Perfect Superstar - ตอนที่ 848 ก่อนอื่นต้องมีความเชื่อมั่น
ตอนที่ 848 ก่อนอื่นต้องมีความเชื่อมั่น
ตั้งแต่มีภาพยนตร์เกิดขึ้น ธุรกิจที่เกิดขึ้นเพื่อความบันเทิงนี้จวบจนวันนี้มีขนาดที่ใหญ่มากแล้ว
ในปี 2016 ยอดจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ทั่วโลกมีมูลค่า 45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เท่านั้น อุตสาหกรรมโดยรวมมีมูลค่าเกิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังคงมีแนวโน้มในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกันที่มีฮอลลีวูดเป็นตัวแทน ครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่เอาไว้ แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีนเฟื่องฟู และขนาดของตลาดก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยอดจำหน่ายตั๋วไม่แพ้สหรัฐอเมริกาเลย ภาพยนตร์ของประเทศจีนเองก็ไม่พ่ายแพ้แก่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดอีกต่อไป พวกเขาแย่งชิงส่วนแบ่งเค้กชิ้นใหญ่เอาไว้ได้แล้ว
แต่ในหลายๆ ด้าน ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างภาพยนตร์ในประเทศและภาพยนตร์ฮอลลีวูด เรื่องที่เป็นตัวอย่างได้ดีที่สุดคือสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์
ภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง โดยเฉพาะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูน ยอดจำหน่ายตั๋วคิดเป็น 15-25% ของรายได้รวมทั้งหมดเท่านั้น รายได้ส่วนใหญ่มาจากสินค้าที่ระลึก ลิขสิทธิ์แบรนด์ และการโอนลิขสิทธิ์ ซึ่งผลกำไรก็น่าทึ่งมาก
ตัวอย่างเช่น กำไรสุทธิของสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์อาจมากถึง 50-60% ซึ่งมากกว่าส่วนแบ่งยอดจำหน่ายตั๋วมาก อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ในประเทศไม่ประสบความสำเร็จในด้านนี้มานานแล้ว แม้ว่าภาพยนตร์หลายเรื่องได้เปิดตัวสินค้าที่ระลึก แต่ยอดขายสินค้ามักจะไม่ดี ดังนั้นบริษัทผลิตภาพยนตร์ในประเทศจึงยอมแพ้กับเรื่องนี้ไปแล้ว
สำหรับเหตุผลเมื่อพูดแล้วก็ซับซ้อนมาก
แต่สถานการณ์อย่างนี้เมื่อปีก่อนถูกเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ ทำลายลงแล้ว สินค้าที่ระลึกของเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ มียอดขายเกินหนึ่งร้อยล้าน ในตอนนั้นสร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งวงการ ทำให้ผู้คนต่างก็จดจ้องไปที่นั่น
เรื่อง ‘เด็กหนุ่มท่องยุทธภพ’ ที่เข้าฉายช่วงฤดูร้อนก็ทำสินค้าที่ระลึกออกมาไม่น้อย สุดท้ายเมื่อยอดจำหน่ายตั๋วย่ำแย่ รีวิวจากผู้คนก็ไม่ดี สินค้าที่ระลึกจึงกองเป็นเบืออยู่ในโกดัง สุดท้ายก็ขาดทุนเสียจนต้องขายเททั้งโกดัง
สิ่งที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือ ภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ของเฉินเฟยมีเดีย ที่อยู่ภายใต้สถานการณ์ทางการตลาดที่ไม่เอื้อนัก ไม่เพียงแต่ใช้ค่าประชาสัมพันธ์ไปหลายสิบล้านเท่านั้น ยังลงทุนไปกับสินค้าที่ระลึกก้อนใหญ่ เข้าฉายวันแรกก็มีสินค้าปรากฏอยู่ในร้านค้าของในโรงภาพยนตร์ใหญ่ๆ แล้ว
คนในวงการไม่น้อยคิดว่าลู่เฉินเจอความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ เข้าไปเลยเลอะเลือน ภายใต้สถานการณ์ที่ภาพยนตร์กำลังภายในชื่อเสียงตกต่ำย่ำแย่ ยังกล้าลงเงินทำสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์อีก ช่างเหมือนกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
แต่สุดท้ายคนเหล่านั้นกลับเหมือนโดนตบหน้าเข้าให้ ภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ มียอดจำหน่ายสินค้าที่ระลึกสูงขึ้นเรื่อยๆ ระยะเวลาเพียงแค่แปดวันก็มียอดจำหน่ายทะลุร้อยล้านแล้ว การที่จะทำลายสถิติของภาพยนตร์เรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ แทบจะไม่ใช่ปัญหาเลย
ในบรรดาสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ ’กระบี่เย้ยยุทธจักร’ สิ่งที่ขายดีที่สุดคือเคสโทรศัพท์ เคสโทรศัพท์สไตล์กำลังภายในที่เหมาะสมกับสมาร์ตโฟนชื่อดังในตอนนี้ได้จำหน่ายออกไปทั้งสิ้น 1.5 ล้านชิ้น หากคิดราคาเฉลี่ยที่ 28 หยวนต่อชิ้น แค่ส่วนนี้ก็ขายได้ถึง 42 ล้านหยวนแล้ว
แต่ใครก็ทราบดี ต้นทุนการผลิตสินค้าอย่างเคสโทรศัพท์นี้ต้นทุนต่ำมาก ต่อให้บวกส่วนแบ่งของร้านค้าที่วางขายเข้าไป เฉินเฟยมีเดียก็กำไรอย่างน้อย 30 ล้านหยวน!
