Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 111
ตอนที่ 111 บุกรุก
「ว่าแต่คลาร่าเป็นคนเดียวที่หายไปในกลุ่มนี้หรือ? 」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จ้องมองไปยังเหล่าลูกเรือแล้วถามขึ้น
「พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสำรวจดูแล้วผู้ที่หายไปมีเพียงแค่ท่านคลาร่า」
พลเรือเอกฌองตอบขณะมองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบต่อ ตอนนี้ไม่มีเวลาจะมาแสดงท่าทางเป็นพิธีการอะไรอีกแล้ว
「ว่าแต่? เจ้านั่นไปอยู่ไหนกันนะ」
「ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกัน? 」
ฟาร์มาถามขึ้น เพราะเขารู้สึกแปลกๆ กับวิธีการถามของเธอ
「ก็เจ้าอัศวินตัวน้อยที่เราฝากให้ตามมาด้วยนั่นไง」
「หมายถึงโนอา เลอ โนทร์ สินะพ่ะย่ะค่ะ? 」
ฟาร์มาถาม
「หรือว่า เขาจะถูกพาตัวไปเช่นเดียวกับคลาร่ากัน? 」
「ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ….เพราะก่อนหน้านี้เขาก็อยู่กับพวกเรา ดังนั้นก็น่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละพ่ะย่ะค่ะ」
「แล้วหายไปอยู่ไหนกันนะ….? 」
บรรยากาศแห่งความไม่สบายใจได้ก่อตัวขึ้น แรงสั่นสะเทือนจากภายนอกหอคอยที่ฟาร์มาสร้างขึ้นมาเป็นที่อพยพฉุกเฉินก็สั่นไหว
สิ่งที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนดังกล่าวนั้นก็คือสิ่งที่เหมือนวิญญาณร้ายซึ่งมีลักษณะคล้ายกับงู ปรากฏขึ้นมาจากป่าที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่
จำนวนของมันนั้นมีจำนวนมากจนนับไม่ไหว และกำลังเริ่มเข้ามาโจมตีอย่างไม่ลดละ
พวกลูกเรือต่างก็ตัวแข็งทื่อกับสิ่งที่เข้ามาโจมตี ทางฟาร์มาเองก็ตกใจเพราะนี่ยังเป็นช่วงกลางวันแสกๆ
(สิ่งนั้นมันตัวอะไรกัน)
ฟาร์มาไม่เคยเห็นพวกวิญญาณร้ายแบบนี้มาก่อนเลย
พวกมันมีลักษณะที่บิดเบี้ยวดูไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับถูกวาดขึ้นมา
「นั่นมันอะไรกัน? ดูเหมือนของที่ออกมาจากภาพวาดเลยนะครับ จะเป็นวิญญาณร้ายจริงงั้นเหรอ? 」
ฟาร์มาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย หากให้มันอยู่เฉยๆ จะบอกว่าเป็นวัตถุสลักยังได้ด้วยซ้ำ
「เป็นประเภทที่ไม่เคยอ่านเจอมาก่อนเลยแฮะ น่าจะไม่เคยถูกบันทึกไว้ก่อนซะด้วยสิ」
「แล้วมันมาจากไหนกันนะ」
แม้แต่เอเลนกับปาลเล่ผู้มากความรู้ในเรื่องวิญญาณร้ายก็ไม่อาจจะทำความเข้าใจในสิ่งที่เห็นได้
ทางจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็เอียงศีรษะด้วยความสงสัยขณะถือคทาเอาไว้ในมือ
ส่วนฟาร์มาที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับนิเวศวิทยาของวิญญาณร้ายตั้งแต่แรกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ปฏิกิริยาของพวกลูกเรือกลับต่างออกไป
「ทุกคนระวัง! นั่นมันพวกวิญญาณร้าย!」
「เรือของพวกเราถูกเจ้าพวกนั้นทำลายลงพ่ะย่ะค่ะ!」
แต่แทนที่จะมองว่ามันแข็งแกร่งแล้วระวังตัว จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กลับยิ้มออกมา
「แต่จากที่เราเห็นมันไม่ต่างอะไรกับรูปวาดเดินได้เลยนะ? 」
「เรื่องนั้นก็ใช่อยู่พ่ะย่ะค่ะ! แต่อย่าให้ภาพลักษณ์ของพวกมันหลอกเอาได้ นอกจากนี้พวกมันก็สามารถสร้างออกมาได้เรื่อยๆ ด้วยการวาดวงเวทลงพื้น!」
「วงเวทเหรอครับ? 」
ระหว่างที่กำลังพูดคุยเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพต่างก็พร้อมใจกันปล่อยพลังออกมาใส่งู ทว่าการโจมตีทั้งหมดก็ทะลุผ่านร่างของมันและถูกกลืนหายไปในความว่างเปล่าแทน
ช่างดูเป็นการต่อสู้ที่น่าสิ้นหวัง พวกงูกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
「น่าสนใจดีนี่ งั้นเราขอลองสักหน่อยแล้วกัน」
「ฝ่าบาท นั่นคือวิญญาณร้ายที่สามารถปรากฏตัวในช่วงกลางวันได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ ทางที่ดีเราควรจะตรวจสอบสถานการณ์ให้มากกว่านี้จะดีกว่าไหม」
「ขอนิดหน่อยเองไม่เห็นจะเป็นไร」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ดูหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อฟาร์มาเข้ามาห้ามเธอไม่ให้รีบลงไม้ลงมือ
「วงแหวนแห่งเปลวเพลิง บาเรียแห่งอัคคีเทพ」
เมื่อสิ้นเสียงนั้น เสาเพลิงก็พวยพุ่งขึ้นมาบดบังการมองเห็นด้านหน้าเอาไว้ เปลวเพลิงสีขาวที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ปล่อยออกมากำลังค่อยๆ โอบล้อมไปทั่วเกาะ
ด้วยการก่อตัวของศาสตร์แห่งเทพนี้ มันทำให้พื้นที่โดยรอบเกิดพายุเพลิงและเผาร่างของพวกอสรพิษโดยรอบ แน่นอนว่าพื้นที่ที่พวกเขาอยู่ได้รับการปกป้องอยู่ก่อนแล้ว
