Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 81
ตอนที่ 81 ระบบยีนบำบัดและความก้าวหน้าของการแยกและจ่ายยา
ฟาร์มาและจักรพรรดินีออกจากลานประลองและกลับไปที่พระราชวัง ซึ่งพวกเขาได้ถูกแนะนำให้ไปอาบน้ำเพราะเหงื่อที่ไหลออกมาระหว่างประลอง
ฟาร์มารู้สึกโล่งใจเมื่อได้รับการนำทางไปยังห้องอาบน้ำสำหรับแขกท่านชาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ถึงมีแต่สาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเท่านั้นที่ทำการนำทางและดูแลภายในห้องอาบน้ำนั้น ฟาร์มารู้ได้ถึงแผนการของจักรพรรดินีในทันที
“ท่านฟาร์มาคะ ให้ฉันได้เป็นคนชำระร่างกายให้ท่านเถอะค่ะ ฉันขอรับประกันว่าท่านจะต้องรู้สึกสบายตัวอย่างแน่นอน”
“ไม่ค่ะ ตรงนั้นให้เป็นหน้าที่ดิฉันเถอะค่ะ ว่าแต่นี่สินะคะตราศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนแขนทั้งสองของท่าน สุดยอดไปเลย”
“ท่านฟาร์มานี่ช่างเป็นชายที่วิเศษจริงๆ เลยค่ะ ท่านอยากจะมาลองทำเรื่องดีๆ กับฉันดูบ้างไหมคะ”
เหล่าสาวสวยที่สวมชุดน้อยชิ้นพยายามเข้ามาดูแลฟาร์มาราวกับพวกเธอกำลังแข่นขันกัน พอเป็นแบบนี้ฟาร์มาก็ไม่รู้จะต้องทำเช่นไร
“ไม่ดีกว่าครับ…เอ่อ…คือ…ด้านหน้าเดี๋ยวผมจัดการเองก็ได้ แต่ด้านหลังก็ฝากด้วยแล้วกันนะครับ”
ฟาร์มารู้สึกอิดโรยมีต้องมาคอยระวังเรื่องงานบริการแบบแปลกๆ นี่ด้วย
(ฝ่าบาท ทำไมต้องให้เรามาหาคู่ครองในที่แบบนี้ด้วยเนี่ย…)
“เดี๋ยว!? อ่ะ-ฮ่ะๆๆ ดะ-เดี๋ยวก่อนตรงนั้น!..มะ-ม่ายน้าาาา”
ฟาร์มารู้สึกจั๊กจี้จนร่างของเขาทรุดลงกับพื้น
เวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ฟาร์มาที่รู้สึกอ่อนล้าทางจิตใจก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาจากห้องอาบน้ำ โดยบริเวณข้างนอกก็พบกับจักรพรรดินีที่รอฟาร์มาโดยมีจูเลียน่าคอยนวดให้เธออยู่ อีกทั้งยังมีซาโลม่อนยืนอยู่ข้างๆ
“เด็กพวกนั้น เป็นคนของฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฟาร์มาบอกว่าจักรพรรดินีนั้นดูแลเขามากเกินความจำเป็น แถมยิ่งโดนบังคับให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ รังแต่จะมีปัญหาตามมีเป็นพวง
“แต่พวกนางก็ทำได้ดีไม่ใช่หรือไงกัน น่าจะช่วยในการตัดสินใจเจ้าได้ง่ายขึ้นด้วย”
ตอนนี้จักรพรรดินีได้เข้าสู่โหมดแม่สื่อไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่อายุเธอก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นก็มาทำหน้าที่นี้ซะแล้ว ก็คงต้องยอมรับและเรียกเธอแบบนั้นไป
“ในสถานที่ที่ไม่มีการป้องกันอะไรเช่นนี้ มันเหมาะแก่การสร้างบรรยากาศดีไม่ใช่หรือ”
เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ฟาร์มาก็แอบเคืองอยู่บ้าง
“เอาเถอะ เจ้าอยากจะดื่มชาหน่อยไหม”
หลังจากจูเลียน่านวดให้เสร็จ จักรพรรดินีก็เชิญฟาร์มาไปงานเลี้ยงน้ำชา
“เรื่องนั้นคงจะลำบากไป……”
“เธอเจ้ามาไม่ก็ไม่มีหน้ามาบอกว่าตัวเองเป็นชายหรอกนะ! หรือเจ้าจะยังไม่โตพอจะเป็นผู้ใหญ่กัน! ถ้าเป็นแบบนั้นเราคงต้องตรวจสอบด้วยตัวเองเสียหน่อย”
ซาโลม่อนที่ทนเห็นฟาร์มาถูกจักรพรรดินีล่วงละเมิดทางเพศไม่ไหว ได้กระแอมภายในลำคอเหมือนเป็นการเตือน นั่นจึงทำให้ฟาร์มาได้รับการช่วยเหลือก่อนที่จะถูกจักรพรรดินีจู่โจม
“ฝ่าบาท สรุปแล้ว ท่านฟาร์มาคัดค้านการก่อตั้งศาสนาใหม่รวมไปถึงการสนับสนุนศาสนาดังกล่าวในฐานะเทพผู้พิทักษ์ใช่หรือไม่”
“ก็ดั่งที่เจ้าว่านั่นแหละ”
จักรพรรดินีไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเรื่องนี้แล้ว
เมื่อได้เห็นเมฆคิวมูโลนิมบัสปกคลุมลานประลองและคลื่นพลังแห่งเทพขนาดใหญ่ ซาโลม่อนก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือพลังของใคร ก่อนที่ฟาร์มาจะกล่าวเสริมว่า ตนก็แค่คัดค้านไม่ได้ต่อต้านหากต้องการจริงๆ
“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของพระองค์ แต่น่าเสียดายที่สิ่งนี้คงไม่จะเป็นไปตามความคาดหวังของพระองค์ การก่อตั้งนิกายใหม่ขึ้นนั้นหมายถึงการกบฏและการตัดขาดกับนครจักรศักดิ์สิทธิ์ หากนครจักรศักดิ์สิทธิ์ออกคำสั่งให้ประเทศเพื่อนบ้านปราบปรามพวกเราในฐานะพวกนอกรีต จักรวรรดิแซงต์เฟลิฟที่สงบสุขจะไม่สามารถเป็นไปดังที่เป็นอยู่เหมือนขณะนี้ ทางที่ดีกระหม่อมควรหาทางคืนดีกับนครจักรศักดิ์สิทธิ์น่าจะเหมาะกว่า”
