Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 94
ตอนที่ 94 เปิดฉากโรงละครโลก
ฟาร์มาและคอมพ์ที่ขับไล่วิญญาณร้ายออกจากโบสถ์เมสเซโน่ที่ตั้งอยู่แถวเขตชานเมืองของอาณาจักรเฮลเวเทีย ได้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านของเอ็มม่า และเข้ามาสมทบกับทางซาโลม่อน จูเลียน่าและเหล่าครูเซเดอร์ที่อยู่ในหมู่บ้าน
ซาโลม่อนและจูเลียน่าพูดคุยกับคนในหมู่บ้านที่แสดงความกระวนกระวายใจ พอฟาร์มาปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็เรียกทักฟาร์มาทันที
“ปัญหาแก้เสร็จแล้วสินะครับ ดูจากทางนี้เหมือนวงเวทของโบสถ์เทพผู้พิทักษ์ได้รับการฟื้นฟูเรียบร้อยแล้ว ”
“ครับ การทำงานของโบสถ์กลับมาเป็นปกติแล้ว พวกวิญญาณร้ายก็ถูกผนึกไปอีกรอบแล้วด้วย ผมว่าชาวบ้านน่าจะปลอดภัยกันแล้วครับ”
“ถึงเป็นเช่นนั้นพวกเราก็คงจำเป็นต้องรอดูสถานการณ์ไปอีกสักพักครับ”
พวกเขายังคงช่วยระแวดระวังอยู่ในหมู่บ้านจนกว่าจะถึงเช้า อีกทั้งพวกเขายังสามารถรอสมทบกับจักรพรรดินีอยู่ตรงนี้ได้เนื่องจากเป็นเส้นทางผ่านอยู่แล้ว ดังนั้นฟาร์มาเลยตัดสินใจเดินทางกลับไปเพื่อรายงานจักรพรรดินีว่าเส้นทางดังกล่าวสามารถเดินทางต่อได้แล้วด้วยตัวคนเดียว
“เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปบอกฝ่าบาทเองครับว่าหมู่บ้านนี้ปลอดภัยแล้ว”
“ดีจริงๆ ที่ท่านยังมีคทาแห่งเทพโอสถอันใหม่นี้ เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมากค่ะ”
ซาโลม่อนพูดคาดเดาต่อจากจูเลียน่า
“คงจะดีหากท่านรีบกลับไปที่เมืองหลวงจักรวรรดิ…เพราะผมสงสัยเหลือเกินว่าที่นั่นจะเกิดสถานการณ์เช่นเดียวกันกับที่พวกเราเจอไหม”
“ได้ครับ ไว้ผมรายงานกับฝ่าบาทเสร็จแล้ว ผมจะรีบกลับไปทันทีเลยหลังจากได้รับอนุญาต”
“ขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัยครับ”
“ขอบพระคุณมากค่ะ หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะคะ”
จูเลียน่าเดินเข้าไปจับมือของฟาร์มาก่อนจะกุมมันไว้แล้วร่ายมนตร์บางอย่างเหมือนการสวดภาวนา ฟาร์มารู้สึกได้ถึงพลังแห่งเทพที่ออกมาจากมือของเธออย่างแผ่วเบา
ในมือของเขานั้นมีคทาแห่งเทพโอสถอันใหม่อยู่ เขาได้ส่งพลังให้กับมันแล้วลอยตัวขึ้นไปแล้วพุ่งตัดผ่านเมฆของท้องฟ้ายามค่ำคืน
ขณะที่สายตามองไปยังดวงจันทร์ ทิศทางที่เขามุ่งไปก็คือที่พักของจักรพรรดินี
โดยด้านล่างขณะนี้ เขาเห็นถึงประกายแสงจากไฟภายในหมู่บ้านที่อยู่บริเวณข้างทางหลวง
พอถึงที่หมาย เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตามากเกินไป เขาจึงลงจอดให้ห่างออกไปเล็กน้อยจากคณะเดินทาง ก่อนจะเข้าไปรวมกลุ่มกับจักรพรรดินีที่พักอยู่ในโรงแรมบริเวณข้างทาง
จักรพรรดินียังคงเฝ้าคอยการกลับมาของฟาร์มา โดยมีคลาร่ากับคนอื่นๆ นั่งดื่มเป็นเพื่อน ชุดที่เธอใส่ตอนนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนด้วยซ้ำ
เมื่อฟาร์มารายงานเธอถึงเรื่องที่หมู่บ้านของเอ็มม่าปลอดภัยแล้ว พร้อมกับขอตัวกลับเมืองหลวงก่อนเนื่องจากเหตุด่วน เมื่อจักรพรรดินีได้ยินเรื่องของวิญญาณร้ายที่ปรากฏออกมาภายในโบสถ์ สีหน้าของเธอก็ดูเคร่งเครียดขึ้น
“โบสที่เคยผนึกสิ่งชั่วร้ายเอาไว้กับสมบัติลับที่หยุดการทำงานไป เป็นเรื่องใหญ่แล้วสิ”
“ฮ่ะ..เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว กระหม่อมจึงอยากขอให้ฝ่าบาทส่งตัวกระหม่อมกลับเมืองหลวงไปก่อนจะดีกว่าหรือไม่ เพราะที่นั่นก็มีโบสถ์เทพผู้พิทักษ์อยู่เช่นกัน”
คลาร่าซึ่งฟังอยู่ด้านข้าง เข้าไปอยู่ที่เบื้องหน้าจักรพรรดินีและหมอบลงข้างๆ ฟาร์มาเพื่อช่วยเหลือเขาอีกแรง
“ฝ่าบาท กระหม่อมก็ร้องด้วยอีกแรง ได้โปรดให้ท่านแพทย์โอสถเดินทางกลับไปโดยเร็วเถิดเพคะ”
คลาร่าขอร้องจักรพรรดินีโดยตรง ก่อนจะบอกว่าเธอได้รับวิวรณ์จากสวรรค์ว่าฟาร์มาควรกลับไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิโดยเร็วที่สุด จักรพรรดินีตกใจกับแรงผลักดันที่มากมายของคลาร่า และเธอก็ยอมในที่สุด
“เกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่”
เรื่องนั้นกระหม่อมต้องไปยืนยันด้วยตาตนเองพ่ะย่ะค่ะ หากทางโบสถ์ของเมืองหลวงล่มสลายเพราะพวกวิญญาณร้ายแล้วละก็ กระหม่อมคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“แต่หากมันเกิดขึ้นทุกที่พร้อมกันจริงๆ เราไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถหยุดมันได้ด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ….นั่นสินะ อาจจะมีแค่หนทางเดียวที่จะหยุดหายนะนี้ได้”
จักรพรรดินีหน้าซีดลงขณะกำลังจะพูดต่อ
“ตอนนี้ตัวเราก็มีตราหลอมละลายแบบเดียวกับปิอุสอยู่บนแผ่นหลังด้วยสิ”
เธอที่รู้ถึงการมีอยู่ของมันแล้ว ก็หันหลังให้กับฟาร์มาและอธิบายถึงลักษณะของมันได้อย่างชัดเจน เธอช่างแข็งแกร่งและมีศักดิ์ศรีพอที่จะยอมรับกับทุกสิ่งที่ตนเผชิญได้
ฟาร์มาไม่สามารถตอบกลับอะไรไปได้ ก่อนจะฟังคำพูดถัดไปของเธอ
“หากพวกวิญญาณร้ายมันปรากฎขึ้นในสถานที่ต่างๆ เนื่องจากพระสันตะปาปาไม่อยู่แล้วละก็ คงจะดีนะหากเราที่มีตรานั้นเช่นเดียวกันขึ้นรับตำแหน่ง ถึงจะในรูปแบบที่ต่างออกไปสักหน่อย”
ฟาร์มาให้ความใส่ใจอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่แบกรับเอาตราหลอมละลายนั้นไป ว่ากันว่าคนเหล่านี้สามารถทำพิธีกรรมพิเศษที่จะสามารถรักษาวงเวทศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในโบสถ์ทั่วโลกได้อีกทั้งยังสามารถสะกดวิญญาณร้ายได้อีกด้วย ถึงฟารืมาจะปิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่ถ้าจักรพรรดินีได้ส่องกระจกและสังเกตุตราดีๆ เธอก็พอจะเดาเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ไปได้