ทางปาลเล่ก็โน้มตัวออกไปดูศาสตร์แห่งเทพที่แสนทรงพลังและน่าพิศวงนี้ ทางเอเลนเหมือนจะตกใจหน่อยๆ อุณหภูมิโดยรอบในตอนนี้ ร้อนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถึงเธอจะบอกว่านิดๆ หน่อยๆ แต่ฟาร์มาเห็นต่างเพราะการจะใช้พลังขนาดนี้ คงจะใช้พลังแห่งเทพจำนวนมากพอที่จะกลืนกินเอาพลังแห่งเทพของคนธรรมดาตลอดช่วงชีวิตที่เขาใช้ได้แน่ๆ ทว่าเธอกลับทำออกมาได้อย่างสบายๆ
「มันเป็นศาสตร์แห่งเทพที่จะทำลายเพียงแค่พวกวิญญาณร้ายเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสได้ออกเอามาใช้สักที อย่างน้อยเราก็ต้องงัดออกมาในจังหวะนี้แหละนะ」
เอลิซาเบทกล่าวออกมาขณะที่ลดคทาแห่งเทพของตัวเองลง เธอทำการจับจ้องไปยังอีกฝั่งของบาเรียที่ปกคลุมรอบหอคอย
「ยอดเยี่ยมมากเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท งั้นกระหม่อมจะช่วยอีกแรง」
「 “ห่าฝนลูกเห็บร่ำไห้” 」
เอเลนที่รู้สึกตกใจกับศาสตร์แห่งเทพที่ทรงพลังของจักรพรรดิผู้ศักดิ์สิทธิ์ ราวกับถูกกระตุ้น เธอไม่รอช้าที่จะสร้างห่าลูกเห็บขนาดใหญ่โปรยปรายไปทั่วผืนป่าข้างนอก ราวกับต้องการยับยั้งตัวการที่สร้างวิญญาณร้ายนี้ขึ้น
「 เดี๋ยวก่อนเอเลน อย่าเล็งไปที่พวก”คน”สิ!」
ฟาร์มาที่เห็นว่าเอเลนอาจจะกำลังโจมตีพวกชนพื้นเมืองอยู่ก็ได้เลยพยายามหยุด
「ทำไมกันล่ะ พวกเราก็ถูกโจมตีด้วยพวกวิญญาณร้ายเก๊พวกนี้นี่?!」
「ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ」
「ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรคนพวกนั้นหรอกน่า แต่อย่างน้อยก็ต้องยิงอะไรขู่ออกไปสักหน่อยสิยะ เดี๋ยวนะ! ดูนั่นสิ!」
พอฟาร์มาและปาลเล่มองไปยังจุดที่เอเลนอยู่ก็เห็นว่า พวกงูที่โดนทำลายส่วนหัวไปนั้น เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด ก่อนที่ส่วนหัวของมันจะเริ่มงอกขึ้นมาใหม่
「ค่อนข้างถึกเลยนะเนี่ย」
ทันทีที่ฟาร์มาพึมพำแบบนั้นออกมา ร่างกายของเขาก็กระเด็นออกไปในทิศทางที่ตนคาดไม่ถึง
ใช่แล้ว ร่างของเขาได้ถูกบางอย่างพุ่งเข้าชนและกระเด็นออกจากเกาะไป
「อ……อะไรกัน!」
ฟาร์มาเริ่มรู้สึกตัว ความเจ็บปวดได้แทรกซึมเข้ามาในร่างของเขาหลังเวลาผ่านไป
ในตอนแรกร่างกายของฟาร์มานั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีสสารอะไรบนโลกสามารถทำร้ายเขาได้ เขาก็เลยไม่ค่อยสนใจป้องกันการโจมตีทางกายภาพ ไม่สิต้องบอกว่าคุ้นชินจนลืมป้องกันมากกว่า เมื่อเขาโดนเข้าไปแบบนี้เขาจึงรีบหาต้นตอของมันแล้วก็พบว่ามันคือลิงยักษ์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากรูปวาด
(เราไม่ได้รับความเสียหายทางกายภาพก็จริง…แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นวิญญาณมันก็อีกเรื่องเหรอ)
ด้วยแรงปะทะดังกล่าวมันทำให้ฟาร์มาทำคทาหลุดมือและสูญเสียแรงลอยตัวไป นั่นเกือบทำให้เขาตกลงไปในทะเลแล้ว
แต่ก่อนที่เขาจะตกลงไปในทะเลจริงๆ ฟาร์มาก็ได้สร้างสสารเป็นกลุ่มก้อนหิมะขึ้นมาเพื่อเป็นเบาะรองกระแทกระหว่างที่ลอยอยู่ โชคดีจริงๆ ที่เขาได้ฝึกฝนการรบกับเอเลนมาก่อนเลยทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
และพอเขาถึงผิวน้ำ ฟาร์มาก็ได้สร้างแผ่นน้ำแข็งขึ้นมาเป็นจุดยืน
(เราถูกชนจนปลิวมางั้นเหรอ…ก็แปลว่าจริงๆ ร่างของเราก็ได้รับความเสียหายเชิงนี้ได้เหมือนกันสินะ)
ฟาร์มาเริ่มเปลี่ยนวิธีการคิดนิดหน่อย เพราะวิญญาณร้ายที่เขาเจอในตอนนี้มันสามารถทำร้ายร่างกายฟาร์มาได้จริง ดังนั้นฟาร์มาจึงคิดว่าสิ่งนี้น่าจะแตกต่างไปจากวิญญาณร้ายปกติที่การโจมตีของมันไม่สามารถทำอะไรฟาร์มาได้เลย
ก็แปลว่าแม้กระทั่งพวกวิญญาณเองก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิด
「จะบินกลับไปก็ไม่ได้ด้วยสิ สมบัติลับอันอื่นก็ติดอยู่กับคทาซะด้วย」
ฟาร์มาทำคทาหลุดมือไปเพราะแรงกระแทก เขาก็เลยไม่สามารถบินกลับไปที่เดิมได้ นั่นสร้างความลำบากให้เขาพอสมควร ความสามารถในการบินนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขามีสมบัติลับสักชิ้นหนึ่งติดตัว
และถึงเขาจะพยายามเรียกคทาแห่งเทพโอสถกลับมา มันก็ไม่เป็นผล
ก่อนจะเห็นว่า มีชายหนุ่มกล้ามล่ำบึ้กกำลังมองไปที่ฟาร์มาโดยเขากำลังขี่วิญญาณที่มีรูปร่างเหมือนลิงยักษ์จากบนเกาะอยู่ แล้วกำคทาของฟาร์มาไว้ที่มือซ้าย
「พอเห็นแบบนี้แล้ว การที่คิดว่าคทาแห่งเทพโอสถควรจะให้ทุกคนสามารถถือมันได้ ถือว่าคิดผิดไปจริงๆ 」
ตอนแรกฟาร์มาคิดว่าคทาที่สามารถใช้ได้แต่เพียงผู้เดียวนั้นมันไม่ค่อยจะดีนัก เขาก็เลยพยายามปรับปรุงวัสดุในการสร้างให้เอาคุณสมบัติที่คนธรรมดาไม่สามารถจับต้องได้ออกไป ทำให้ทุกคนสามารถถือมันไว้ได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นข้อเสียไปซะแล้ว
ทว่าการจะใช้งานมันได้ก็จำเป็นต้องมีพลังแห่งเทพที่มากพอในการขับเคลื่อน สำหรับชายคนนั้นที่ไม่สามารถใช้พลังแห่งเทพได้ คทาก็เป็นเพียงไม้ธรรมดาชิ้นหนึ่ง
