุ่น จนเข้าไปถึงก้นบึ้งในใจของหญิงสาว
กระทบกับหัวใจของเธอ!
ด้วยความไม่ตั้งใจ วันนั้นเธอกับลู่เฉินออกไปเที่ยวเล่น ร้องคาราโอเกะ ภาพนั้นลอยกลับเข้ามาสู่สมองของเธออีกครั้ง
เธอนึกถึงความรู้สึกที่นิ้วของลู่เฉินหยิกแก้มของเธอเบาๆ
เฉินเฟยเอ๋อร์เบี่ยงเบนสายตาออกไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ร้องท่อนสุดท้ายของเพลง
“…
บุพเพไม่คอยท่า
ราวกับลมอุ่นพัดมาแล้วพัดไป
หญิงสาวราวดอกไม้คล้ายความฝัน
หญิงสาวราวดอกไม้คล้ายความฝัน~”
อยู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป ในใจเคว้งคว้างว่างเปล่าราวกับสูญเสียสิ่งที่ล้ำค่า!
ในห้องปรับเสียงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงปรบมือดังสนั่นก็เกิดขึ้น!
คนที่ประทับใจที่สุดคือหลินจื้อเจี๋ย เขาออกแรงปรบมืออย่างตั้งใจ จนฝ่ามือแดงไปหมด
เพราะเขาได้ฟังเพลงรักที่เรียกได้ว่าเป็นเพลงคลาสสิค ได้ฟังเสียงของเฉินเฟยเอ๋อร์ที่ซาบซึ้งที่สุด
เพลงนี้ทำให้เขาไม่มีข้อโต้แย้งกับการเปลี่ยนแนวเพลงของเฉินเฟยเอ๋อร์
เขายืนยันว่าอัลบั้มชุดนี้จะต้องประสบความสำเร็จ!
ผู้อำนวยการเพลงแห่งบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดคนนี้รู้สึกเหมือนได้เป็นพยานในเกียรติยศครั้งนี้
ท่ามกลางเสียงปรบมือ ฟ่านจวิ้นนิ่งขรึม
เขามีความคิดจะตำหนิเพลงใหม่ของเฉินเฟยเอ๋อร์ แต่เพลงนี้ไม่มีข้อบกพร่องใด
แม้แต่ความคิดที่เขามีต่อลู่เฉินก็ยังไม่มีข้อโต้แย้ง
เพราะบนโลกใบนี้ สุดท้ายแล้วไม่มีใครล้ำเลิศเหนือกว่าพรสวรรค์ไปได้
ลู่เฉินมีพรสวรรค์เช่นนี้!
พ่ายแพ้ให้ผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ฟ่านจวิ้นไม่รู้สึกขายหน้า
เขาเพียงแต่รู้สึกละอายใจที่ตอนแรกบังเกิดความคิดประสงค์ร้าย หลินจื้อเจี๋ยตัดสินใจถูกต้องแล้ว
ลู่เฉินมีสิทธิ์ในการเข้ามาทำเพลงของวงเอ็มเอสเอ็นอัลบั้มแรก
นั่นถือเป็นเกียรติอย่างสูงของเฟยสือเรคคอร์ด!