“ฝ่าบาทท่านฟาร์มาก็เป็นคนเช่นนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ คิดถึงแต่ผู้คนมากกว่าชีวิตของตนเอง”
ซาโลม่อนพูดกับจักรพรรดินีแทนตัวฟาร์มา ทางจูเลียน่าก็ยิ้มเมื่อมองดูฟาร์มาทำสีหน้าโล่งใจ
“ถ้าเจ้าปฏิเสธเรื่องที่ไม่อยากจะเป็นเทพผู้พิทักษ์เราก็คงทำอะไรไม่ได้ จะว่าไปนี่ก็เป็นการประลองครั้งแรกของเรากับเจ้าเลยนะ พอได้ประมือกันจริงๆ ก็ทำให้เห็นเลยว่าเจ้ายังซ่อนพลังไว้อีกมากมายขนาดไหน แถมดูเหมือนพลังแห่งเทพที่เจ้ามีมันจะไร้ก้นบึ้งอีกต่างหาก เป็นไปได้ก็อยากจะจัดกับเจ้าให้หนักทุกวันเสียจริง”
“กระหม่อมขอปฏิเสธ ก่อนหน้านี้กระหม่อมทำร้ายพระองค์โดยไม่ได้ตั้งใจ โชคดีที่ยังสามารถรักษาได้ด้วยศาสตร์แห่งเทพ แต่ครั้งต่อไป…กระหม่อมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
หลังจากกลับมาจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ฟาร์มาก็สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้โดยการถ่ายเทพลังแห่งเทพลงไป
อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักดีว่าเขาไม่สามารถควบคุมพลังของเขาได้ชำนาญนัก เมื่อใดก็ตามที่เขาพลั้งมือไป การโจมตีที่ถึงตายก็ย่อมตามมา
เขาแทบไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป
ด้วยทุ่นระเบิดที่อยู่ในตัวของเขาซึ่งไม่อาจควบคุมได้ ฟาร์มาจำเป็นต้องใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความระมัดระวัง
“หรือบางทีกระหม่อมควรจะเดินทางไปที่นครศักดิ์สิทธิ์และปล่อยให้ “ฟันเฟือง” ดูดซับเอาพลังส่วนเกินไปดีนะ”
“ท่านฟาร์มา ผมคิดว่าแบบนั้นคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่”
ซาโลม่อนที่ได้ยินคำนั้นก็แสดงสีหน้าเป็นกังวล เช่นเดียวกับจักรพรรดินี
“เจ้ากำลังพูดอะไรออกมากัน แล้วสิ่งที่เรียกว่า”ฟันเฟืองที่เชื่อมโลกเข้าไว้ด้วยกัน” นั่นมันจะมีอยู่จริงๆ งั้นหรือ มันอาจจะเป็นแค่ของที่นครศักดิ์สิทธิ์ปั้นน้ำขึ้นมาก็ได้ เป้าหมายจริงๆ ของพวกมันอาจจะเป็นเพียงการหลอกล่อเทพผู้พิทักษ์แล้วขโมยพลังแห่งเทพเท่านั้นเอง”
จูเลียน่าที่กำลังฟังอยู่พูดแทรกขึ้นมาอย่างเขินอาย
“คือ เท่าที่กระหม่อมทราบ อุปกรณ์ที่เรียกกันว่าฟันเฟืองนั้นมีอยู่จริงเพคะ และเพราะความกรุณาของท่านฟาร์มาที่แบ่งพลังแห่งเทพมาให้ในครั้งก่อน จึงทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถทำงานไปได้อีกกว่า 200 ปีหากไม่มีเหตุไม่คาดฝันเพคะ”
จูเลียนาเป็นอดีตพระคาร์ดินัลที่รู้ความเคลื่อนไหวของพระสันตะปาปาปิอุส
“จูเลียน่าเจ้าและพระคาร์ดินัลคนอื่นๆ อาจถูกหลอกด้วยก็ได้ เพราะเจ้าก็ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนนี่”
จักรพรรดินีระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เรื่องของ”ฟันเฟือง”เท่านั้น
ทำให้ฟาร์มาได้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของจักรพรรดินี ว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ใช่คนที่มีนิสัยบุ่มบ่าม สมองกล้ามอย่างที่คิดไปเสียทั้งหมด
“นั่นก็เพราะ…ว่ากันว่ามันไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยดวงตาของมนุษย์เพคะ”
จูเลียน่าพูดขณะบอกถึงสาเหตุที่ไม่อาจจะมองเห็นฟันเฟืองได้
แล้วฟาร์มาตอบกลับจักรพรรดินีขณะที่ฟังจูเลียน่าพูด
“กระหม่อมทราบดีว่าทางนครศักดิ์สิทธิ์กำลังพยายามดึงพลังของกระหม่อม แต่พลังของกระหม่อมในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนนัก จนทำให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นหากมีเรื่องให้ต้องใช้พลังแห่งเทพมากขนาดนั้นก็คงจะดี แต่ในตอนนี้กลับไม่มีสถานการณ์หรือสถานที่ที่ทำแบบนั้นได้ จึงทำให้มันสะสมอยู่ภายในร่างกายกระหม่อมและรอวันปะทุ”
พูดตามตรงเขาอยากจะปลดปล่อยมันออกมาสักครั้งถ้าทำได้