ฟาร์มาก็ตระหนักได้ดีอยู่แล้วว่าเธอต้องคิดถึงความเป็นไปได้นี้
“ฝ่าบาท พระองค์ไม่ควรกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ คุณปิอุสก็เสียชีวิตไปแล้ว บางทีพระองค์อาจจะถูกฟันเฟืองเกี่ยวเข้าไปเหมือนกับท่านปิอุสตอนนั้นก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
พระสันตะปาปาปิอุสก็ถูกกำหนดให้เป็นสารหล่อเลี้ยงฟันเฟือง
หากเธอย้อนกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ บางทีสักวันหนึ่งเธออาจจะถูกฟันเฟืองนั่นกลืนกินเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับฟาร์มาแล้ว เขาอยากจะให้เธออยู่ห่างจากภัยนั้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีเพราะเขารู้ดีว่าเธอที่ได้รับผลของตราหลอมละลายจะอยู่ที่ไหนบนโลกก็คงไม่ปลอดภัย แต่ยังไงนครศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นที่ที่อันตรายที่สุดอยู่ดี
แต่ว่าตรงกันข้ามกับความกังวลของฟาร์มา จักรพรรดินีมีความตั้งใจอย่างแรงกล้ากับบางสิ่ง
“เราก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเราจะเป็นพระสันตะปาปาของนครศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว ตำแหน่งที่ว่าน่ะเราต้องเป็นควบคู่ไปกับจักรพรรดินีของจักรวรรดิอยู่แล้วสิ”
อำนาจทางการปกครองระดับโลกอย่างจักรวรรดิ กับอำนาจทางความศรัทธาจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ฟาร์มาจำได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกใบนี้ แต่จากประวัติศาสตร์โลกของเขาแล้ว แนวคิดที่ว่าก็เกิดขึ้นมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ
“หมายความว่าฝ่าบาทจะผนวกนครศักดิ์สิทธิ์..เข้ากับจักรวรรดิหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่านี้อีกแล้ว ยังไงนครศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมโดนกลืนกินด้วย”
ก็เป็นไปตามที่เธอพูด นั่นเป็นหนทางเดียวที่เธอจะสามารถเป็นจักรพรรดินีและพระสันตะปาปาไปพร้อมกันได้ ถึงเขาจะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่แย่ไปหน่อยก็ตาม
ฟาร์มาไม่สามารถช่วยชีวิตของพระสันตะปาปาคนก่อนอย่างปิอุสที่เสียชีวิตลงต่อหน้าเขาได้
นั่นจึงทำให้เขาไม่อยากจะสูญเสียจักรพรรดินีผู้มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเขามานานไป
ฟันเฟืองนั้นต้องการเครื่องสังเวยใหม่ ซึ่งฟาร์มาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเรื่องนี้ได้แม้เขาจะพยายามหาทางออก แต่มันก็เต็มไปด้วยความมืดมิด
“พอคิดได้แบบนี้แล้ว เราก็จำเป็นต้องส่งสารไปยังนครศักดิ์สิทธิ์แล้วสิ”
จักรพรรดินีตั้งใจจะกดดันทางนครศักดิ์สิทธิ์ให้ผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิเพราะเธอต้องการจะเป็นจักรพรรดินีต่อไปโดยควบตำแหน่งพระสันตะปาปาไปพร้อมกันด้วย
แต่ฟาร์มาก็พยายามหยุดเธอไว้
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าฟันเฟืองนั่นจะได้ทำตามใจตัวเองด้วยเถิด ขอให้พระองค์เชื่อกระหม่อม”
การมีอยู่ของผู้ดูแลสุสานซึ่งเขาได้ข้อมูลมาจากความทรงจำของหญิงสาวที่เป็นเทพแห่งการเกษตรองค์ก่อน ยังคงวนเวียนอยู่ภายในฟันเฟืองนั้น
[สิ่งที่สร้างโลกใบนี้ สิ่งที่ทำลายโลกใบนี้ สิ่งที่ซ่อมแซมส่วนที่ถูกทำลาย]
ถ้าผู้ดูแลสุสานมีความตั้งใจให้ฟาร์มามายังโลกใบนี้ ก็แปลว่าเขากำลังต้องการทำบางสิ่งที่ตนต้องการอยู่ แต่เขาก็ไม่อยากจะสูญเสียใครไปอย่างช่วยไม่ได้อีกแล้ว
“ตราหลอมละลายเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพ่ะย่ะค่ะ มันไม่ใช่คำสาป ดังนั้นได้โปรดให้กระหม่อมทำหน้าที่ของตนด้วยเถิด หน้าที่ของกระหม่อมในฐานะแพทย์โอสถหลวงของพระองค์ กระหม่อมจะทำให้พระองค์กลับมาแข็งแรงในเร็ววันเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฟาร์มาหยิบคทาแห่งเทพโอสถออกมา ก่อนจะมองไปยังในแววตาของจักรพรรดินีที่แสดงความกังวลออกมา
“นั่นรวมไปถึงการปกป้องชีวิตของพระองค์ด้วย”
…━━…━━…━━…
หลังไปเข้าเฝ้าจักรพรรดินีเสร็จ ฟาร์มาก็ขึ้นไปขี่คทาแห่งเทพโอสถอันใหม่
แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิด้วยความเร็วสูงสุด
ตอนนี้ก็เป็นเวลาตีห้าแล้ว
ระหว่างการเดินทาง ฟาร์มาสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆ จากมุมสูงได้
ยิ่งเขาเข้าใกล้เมืองหลวงมากเท่าใด ความมืดมิดก็ยิ่งมากขึ้น หมอกสีดำก็หนาจนเข้าปกคลุมทั่วเมืองเหมือนเป็นโดม
“รู้สึกเหมือนเดจาวูเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับทวีปแห่งนี้กัน…”
ฟาร์มาเริ่มระวังตัวมากขึ้นก่อนจะเบรกกลางอากาศ
ทั้งที่สายลมซึ่งมักจะพัดผ่านท้องฟ้าของเมืองหลวงมันจะมีความชื้นนิดหน่อยและอบอุ่น แต่ตอนนี้กลับมีลมกระโชกแรงผิดธรรมชาติขึ้นมาเป็นครั้งคราว หมอกที่เขาเห็นนั้นก็ดูเหมือนจะขยับไปมาได้ทำให้รู้ว่าเกิดมาจากพวกวิญญาณร้าย ทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงามของเมืองหลวงก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวราวกับว่ามันกลายเป็นเมืองที่ล่มสลายไปแล้ว
(เหมือนที่คลาร่าบอกไว้เลย… หวังว่ายังไม่สายเกินไป..คนอื่นจะเป็นอะไรกันไหมนะ?)