ฟาร์มากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดีขณะจ้องมองชายหนุ่มที่ถือคทาเอาไว้อย่างใจเย็น
เอเลนเองก็ตะโกนเรียกฟาร์มาจากตรงมุมสูงของเกาะ
「ฟาร์มาคุง เป็นอะไรหรือเปล่า? นายไหวไหม?! ยังไงเดี๋ยวฉันจะรีบลงไปช่วยนะ!」
「ไม่เป็นไร! เอเลนไม่ต้องลงมาหรอก」
ถึงเอเลนจะเป็นกังวล แต่ฟาร์มาก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้โดยการแสร้งเป็นไม่เห็นร่างของชายหนุ่มที่มองมายังเขา แล้วหันไปคุยกับเอเลนเพื่อสร้างช่องว่าง
ชายหนุ่มที่เห็นแบบนั้นก็ติดกับฟาร์มาเข้า โดยการที่เขาสั่งให้ลิงยักษ์พุ่งมาโจมตีฟาร์มาต่อ
「มาแล้ว」
ฟาร์มาหันกลับไปและมุ่งเน้นไปตรงที่การรับมือกับกำปั้นของลิงยักษ์
「เดี๋ยวนะ กุมนิ้วหัวแม่มือได้ด้วยเหรอ」
ถึงมันจะเป็นการกระทำที่ดูไม่ได้สำคัญอะไร แต่ฟาร์มาสรุปได้ทันทีว่าวิญญาณตนนี้น่าจะทำตามสั่งของชายหนุ่ม เพราะปกติแล้วตระกูลไพรเมตยกเว้นมนุษย์นั้นจะไม่สามารถกำหมัดด้วยนิ้วหัวแม่มือได้ นั่นก็หมายความว่าชายหนุ่มกับลิงยักษ์ตัวนี้มีความเชื่อมโยงในการควบคุมทางจิตวิญญาณอยู่
「งั้นก็ได้เวลาเอาคืนหน่อยแล้ว」
ฟาร์มาหันกลับไปมองเขาราวกับมีตาอยู่ด้านหลัง ก่อนจะย่อนตัวลงเล็กน้อยเพื่อรับหมัดของลิงยักษ์ด้วยมือทั้งสองข้างแล้ว ทำการบีบมือขวาของวิญญาณลิงยักษ์ทันทีที่สัมผัส
ชายหนุ่มที่กำลังควบคุมวิญญาณอยู่ก็เกิดอาการบางอย่างขึ้นที่มือขวาของตนเอง เขาได้ทิ้งคทาแห่งเทพโอสถที่ถือไว้และแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาก่อนจะกุมมือขวาตัวเองเอาไว้
ฟาร์มาจึงได้ใช้ดวงตาวินิจฉัยส่องดูภายในมือขวาของเขาเพื่อยืนยันว่ากระดูกของเขาไม่ได้หัก
เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดี ฟาร์มาจึงเรียกคทาแห่งเทพโอสถกลับมาแล้วใช้มันบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
คนพวกนี้แฝงตัวอยู่ภายในป่าและใช้พวกวิญญาณร้ายในการโจมตีจากทุกทาง แถมพวกมันยังสามารถเผยตัวตนได้แม้กระทั่งช่วงกลางวัน แม้แต่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของฟาร์มาก็ยังไม่เป็นผลอะไรกับพวกมัน
นอกจากนี้ถึงฟาร์มาจะโจมตีไปแล้ววิญญาณลิงยักษ์ก็ไม่ได้หายไป นั่นก็หมายความว่าหากไม่จัดการพวกมนุษย์ที่ควบคุมวิญญาณร้ายอยู่เหมือนที่เอเลนบอก การต่อสู้นี้ก็คงไม่จบง่ายๆ
พอเป็นแบบนี้แล้วมันก็เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะจัดการพวกเขาโดยไม่ทำให้บาดเจ็บ
เอลิซาเบทที่เห็นแล้วว่าฟาร์มามีความลังเลใจจึงพูดขึ้น
「เป็นอะไรไปเล่า เจ้ากำลังลังเลอยู่งั้นหรือพอต้องเปลี่ยนจากวิญญาณร้ายมาเป็นมนุษย์? 」
เอลิซาเบทส่ายหัวไปมาราวกับยอมแพ้ต่อความไม่เด็ดขาดของฟาร์มา
「เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นเราจะทำการสร้างวิหารเทพผู้พิทักษ์มันตรงนี้เลยแล้วกัน」
เป็นคำพูดที่สร้างความตึงเครียดให้คนโดยรอบทันที
「เชื่อมต่อ เฉลียงทางเดินพลังแห่งเทพระหว่างมหาวิหารและวิหารเทพผู้พิทักษ์!」
เอลิซาเบทแทงคทาลงไปที่พื้นด้วยมือข้างหนึ่งของเธอ
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ตอนนี้เธอก็เชี่ยวชาญในศาสตร์ลับของศาสนจักรเรียบร้อยแล้วในฐานะพระสันตะปาปา เธอทำการวางสมบัติลับชิ้นหนึ่งที่เหมือนกับกล่องแก้วลงไปที่พื้นเพื่อทำเป็นแกนในการสร้าง ก่อนจะถ่ายเทพลังแห่งเทพของเธอลงไปยังผืนดินเพื่อสร้างวงเวทขึ้น
「 “――จงชำระล้างผืนดินแห่งนี้ และห้ามมิให้ความชั่วร้ายย่างกราย” 」
หลังจากทำการร่ายอยู่สักพัก บาเรียที่สร้างมาจากศาสตร์แห่งเทพทรงลูกบาศก์สีฟ้าอ่อนก็ปรากฏขึ้นโดยมีเธอเป็นศูนย์กลาง
มันคือมนตร์ที่ทำการสร้างวิหารเทพผู้พิทักษ์ขึ้นมาบนผืนแผ่นดิน ถึงแม้จะยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างในที่แห่งนี้ แต่ผืนดินดังกล่าวก็เสมือนกลายเป็นวิหารไปแล้ว ฟาร์มาก็เลยทำได้แค่ขอบคุณที่ช่วยทำให้การป้องกันของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
「พวกนั้นน่าจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในเขตวิหาร สิ่งที่พวกเขาเห็นจากด้านนอกก็มีเพียงแค่กลุ่มหมอก แต่มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรหรอกนะ นี่ก็เป็นเพียงฐานที่มั่นชั่วคราวเท่านั้น」
เอลิซาเบทบอกว่า พวกวิญญาณร้ายไม่น่าจะเข้ามาโจมตีที่นี่ได้อีก
หลังจากเสร็จงานส่วนเธอเอลิซาเบทก็วางมือเท้าสะเอว
การที่เธอทำมันได้สำเร็จส่วนหนึ่งก็คงต้องขอบคุณบาเรียที่ฟาร์มาสร้างขึ้นมาก่อนหน้านี้ด้วย
(ถึงจะไม่ค่อยอยากยอมรับ แต่หากเป็นแบบนี้ยังไงก็ต้องพุ่งแต่ศาสตร์แห่งเทพ)
เพราะกฎฟิสิกส์นั้นไม่สามารถทำอะไรพวกวิญญาณร้ายบนโลกนี้ได้เลย เขาก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ศาสตร์ต้องห้ามและศาสตร์แห่งเทพในการรับมือ
(แต่ต้องใช้มันสินะ!)