“ดังนั้นจึงกระหม่อมว่ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่ายพลังแห่งเทพก็สามารถส่งไปให้กับฟันเฟืองได้โดยตรง ว่ากันว่าฟันเฟืองนั่นอยู่ข้างใต้ของนครศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมครับ”
เพื่อที่จะลดการก่อกวนจากนครศักดิ์สิทธิ์ที่มีเป้าหมายเป็นฟาร์มา สู้เขามอบพลังแห่งเทพให้กับฟันเฟืองนั้นเองจะดีเสียกว่า นอกจากนั้นวิธีการอื่นก็ไม่น่าช่วยลดระดับพลังของเขาที่มีอยู่ได้เลย มันเป็นปัญหาที่กวนใจเขาเป็นอย่างมาก
แม้ตอนแรกเขาจะมีไอเดียในการใช้พลังแห่งเทพปริมาณมหาศาลในการสร้างอาณาเขตขจัดโรคให้กว้างมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมันจะช่วยทำให้พลังแห่งเทพของเขาลดน้อยลงไปบ้าง แต่นั่นมันจะทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ตามธรรมชาติตายลงไปด้วย
ดังนั้นหากไม่เกิดโรคระบาดขึ้นเขาก็ใช้พลังพร่ำเพรื่อไม่ได้
(ทางเลือดสุดท้ายก็คือการปลดปล่อยพลังแห่งเทพยิงออกไปยังนอกโลกสุดขอบจักรวาลแต่นั่นมันก็จะเป็นการใช้แบบสูญเปล่า)
ดังนั้นหากจะใช้พลังที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ที่สุด การนำมันไปเติมเต็มให้กับฟันเฟืองน่าจะเป็นอะไรที่รวดเร็วและง่ายดายกว่า
“ก่อนอื่นก็คงต้องรู้ก่อนว่าฟันเฟืองที่ว่ามันคืออะไรกันแน่”
“อันตรายเกินไป แม้อุปกรณ์ดังกล่าวจะไม่สามารถใช้พลังแห่งเทพอื่นได้นอกจากพลังของเจ้า แต่อาจจะเกิดกรณีที่ว่าเมื่อเจ้าเข้าไปมันอาจจะกลืนกินและบดขยี้เจ้าไปเลยก็ได้”
จักรพรรดินีส่ายศีรษะของเธอ ฟาร์มาพยายามจะสังเกตจากระยะไกลและไม่เข้าใกล้หากมันดูอันตรายจริงๆ แต่ทางจักรพรรดินีก็ไม่อาจยอมให้ฟาร์มาเข้าใกล้มันเพียงลำพัง
“ถ้าอย่างนั้น เราจะไปกับเจ้าเอง เราจะมีประชุมกับปิอุสด้วย มาปรับตารางงานกันหน่อยเถอะ”
(การพบกันระหว่างจักรพรรดินีกับพระสันตะปาปางั้นเหรอ?)
ฟาร์มารู้สึกได้เลยว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่น่าจะราบรื่นเป็นแน่
จักรพรรดินีขอเข้าพบกับทางนครศักดิ์สิทธิ์ และผลจากการปรับกำหนดการ จึงตัดสินใจกันว่าฟาร์มาจะติดตามเธอไปนครศักดิ์สิทธิ์ในเดือนถัดไป
ก่อนไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ ฟาร์มายังมีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ
(เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในนครศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเราจึงต้องรักษาตระกูลของเอ็มเมอริคด้วยยีนบำบัดให้เสร็จเสียก่อน)
หลังจากนั้น การบำบัดด้วยยีนของฟาร์มาก็ประสบความสำเร็จในหลายๆ ส่วนจากพวกสัตว์ทดลองที่มีโรคทางพันธุกรรม
เขาพยายามรีบเร่งกำหนดการการรักษาให้เร็วที่สุด
หากเป็นญี่ปุ่นเขาจำเป็นต้องยื่นเรื่องผ่านคณะกรรมการพิจารณาระดับชาติเพื่อดำเนินการทดลองกับมนุษย์ต่อไป แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีในจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
ดังนั้นจึงจบเพียงแค่ฟาร์มานำเสมอข้อมูลดังกล่าวแก่จักรพรรดินี แพทย์หลวง และแพทย์โอสถหลวง เพื่อขอคำอนุมัติ
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีอธิบายให้แพทย์โอสถหลวงและแพทย์หลวงคนอื่นๆ ว่าจะรักษาคำมั่นสัญญาของการประชุมทบทวนจริยธรรมครั้งแรกต่อหน้าเอลิซาเบทได้อย่างไร เพราะวิธีการดังกล่าวก็มีเพียงเขาที่ใช้มันได้ ก่อนที่เอเลนจะเกิดไอเดียอะไรบางอย่างขึ้นอีก
“จะว่าไปถ้าเราใช้สมบัติลับเข้ามาช่วยก็น่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้นะ มือของฟาร์มาคุงก็สามารถทะลุร่างกายของมนุษย์ได้เองอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”
เขาเข้าใจผิดว่าการรักษาด้วยวิธีการนี้มีเพียงเขาที่สามารถทำได้ แต่หากมองกลับว่าหากใครมีสมบัติลับอยู่ก็น่าจะทำวิธีการแบบนี้ได้เช่นกัน
“มนุษย์เราไม่อาจจะถือสมบัติลับโดยตรงได้ แต่ถ้าลองห่อมันด้วยวัตถุอนินทรีย์แล้วถือมันได้ขึ้นมา ก็น่าจะได้คุณสมบัติการทะลวงร่างคนอื่นก่อนจะให้ยาได้ไม่ต่างกันนะ แบบนั้นไม่ว่าใครๆ ก็น่าจะทำได้ใช่ไหมล่ะ?”