“สังเกต”
ฟาร์มารู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นไปทุกทีขณะที่ใช้ดวงตาของเขาซูมภาพสังเกตบริเวณโดยรอบ
ดวงตาของเขาค่อนข้างมีความแม่นยำสูงพอสมควร อีกทั้งยังสามารถหาผู้คนที่อยู่ภายในอาคารได้อีกด้วย
แต่พื้นที่ส่วนใหญ่นั้นไม่มีคนเหลืออยู่แล้ว ไม่ว่าจะภายในอาคาร ร้านค้า หรือบ้านเรือน ราวกับเป็นเมืองร้าง
(หากพวกเขาไม่อยู่ที่นี่กัน แล้วพวกเขาไปไหนกันล่ะ)
ใบหน้าของลอตเต้ เอเลน ครอบครัวของเขา และพนักงานร้านขายยาแวบเข้ามาในหัว พวกเขาจะสบายดีไหมนะ เขาไม่อยากคิดเลยว่าหากมันไม่เป็นไปตามที่เขาหวังจะเป็นเช่นไร ฟาร์มายังคงพยายามสอดส่องด้วยพลังจากดวงตาของเขาเข้าไปภายในหมอกนั้น
จนเมื่อเขาโฟกัสไปยังจุดหนึ่งของเมืองหลวง ก็พบกับแสงสีฟ้าจางๆ เป็นกระจุกใหญ่
“ยังมีคนเหลืออยู่ที่มหาวิทยาลัยยา!”
ความตีงเครียดของฟาร์มาผ่อนคลายลงหลังสายตาของเขาไปพบเข้ากับมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ
ถึงจากระยะนี้จะเห็นแล้วว่ามีเหลือกันเพียงไม่กี่คน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังปลอดภัยอยู่
ฟาร์มาใส่พลังเข้าไปที่คทาแห่งเทพโอสถ แล้วพุ่งฝ่าหมอกเข้าไปเพื่อยืนยันความปลอดภัยของพวกเขาด้วยตนเองอีกที บริเวณกำแพงของมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิมีร่างของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพกำลังพยายามปัดเป่าพวกวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่เข้ามาภายในมหาวิทยาลัยอยู่
บางทีพวกเขาอาจจะใช้พลังแห่งเทพไปจนเกือบหมดสิ้นแล้วก็ได้ จากสภาพของพวกเขาที่ดูอ่อนล้าราวกับผ้าขี้ริ้ว
ฟาร์มารีบเข้าไปช่วยพวกเขาเอาไว้ทันทีที่ร่อนลงบนกำแพง
“อาณาเขตชำระล้างโรคระบาด”
ปลายคทาเปล่งแสงออกมา ในขณะเดียวกันก็มีสายลมบริสุทธิ์พัดผ่านเข้ามา
หมอกของเหล่าวิญญาณร้ายก็ถูกปัดเป่าออกไปด้วยพลังของฟาร์มา ท้องฟ้าโดยรอบของมหาวิทยาลัยก็กลับมาสว่างเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนปกติ
แสงจันทร์ได้ส่องผ่านร่างของพวกเขาทั้งหมดที่อยู่เบื้องล่าง
“ใครกัน!”
“แสงเมื่อกี้มันอะไรกัน!
พวกเขาบางคนนึกว่าเป็นการโจมตีมาจากศัตรู จึงทำให้พวกเขาโต้กลับด้วยศาสตร์แห่งเทพทันที แต่ฟาร์มาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยการสลายลูกไฟที่ยิงออกมาให้หายไปอย่างง่ายดาย
หากคนเหล่านั้นได้สังเกตดูดีๆ ก็พบว่าเป็นฟาร์มา แต่เนื่องจากกำแพงนี้มันสูงกว่า5 เมตรจึงอาจจะเห็นได้ยาก ดังนั้นฟาร์มาจึงเป็นฝ่ายทักพวกเขาก่อน
“ทุกคนปลอดภัยไหมครับ นี่ผมเอง ฟาร์มา เดอ เมดิซิส”
“ศาสตราจารย์!”
“นั่นศาสตราจารย์ฟาร์มาไม่ใช่เหรอ!?”
“แล้วเหตุใดท่านถึงลงมาจากท้องฟ้าได้กัน แล้วองค์จักรพรรดินีล่ะ?!”
พอเสียงเชียร์ดังขึ้นมาจากหมู่ของเจ้าหน้าที่และนักเรียนที่อยู่ในหอระฆัง พวกเอ็มเมอริค โจเซฟีน และคณาจารย์กลุ่มหนึ่งก็ตามเสียงนั้นมา
เอ็มเมอริคที่เห็นฟาร์มาลอยอยู่บนอากาศได้ก็หัวเราะออกมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“ว่าแล้วเชียวมันไม่ใช่การกระโดดเฉยๆ มันเป็นมนตร์สำหรับบินเลยต่างหาก ศาสตราจารย์ ท่านกำลังใช้ศาสตร์ที่จะปฏิวัติโลกของเราได้แล้วจริงๆ”
ผลจากการวิเคราะห์ที่เห็นว่าฟาร์มาสามารถร่อนลงมาจากท้องฟ้าได้ มันย่อมไม่ใช่มนตร์จากธาตุหลักทั้งสี่อยู่แล้ว ดังนั้นเอ็มเมอริคจึงคาดว่านั่นจะต้องเป็นมนตร์ไร้ธาตุ ทางฟาร์มาก็เงียบกับคำถามของเขาแล้วเปลี่ยนเรื่องแทน แน่นอนรวมไปถึงคนรอบๆ นั้นด้วย
“ไว้เดี๋ยวเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลังนะครับ เอาเป็นว่าช่วยบอกผมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันทีครับ”
“ฮ่ะ วงเวทที่ทำการสร้างขึ้นรอบกำแพงตอนนี้ได้พังทลายลงแล้วครับ นั่นจึงทำให้พวกวิญญาณร้ายหลั่งไหลเข้ามาไม่หมดไม่สิ้นเลย พวกเราในตอนนี้ไม่มีพลังเหลือกันมากแล้ว จึงทำได้แต่พยายามตั้งรับกันต่อไปครับ”
“ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ค่ะ ที่ศาสตราจารย์กลับมาได้ทัน ถ้าเป็นแบบนี้เราก็น่าจะยื้อกันไปได้อีกสักพัก”
โจเซฟีนพูดเสริมส่วนเอ็มเมอริคก็พยักหน้ายอมรับตาม
ปริมาณพลังแห่งเทพของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ใช้ได้ในหนึ่งวันนั้นมีจำกัด ฟาร์มาเข้าใจได้ทันทีว่ามันก็คงเหมือนกับนักเวทที่มานาหมด อีกทั้งพวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งในการต่อสู้ระยะประชิดอยู่แล้ว แถมพวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดด้วยว่าจะต้องมารับมือกับพวกวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวออกมาเป็นวงกว้างเช่นนี้
ฟาร์มาสร้างแก้วขึ้นมาจากน้ำแข็ง ก่อนจะเทน้ำลงไป แล้วแจกจ่ายให้กับเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่อ่อนล้าอยู่ สภาพของแต่ละคนก็เหมือนได้รับชีวิตใหม่กลับมาคล้ายกับน้ำนี้สามารถปลอบประโลมพวกเขาได้ชั่วขณะ
“ฮู้ว น้ำของศาสตราจารย์นี่สุดยอดกว่าคนอื่นเลย!”
“แล้วพวกวิญญาณร้ายนี่โผล่จากไหนกันครับ แล้วก็ตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วย”
“ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ดูเหมือนมันจะเริ่มขึ้นประมาณช่วงเที่ยงคืนวันก่อน รู้สึกตัวอีกทีมันก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว”
“แล้วระหว่างนี้คนทั่วเมืองหลวงหายไปไหนกันหมดครับ?”