ยังมีของอย่างโมเดลฟิกเกอร์ เครื่องเขียน ของเล่น อาวุธเสมือนจริง เป็นต้น กำไรมหาศาลจนทำให้คนอิจฉาได้เลย
คนร่วมอาชีพเดียวกันต่างก็ตาร้อนใจเต้นแรง ในขณะเดียวกันก็ต่างเฝ้าหาคำตอบ
เหตุใดภาพยนตร์ที่ลู่เฉินถ่ายทำถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างนี้ เหตุใดสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ถึงได้ขายดีขนาดนี้
“ก่อนอื่นก็ต้องมีความเชื่อมั่นละมั้ง…”
ในสโมสรส่วนตัวแห่งหนึ่งในเมืองปักกิ่ง เมื่อหลี่มู่ซือเอ่ยถามคำถามนี้กับลู่เฉินอย่างสงสัย คำตอบของเขาก็ง่ายมาก “ไม่มีความมั่นใจ จะเอาความสำเร็จมาจากไหนกัน”
ในเรื่องสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ ผลงานภาพยนตร์ในประเทศไม่มีความมั่นใจมาแต่ไหนแต่ไร เพราะมีตัวอย่างของความผิดพลาดมากมาย จึงทำให้เมื่อมีภาพยนตร์ก็มักจะไม่กล้าลงทุนด้านนี้ แล้วก็ไม่ให้ความสำคัญกับมันมาก
ความเคยชินและความคิดของคนทำภาพยนตร์ในประเทศก็คือ สินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์อะไรพวกนี้ ล้วนเป็นสวรรค์ของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดเท่านั้น การทำสินค้าที่ระลึกของภาพยนตร์ในประเทศเอาแค่พอมีให้เห็นก็เพียงพอแล้ว นานวันเข้าทุกคนก็ทำอย่างนี้จนชินไอรีนโนเวล
แต่ความคิดของลู่เฉินไม่เหมือนกัน เขาให้ความสำคัญกับสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เป็นอย่างมาก และก็ยินดีที่จะลงทุนด้วยไอรีนโนเวล
เช่น การออกแบบสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ เขาเชิญทีมออกแบบที่ดีที่สุดในประเทศมาโดยเฉพาะ ด้านการผลิตก็จ้างบริษัทภายนอกที่แข็งแกร่งและมีมาตรฐานเทคโนโลยีชั้นหนึ่งอีกด้วย ไม่มีทางโกงเงินด้วยการผลิตของคุณภาพต่ำออกมาแน่นอน
เหมือนอย่างโมเดลฟิกเกอร์ เงินสองสามหยวนก็ได้ของคุณภาพสองสามหยวน เงินหลายสิบหยวนก็มีคุณภาพแบบหลายสิบหยวน ต้นทุนหลักร้อยหยวนก็ไม่ใช่ของแปลก และจำนวนที่ผลิตออกมาก็สำคัญมาก
ลู่เฉินยอมที่จะฟาดเงิน และกล้าที่จะจ่ายเงิน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น ‘โปเยโปโลเย’ หรือว่า ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ สินค้าที่ระลึกที่ถูกผลักดันออกมาในเรื่องของคุณภาพนั้นสามารถเทียบได้กับสินค้าที่ระลึกของภาพยนตร์ฮอลลีวูดเลย อีกอย่างจำนวนการผลิตในหนึ่งครั้งก็มากเพียงพอ ต้นทุนถึงได้ลดลงมา มันเจ๋งกว่าสินค้าที่ระลึกของภาพยนตร์ในประเทศเรื่องอื่นๆ ไม่น้อยเลย
เช่นเดียวกับเคสโทรศัพท์มือถือราคา 28 หยวน วัสดุที่ใช้เป็นพลาสติกที่ดีที่สุด ปลอดสารพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพิมพ์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสุด ทั้งยังรับประกันว่าในเวลาห้าปีลวดลายจะไม่ซีดจาง
แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูง แต่เฉินเฟยมีเดียก็สั่งซื้อทีเดียวถึงห้าล้านชิ้น แน่นอนว่าย่อมถูกลง
คนที่ยินดีควักเงินจ่ายค่าสินค้าที่ระลึกส่วนมากจะเป็นแฟนคลับจริงๆ แต่ต่อให้เป็นแฟนคลับจริงๆ ก็ไม่ใช่ถุงเงินที่จะหยิบฉวยมาได้ง่ายๆ สินค้าชิ้นหนึ่งใช้ใจหรือไม่ พวกเขาแยกแยะได้แน่นอน
ดังนั้นการที่สินค้าที่ระลึกของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ขายดี ไม่ใช่เพราะโชคช่วยแน่นอน ก่อนอื่นมันขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของลู่เฉินที่มีต่อยอดจำหน่ายตั๋ว เมื่อกล้าที่จะลงทุน กล้าที่จะฟาดเงิน ก็ได้รับผลตอบแทนที่คู่ควร
บริษัทภาพยนตร์อื่นๆ อาจจะไม่มีความกล้าอย่างนี้ก็ได้
“สินค้าที่ระลึกมีรายได้ทะลุหนึ่งร้อยล้าน บวกกับยอดจำหน่ายตั๋วที่ใกล้หนึ่งพันล้านเข้าไปทุกที…”
แม้ว่าหลี่มู่ซือจะมาจากครอบครัวใหญ่ ในมือยังมีบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กอีก ยังอดที่จะอิจฉาไม่ได้ “เมื่อรวมกับค่าลิขสิทธิ์แบรนด์และอื่นๆ สุดท้ายอาจมีรายได้ถึงสองพันล้านก็ได้ นี่มันกำไรสิบเท่าเชียวนะ!”
“นี่ยังแค่ภาพยนตร์เรื่องเดียวอีกด้วย ฉันก็อยากเปิดบริษัทภาพยนตร์บ้างแล้ว…”
เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะก่อนจะพูดว่า “พี่มู่ซือคะ เว็บไซต์ระดมทุนของพี่ไม่ได้ด้อยกว่าบริษัทภาพยนตร์บริษัทไหนในประเทศเลยนะคะ”
หลี่มู่ซือส่ายหน้าพลางพูดว่า “มูลค่าทางการตลาดอาจจะแข่งได้ แต่กำไรไม่ได้เลย การแข่งขันสูงเกินไป”
หลังจากที่เว็บไซต์ระดมทุนเข้าตลาดหุ้นแนสแด็ก บริษัทเว็บไซต์ประเภทเดียวกันได้ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดหลังฝนตก แม้ว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่แรงกดดันจากการแข่งขันก็มีมหาศาลเช่นกัน
ผลลัพธ์ที่ติดตามมาหลังจากการแข่งขันอย่างดุเดือด ก็คือกำไรที่ลดลง และเพื่อให้แน่ใจในส่วนแบ่งตลาด การลงทุนจะต้องไม่น้อยลงเลย จริงๆ แล้วกำไรไม่ได้ดีเท่ากับเฉินเฟยมีเดียด้วยซ้ำ
หลังจากระบายความในใจแล้ว ดวงตางดงามของหลี่มู่ซือก็กลอกไปมา ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของลู่เฉินแล้วพูดว่า “ผู้อำนวยการลู่ คุณเป็นถึงหุ้นส่วนของเว็บไซต์ระดมทุน จะเอาแต่ส่วนแบ่งไม่ทำงานคงไม่ได้มั้ง รีบคิดมาวิธีใหม่ๆ มาได้แล้ว!”
ลู่เฉินแบมือ “ผมจะมีวิธีใหม่ๆ ได้ยังไง ผมวางมือแต่แรกแล้วครับ”
หลี่มู่ซือไม่ฟังเหตุผล “อย่างนั้นไม่ได้ นายมีไอเดียเยอะไม่ใช่เหรอ ขอไอเดียธุรกิจใหม่ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้มาสักอย่าง แล้ววันนี้จะปล่อยนายไป!”
ลู่เฉินหมดคำพูด นี่มองว่าเขาเป็นเทวดาที่ทำได้ทุกอย่างเลยหรือ
แต่… เขาก็มีความคิดบางอย่างจริงๆ นั่นแหละ