ฟาร์มาหยิงซองใส่ของเล็กๆ ซึ่งภายในมีเส้นผมของเขาอยู่ ก่อนจะใช้มันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นอนุภาคแสงสีขาวส่องสว่างออกมา
「ทำการสังเคราะห์โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ “โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ชั่ววัน!” 」
เพียงเวลาแค่ไม่กี่วินาที โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งก็ปรากฏขึ้นมาภายในอากาศและถูกแจกจ่ายไปยังพวกลูกเรือทั้งหมด
แน่นอนว่าทางเอเลน ปาลเล่ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ใครก็ตามที่ดื่มหรือสัมผัสยานี้เข้าไปก็จะมีสถานะเป็นอมตะในช่วงหนึ่งวันที่ดื่มไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
และเนื่องจากสถานะของร่างกายจะมีสภาพเหมือนเป็นวิญญาณ ไม่ว่าโรคร้ายจะกัดกินร่างกายมากแค่ไหนก็ไม่เป็นผลกับพวกเขา
ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ภายในวิหารเทพผู้พิทักษ์ชั่วคราวนี้ พวกเขาก็จะไม่ถูกวิญญาณร้ายโจมตี นอกจากนี้การโจมตีทางกายภาพที่เป็นจุดอ่อนอื่นก็ถูกลบไปด้วยสถานะร่างวิญญาณของพวกเขา
ถึงแม้คำว่าโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์จะฟังดูยิ่งใหญ่ แต่ฟาร์มากลับมองว่ามันคือความผิดพลาดของโลกใบนี้ ไม่ก็สิ่งลวงตาที่ทำให้โลกใบนี้มันบิดเบี้ยวไปจากที่ควรเป็น
เพราะขนาดตัวฟาร์มาเองก็ถูกสร้างขึ้นมาให้กลายเป็นสิ่งที่สสารไม่สามารถทำอะไรได้ เอาเป็นว่าในเมื่อตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับคนที่นี่แล้ว มันก็ถึงเวลาที่จะปราบปรามพวกข้างนอกอย่างสันติวิธีสักที
「หื้ม…ถึงจะดูรีบไปสักหน่อย แต่ยังไงเราก็ต้องให้พวกที่ลอบโจมตีออกมากันให้หมดก่อน….สลายสสาร เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส เพกทิน ลิกนิน」
ฟาร์มาบินขึ้นไปแล้วคว้าเกาะทั้งเกาะไว้ด้วยมือของเขา โดยมุ่งเป้าไปยังพืชทั้งหมดบนเกาะ แน่นอนว่าเขาเว้นวิหารเทพผู้พิทักษ์เอาไว้แล้ว
เกิดหมอกควันขึ้นทั่วเกาะราวกับสารอินทรีย์กำลังเดือนพล่านออกมา
พืชทุกชนิดบนเกาะได้หายไป จนเผยได้เห็นพวกชนพื้นเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า
พวกเขาต่างแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาทันทีที่เห็น
มีทั้งส่งเสียงกรีกร้องและคำรามออกมา
มาทั้งพยายามหาจุดซ่อนตัวใหม่
มีทั้งแสดงท่าข่มขู่ออกมา
ทุกคนต่างมีท่าทีต่างกันออกไป
นอกจากนี้ก็มีคนที่สวมชุดซึ่งทำมาจากพืชเป็นเสื้อผ้าอีกด้วย พวกเขาตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า พอสังเกตดูก็เห็นว่าพวกที่มาโจมตีมีทั้งชายและหญิง แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือพวกเขาหวาดกลัวต่อพลังของฟาร์มา
จากนั้นฟาร์มาก็ทำการสร้างกรงรูปตาข่ายขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างของเขา แล้วก็ทำการลบส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป จนทำให้เกิดกรงที่ใช้กักขังชนพื้นเมืองทั่วเกาะซึ่งสร้างมาจากทองแดงและนิกเกิล
ซึ่งมันทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น โดยฟาร์มามองว่ามันน่าจะช่วยทำให้การสร้างวิญญาณร้ายถูกขัดขวางและป้องกันไม่ให้พวกมันผ่านออกมาได้
เพราะไม่ว่าจะมนุษย์หรือวิญญาณก็จะมีสถานะที่สามารถถูกทำให้เป็นกลางได้ไม่ต่างกัน
ฟาร์มาได้จับจ้องไปยังพวกชนพื้นเมืองทั่วเกาะ
ทั้งที่ทำให้เกาะเหี้ยนขนาดนี้แล้วอีกทั้งเขายังปลดเสื้อผ้าของหลายๆ คนหายไปอีก แต่ฟาร์มาก็ไม่เห็นคลาร่าอยู่ภายในนั้นเลย
(เธอหายไปไหนกันนะ? )
*
「อะไรกัน……? 」
「นี่มันเกิดอะไรขึ้น…ทำไมความรู้สึกเจ็บมัน…? 」
เหล่าลูกเรือที่อยู่ภายในวิหารเทพผู้พิทักษ์ต่างสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฟาร์มาทำการใช้ยาบางอย่างกับพวกเขา แต่พวกลูกเรือก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทางมาร์โจลีนก็แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นก่อนจะกะพริบตาปริบๆ และบีบแก้มตัวเองไปหนึ่งที แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนพวกนี้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
「เอเลโอนอร์」
ปาลเล่หันไปมองทางเอเลนที่กำลังดูแขนของตัวเองอยู่
แต่เอเลนหันไปทางอื่นแทนราวกับไม่อยากจะคุยด้วย
「ฟังกันหน่อยสิ」
「อะไรยะ? 」
「ละอองแสงพวกนี้ กลิ่นหอมนี้….หรือว่ายาอายุวัฒนะกันนะ」
「ขอโทษทีนะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน」
「ต้องเป็นฝีมือของฟาร์มาแน่ๆ แต่…ได้ยังไงกัน」
เอเลนลังเลที่จะให้คำตอบกับเขา ส่วนทางปาลเล่ก็ยืนใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม
ปาลเล่ยังคงเชื่อว่าฟาร์มานั้นเป็นมนุษย์ แต่แค่เขาได้รับการคุ้มครองจากเทพโอสถเป็นพิเศษเฉยๆ
ถึงฟาร์มาจะบอกความจริงให้กับพ่อและแม่ของเขาฟังแล้ว แต่กับพี่น้องของเขามันก็อีกเรื่อง ดังนั้นการที่ปาลเล่จะคิดว่าฟาร์มาเป็นมนุษย์อยู่ก็ไม่แปลกอะไร แต่ข้อแก้ตัวแบบนั้นมันจะใช้ไปได้อีกนานสักแค่ไหนกัน
ตอนแรกเอเลนก็ไม่ได้เชื่อหรอกว่าฟาร์มาจะเป็นคนธรรมดาได้ แต่เพราะเธอไม่อยากจะยุ่งอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักก็เลยแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ไป ถึงลึกๆ ของเธอจะรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะหายไปจริงๆ ก็ได้