ในขณะที่ถาม ฟาร์มาก็รู้สึกวิตกกังวลกับเมืองหลวงจักรวรรดิที่ว่างเปล่า เขากังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนใกล้ตัว
“คาดว่าตอนนี้พวกเขากำลังอพยพกันไปที่เมืองแลมบลูค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าคนภายในเมืองหลวงอพยพกันไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วฟาร์มาก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง
“ว่าแต่พวกเขาสามารถฝ่าพวกวิญญาณร้ายกันไปได้ยังไงครับ ผมคิดว่าขนาดเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพยังอันตรายเลยนะครับถ้าจะออกไปข้างนอก”
“เพื่อปกป้องคนของจักรวรรดิจากพวกวิญญาณร้ายแล้ว ท่านอธิการบดีเดอ เมดิซิสได้ทำการปรุงยาอายุวัฒนะฮาบัลลิเทอร์ก่อนจะแจกจ่ายให้ทุกคนค่ะ หากเดินทางตลอดทั้งคืนก็น่าจะสามารถไปถึงเมืองแลมบลูกันได้โดยไม่ถูกพวกวิญญาณร้ายทำอะไร ส่วนพวกเราก็มีหน้าที่ในการปกป้องสถานที่ของเหล่าผู้อพยพ ทางวังหลวงก็น่าจะมีอัศวินคอยปกป้องอยู่เช่นเดียวกันค่ะ”
“อายุวัฒนะ…ฮาบัลลิเทอร์? ศาสตร์ต้องห้ามของพ่อผมเหรอครับ?”
“ค่ะ ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ฟาร์มารู้สึกประหลาดใจกับการมาของฮาบัลลิเทอร์
และศาสตราจารย์ท่านอื่นซึ่งอยู่ที่นั่นด้วยก็ได้เสริมเรื่องที่โจเซฟีนพูด
“มันเป็นศาสตร์ต้องห้าม ที่แม้แต่ฉันก็ถูกห้ามไม่ให้มีส่วนร่วมค่ะ เนื่องจากการปรุงมันนั้นต้องใช้พลังแห่งเทพของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพถึงห้าคนในการปรุงค่ะ”
“และคนที่รับหน้าที่ในการเป็นเครื่องสังเวยก็คือศาสตราจารย์แคสเปอร์ครับ เพราะท่านอธิการบดีไม่อยากจะทำลายชีพจรแห่งเทพของอีกสี่คนที่เหลือ และเพื่อชดเชยพลังแห่งเทพที่ขาดหายไปเขาจึงยอมเสียสละตนเองไปด้วย”
“ทั้งที่พวกเราอาสาจะช่วยเติมพลังแห่งเทพให้แท้ๆ แต่ท่านอธิการบดีก็ไม่อนุญาต เนื่องจากท่านบอกว่ามีโอกาสเสี่ยงที่จะล้มเหลว”
ศาสตราจารย์หลายท่านต่างผลัดกันบอกถึงความสามารถของบรูโนและการเตรียมใจของแคสเปอร์ บางคนขณะพูดก็น้ำตาไหลออกมา และก็ต้องเห็นสภาพที่น่าตกใจของฟาร์มาที่เป็นลูกชายของบรูโน
ถึงบรูโนจะมีพลังแห่งเทพอยู่มาก แต่ฟาร์มาก็รู้สึกกลัวอยู่ดีว่ามันจะสามารถทดแทนพลังแห่งเทพปริมาณที่สี่คนต้องจ่ายได้จริงหรือ
(แปลว่าเพื่อสิ่งนั้นมันต้องแลกมากับชีพจรแห่งเทพของบรูโนและศาสตราจารย์แคสเปอร์…)
ถ้าให้พูดตามตรงฟาร์มาก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับศาสตร์ต้องห้ามมากนัก
ในอดีตก่อนที่ยาคุทานิ คันจิจะได้ครอบครองร่างของเขา ฟาร์มาในตอนนั้นก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขาไม่ได้เรียนมันมาจากเอเลนหรือบรูโน แต่อย่างใด อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่ได้ศึกษาอะไรเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังเพราะเขามองว่ายาพวกนี้มันต้องจ่ายค่าชดเชยแสนสาหัสจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว
ตอนที่ฟาร์มาได้ยินมาบรูโนใช้ศาสตร์ต้องห้ามโดยสังเวยชีพจรของศาสตราจารย์แคสเปอร์ไปด้วยเขาตกใจมาก
ทั้งที่ตนตั้งใจจะเผยแพร่เภสัชศาสตร์สมัยใหม่ให้แพร่หลายเพื่อที่ทุกคนในโลกนี้จะได้ไม่ต้องใช้ศาสตร์แห่งเทพในการรักษาโรคอีก
แต่เพราะโลกใบนี้มันมีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณร้ายจึงจำเป็นต้องมียาเช่นนี้อยู่ ทำให้สุดท้ายแล้วฟาร์มาก็ขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
ความจริงที่ว่าหากบรูโนไม่สามารถจัดการกับยาอายุวัฒนะและล้มเหลวในการใช้ศาสตร์ต้องห้าม จะทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาแค่คิดก็สยองแล้ว
การสูญเสียพลังแห่งเทพไปเนื่องจากชีพจรแห่งเทพที่สลายไป นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นจะสูญเสียสิทธิพิเศษทั้งหมดที่ชนชั้นสูงควรได้และต้องกลายเป็นเพียงสามัญชน ฟาร์มารู้สึกชื่นชมบรูโนที่ไม่เกรงกลัวต่อความสูญเสียในเอกสิทธิ์และอำนาจของเขาเลย
ว่ากันว่าเพื่อให้คนของเมืองหลวงได้อพยพไปยังเมืองที่ใกล้เคียงด้วยการเดินเท้า นั้นคงจะต้องใช้เวลานานเป็นแน่ แต่ก็เพราะฮาบัลลิเทอร์ที่มีผลในการปัดเป่าวิญญาณร้ายเป็นเวลาหลายวันเลยทำให้พวกเขาสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของวิญญาณร้ายไปได้
นี่คือข้อมูลที่ทำให้ฟาร์มาพอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนในช่วงสั้นๆ
เขาเชื่อว่าครอบครัวของเขา พนักงานร้านขายยา และคนที่เขารู้จักน่าจะอยู่ในกลุ่มผู้อพยพกันหมดแล้ว
“ส่วนพวกเราที่เหลืออยู่ก็มีหน้าที่ในการดูแลผู้พิการ ผู้ที่เดินไม่ได้ และผู้ที่ร่างกายอ่อนแอค่ะ”
“ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมยังต้องสร้างบาเรียในเมื่อผู้คนตั้งใจจะอพยพกันออกไปหมดอยู่แล้ว”
“ค่ะ ถึงฮาบัลลิเทอร์จะมีผลในการป้องกันวิญญาณร้ายไม่ให้เข้าสิงร่างเราได้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะทำอะไรเราไม่ได้เลยเสียหน่อย ดังนั้นเราจึงต้องปกป้องคนที่เหลืออยู่ค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น คุณโจเซฟีนครับ เดี๋ยวผมจะขอใช้มนตร์อะไรหน่อยนะครับ”
ฟาร์มากุมด้ามจับคทาที่อยู่ในมือของโจเซฟีนและตั้งท่าขึ้น
หน้าของเธอแดงระเรือขึ้นมาจากการกระทำที่แสนกล้าหาญของฟาร์มาและมีอาการสับสน
“นี่ท่านจะทำอะไรคะ?”
“ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับการสร้างบาเรียป้องกัน ดังนั้นผมจะให้พลังแห่งเทพกับคุณ รบกวนสร้างมันอย่างเหมาะสมให้ทีนะครับ!”