เอเลนอธิบาย มันเป็นความคิดที่ฟาร์มาคาดไม่ถึงจนเขาต้องพูดขอบคุณเธอออกมา
“ถึงฉันจะคิดค้นยาแบบนายไม่ได้ แต่ถ้าความคิดของฉันมันช่วยเหลือนายได้แค่นี้ฉันก็ดีใจแล้ว”
ดูเหมือนมุมมองทางด้านการรักษาที่ผสานเข้ากับศาสตร์แห่งเทพของเธอจะกว้างกว่าฟาร์มาเป็นอย่างมาก
“ถ้าเป็นแบบนี้เราก็มีหนทางแล้ว เอเลน”
พอเขานำเสนอในที่ประชุมของวังหลวง เมื่อเสนอรวมกับไอเดียของเอเลน การนำเสนอก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยที่เหล่าแพทย์หลวงและแพทย์โอสถหลวงไม่ซักถามเพิ่มเติมแม้แต่น้อย
แม้ครึ่งหนึ่งในนั้นจะไม่สามารถตามเรื่อง CRISPR-CAS9 ได้ทันก็ตาม
ทางด้านคล็อดและบรูโน รวมไปถึงแพทย์และแพทย์โอสถที่มีโอกาสเข้าคลาสเรียนของฟาร์มาที่จัดขึ้นในมหาวิทยาลัยยา ก็ต่างปรบมือให้กับเขา เนื่องจากพวกตนพอจะเข้าใจระบบการทำงานบ้างแล้ว ในตอนท้ายของที่ประชุม คล็อดก็เดินเข้ามาถามบางอย่างกับฟาร์มา
“ต่อจากนี้ฉันว่าจะขอใช้สูตรยารักษาของท่านเสียหน่อยจะได้หรือเปล่า ฉันอยากจะรู้ด้วยว่าต้องเตรียมการเช่นไรบ้าง”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟาร์มาได้รับคำขอจากฝั่งแพทย์หลวง
แพทย์หลวงและแพทย์โอสถหลวงบางคนในที่นั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคล็อด
ฟรองซัวส์ เดอ ซาฟ แพทย์โอสถหลวงก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เธอก็แสดงความกังวลออกมาเล็กน้อย
“แล้วพวกเราจะรับมือกับมันได้จริงหรือ เพราะถึงจะเป็นยาชั้นยอดแต่หากพวกเราผสมมันขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้องก็เป็นพิษกับคนไข้ได้”
ดูเหมือนว่าฟรองซัวส์จะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะได้ยาตัวใหม่ของฟาร์มามาครอบครอง เพราะระบบร้านขายยานั้นแตกต่างออกไปจากการนำยาไปรักษาของแพทย์ ฟาร์มานั้นยังไม่มีความตั้งใจที่จะมอบสูตรยาแผนปัจจุบันที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญระดับสูงให้กับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์และความรู้
โดยยาที่จัดจำหน่ายโดยไม่ต้องอาศัยโอสถแพทย์นั้นจะมีผลข้างเคียงไม่ร้ายแรงซึ่งซื้อได้ตามร้านของทางกิลด์ แน่นอนว่าแพทย์หลวงและแพทย์โอสถหลวงก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิกำลังฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญที่สามารถจัดการกับยาตัวใหม่นี้ได้อยู่ครับ แน่นอนว่าคงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าผู้สำเร็จการศึกษาชุดแรกจะออกมา จนกว่าจะถึงตอนนั้น….”
ว่าแล้วฟาร์มาจึงสอนขั้นตอนง่ายๆ ในการจัดการกับตัวยาสมัยใหม่ให้แทนไปก่อน
ไม่กี่วันหลังจากได้รับอนุญาตกระบวนการยีนบำบัดในที่ประชุมของจักรวรรดิ ในที่สุดก็ได้เวลาเริ่มการบำบัดด้วยยีนสำหรับบุตรชายคนที่สองของตระกูล ยูเกน เขาเป็นคนแรกที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน โดยพื้นที่ที่จะใช้ในการรักษานั้นจะเป็นภายในร้านขายยาแทนที่จะเป็นมหาวิทยาลัย
“สวัสดีครับ ขอบคุณที่สละเวลาของท่านมาให้กับพวกเราในวันนี้นะครับ”
เอ็มเมอริคพี่ชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวได้พายูเกนน้องชายของเขามาที่ร้านขายยาต่างโลกตามที่ฟาร์มานัดไว้
“พวกเราก็ขอฝากด้วยนะคะ~”
แล้วก็ได้ยินเสียงที่ดูมีชีวิตชีวาดังขึ้นหญิงสาวผู้นั้นก็คือน้องสาวที่หน้าตาเหมือนลอตเต้ซึ่งเดิมตามมาทีหลัง
ลอตเต้ที่ทำหน้าที่บริการลูกค้าตามปกติก็รู้สึกงุนงงเมื่อได้รับการแนะนำจากฟาร์มาให้รู้จักกับพวกเขา
“เดี๋ยวก่อนนะคะท่านฟาร์มา ท่านจะบอกว่าคนเหล่านี้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับฉันเหรอคะ นี่มันหมายความว่ายังไง…..”
ลอตเต้อ้าปากพะงาบๆ
“หรือก็คือเราเป็นญาติกันยังไงล่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
น้องสาวคนนั้นจับมือของลอตเต้แสดงความยินดีที่ได้พบกับเธอ
“แต่ฉันเป็นเพียงสามัญชนธรรมดานะคะ! จะไปมีความเกี่ยวข้องกับชนชั้นสูงได้ยังไงกัน!”