「ถ้าเธอรู้อะไรก็บอกมาสิ ฉันจะได้รับฟังความคิดฝั่งเธอบ้าง」
「ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ อยากรู้ก็ไปถามฟาร์มาคุงสิยะ นายเป็นพี่ชายเขานี่」
「ก็ถ้าหมอนั่นมันคิดว่าฉันเป็นพี่จริงๆ ละก็นะ….」
ปาลเล่พึมพำออกมาด้วยเสียงค่อนข้างเหงาหงอย
「สรุปก็คือจะยอมปล่อยผ่านเรื่องทั้งหมดไปก่อนหรือไง? 」
「ก็ไม่ใช่ว่าอยากปล่อยผ่านอะไรหรอก แต่ในเมื่อน้องชายฉันก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ฉันก็ไม่อยากไปขัดอะไร」
「ฟูมุ…พอได้เห็นแบบนี้แล้ว ยังไงฟาร์มาก็เป็นแบบนี้จริงๆ ไม่คิดจะเข่นฆ่าใครเลยสักนิด」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เฝ้ามองดูสิ่งที่ฟาร์มาเลือก ก่อนจะเห็นว่าฟาร์มาถลาลงมาสู่พื้นโดยที่ไม่รู้เลยว่าข้างล่างเขาพูดอะไรกันบ้าง
「กลับมาแล้วครับ!」
「ยินดีต้อนรับกลับย่ะ ให้ตายสิแค่เห็นที่นายทำก็แทบจะเป็นบ้าละ」
เอเลนบ่นออกมาขณะทำคทาแห่งเทพตกพื้น แต่ยังไงมันก็ซ่อมได้เธอเลยไม่ตกใจอะไร
「ทั้งลบต้นไม้ทั้งเกาะออกไป แถมยังปลดเสื้อผ้าของพวกเขาออกอีก แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ใช่เทพแห่งความชั่วร้ายน่ะ? 」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แหย่ฟาร์มา
「กระหม่อมเพียงแค่ต้องการเปิดทัศนวิสัยโดยเร็วเท่านั้นเอง…ส่วนเรื่องเสื้อผ้ากระหม่อมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลย นอกจากนี้กระหม่อมก็ไม่พบตัวคลาร่าในกลุ่มคนพวกนั้นด้วย ดังนั้นกระหม่อมจะขอไปตามหานางที่แผ่นดินใหญ่ต่อนะพ่ะย่ะค่ะ」
「เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปคนเดียวอีกน่ะ」
「เพื่อความปลอดภัยของลูกเรือแล้ว กระหม่อมว่าเราควรแยกกันตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ แล้วก็อยากจะให้เอเลนกับคนอื่นๆ อยู่ที่นี่ด้วย」
「แล้วคนพวกนั้นเจ้าจะทำเช่นไรกัน จะให้เราไปจุดไฟรอบกรงนั้นแล้วเผาพวกมันทั้งเป็นเลยดีไหมล่ะ? 」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์พูดและชี้ไปยังพวกที่ติดอยู่ในกรง พวกผู้หญิงที่ถูกปลดเสื้อผ้าออกไปหมดแล้วก็ก้มตัวและใช้แขนขาปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนด้วยความเขินอาย
「อย่าเลยพ่ะย่ะค่ะ กรงนั้นกระหม่อมสร้างมาจากทองแดงและนิกเกิลซึ่งมันจะสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น ดังนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะสามารถเรียกพวกวิญญาณออกมาได้แล้ว นอกจากนี้หากอยู่ในนั้นพวกเขาคงไม่สามารถหยิบอาวุธอะไรต่อต้านได้ ยังไงเป้าหมายของพวกเราก็คือการที่ไม่ต้องต่อสู้กับพวกเขานะพ่ะย่ะค่ะ」
「แต่พวกวิญญาณมันจะไม่ออกมาจากกรงทองแดงนั่นได้จริงหรือ」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
「พ่ะย่ะค่ะ ว่ากันตามตรงจะโลหะใดๆ ก็ได้ที่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นมาได้ก็ไม่ต่างกันหรอกพ่ะย่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่ทองแดงเท่านั้น นอกจากนี้หากปรับปรุงให้เหมาะสมแม้แต่ศาสตร์แห่งเทพเองก็น่าจะมีมนตร์ที่ใกล้เคียงกับการสร้างมันอยู่เช่นเดียวกัน แต่หลักการดังกล่าวกระหม่อมได้อ้างอิงมาจากเทคโนโลยีของอาณาจักรเอนแลนด์ที่วิจัยกันแล้วว่าช่วยสกัดกั้นพวกวิญญาณร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ」
「อย่างงั้นเองหรือ!」
「จนถึงตอนนี้ จากผลทดสอบที่กระหม่อมได้ กระหม่อมเองก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ถึงตัวอย่างจะยังไม่มากพอก็เถอะ」
「หืม……」
「จะว่าไป นี่นายสร้างพวกโลหะขึ้นมาได้ยังไงกัน? 」
ปาลเล่ถามฟาร์มา ฟาร์มาก็เลยเลือกจะตอบไปแบบสั้นๆ เท่าที่จะทำได้
「ขนาดท่านพี่เป็นธาตุน้ำก็ยังสร้างอย่างอื่นนอกจากน้ำได้เลยนี่ครับ」
「นั่นมันเรียกคำตอบได้ที่ไหน ที่ฉันทำได้ก็มีแค่น้ำกับน้ำแข็ง และถึงจะไปสุดทางจริงก็คงทำได้แค่สร้างหมอก หิมะ ไอน้ำเท่านั้นเอง」
「แล้วถ้าหากเราลองเอาน้ำมาประยุกต์ให้แยกองค์ประกอบออกมาล่ะครับ? 」
「หา? 」
ปาลเล่ตกตะลึง แต่ตรงจุดนี้ฟาร์มาก็ไม่ได้พูดเล่นแต่อย่างใด
「 ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วครับเราจำเป็นต้องคุยกันเรื่องนี้จริงเหรอครับ」
「จำเป็นสิ เพราะมันอาจจะกลายเป็นพลังให้กับพวกเราในอนาคตก็ได้」
「เห้อ…ให้ผมพักบ้างเถอะครับ」
「นี่นายคิดว่ายังไม่จำเป็นต้องพูดกันตอนนี้งั้นเหรอ? 」
พอเห็นพี่ชายของเขาไม่ยอมแพ้ ฟาร์มาก็เลยแนะนำบางอย่างให้กับเขาเหมือนเป็นคำใบ้ไปแทน
「…………การสร้างน้ำหรือสสารอื่นขึ้นมา พวกเราทุกคนก็สร้างมันออกมาจากความว่างเปล่าใช่ไหมล่ะครับ นั่นจึงถูกเรียกว่าศาสตร์แห่งเทพ ดังนั้นหากเราต้องการจะสร้างสสารใดๆ ออกมาเหมือนกับน้ำ เราก็แค่ต้องทำความเข้าใจในองค์ประกอบของมัน เพื่อทำให้มันเกิดรูปร่างขึ้นมา หากไปถึงจุดนั้นได้ท่านพี่จะสร้างอะไรก็ได้ตามใจอยากครับ」
「ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจได้ทันทีเลยสักนิด」
「ยังจะเอาอีกเหรอครับ? ขอเถอะครับเดี๋ยวผมต้องไปช่วยคลาร่าอีก ดังนั้นขอให้ท่านพี่ดูแลคนที่นี่ไปแล้วกันนะครับ」