“ค่ะ”
หลังจากฟาร์มาพูด เธอก็ได้รับพลังแห่งเทพของฟาร์มาผ่านทางคทา แสงที่ปลายคทาเป็นประกายออกมา ฟาร์มานั้นได้กะปริมาณที่จะมอบให้โดยระวังไม่ให้คทาถูกทำลายไปไว้แล้ว
โจเซฟีนตัวสั่นและมองไปที่คทาของเธอราวกับว่ามันไม่ใช่ของเธอ
“ช่างเป็นพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้ หากล้มเหลว ผู้ร่ายมนตร์คงจะได้รับผลกระทบไปด้วยแน่ค่ะ”
“ผมก็จะช่วยด้วยอีกแรงนะครับ ใจเย็นๆ”
พอได้รับกำลังใจจากฟาร์มา เธอก็แปลงพลังแห่งเทพนั้นให้กลายเป็นศาสตร์แห่งเทพด้วยเสียงอันสั่นเครือเพื่อเป็นการเปิดใช้งานบาเรีย
“จงตอบรับคำเชื้อเชิญ สายลมแห่งสวรรค์ ผู้คนเป็นจักเข้าไป คนตายจักถูกขวางกั้น”
“แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวายุเทพ!”
คทาแห่งเทพของโจเซฟีนสร้างเฮอร์ริเคนสีเทาขึ้นมาทั่วท้องฟ้า
มันก่อตัวขึ้นราวกับกระแสน้ำวนเชี่ยว และแตกตัวออกไปยังกำแพงที่อยู่รอบๆ เป็นลมพายุที่เกิดจากศาสตร์แห่งเทพ โดยมีพลังแห่งเทพของฟาร์มาเป็นแหล่งพลังงาน หากมีพลังแห่งเทพที่เหมาะสม บาเรียในการป้องกันก็จะมั่นคง
“สามารถสร้างบาเรียแห่งเทพเป็นวงกว้าง..ด้วยตัวคนเดียว!”
การแสดงออกของโจเซฟีนมันเกินความประหลาดใจจนกลายเป็นความหวาดกลัวไปแล้ว จากนั้นฟาร์มาก็ปล่อยคทาของโจเซฟินแล้วจากไป
“งั้นก็มาต่อกันเลยครับ”
ฟาร์มาได้วางมือของเขาลงบนคทาของแต่ละคนที่อยู่รอบๆ โดยไม่พัก ก่อนจะให้พวกเขาเปิดใช้งานบาเรียเพื่อสร้างแนวป้องกันที่มั่นคง และมันยิ่งได้ผลมากกว่าเดิมเมื่อเขาให้พลังแห่งเทพกับผู้ที่มีเทพโอสถเป็นเทพผู้พิทักษ์
ต้องขอบคุณฟาร์มาและความร่วมมือของทุกคน จึงทำให้ตอนนี้พวกวิญญาณร้ายที่ล่องลอยอยู่รอบๆ มหาวิทยาลัยไม่สามารถเข้ามาได้แม้แต่ตัวเดียว
“หากมีบาเรียถึงแปดชั้นขนาดนี้ น่าจะยื้อเวลาให้พวกเราได้อีกเป็นวันๆ เลยค่ะ”
“งั้นระหว่างนี้เราก็จำเป็นต้องหาทางไม่ให้พวกวิญญาณร้ายปรากฏตัวออกมาได้อีกสินะครับ”
“แต่ศาสตราจารย์จะมีพลังมากเกินไปไหมคะ นี่ท่านสืบเชื้อสายมาจากทวยเทพหรือไงกัน”
โจเซฟีนถามแบบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น แต่เพราะฟาร์มาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้มากก็เลยตอบส่งๆ ไปว่า “ก็มีอะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นนะครับ”
“แต่ว่าหากท่านใช้พลังแห่งเทพขนาดนี้แล้วละก็ร่างกายของท่านคง…ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ท่านพยายามมามากแล้ว”
ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งเป็นกังวลจึงได้นำมาตราวัดพลังแห่งเทพออกมาแล้วขอให้เขาจับมันเอาไว้
จากนั้นมาตราวัดก็หมุนไปมาจนส่วนปลายของมาตราวัดพุ่งออกมาแล้วแตกสลายไป
“เอ๋”
มาตราวัดพลังแห่งเทพนั้นสามารถตรวจสอบปริมาณพลังแห่งเทพของผู้ถือได้ โดยแต่ละอัน
โดยมาตราวัดก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละชิ้นอยู่มันกันเช่นตัวที่สามารถวัดพลังแห่งเทพที่มีทั้งหมดของผู้ใช้ หรือพลังแห่งเทพที่ผู้ใช้สามารถใช้ได้ในแต่ละวัน
และก็ยังมีปริมาณที่แต่ละเครื่องสามารถวัดได้ด้วยตั้งแต่ หนึ่งแสนถึงหนึ่งหมื่นแน่นอนว่าสิ่งที่ศาสตราจารย์คนนั้นนำมาก็คือหนึ่งแสนซึ่งสามารถตรวจสอบพลังของจักรพรรดินีได้ เขาคิดว่าถ้าใช้ชิ้นนี้น่าจะเหมาะสมกับฟาร์มา
แต่การที่ทะลุระดับหนึ่งแสนไปได้มันก็หมายความว่าพลังแห่งเทพของเขานั้นสูงกว่าจักรพรรดินี และมาตราวัดที่จะสามารถวัดระดับพลังแห่งเทพของฟาร์มาได้นั้นก็คงจะไม่มีอยู่บนโลกนี้แล้วเป็นแน่ ทุกคนยกเว้นเอ็มเมอริคดูเหมือนจะตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ต่างจากเขาที่เคยเผชิญหน้ากับฟาร์มามาก่อนแล้วจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“เครื่องมันผิดปกติหรือเปล่าครับ”
ฟาร์มาคิดว่าตัวเองทำพลาดไปแล้ว จึงพยายามพูดแก้ตัว แต่เหมือนคำพูดของเขาจะไม่ได้รับการยอมรับเลย
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผม ไปที่โบสถ์ก่อนนะครับ”
“แต่ว่าตอนนี้มีคำสั่งให้อยู่ห่างจากโบสถ์ไว้นะครับ….ศาสตราจารย์ฟาร์มา!”