“เรื่องนั้นก็เพราะว่า…”
ฟาร์มาอธิบายสถานการณ์ให้เธอฟังจากด้านข้างเพื่อไม่ให้เรื่องราวมันซับซ้อนไปมากกว่านี้
ลอตเต้รู้สึกประหลาดใจที่รู้ว่าตนเป็นลูกหลานของอดีตชนชั้นสูงที่สูญเสียพลังแห่งเทพและกลายเป็นสามัญชนไป
“ถ้าพวกเราเป็นญาติกันแบบนี้ เป็นไปได้ไหมคะที่ฉันจะใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ด้วย หากเป็นเช่นนั้นฉันจะพยายามเรียนรู้ให้ถึงที่สุดเลยค่ะ”
ลอตเต้แสดงอาการตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น ออกมา แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง คุณพี่สาวคนโตจึงบอกลอตเต้ถึงเรื่องที่เธอถาม
“พี่น้องเราทุกคนไม่เป็นธาตุน้ำก็ธาตุลมน่ะ เนื่องจากพลังแห่งเทพเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ดังนั้นหากเธอไม่มีชีพจรแห่งเทพ ก็คงจะใช้มันไม่ได้หรอกเสียใจด้วยนะ”
ลอตเต้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่พอผ่านไปสักพักพลังก็ฟื้นกลับมาเป็นดั่งเดิม เธอเป็นผู้หญิงเช่นนั้นแล
“เอาเถอะค่ะถึงจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง ฉันชื่อว่าชาร์ล็อตค่ะ ขอถามชื่อทางนั้นหน่อยได้ไหมคะ”
ลอตเต้ผู้ไม่เคยมีพี่น้องมาก่อน แล้วจู่ๆ ก็เหมือนเธอจะได้น้องชายและน้องสาวมา จึงอดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้
“ฉันก็ดีใจนะที่ได้พบกันญาติของพวกเราโดนบังเอิญในต่างแดนแบบนี้!”
“ฉันด้วยค่ะ!”
(เด็กผู้หญิงพวกนี้เสียงเหมือนกันหมดเลย)
เสียงที่มีโทนเดียวกันได้ดังกึกก้องอยู่ภายในร้านขายยา
ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมา เพราะดูเหมือนตอนนี้ภายในร้านของเขามีลอตเต้ถึงสามคน ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามาก บทสนทนาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ที่แม้แต่ฟาร์มาก็แยกไม่ออกว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนพูดอยู่จากโทนเสียงของพวกเธอ
โดยเรื่องหลักๆ ที่พวกเธอพูดอย่างจริงจังเมื่อฟาร์มาลองฟังดูก็คือ
“ครั้งหน้า เราไปทานขนมหวานอร่อยๆ กันเถอะ”
“ฉันพบร้านเฉพาะของบันด์เค้กที่อร่อยมากในเมืองหลวงด้วยค่ะ ฉันชอบที่นั่นมากเลย”
“เอ๊ะ ร้านอยู่ไหนเหรอคะ เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเลยนะคะเนี่ย”
ทั้งหมดก็คือเรื่องของหวานทั้งสิ้น
(นี่สินะหัวข้อสนทนาทั้งหมดของพวกเธอ…)
ฟาร์มากลับมาคิดกับตัวเองว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะสายเลือดของพวกเธอก็ได้ที่มีอิทธิพลให้พวกเธอเป็นคนรักของหวานกัน
“ถ้างั้นปล่อยให้สาวๆ รอกันที่ชั้นหนึ่ง แล้วเราไปกันเถอะครับ คุณยูเกน”
“ขอบคุณมากนะครับศาสตราจารย์”
ฟาร์มากับเอเลนปล่อยให้เอ็มเมอริคและคนที่เหลือรอบริเวณชั้นหนึ่ง ส่วนพวกเขาเดินทางขึ้นไปชั้นสองพร้อมกับยูเกนเพื่อทำการรักษา
“ขั้นแรกก็ขอให้คุณยูเกนนอนลงที่เตียงนี้ก่อนนะครับ”
“รบกวนด้วยนะครับ”
ยูเกนนอนลงบนเตียง ก่อนจะเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ดูเหมือนร่างกายของเขาจะเครียดจนตัวแข็งไปเลย ยูเกนนั้นมีร่างกายที่อ่อนแอมาก แม้จะยังไม่เป็นโรคร้ายแรงอะไรแต่จากภายนอกก็ดูเหมือนคนป่วยแล้ว
บางคนก็ไม่ได้ใส่ใจกับ “คำสาปของเทพโอสถ” และใช้ชีวิตประจำวันต่อไปราวกับรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในขณะที่บางคนต้องทนทุกข์ทรมานทางจิตใจที่เรื่องนี้ตามมาหลอกหลอนตนตลอดเวลา
ดูเหมือนว่ายูเกนจะเป็นอย่างหลัง
(คุณยูเกน ผมก็ได้แต่หวังว่าคุณจะไม่ถูกความเจ็บป่วยเข้ามาโจมตีอีกนะครับ หลังจากนี้พอทุกอย่างจบลง คุณก็จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ)
“ขั้นต่อไปก็ทำใจให้สบายนะ เดี๋ยวฉันจะปิดตานายให้เอง เพราะบางทีแสงจากศาสตร์แห่งเทพอาจเข้าไปทำร้ายดวงตาได้ด้วย”
เอเลนอธิบายกับยูเกนที่กำลังนอนอยู่ก่อนจะสวมผ้าปิดตาให้เขา
“ว่าแต่ คุณอาการนอนไม่หลับบ้างไหมครับ”
ฟาร์มายืนยันอาการก่อนทำการรักษา
“ไม่นะครับ เหมือนว่าอาการจะยังไม่มี ผมยังหลับสบายเหมือนเดิม ถึงร่างกายจะรู้สึกอุ่นขึ้นมานิดหน่อย….หรือว่า…นี่เป็นอาการเริ่มต้นครับ?”