ฟาร์มาทำการเตรียมทะยานขึ้นฟ้าทันทีที่พูดจบ แต่ทางเอเลนก็เป็นคนมาดึงเสื้อโค้ทของเขาเอาไว้ก่อน
「ฟาร์มาคุง ฉันก็จะไปด้วย」
「ก็รู้สึกขอบคุณนะที่เธออยากจะช่วย แต่ถ้าเอเลนมาด้วย ผมคงไม่สามารถพาทั้งเอเลน คลาร่าและโนอาห์กลับมาพร้อมกันได้แน่….เพราะผู้โดยสารมันมีตั้ง 3 คนเลยนะ」
「นั่นสินะ ฟาร์มาคุงเองก็มีแค่สองมือซะด้วยสิ」
หลังจากคุยกับเอเลนเสร็จ ฟาร์มาก็บินตรงไปทั้งส่วนหลักของทวีป โดยทิ้งคนบ่นต่างๆ ไว้ข้างหลังเขา ฟาร์มาก็ดีใจอยู่หรอกที่มีคนอยากจะช่วยเขา แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นได้แค่อุปสรรคสำหรับฟาร์มา
เอเลนกับปาลเล่ที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังก็มองหน้ากัน ก่อนที่ปาลเล่จะบ่นออกมา
「ไอ้เจ้าน้องคนนี้นี่」
「ใช่ไหมล่ะ เพราะฟาร์มาคุงเอาแต่ใช้มนตร์ที่เหนือสามัญสำนึกไปเยอะเลย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าในหัวคิดอะไรอยู่ ถึงเขาจะอธิบายอะไรมาฉันก็ไม่รู้เรื่องทั้งหมดหรอก」
เมื่อได้ยินคำพูดของเอเลนจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ้มออกมา
「ดูเหมือนพวกที่มีคุณสมบัติธาตุน้ำจะสนุกกันใหญ่เลยนะ เราละอิจฉาพวกเจ้าจริงๆ 」
「ฝ่าบาทเองก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุไฟที่สุดยอดไม่ใช่หรือไงกัน แต่ก็จริงว่าข้อได้เปรียบของพวกเรากับผู้ใช้ศาสตร์แห่งดินคงจะเป็นการสร้างสสารได้ไม่เหมือนอีกสองธาตุ」
ขณะที่ปาลเล่กำลังคุยกับพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ก็มีลูกเรือบางคนยกมือถามขึ้น
「คือว่า ข้าเองก็เป็นธาตุน้ำนะครับ แต่ที่ท่านฟาร์มาพูดมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่นะ? 」
「ผมเองก็เป็นธาตุดินครับ หากมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลย」
「เห็นทีระหว่างนี้ทุกคนต้องมาเค้นสมองช่วยกันคิดแล้วสิ เรื่องที่บอกว่าหากเข้าใจองค์ประกอบจะสร้างอะไรก็ได้น่ะ」
「อ-โอย ให้ตายเถอะ ข้าละไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านฟาร์มาพูดเลยจริงๆ 」
「หรือมันจะเป็นศาสตร์แห่งเทพชนิดพิเศษกันนะ」
「หรือมันจะมีเคล็ดลับในการเปลี่ยนธาตุของผู้ใช้อยู่? 」
「ไม่สิอาจจะเป็นการภาวนาต่อเทพผู้พิทักษ์เพื่อขอ…. 」
เอเลนก็ทำการนั่งฟังพวกลูกเรือพูดกันไปต่างๆ นาๆ
「ฉันมองว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับมนตร์ที่เลือกใช้นะ เพราะทางฟาร์มาคุงเองก็บอกเองนี่นา ว่ายีนจะเป็นตัวกำหนดธาตุของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพและพวกเราก็ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยธาตุนั้นซึ่งไม่ต่างอะไรกับการแสดงออกทางพันธุกรรมมาตั้งแต่เกิด」
「ฉันว่าฉันพอจะจับทางได้แล้วนะ」
สวิตช์ความคิดของปาลเล่กำลังทำงานอย่างเต็มที่ เอเลนก็ประหลาดใจที่ปาลเล่สามารถเข้าใกล้คำตอบได้เร็วขนาดนี้
「พวกเราเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุน้ำ จึงทำให้พวกเราสร้างได้แค่น้ำ……แต่นั่นมันถูกต้องแล้วจริงหรือเป็นเพียงความคิดของพวกเราเท่านั้นเองกันล่ะ สมมติว่าพวกเราทุกคนมีความสามารถในการสร้างสสาร แล้วน้ำที่ฉันสร้างขึ้นมาจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่? 」
「เอ๋? 」
เอเลนงุนงงไปครู่หนึ่ง
ส่วนทางจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่มีธาตุไม่เหมือนคนอื่นเขา ก็ไม่ได้สนใจอะไรนักและมุ่งไปที่เรื่องเสริมการป้องกันภายในแทน
「นั่นสินะ จะว่ายังไงดีล่ะ มาลองเริ่มจากตรงสารประกอบตั้งต้นของมันอย่าง ไฮโดรเจนกับออกซิเจนกันเลยดีไหม เธอคงเคยอ่านตำราเคมีแล้วสินะ」
「แน่นอนสิยะ ส่วนประกอบที่นายว่านั่นก็คือสารตั้งต้นในการสร้างน้ำขึ้นมาใช่ไหมล่ะ!」
เอเลนทำหน้าเหมือนยังไม่เข้าใจเจตนาของปาลเล่ว่าต้องการพูดอะไรกันแน่
ส่วนทางปาลเล่เองก็จมอยู่กับความคิดอย่างจริงจัง
เขานึกถึงคำพูดของฟาร์มาให้ชัดอีกครั้ง ส่วนทางเอเลนที่เห็นปาลเล่จมอยู่กับความคิดแบบนี้ก็ไม่คิดจะขัดอะไรเขาแล้ว ก่อนจะคอยดูแลรอบๆ แทนเพื่อป้องกันไม่ให้ใครบุกรุกเข้ามาได้
「หากเราสลายน้ำออกก็จะได้ออกซิเจนกับไฮโดรเจน….」
ปาลเล่พึมพำขึ้นมาขณะแบมือทั้งสองข้างออกไปด้านหน้าของเขา
「แต่ถ้าเราพิสูจน์ได้เลยก็คงจะดีกว่ามานั่งนึกทฤษฎี แต่ถ้าจะให้ลองตรงนี้ก็คงจะไม่ไหว」
ปาลเล่ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเล็งไปทางทะเล แล้วเหวี่ยงคทาของตนไปมาในมือ
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ได้มีอะไรออกมาจากคทาแห่งเทพของปาลเล่ ทว่า
「 “กำแพงน้ำแข็ง” 」
เอเลนร่ายมนตร์ออกมาทันทีที่เห็นการเคลื่อนไหวของปาลเล่ เธอทำการป้องกันวิหารเทพผู้พิทักษ์ไว้ด้วยกำแพงน้ำแข็งหนาหลายชั้นเพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ขณะที่ดูเอเลนหายใจเข้าออกแบบหอบๆ ปาลเล่ก็ยื่นคทาไปทางจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
「ฝ่าบาท กระหม่อมขอความกรุณาทำให้คทาแห่งเทพนี้ร้อนขึ้นทีพ่ะย่ะค่ะ」
「เจ้าจะทำอะไรงั้นหรือ? 」
「เดี่ยวพวกเราจะได้รู้กันพ่ะย่ะค่ะ」