ฟาร์มาปล่อยให้เรื่องที่เหลือเป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ที่นี่ ก่อนจะกระโดดลงจากกำแพงของมหาวิทยาลัยแล้วเข้าไปในเมือง โจเซฟีนกับคนอื่นๆ ที่เห็นภาพแบบนั้นก็กรีดร้องออกมา และรีบวิ่งเข้ามาดูด้านล่างของกำแพงแต่ก็ไม่พบตัวของฟาร์มา
ทันทีที่เขากระโดดลงจากกำแพงเขาก็ได้ส่งพลังแห่งเทพไปยังคทาแห่งเทพโอสถ และควบมันบินไปเพราะไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว
จากประสบการณ์ของเขาที่โบสถ์เมสเซโน่ ฟาร์มาจึงตัดสินใจเข้าไปจัดการกับทางโบสถ์เทพผู้พิทักษ์ที่เมืองหลวงก่อน
เขายังจำเรื่องที่คอมพ์พูดได้ดีถึงความเป็นไปได้ที่วงเวทซึ่งปกป้องเมืองหลวงจะพังทลายลง เขาจึงไม่รอช้ารีบเดินทางไปจัดการมันเป็นลำดับถัดไป
แน่นอนว่าตอนนี้โบสถ์เทพผู้พิทักษ์ได้ถูกปกคลุมด้วยหมอกดำที่มีความหนาแน่นยิ่งกว่าของโบสถ์เมสเซโน่ ที่ฟาร์มาใช้พลังแห่งเทพเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้เพื่อทำการปัดเป่าพวกวิญญาณร้ายที่อยู่ภายในหมอกออกไป
วิญญาณร้ายที่จำฟาร์มาได้ก็เริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ ราวกับจะหลีกเลี่ยงฟาร์มา
ฟาร์มาได้ปลดปล่อยฝนที่สร้างจากศาสตร์แห่งเทพเพื่อทำการขับไล่หมอกสีดำออกไปให้หมด
และสุดท้ายวงจรเวทศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นบริเวณพื้นผิวของโบสถ์เทพผู้พิทักษ์หลังจากได้รับพลังของฟาร์มาไป และมีแสงสว่างเกิดขึ้นภายในพื้นของโบสถ์อีกครั้ง เมื่อเขามองจากมุมสูงก็พบว่ามีคนจำนวนมากที่นอนอยู่บริเวณโดยรอบ
เมื่อตรวจสอบด้วยตาของเขาดูเหมือนทุกคนจะเสียชีวิตไปกันหมดแล้ว
ซึ่งอาจเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่เสียชีวิตในการต่อสู้กับวิญญาณร้าย หรือไม่ก็นักบวชที่พยายามปกป้องโบสถ์ และยังมีคนที่ฟาร์มาเหมือนจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง
และพอฟาร์มามองผ่านหน้าต่างเข้าไปที่โบสถ์ก็พบว่า วิญญาณร้ายที่เหลืออยู่นั้นกำลังอยู่ในสภาพเหมือนกับของเหลวที่เดือดปุดๆ
“เราจำเป็นต้องฟื้นฟูวงเวทให้สมบูรณ์และใช้สมบัติลับในการกระตุ้นด้วย”
ในขณะที่กำจัดวิญญาณร้าย ฟาร์มาก็ก้าวเข้าไปในโบถส์ซึ่งเป็นเหมือนทางออกสำหรับพวกวิญญาณร้าย เขาได้โจมตีวิญญาณร้ายที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่สิ้นสุดด้วยพลังแห่งเทพและผลักพวกมันกลับไปยังพื้นโลก โครงสร้างของโบสถ์เทพผู้พิทักษ์ในเมืองหลวงที่เขามาบ่อยๆ นั้นเขาจำมันได้หมดแล้ว
เขาได้ทำการย้อนรอยผ่านทางเดินที่พวกวิญญาณร้ายอยู่กันอย่างหนาแน่นเพื่อตามหาจุดที่เป็นวงเวทสำหรับการปิดผนึกพวกมัน เมื่อเขาเดินไปสักพักก็พบกับรูบนขนาดใหญ่ซึ่งมีก้อนกรวดกองพะเนินอยู่ในสภาพที่แย่สุดๆ
พอเขาเดินผ่านเข้าไป ก็พบกับอาสนขนาดใหญ่ของโบสถ์จักรวรรดิ
ภายในอาสนโบสถ์นั้นมี พายุทอร์นาโดพัดออกมาจากใต้แท่นบูชาที่ถูกทำลายก่อนจะเห็นร่างของนักบวชนอนทับซ้อนกัน
เครื่องเรือนประดับที่หรูหราและภาพจิตรกรรมบนผนังก็ทรุดโทรมจนไม่เหลือสภาพเดิม
ก่อนอื่นเขาทำการซ่อมแซมวงเวทที่สลักเอาไว้บริเวณเพดานและผนังของโบสถ์เนื่องจากเขาพอจะคาดเดารูปร่างของวงเวทที่ขาดหายไปได้บ้าง เขาจึงทำการวาดวงเวทส่วนที่ขาดหายไป ถ้าจะให้เขาเปรียบเทียบวงเวทมันก็เหมือนกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่เขาสามารถเข้าใจได้ตามสัญชาตญาณควรเสริมส่วนที่ขาดตรงไหนบ้าง
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนจะต้องมาพึ่งมาวงเวทที่มีไว้สำหรับสะกดพวกวิญญาณร้าย แต่ทางออกที่ดีที่สุดในระยะยาวก็ต้องเป็นมันนี่แหละ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้งานมัน เพราะการจะฝืนใช้อาณาเขตชำระล้างโรคระบาดต่อไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะวางใจได้ หลังจากใช้สมาธิไปกับการฟื้นฟูวงเวทจนเสร็จสิ้น พลังแห่งเทพก็ได้ไหลผ่านไปยังบริเวณรอบๆ ของโบสถ์ ในที่สุดโบสถ์ก็ฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว
“เอาละแค่นี้ก็น่าจะเสถียรแล้วนะ”
ฟาร์มานำบัตรประจำตัวของเขาออกมาจากคทาแห่งเทพโอสถก่อนจะเติมพลังแห่งเทพเข้าไปภายในนั้นเท่าที่จะทำได้ แล้วนำมันไปใส่ภายในศูนย์กลางของวงเวทที่อยู่บริเวณใต้แท่นบูชาที่สมบัติลับเดิมควรอยู่ และเนื่องจากสมบัติลับอย่างบัตรประจำตัวพนักงานนั้นถือว่าเป็นกุญแจที่จะนำเขาเดินทางไปสู่ห้องปฏิบัติการต่างโลกได้ นั่นหมายความว่ามันเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างสองโลก ผลของมันน่าจะใช้งานได้ดีกับการป้องกันไม่ให้พวกวิญญาณร้ายเดินทางออกมาจากโลกใบอื่นได้ เมื่อวงเวทถูกฟื้นฟูสมบัติลับถูกนำกลับมาในที่ที่ควร ทั่วทั้งโบสถ์ก็เปล่งแสงออกมา จนทำให้พวกวิญญาณร้ายทั้งหมดหายไปราวกับถูกบดขยี้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์
และพอแหล่งกำเนิดของพวกวิญญาณร้ายถูกปิดผนึกไป พวกที่เหลือซึ่งวนเวียนอยู่รอบเมืองหลวงก็ค่อยๆ แตกพ่ายไปทีละตน
พอได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจแล้ว ฟาร์มาก็ออกมาจากโบสถ์และมองไปยังถนนของเมืองหลวงเหมือนเป็นการสำรวจ
(นี่มันหมายความว่ายังไงกัน)
สายตาของเขาไม่ได้เคลื่อนไปไหนเลย แต่เขากลับรู้สึกถึงความผิดปกติราวกับพื้นที่อยู่ตรงหน้าของเขามันบิดเบี้ยว และพอเขาพยายามจะโฟกัสพื้นที่นั้น เวลาก็ดูเหมือนจะถูกหยุดลงไป
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เราเจอฟันเฟือง…
(นั่นยักษ์เหรอ……⁉)
ฟาร์มาเห็นเงาของยักษ์ที่สวมฮู้ดสีดำ กำลังเดินไปมาอยู่ภายในเมืองหลวง ในขณะที่เวลายังถูกหยุดนิ่งเอาไว้ มันมีความสูงประมาณหนึ่งร้อยเมตรจากการประมาณด้วยสายตาของเขา
จากมุมมองของเขาแล้วดูเหมือนยักษ์ตนนั้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างสงบไปตามท้องถนนของเมืองหลวง ราวกับกำลังต้องการบางสิ่ง
(เรารู้จักสิ่งนั้น…เขาคือคนที่พาเรามาโลกแห่งนี้นี่)
ไม่รู้ว่ายักษ์ตนนั้นรู้ตัวว่าถูกฟาร์มาจ้องมองหรือไม่
เพราะยักษ์สีดำตนนั้นได้หันมามองที่ฟาร์มาเล็กน้อย แต่สิ่งที่อยู่ใต้ฮู้ดนั้นกลับเป็นความว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดอยู่ภายใน
เมื่อมันรู้ตัวว่าถูกฟาร์มาเห็นเข้าจริงๆ ยักษ์ตนนั้นก็หันกลับไปแล้วค่อยๆ เดินอย่างเชื่องช้าจนหายเข้าไปในหมอก
ทันทีที่ยักษ์ตนนั้นหายไป เวลาภายในเมืองหลวงก็เริ่มเดินอีกครั้ง
“นั่นมันผู้ดูแลสุสาน”
ฟาร์มานึกถึงคำนั้นขึ้นมาเป็นคำแรก ก่อนที่เขาจะกลืนน้ำลายด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่ตนคิด ทว่า
“ต้องใช่แน่ๆ”
เขายังจำคำพูดของคนคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเทพแห่งการเกษตรได้ เธอผู้กลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับฟันเฟืองจนเหลือเพียงแค่อัตตา ตอนนั้นเธอบอกกับฟาร์มาว่า “ถึงผู้ดูแลสุสานอาจจะโกรธฉันที่ทำแบบนี้ ” แต่นั่นก็เพื่อช่วยตัวเขา ฟาร์มารอดมาจากฟันเฟืองได้ก็เพราะเธอ ผลกระทบที่เขาได้รับก็คือโบสถ์ทั่วทั้งทวีปได้สูญเสียพลังไปและพวกวิญญาณร้ายก็ออกมาเพ่นพ่าน จากการคาดเดาของเขา น่าจะมีเหยื่ออยู่หลายชีวิตเลยทีเดียวที่ได้รับผลกระทบ
การโจมตีเมืองหลวงของจักรวรรดิซึ่งเป็นฝีมือของผู้ดูแลสุสานนั้นเป็นเหมือนกับสัญญาณที่ต้องการจะส่งฟาร์มาให้จมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง
เพื่อให้เขาสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นความผิดของตน
“หรือนี่คือผลลัพธ์ที่ได้จากการที่เรารอดชีวิต เพราะเราไม่ถูกนำไปสังเวยกับฟันเฟือง…เพราะเรารอดมาได้…ก็เลยมีคนอีกมากมายที่ได้รับผลกระทบ..”