“อาจจะเป็นแบบนั้นครับ แต่อาการคงไม่หนักหากเรารักษาแต่เนิ่นๆ ถึงจะไม่สำเร็จแต่เราก็สามารถลดจำนวนเซลล์ประสาทที่จะถูกทำลายให้เหลือน้อยที่สุดได้ครับ”
“ดีจริงๆ เลยครับที่ได้พบท่านในวันนี้”
ยูเกนเหมือนจะพร้อมแล้ว
“ถึงผมจะไม่คิดว่าการรักษาหลังจากนี้ไปจะเกิดความเจ็บปวดขึ้น แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาโปรดแจ้งทันทีเลยนะครับ ผมจะรีบหยุดการรักษา”
ฟาร์มาที่ล้างมือเสร็จแล้วบอกยูเกน
“รบกวนด้วยครับ”
ก่อนอื่นฟาร์มาตรวจร่างกายของยูเกนโดยใช้ดวงตาวินิจฉัย
ร่างกายทั้งหมดของเขาซึ่งป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับมรณะ มีจุดเป็นสีแดงเล็กน้อยออกมาเต็มไปหมด
แสงสีแดงหมายถึงโรคที่รักษาไม่หาย
(แดงไปหมดเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่เห็นเลยแท้ๆ แปลว่าอาการค่อนข้างลุกลามไว คงต้องรีบทำการรักษา)
หากปล่อยไว้ ความตายของยูเกนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
และหลังจากที่เซลล์ประสาทถูกทำลายมากขึ้น เขาจำเป็นต้องเผชิญกับเงื่อนไขในการรักษาที่ยากยิ่งขึ้นนั่นคือการสร้างเซลล์ประสาทขึ้นมาใหม่
แต่ตอนนี้เซลล์ประสาทของยูเกนยังคงไม่บุบสลาย โรคนอนไม่หลับก็ยังไม่มีอาการออกมาชัดเจน มันต้องเป็นจังหวะนี้เท่านั้น
(เราจะช้าไปกว่านี้แม้แต่วันเดียวไม่ได้แล้ว ยาเราก็เตรียมมาด้วยที่เหลือก็แค่รักษาก่อนจะลุกลาม!)
ฟาร์มาพยายามที่จะเอาชนะสิ่งที่เป็นไม่ได้บนโลกใบนี้
การบำบัดด้วยยีนั้นเกิดขึ้นได้จากผลเสริมฤทธิ์กันของความสามารถสุดโกงของเขากับยาแผนปัจจุบัน
ฟาร์มาสลัดความลังเลใจออกไปและทำเครื่องหมายที่อยู่บนเสื้อผ้าของยูเกนเป็นลายตาราง
เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าส่วนใดของร่างกายต้องรับยาเข้าไป
“ค่อนข้างเป็นศาสตร์แห่งเทพที่แปลกนะครับ รู้สึกจั๊กจี้ไปหมดแล้ว”
ยูเกนบิดร่างกายไปมาเหมือนเป็นสัญญาณว่าเขารู้สึกจั๊กจี้
“อือ อย่าขยับนักสิ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
อัตราการเต้นของหัวใจของยูเกนเพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะเอเลนพยายามทำให้ ยูเกนไม่รู้สึกตัวว่า ฟาร์มาและคนอื่นๆ กำลังทำอะไรกับร่างของตนอยู่
เพราะไม่รู้เรื่องของ “สมบัติลับ” ที่เดิมทีก่อนการรักษาเขาจำเป็นต้องอธิบายขั้นตอนและการขอความยินยอมจากผู้ป่วย แต่การจะมาอธิบายขั้นตอนการรักษาจากการให้ดูมือฟาร์มาทะลุร่างตัวเองไปก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงจบแค่อธิบายว่าเป็นวิชาศาสตร์แห่งเทพชนิดหนึ่งก็พอ
แต่เพราะเขาอธิบายผลข้างเคียง ความเสี่ยง และผลที่จะตามมาหลังการรักษาไปหมดแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ฟาร์มาคุง ยาเตรียมเสร็จแล้ว”
“ขอบคุณ”
เขารับยาที่ถูกคำนวณปริมาณตามสัดส่วนของผู้ป่วยพร้อมกับแอนติบอดี้ที่ใช้ต่อต้านพรีออนที่ผิดปกติจากเอเลน รวมไปถึง CRISPR-CAS9 ลำยีนที่จำเป็นต้องแก้ไข สารละลายที่ผสมมาแล้ว
ฟาร์มาค่อยๆ บริหารยาแอนติบอดี้และยีนบำบัดเฉพาะตัว โดยวิธีการที่เขาใช้นั้นเรียกว่า “การบริหารยาแบบซึมผ่าน” โดยใช้ประโยชน์จากจุดที่มือของเขาสามารถทะลุผ่านร่างกายของมนุษย์ได้
“ผ่านไปแล้ว 5 จุด ถัดไปเป็นจุดที่ 6 กำหนดปริมาณให้ถูกด้วยนะ”
ภายใต้คำแนะนำอย่างละเอียดถี่ถ้วนกับเอเลน ฟาร์มายังคงทำงานลำดับถัดไปเรื่อยๆ จนในที่สุดขั้นตอนการบริหารยาก็เสร็จสิ้นแล้ว
“จัดการครบทุกจุดแล้ว”
“เอาล่ะงั้น ไปขั้นตอนต่อไปกันเถอะ”
(“สลาย 5-คาร์บอกซีฟลูออเรสเซน”)
ฟาร์มายื่นมือขวาของตนไปที่อูเกนก่อนจะใช้ความสามารถลบสสารเงียบๆ
หากแอนติบอดีที่จดจำและจับกับโปรตีนพรีออนและสารเรืองแสงที่ไม่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ถูกกำหนดเป้าหมายและถูกลบออก บริเวณที่จับกับโปรตีนพรีออนสามารถถูกทำลายไปพร้อมกันได้ไม่ว่าจะปกติหรือผิดปกติก็ตาม
โปรตีนที่ถูกทำลายออกไปอย่างรวดเร็ว
“หลังจากที่โปรตีนพรีออนถูกทำลายแล้วทั้งหมด เราก็จะมาเริ่มขั้นตอนยีนบำบัดกันเลย”
“ระบบยีนบำบัดจำเป็นต้องทำทันทีหลังจากเสร็จขั้นแรกสินะ?”