「ย่อมได้」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จับปลายคทาของปาลเล่ด้วยมือข้างเดียว ไม่กี่วิหลังจากนั้นปลายคทาก็กลายเป็นสีแดง ก่อนที่ปาลเล่จะนำมันออกมาแล้วกระโดดขึ้นไปบนกำแพงน้ำแข็งที่เอเลนสร้าง แล้วเหวี่ยงคทานั้นลงทะเลไป
「ท่านปาลเล่ เดอ เมดิซิส ท่านกำลังทำอะไรอยู่กัน」
มาร์โจลีนถามปาลเล่
「ฉันแค่อยากจะทดสอบความเป็นไปได้ของน้ำ ว่าเป็นไปตามที่คิดไหม ทุกคน รบกวนขอให้ปิดหูตัวเองไว้สัก 20 วินะ ฝ่าบาทก็เช่นกัน ขอความร่วมมือด้วย」 ปาลเล่บอกกับพวกลูกเรือทุกคน แน่นอนว่าพวกเขาก็ยินยอมปิดหูกัน 「 เอเลโอนอร์ถ้าเธอไม่ปิดหู ระวังหูของเธอจะเป็นแผลเอานะ」
「นี่นายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นเนี่ย? 」
「รอดูเลยน่า ฉันว่าคุ้มแน่ที่ได้เห็น」
พอเขาโยนคทาลงไปในทะเลเสร็จแล้ว ไม่นานนักเขาก็ทำการดีดนิ้ว
มันคือการเปิดใช้งานศาสตร์แห่งเทพจากระยะไกล
แต่ก่อนที่เอเลนจะได้พูดอะไรต่อ ก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้นกลางทะเล
สิ่งที่เขาทำคือการสลายน้ำทะเล
สิ่งที่เขาทำคือการสลายน้ำทะเลให้กลายเป็นออกซิเจนและไฮโดรเจนเพื่อเป็นตัวทำปฏิกิริยา
พอก๊าซพวกนี้ถูกสร้างขึ้นภายในท้องทะเลแล้ว ความร้อนที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์มอบให้บวกกับศาสตร์แห่งเทพที่สร้างน้ำแข็งออกมาหลังจากการคว้างคทาออกไปแล้วมันทำให้เกิดเอฟเฟกต์เทอร์โมอิเล็กทริกขึ้น และกระแสไฟฟ้าดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นเชื้อในการทำให้แก๊สเกิดการระเบิดขึ้น
「น่าทึ่ง น่าทึ่งจริงๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเปลวเพลิงไปด้วยแล้วสินะ」
「ไม่ว่าใครก็ทำได้พ่ะย่ะค่ะ」
「เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน? 」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ถาม เอเลนเองก็สงสัยราวกับกำลังเจอเข้ากับการค้นพบครั้งใหญ่ ทางปาลเล่ก็เลยเอนตัวและอธิบายเพิ่ม
「 น้ำนั้นมีส่วนประกอบที่สร้างขึ้นมาจากไฮโดรเจนและออกซิเจน แน่นอนว่าพวกเราไม่สามารถสร้างสารประกอบขึ้นมาเองเฉยๆ ได้ แต่พวกเราสร้างมันขึ้นมาได้เพราะการสร้างสสารบางอย่างที่มีสิ่งเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบ!」
「เพราะว่าพวกเราร่ายมนตร์ไปโดยคิดถึงภาพน้ำในหัวสินะ? 」
「ใช่แล้ว และเพราะเราถูกฝึกมาแบบนั้นจนกลายเป็นนิสัย ก็จริงอยู่ว่ามันทำให้พวกเราร่ายมนตร์ได้สะดวกขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้อิสระในการสร้างสสารของพวกเราหายไปด้วย หากลองคิดในมุมอื่นก็จะเห็นได้ว่า พวกเรายังสามารถสร้างสารประกอบของมันอย่างออกซิเจนและไฮโดรเจนได้เหมือนกัน ไม่ต่างอะไรกับน้ำ นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาอยากจะสื่อยังไงล่ะ!」
「ฉันก็พอจะเข้าใจเบื้องต้นขึ้นมาบ้างแล้ว เอาเป็นว่าหลังจากนี้ค่อยมาทดลองกันอีกทีหลังกลับบ้านแล้วกัน」
「ได้สิ ฉันเองก็อยากจะทดลองเพิ่มเติมด้วย เพราะความเป็นไปได้ของมันมีสูงจริงๆ 」
เขาเองก็ต้องยับยั้งชั่งใจเหมือนเอเลนบ้าง แม้ว่าตอนนี้ตัวเขาจะตื่นเต้นราวกับเด็กที่ได้ของเล่นใหม่มา นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุน้ำ ไปสู่การไร้ธาตุ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่มองภาพตรงหน้าก็ปรบมือออกมา
「เราว่าคนพวกนั้น คงเสียแรงใจในการสู้ไปหมดแล้วแน่ๆ พอได้ยินเสียงระเบิดนี้」
เธอมองไปยังพวกชนพื้นเมืองที่กำลังอยู่ภายในกรงที่ฟาร์มาสร้างขึ้น
「ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ คนพวกย่อมไร้พลังเมื่ออยู่ต่อหน้าของฝ่าบาทตั้งแต่แรกแล้ว ถึงจะไม่ใช้สิ่งนี้พวกเขาก็คงยอมจำนนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ 」
「เจ้านี่ก็เข้าใจพูดในฐาะแพทย์ผู้เยียวยารักษาคนจริงๆ ไม่ใช่ว่าใจจริงเจ้าต้องการแบบนั้นหรอกหรือ」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะบอกว่าเอาเถอะ ปาลเล่ที่เห็นก็ทำได้เพียงเอียงศีรษะสงสัย
「ในเมื่อสถานการณ์มันเอื้ออำนวยขนาดนี้แล้ว ไหนๆ เราก็มาเริ่มสอบปากคำเชลยศึกกันเลยดีกว่า เราจะเล่นให้ถึงพริกถึงขิงเลย」
「…แต่ฝ่าบาทเป็นถึงพระสันตะปาปาการจะมาทรมานพวกคนเถื่อนนี่มันก็….」
ปาลเล่เผยความในใจออกมา
「รู้อะไรไหมว่า การสอบปากคำน่ะ ถ้าจะให้ได้ผลก็ต้องหลังจากสร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรง แล้วทำตัวใจดีใส่ทีเผลอนี่แหละถึงจะได้ผล」
เธอผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงจักรพรรดินีผู้ปกครองประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตอนนี้ได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
*
ฟาร์มากำลังค้นหาคลาร่าจากบนท้องฟ้าด้วยดวงตาวินิจฉัย แต่ไม่ว่าจะบินวนไปมาสักกี่ครั้งก็ไม่พบตัวเธอเลยสักนิด
ก็จริงว่าฟาร์มาสามารถลบเอาต้นไม้พืชทั้งหมดออกไปได้เหมือนที่ทำก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ลังเลที่จะทำลายระบบนิเวศเป็นวงกว้างแบบนี้โดยไม่จำเป็น
「เอ…หรือว่าจะถูกพาไปซ่อนตัวที่ไหนกันนะ? 」
ตาของฟาร์มานั้นสามารถมองทะลุสิ่งก่อสร้างต่างๆ แม้มันจะซ่อนอยู่ใต้ดินก็ตาม
「บางทีพวกเขาอาจจะมีสิ่งที่สามารถปกปิดพลังของตาเราก็ได้」
ฟาร์มาคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เขาก็เลยร่อนลงแล้วเดินสำรวจแทน เผื่อจะเห็นในสิ่งที่ดวงตาของเขาไม่เห็น