การดำรงอยู่ของเหล่าเทพผู้ผู้พิทักษ์ที่มีจิตวิญญาณของมนุษย์ ก็มีไว้เพื่อการสังเวยเพื่อขับเคลื่อนฟันเฟืองให้อยู่ต่อไป
สิ่งมีชีวิตปริศนาที่สามารถพรากชีวิตจำนวนมากพอๆ กับที่ฟาร์มาสามารถช่วยไว้ ได้วิ่งผ่านกาลอวกาศไปอย่างอิสระ และแฝงตัวอยู่ภายในมิติที่เขามองไม่เห็น
ในโลกแห่งนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่าผู้ดูแลระบบที่จะควบคุมกาลเวลาและพื้นที่ที่มันดูแลอยู่
ฟาร์มาที่กำลังได้ลิ้มรสชาติของความสิ้นหวัง ก็ได้พยายามคิดจะต่อต้านสิ่งนั้น
แต่เขาก็ต้องกลับมาคิดถึงตอนที่พลังแห่งเทพและความสามารถสุดโกงมากมายของเขาต้องหายไปต่อหน้าต่อตาเมื่อเผชิญหน้ากับฟันเฟือง
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คิดว่ามันจะมีโอกาสไหนอีกที่จะสามารถพบเห็นสิ่งนี้ได้
หากพลาดโอกาสนี้ไปเขาก็ไม่รู้ว่าตนจะได้พบกับผู้ดูแลสุสานอีกหรือเปล่า หากมันหนีไปได้ โอกาสที่มันจะสร้างความเสียหายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ถึงโอกาสชนะจะเป็นศูนย์ การท้าทายในครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับการท้าทายพระเจ้า แต่ฟาร์มาก็จำเป็นต้องทำ
“ไม่ปล่อยให้หนีหรอก!”
ฟาร์มานำคทาแห่งเทพโอสถที่มีเพียงหนึ่งเดียวในมือเขา พุ่งออกไปยังช่องว่างมิติแตกสลายซึ่งกำลังจะหายไป ก่อนจะใช้สมบัติลับที่เหลืออยู่เพื่อแงะให้ช่องว่างนั้นเปิดออก
แล้วเวลาของโลกนี้ก็หยุดลงอีกครั้ง
ฟาร์มาแหวกม่านในห้วงอวกาศราวกับกำลังเดินทางเข้าไปยังปรโลก เพื่อทำการโจมตีผู้ดูแลสุสาน
ผู้ดูแลสุสานที่สามารถทำลายโลกใบนี้ได้โดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็หันกลับมาอย่างไม่ตระหนก แล้วก็พบว่าฟาร์มานั้นกำลังทิ้งดิ่งเข้ามาโจมตียังความว่างเปล่าที่อยู่ภายในฮูดด้วยคทาแห่งเทพที่มีพลังของเขาปกคลุมไว้อยู่
เสื้อผ้าของผู้ดูแลสุสานกระทบเข้ากับตัวคทาแต่ผลที่ได้นั้นกลับกลายเป็นว่าการโจมตีของฟาร์มาไม่เป็นผลเลย
“ให้ตายสิ…!”
หลังจากที่ฟาร์มาโจมตีเสร็จ ภาพที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็เหมือนการถูกสลับฉากนั่นคือสิ่งที่เขาสัมผัสได้
แล้วร่างของผู้ดูแลสุสานก็หายลับไปอย่างสมบูรณ์ก่อนที่ฟาร์มาจะถูกผลักกลับไปยังโลกเดิมของตน
(นี่เรากลับมาแล้วงั้นเหรอ…!?)
ถึงเขาจะพยายามเปิดมิตินั้นออกมาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่พบร่องรอยของรอยแตกอีกเลย ในจังหวะที่ฟาร์มาเข้าประชิดผู้ดูแลสุสานได้ เขาสามารถคว้าเอาบางสิ่งซึ่งอยู่ภายในร่างของผู้ดูแลสุสานกลับมาได้ด้วย มันเป็นคริสทัลที่มีความแวววาวคล้ายกับหินออบซิเดียน
(คริสทัลที่เต็มไปด้วยความทรงจำสินะ…เราน่าจะลองวิเคราะห์สิ่งนี้ดู)
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของการใช้ศาสตร์แห่งเทพขณะที่เขากำลังร่วงลงมาจากมิติ
ดูเหมือนมันจะเป็นศาสตร์แห่งเทพอันทรงพลังที่ถูกใช้ขึ้นมาจากบริเวณด้านล่างของเมืองหลวง
และพอผลกระทบของพลังนั้นมันแผ่มาจนถึงความสูงที่ฟาร์มาลอยอยู่ เขาก็สัมผัสได้ว่านั่นเป็นพลังของเอเลน
ด้วยการปรากฏตัวของสิ่งนี้จึงทำให้ฟาร์มามีสติกลับมาอีกครั้งจากห้วงความคิด
“เอเลน!?”
ฟาร์มาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ คว้าคทาของเขา และมุ่งหน้าไปยังร้านขายยาต่างโลก
ในขณะเดียวกันเขาก็เห็นกำแพงน้ำแข็งที่พยายามป้องกันร้านขายยาเอาไว้ถูกทำลายลงไปโดยพวกวิญญาณร้าย
ฟาร์มาถลาลงมาที่พื้น ก่อนจะเดินเข้าประตูหน้าที่พังเพื่อเข้ามาภายในร้าย ที่ซึ่งเอเลนกำลังถูกพวกวิญญาณร้ายที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนล้อมเอาไว้อยู่และกำลังพยายามจะรุมโจมตีเธอพร้อมๆ กัน ในขณะนี้เธออยู่ในสภาพที่จนมุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ออกไปให้พ้น!”