เอลเลนถามเพื่อยืนยัน
“ใช่ ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่ละเอียดอ่อนมาก”
CPISPR-CAS9 ที่จะทำการแก้ไขลำดับยีนและเขียนมันขึ้นมาใหม่ในร่างกายของยูเกน
ด้วยการรักษานี้ พรีออนโปรตีนที่ผลิตขึ้นในเซลล์ทั้งหมดของยูเกนนับจากนี้ไปจะเป็นรูปแบบปกติเท่านั้น
เนื่องจากเซลล์สืบพันธุ์ได้รับการเขียนใหม่เช่นกัน จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมไปยังลูกหลาน
หากทำเช่นนี้ต่อไปหลายๆ ครั้ง นับจากนี้ไป เขามั่นใจว่าเซลล์ที่ผิดปกติจะไม่มีเหลืออยู่อีก
หลังจากศึกษาทั้งทางทฤษฎี และประสบความสำเร็จในการศึกษากับสัตว์จนถึงตอนนี้ที่ไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรงใดๆ
ที่เหลือก็แค่ดูว่ามันจะได้ผลในผู้ป่วยที่เป็นมนุษย์หรือไม่
“เอาละ เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ”
ฟาร์มาสูดหายใจเข้าลึกๆ และหลายไหล่ที่แข็งทื่อของเขาออก ก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วมองไปรอบๆ อีกที
แสงสีแดงที่ห่อหุ้มร่างของยูเกนหายไปแล้วอย่างสมบูรณ์
(ถือว่าประสบความสำเร็จสินะ)
หากฟาร์มายังคงเห็นแสงสีแดงออกมาอีก ก็คงต้องบอกว่าไม่มีทางรักษาต่อจากนี้ได้แล้ว
“เป็นยังไงบ้าง ฟาร์มาคุง”
ฟาร์มาทำปลายนิ้วเป็นวงกลมและยิ้มให้เอเลนที่ถามด้วยความกังวล
เอเลนที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกยินดีที่ผ่านไปได้ด้วยดี
แล้วฟาร์มาก็ปลุกยูเกนที่กำลังหลับใหลเพื่อบอกผลลัพธ์
“เสร็จแล้วครับ คุณยูเกน”
“หือเสร็จแล้วเหรอ?!
ยูเกนกระโดดลงจากเตียง
“แต่ง่วงจังเลย สงสัยจะนอนสบายไปหน่อย…”
“ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ นะครับ เดี๋ยวเราลงไปหาครอบครัวของคุณกัน”
ฟาร์มาพายูเกนไปที่ชั้นหนึ่งของร้านขายยา ซึ่งมีเอ็มเมอริคกำลังรออยู่ที่ด้านล่างของบันไดวน
“เป็นไงบ้าง สบายดีไหม”
“สบายดีครับเพราะนอนตลอด รู้สึกสบายตัว สดชื่น เหมือนอาการหลอนหายไปด้วย”
ยูเกนมีสีหน้าสดใสราวกับว่าเขาได้เกิดใหม่
“ศาสตราจารย์! เกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของผมกันแน่ครับ…”
เอ็มเมอริคถามฟาร์มาอย่างประหม่า
ฟาร์มาดึงแขนเสื้อโค้ตสีขาวของเขาลงและพยักหน้าให้ขณะที่ซ่อนตราสัญลักษณ์เทพโอสถบนแขนทั้งสองข้าง
“สำหรับวันนี้ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดีเลยครับ ทีนี้ก็เหลือแค่มาดูกันว่าจากนี้จะเป็นยังไงต่อ”
“ขอบคุณ! ขอบคุณมากจริงๆ! ผมเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว!”
เอ็มเมอริคยินดีเป็นอย่างยิ่งที่น้องชายของเขาฟื้นตัวได้ ราวกับเป็นเรื่องของตัวเขาเอง
ท่านฟาร์มาคะ มีคนไข้คนหนึ่งฝากสิ่งนี้มาให้กับท่านค่ะ
หลังจากส่งผู้ป่วยกลับบ้านเสร็จ ลอตเต้ก็ยื่นจดหมายปิดผนึกขี้ผึ้งติดแสตมป์ให้กับฟาร์มา
“วันนี้ก็เสร็จงานทดลองหมดแล้วสินะ เรื่องที่เหลือก็ทำต่อวันหลัง”
แล้วหยิบจดหมายมา
หลังจากดูข้อมูลภายในซองจดหมายแล้ว ฟาร์มาก็เปล่งเสียงสดชื่นออกมา
“ใช่ สิ่งนี้จริงๆ ด้วย!”
“อะไรเหรอ?”