สิ่งแรกที่เขาทำการเดินสำรวจก็คือหาเส้นทางของพวกสัตว์ ไม่มีสิ่งใดสามารถปกปิดร่อยรอยของสิ่งมีชีวิตโดยรอบได้สมบูรณ์แบบ พวกมันจะมีเส้นทางการเดินของตัวเองเสมอ เพราะมันต้องมั่นใจว่าพวกมันจะสามารถเดินทางไปมาในป่าลึกแบบนี้ได้โดยไม่เป็นอันตรายใดๆ สิ่งที่ฟาร์มาต้องการจะเจอก็คือป้ายบอกทางที่แยกระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ซึ่งก็คือรอยเท้า อุจจาระ หรือรอยกัดบนผลไม้ ภายในป่าที่หลงเหลืออยู่
「มีร่องรอยของสัตว์เล็ก….ส่วนสัตว์ใหญ่หาไม่เจอเลย…อ๊ะนั่น…」
ฟาร์มาเพ่งสายตาไปแล้วก็พบเข้ากับอุจจาระของสัตว์ชนิดหนึ่ง
「…หากพิจารณาจากขนาดกับสีแล้ว มันคืออุจจาระของมนุษย์…ก็แปลว่าแถวนี้ต้องมีคนอยู่」
ฟาร์มาได้เดินทางไปตามไหล่เขาที่ไกลจากชายฝั่งไม่มากนักซึ่งสูงเหนือระดับน้ำทะเลไปไม่กี่เมตร
การที่ผู้คนจะอาศัยอยู่ภายในป่าได้นั้นสภาพแวดล้อมจะต้องปลอดภัยและไม่ไกลจากแหล่งน้ำนัก ก็จริงว่าอาจจะมีบางกรณีที่สร้างไกลออกไปบ้าง แต่ก็จะต้องใช้เวลาเดินทางไปมาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงจากแหล่งน้ำ เมื่อพิจารณาดูอุปกรณ์ของสวมใส่เครื่องใช้ของพวกเขาแล้ว อารยธรรมของพวกเขาก็สูงระดับหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ เกาะก่อนหน้านี้ไม่ใช่ฐานที่มั่นหลักของพวกเขาแน่ๆ เพราะเกาะเล็กแบบนั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะหาน้ำจืดมาใช้ ทางเลือกเดียวที่ทำได้จริงก็คงเป็นการหาน้ำฝน
(นอกจากนี้ ก็ไม่มีหลักฐานซะด้วยว่าพวกเขาเดินทางไปมาด้วยเรือ…หรือจะใช้พวกวิญญาณกันนะ)
ไม่นานนักฟาร์มาก็เจอเข้ากับทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง
ซึ่งภายในถ้ำก็มีภาพสลักบางอย่างอยู่บนผนัง
(แต่มันมีอะไรแปลกๆ )
หากลองดูให้ดีๆ ก็จะพบว่ามีเศษซากกระดูกของสัตว์เล็กกองอยู่หน้าถ้ำด้วย
ฟาร์มาก็เลยลองหักกิ่งไม้แล้วโยนเข้าไปข้างในถ้ำ ทันใดนั้นก็มีหมอกสีดำที่มองไม่เห็นก่อนหน้านี้ออกมาหมุนวนอยู่รอบกิ่งไม้และเผาไหม้มันให้กลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา
「ว่าแล้วเชียว」
หากฟาร์มาเผลอก้าวเข้าไปโดยไม่ทันคิดอะไร ตัวเขาอาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วก็ได้
「สามารถใช้ในการป้องกันสัตว์และผู้บุกรุกได้ แถมหมอกสีดำนั่นคล้ายกับของที่โจมตีเมืองหลวงครั้งก่อนเลย….…」
พอเห็นแล้วว่ามีกับดัก ฟาร์มาก็เลยสร้างแผ่นทองแดงขึ้นมาปิดรูปสลักที่อยู่บนผนังถ้ำ ก่อนจะลองโยนกิ่งไม้เข้าไปอีกรอบ คราวนี้ดูเหมือนกับดักจะไม่ทำงานแล้ว ราวกับเซ็นเซอร์โดนปิดไป
หลังจากตรวจสอบจนมั่นใจแล้วฟาร์มาก็เดินเข้าไปข้างในถ้ำ
「….รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวิญญาณมากกว่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพจริงๆ นั่นแหละ」
ภายในถ้ำดังกล่าวมีลักษณะเป็นโพรงกว้างอยู่ภายใน โครงสร้างโดยรวมคล้ายถ้ำหินปูน
พอฟาร์มาตรวจสอบมองทะลุผ่านชั้นหินไปก็พบว่ามีคนหลายสิบคนกำลังอยู่ข้างหน้าเขา จากนั้นฟาร์มาก็ตรวจสอบแสงที่ส่องออกมาจากร่างกาย แต่ก็ยังไม่พบเป้าหมายที่ตนตามหา
「เจอแล้ว……!」
ไม่นานนักฟาร์มาก็พบสักทีว่าคลาร่าหายไปไหน
เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างชนพื้นเมืองกับคลาร่า ฟาร์มาจึงจำเป็นต้องหามนุษย์ที่มีชีพจรแห่งเทพไหลเวียนอยู่ท่ามกลางแสงมากมายที่ส่องออกมาภายในดวงตาของเขา
ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่เห็นอะไรเลยก็เป็นเพราะหน้าถ้ำมีการป้องกันเอาไว้ แต่พอเข้ามาได้แล้วฟาร์มาก็พบกับคลาร่าโดยใช้เวลาไม่นานนัก ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่พลังแห่งเทพดูจะเหือดแห้งไปเยอะเลย
(ไม่ได้ติดโรคพยาธิใบไม้ในเลือดสินะ? แต่ว่าอย่างที่ได้ยินมาเลย….โนอาร์ไม่อยู่ที่นี่จริงด้วย)
ฟาร์มาที่รู้แบบนั้นแล้วก็ตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและพยายามหาทางพาตัวคลาร่าออกมาให้ได้เป็นอันดับแรก ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงตรวจสอบจุดที่ชนพื้นเมืองอยู่ เส้นทางที่เขาต้องเดินภายในถ้ำ ดูลักษณะการเคลื่อนไหว กำหนดเส้นทางการหลบหนี ตั้งแต่ที่เขาอยู่จนถึงตัวคลาร่าต้องทำอย่างไรบ้าง ในถ้ำที่คดเคี้ยวราวกับเขาวงกตนี้ จะไปต่ออย่างไร
เมื่อทำการคิดแผนทั้งหมดเสร็จสิ้น ฟาร์มาก็เริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล
ฟาร์มาได้ทำการดับเปลวไฟจากคบเพลิงที่ส่องแสงอยู่ภายในถ้ำและแสงเทียนด้วยไนโตรเจนจากระยะไกล เสียงตกใจและเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาเป็นระยะจากการสูญเสียการมองเห็น ฟาร์มาได้เร่งความเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อวิ่งผ่านเข้าไปในถ้ำ จากนั้นเขาก็เห็นแสงบางอย่างคล้ายกับแสงจากฟลูออเรสเซนต์
(……? )
แสงนั้นมันพุ่งตรงเข้าหาฟาร์มา โดยทะลุชั้นหินต่างๆ มาเป็นเส้นตรง
ฟาร์มารู้ได้ทันทีเลยว่ามันผิดปกติ
สิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
——–
Note 1 : ไม่หลับไม่นอนเพราะเฝ้าดูผลเลือกตั้ง จนได้ตอนใหม่ออกมาง่วงงงงง
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code