ฟาร์มาสะบัดมือด้วยความโกรธก่อนจะทำให้พวกวิญญาณร้ายที่มีทั้งหมดภายในร้านหายวับไปกับตา
และเอเลนก็ทรุดตัวลงกับพื้นร้านขายยา โดยมีอาการหายใจอย่างหนัก ฟาร์ม่ารีบวิ่งออกไปช่วยพยุงเธอขึ้น เพราะเธอเสี่ยงชีวิตเพื่อสร้างกำแพงและกักขังตัวเองไว้ในกำแพงน้ำแข็งเพื่อปกป้องร้านขายยา เวชระเบียนของเขา พร้อมกับตัวทำปฏิกิริยาแสนล้ำค่าที่ฟาร์มานำกลับมาจากห้องปฏิบัติการต่างโลก
(ไม่จริงน่า….นี่เอเลนเสี่ยงชีวิตของเธอเพื่อเรื่องแบบนี้..)
“เอเลน! เอเลน แข็งใจเอาไว้ก่อนนะ!”
“ฟาร์มาคุง…กลับมาแล้ว…สินะ…”
ฟาร์มาพยุงเอลเลนที่หมดเรี่ยวแรง ก่อนจะเรียกชื่อของเธอ
อย่าลังเลที่จะทำการอพยพฉุกเฉิน ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร้านขายยาแห่งนี้ ฟาร์มาควรจะบอกพวกเขาถึงเรื่องนี้ด้วยแท้ๆ แต่เขาคิดว่าถ้าเป็นเอเลนยังไงเธอก็คงไม่ฟังอยู่แล้ว
“ฉันหนีไปไม่ได้หรอก ที่นี่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่สามารถทดแทนอยู่ได้…”
“พวกยาเดี๋ยวผมทำใหม่ก็ได้ เวชระเบียนกับประวัติการใช้ยาเดี๋ยวผมก็ไล่ถามทุกคนเอาใหม่ก็ได้ แล้วทำไม คุณถึงไม่ให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองกันล่ะ”
“ฟาร์มาคุงอย่าลืมสิว่าสิ่งที่นายนำกลับมาจากบ่อพุน้ำศักดิ์สิทธิ์โดยแลกกับชีวิตของตัวเองน่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาบนโลกนี้ได้อีกนะ…ฉันรู้ดีว่าสิ่งนั้นจะต้องช่วยชีวิตของผู้คนได้อีกมากแน่”
“…เอเลน”
เขาไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับไปได้ ก็เหมือนที่เอเลนพูด เธอรู้ดีถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างดี แต่ยังไงก็มีบางอย่างที่ฟาร์มาต้องบอกกับเธอ
เอเลนน่ะสำคัญกว่าสิ่งเหล่านั้นมาก
“จากนี้ไปก็ทำในสิ่งที่นายควรทำ….”
เอเลนเริ่มพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา ฟาร์มาที่ตระหนักได้ว่าเสียงของเธอเริ่มสั่น ก็เข้าไปกอดเธอเอาไว้แน่น จนได้ยินเสียงหายใจอันแผ่วเบา และผิวหนังที่เริ่มเย็นลง
“เอเลน?”
ฟาร์มารู้แล้วว่าไม่ใช่แค่เพราะอาการเหนื่อยล้าจนหมดแรง แต่มันมีบางอย่างอุ่นๆ กำลังไหลผ่านมือของฟาร์มาที่โอบกอดด้านหลังของเธอไว้
เมื่อฟาร์มานำมือออกมาก็พบเข้ากับของเหลวสีแดง
เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากหลังของเธอ
แล้วพอฟาร์มาสังเกตก็พบว่ามีเศษเลนส์แว่นตาของเธอแตกอยู่ที่พื้น และพอเขามองตามมันไปก็พบเข้ากับกองเลือดจำนวนมาก
“ฉันคงช่วยอะไรนายไม่ได้อีกแล้ว…”
เอเลนยิ้มออกมาผ่านดวงตาที่ไร้ซึ่งแวว ก่อนจะวางมือลงบนแก้มของฟาร์มา
“ไม่เป็นไรหรอก ฟาร์มาคุง การได้พบนายคือความโชคดีที่สุดในชีวิตฉันแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้น…”
“แต่ว่า…ตรงนี้คงต้อง…ขอลาก่อน…”
“เอเลน! ไม่นะ!”
“ขอบคุณนะ”
เอเลนหลับตาลงอย่างช้าๆ ราวกับไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว และมือของเธอก็ค่อยๆ ร่วงลงไป
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟาร์มาได้ใช้ดวงตาวินิจฉัยสำรวจภายในร่างของเธอ
แล้วก็ต้องพบว่าร่างของเธอนั้นปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง ที่กำลังจะจางหายไปทุกที
หากตัดสินโดยสัญชาตญาณ นี่น่าจะเป็นอาการช็อกจากการเสียเลือดเป็นจำนวนมาก แต่ฟาร์มาก็ต้องกลับมาคิดใหม่ว่า ถ้าเลือดออกมาเป็นสาเหตุจริง ทำไมดวงตาของเขาจึงเห็นแสงสีแดงทั่วร่างกันล่ะ?
“ภาวะช็อกจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ”
“ภาวะช็อกจากการเสียเลือด”
ไม่ว่าฟาร์มาจะพูดออกมาสักกี่คำ ก็ดูเหมือนมันจะไม่เข้าเป้าเลย แต่ถ้าจะปล่อยเธอไปแบบนี้เธอก็คงจะไม่รอดแน่ เวลาของเธอเริ่มนะน้อยลงไปเรื่อยๆ แล้ว
“จะยอมแพ้แค่นี้เหรอ…”
ฟาร์มาค้นหาจุดที่มีเลือดออกของเอเลน และคาดว่าน่าจะมีเลือดออก ขณะออกแรงกดเพื่อดูอาการ ก่อนที่เขาเอียงศีรษะไปด้านหลังและเงยคางขึ้นเพื่อตรวจสอบนาฬิกา หากเป็นร้านขายยาที่มีเอเลนคอยคุ้มกันอยู่แบบนี้ ของอย่างสารละลายริงเกอร์ที่ทำเผื่อไว้ในกรณีที่มีคนบาดเจ็บถูกนำตัวมาในกรณีฉุกเฉินก็น่าจะยังอยู่ นอกจากนี้ดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างเขาเพราะพนักงานร้านขายยาทุกคนจะทำการให้เลือดไว้กับทางร้านทุกสองสัปดาห์ กรุ๊ปเลือดของเอเลนเหมือนกับโรเจอร์และรีเบคก้า ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็น่าจะให้เลือดได้เพียงพอ
นี่คือผลจากการเตรียมการในแต่ละวันอย่างขยันขันแข็งเพื่อที่เขาจะได้รับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ นั่นจึงทำให้เขาดูมีความหวังเล็กน้อย พอพิจารณาจากปริมาณเลือดที่นองบนพื้นแล้ว เลือดที่เสียไปน่าจะประมาณลิตรเศษๆ
ฟาร์มาจำได้ว่าคลาร่าเคยบอกว่าไว้ว่า “ไม่มีผู้เดินทางที่ติดตามจักรพรรดินีคนใดเสียชีวิต”
แต่คลาร่าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเอเลนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมืองหลวงจะไม่เป็นอะไร ความกลัวของฟาร์มากลับเพิ่มขึ้นมาแทน ความตึงเครียดได้แทรกเข้ามา จนน้ำตาไหลอาบสองแก้มของเขา แต่เขาก็ยังไม่อยากจะยอมแพ้
“มาลองกันสักตั้ง เพื่อชีวิตของเอเลน!!”
เขาต้องการจะช่วยเธอ นั่นคือคำพูดที่เขาเปล่งออกมา
ไม่มีพระเจ้าองค์ใดในโลกนี้จะช่วยเหลือเธอได้แล้ว
ชีวิตของเธอตอนนี้อยู่ในกำมือของเขา
จากนี้คือการแข่งกับเวลา
การนับถอยหลังสู่ความตายได้เริ่มขึ้นแล้ว
——–
Note 1 : นี่สิน้อสิ่งที่ฟาร์มาสู้ไม่ได้
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code