พอเอเลนเอามันมาดู สิ่งที่เขาต้องการหลังจากเปิดร้านขายยาต่างโลกมา
ในที่สุดมันก็ถูกเขียนขึ้นมาแล้ว
ชื่อผู้ป่วย, อายุ, ที่อยู่, วันที่เขียน, ผู้เขียน, ชนชั้นสูง (ในกรณีดังกล่าวจะบอกถึงธาตุและเทพผู้พิทักษ์) , สามัญชน….. มันคือใบสั่งยา
“มันเป็นใบสั่งยา ที่ส่งมาจากแพทย์ครับ”
แพทย์ผู้สั่งจ่ายยาคือ คล็อด เดอ โชริยาค
คล็อดศาสตราจารย์สาขาแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิและหัวหน้าแพทย์หลวง ได้เขียนใบสั่งยาให้ผู้ป่วยไปรับที่ร้านขายยาต่างโลก ซึ่งเป็นร้านที่ทำการจ่ายยานอกสถานพยาบาล
หลังการรักษาอาการบาดเจ็บ เขาได้สั่งเซฟดิโตเรน พิว็อกซิล ไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันที่โรงงานฟาร์มาเป็นผู้ผลิต เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการรักษา เขาเขียนคำนวณจากน้ำหนักตัว ระบุขนาดยา และวิธีการบริหารยาให้ด้วย
ตอนที่คล็อดบอกว่าเขาต้องการยาของฟาร์มา ฟาร์มาก็ตอบไปว่า “เขียนใบสั่งยาส่งมาทางนี้สิครับ” ซึ่งเขาก็ทำตามโดยวิธีการดังกล่าวนั้นสามารถเห็นได้ทั่วไปในร้านขายยาของญี่ปุ่น
ฟาร์มาเดินมาพบท่านเคานต์ที่กำลังนั่งอยู่ในห้องรอและทำตามขั้นตอนเพื่อตรวจสอบว่าใบสั่งยาถูกต้องหรือไม่
“ทำไมวันนี้คุณถึงพบคุณหมอคล็อดมาเหรอครับ”
“อ้อ จริงๆ แล้วก็ตั้งแต่เมื่อวานแล้วน่ะ แต่ท่านบอกว่าให้ข้ามารับยาตามที่เขียนแนบไว้ในจดหมายที่ร้านนี้ ข้าก็เลยมาที่นี่วันนี้”
ท่านเคานต์เผลอทำมีดบาดปลายนิ้วของเขา ดังนั้นเขาจึงเรียกหาหมอประจำตระกูลของเขาซึ่งก็คือคล็อด
ฟาร์มาได้ใช้ดวงตาวินิจฉัยตรวจสอบอีกที และก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าบาดแผลหลังการรักษาของเขานั้นสะอาดดีไม่มีน้ำหนองไหลออกมา
ตามจดหมายที่แนบมากับใบสั่งยา ระบุว่าหลังจากที่เขาอ่านตำราและฟังการบรรยายของฟาร์มาแล้ว เขาก็ได้เปลี่ยนวิธีการรักษาของตนไป
“ท่านแพทย์หลวงบอกหรือเปล่าว่าต้องการยาอะไร แล้วที่ท่านส่งคนไข้ต่อมาแบบนี้ ฟาร์มาคุงจำเป็นต้องตรวจให้ต่อด้วยใช่ไหมล่ะ เพราะปาลเล่ก็ทำแบบนั้นเหมือนกันเลยนี่”
เอเลนทำหน้าประหลาดใจ
“การส่งตัวคนไข้นั้นแตกต่างจากการส่งใบสั่งยานะเอเลน”
การวินิจฉัยและการสั่งจ่ายยาเป็นหน้าที่ของแพทย์ ส่วนการตรวจสอบและจ่ายยาเป็นหน้าที่ของเภสัชกร
เมื่อพิจารณาจากความรู้สึกที่ฟาร์มามีเมื่อครั้งเป็นเภสัชกรในชีวิตก่อน หากเป็นไปได้เขาต้องการหลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่ใช่งานของเภสัชกรหรืออีกนัยหนึ่งคืองานของเขามีเพียงการตรวจสอบข้อมูลผู้ป่วยและจ่ายยาให้
(นี่แหละคือสิ่งที่ร้านขายยาดั้งเดิมควรจะเป็น แพทย์เป็นผู้รักษาคนป่วยแล้วมอบใบสั่งยาให้กับร้านขายยาภายนอก ตามหลักการแยกและจ่ายยา)
ในประเทศญี่ปุ่น เภสัชกรจะตรวจสอบยาที่แพทย์สั่ง หากมีข้อสงสัยเขาก็จะติดต่อแพทย์ว่ายาดังกลาวใช้ได้หรือไม่
หากไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับใบสั่งยา ยาก็จะถูกจ่ายให้ผู้ป่วย ก่อนที่เภสัชกรคนอื่นซึ่งไม่ใช่เภสัชกรที่จ่ายยาเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบขั้นสุดท้าย
ฟาร์มาคิดว่าเป็นร้านขายยาที่ดีควรดำเนินการตรวจสอบทั้งสองขั้นตอนและใช้ยาอย่างเหมาะสมสำหรับผู้ป่วย
“เซฟดิโตเรน พิว็อกซิล ไฮโดรคลอไรด์ ที่คุณหมอคล็อดสั่งมานี่ไม่เลวเลยนะครับ แต่ในกรณีนี้หากเราใช้เซฟาคลอร์ร่างกายจะดูดซึมได้มีประสิทธิภาพมากกว่า”
ฟาร์มาคิดว่าคงจะดีไม่น้อยหากการตรวจสอบการเลือกยาอย่างละเอียดสามารถทำได้ดียิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็น
ใบสั่งยาของคล็อดทำให้ฟาร์มารู้สึกว่ายาแผนปัจจุบันกำลังหยั่งรากอย่างช้าๆ ในเมืองหลวงจักรวรรดิ
“ทีละเล็กทีละน้อย มันจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ผู้คนในโลกนี้…”
เอเลนส่งสายตาราวกับจะพูดอะไรบางอย่างกับฟาร์มาซึ่งกำลังพึมพำด้วยอารมณ์อันลึกล้ำ ก่อนจะหยิบบีกเกอร์และห่อยาออกมาให้ฟาร์มา
ลอตเต้พับถุงยาในขณะที่ฮัมเพลง ส่วนเซดริกคำนวณรายได้จากการขายของร้านขายยาและเก็บมันไว้ในตู้เซฟ เภสัชกรพาร์ทไทม์กำลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยในขณะที่จัดเรียงแผนภูมิและทำความสะอาดตารางร้านขายยาเนื่องจากหมดเวลาทำการแล้ว
ส่วนฟาร์มาก็แนบใบสั่งยาที่ส่งมาถึงเขาไว้ในแฟ้มใหม่ล่าสุด และด้วยความรู้สึกสดชื่น ก่อนเขาจึงเริ่มจ่ายยาให้กับผู้ป่วยรายสุดท้ายของวัน
โดยที่รู้ทั้งที่รู้ว่าตัวเองนี่แหละที่เป็นคนเปลี่ยนแปลงมัน…
Note 1 : จบไปแล้วกับเล่ม 5 แบบไลน์โนเวลนะครับ ผมทำเพจเอาไว้อัพเดทแล้วนะครับเดี๋ยวแปะลิ้งในโปรไฟล์ สามารถมานำเสนอเรื่องที่อยากอ่านกันทั้ง นิยายและมังงะ หากผมอ่านแล้วสนุกก็จะเอามาแปลให้อ่านด้วยกัน
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code