Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 78
ตอนที่ 78 วิธีการแก้ไขยีนและการบ้านจากเทพโอสถ
ฟาร์มาได้ใช้เวลาในช่วงเช้าวิ่งตามหาจนโซอี้เลขาของเขาจนสามารถเคลียร์ความเข้าใจผิดของเธอได้ สืบเนื่องมาจากเรื่องที่เขาใช้เวลาทั้งคืนอยู่กับเอเลนภายในห้องทำงานสองต่อสอง
“ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาร้านขายยาเปิดแล้ว เอเลนวันนี้คุณมีคลาสสอนหรือเปล่า”
“อืม ตอนเช้าฉันมีคลาสสอนศาสตร์แห่งเทพน่ะ ฉันคงจะเข้าร้านไม่ได้นะ?
เอเลนรับหน้าที่ในคลาสเรียนศาสตร์แห่งเทพโดยมีตารางเรียนเป็นสัปดาห์ละครั้งในช่วงเช้า ดูท่าเธออยากจะเข้าสอนใจจะขาดแล้ว
หากจะให้พูดก็เหมือนกับเป็นคลาสเรียนพลศึกษาในแบบของชนชั้นสูง ในคลาสเรียนนั้นเธอบอกว่าเธอจะสามารถสอนและประลองศาสตร์แห่งเทพกับนักเรียนภายในคลาสได้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงตั้งหน้าตั้งตารอในการสอน แถมเธอยังรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองไม่ค่อยได้ขยับร่างกายนัก จากภาระหน้าที่หน้าโต๊ะทำงานที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่าในส่วนของสามัญชนนั้นจะถูกจัดให้เรียนในคลาสแยกต่างหาก
“ผมก็ติดงานทดลองอยู่ด้วยคงจะให้ทิ้งที่นี่ไปก็ไม่ได้ แต่เหมือนท่านพี่บอกว่าวันนี้ว่างด้วยสิ งั้นเดี๋ยวเราไปขอให้เขาช่วยงานร้านแทนก็แล้วกันนะ”
ว่าแล้วฟาร์มาก็เขียนจดหมาย ก่อนจะยืมนกพิราบจากทางมหาวิทยาลัยให้นำจดหมดไปส่งยังคฤหาสน์เมดิซิส พอเขายุ่งอยู่กับงานสอนและการเตรียมงานภายในมหาวิทยาลัย ปาลเล่ก็จะทำหน้าที่ในการตรวจผู้ป่วยที่ร้านขายยาแทน บางครั้งก็มีการบรรยายความรู้ให้ประชาชนทั่วไปแทนเขาด้วย
“แต่จะไม่เป็นไรเหรอ อยู่ดีๆ ก็ไปขอให้ช่วยแบบกะทันหัน หมอนั่นจะไม่โกรธเอาหรือไง?”
“ท่านพี่เขาต้องการเคสผู้ป่วยหลากหลายอยู่แล้ว ดังนั้นผมว่าตรงกันข้ามด้วยซ้ำ”
ปาลเล่นั้นเป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงมักจะไปตรวจสุขภาพของราชวงศ์และชนชั้นสูงเป็นส่วนมาก แต่การที่เขามาทำงานที่ร้านขายยามันก็มีข้อดีอยู่เพราะจะได้พบความหลากหลายของผู้ป่วย แถมแพทย์โอสถขั้นหนึ่งก็มีโควตาผู้ป่วยที่ต้องตรวจในแต่ละปีด้วย
หากใครที่ไม่ผ่านโควตาดังกล่าวโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ พวกเขาก็อาจจะถูกลดระดับให้กลายเป็นแพทย์โอสถขั้นสองเนื่องจากประสบการณ์คงจะไม่เพียงให้เรียกตนเองว่าขั้นหนึ่งได้ แถมปาลเล่ที่ทำการรักษาตัวจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวมาพักใหญ่ๆ เคสที่เขาต้องเจอก็ย่อมน้อยกว่าปกติ ดังนั้นการได้มาทำงานพาร์ทไทม์นี่ร้านขายยาต่างโลกนั้นจึงเป็นประโยชน์กับเขามากกว่าข้อเสีย ผู้ป่วยที่ได้เจอก็หลากหลาย แถมยังได้เพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ตนได้ตรวจอีกด้วย
“นั่นสินะ ถ้าเป็นเรื่องจำนวนเคสที่เจอคงไม่น่าเป็นห่วง เพราะทางฉันเองตั้งแต่มาทำงานที่นี่ก็เจอคนมากกว่าร้อยคนทุกวันเลย ประสบการณ์ที่ได้จากมันก็มีมากมายจริงๆ”
เอเลนรู้สึกขอบคุณฟาร์มาที่ชวนเธอมาทำงานด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับคำตอบจากนกพิราบสื่อสารที่มาจากคฤหาสน์ ได้ความว่าปาลเล่จะช่วยดูแลงานที่ร้านตลาดทั้งวันให้เอง
“แล้วฟาร์มาคุง เรื่องบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เป็นยังไงบ้าง เกิดอันตรายขึ้นกับนายไหม”
ก่อนที่ทั้งสองจะได้เริ่มทำงาน เอเลนก็ถามฟาร์มาเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าภายในนั้นมีอะไรอยู่หรือมันสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่สิ่งที่เธอมั่นใจคือสถานที่แห่งนั้นต้องเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับความลับของเหล่าเทพผู้พิทักษ์
“จะบอกว่าอันตรายมันก็อันตรายนะ…แต่ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเยอะกว่านี่สิ”
ฟาร์มาพยายามเลี่ยงจะพูดถึงห้องปฏิบัติการต่างโลก ก่อนที่เขาจะพูดถึงเรื่องผลการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมของตระกูลเอ็มเมอริคให้เอเลนได้ฟังแทน จนเธอรู้สึกสับสนไปหมด
“หา? นี่นายจะบอกว่าสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดของเอ็มเมอริคคุงกับคนอื่นๆ ได้หมดแล้วงั้นเหรอ”
“ก็แบบนั้นแหละ แน่นอนว่าวิธีPCRก็สามารถทำได้นะ แต่วิธีที่ผมใช้มันจะเป็นอีกระดับหนึ่งน่ะ”
แล้วเขาก็นำมือของตนไปสัมผัสกับแล็ปท็อปที่เขานำกลับมาด้วย ขณะพูดคุยกับเอเลนไปพลางๆ ความรู้สึกที่มือของตนสัมผัสกับคีย์บอร์ดช่างน่าคิดถึง
นี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ทำงานหน้าจอแบบนี้ อาการปวดตาก็ย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายเป็นธรรมดา แต่เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณมันอยู่ดีที่ทำให้เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลได้
ส่วนทางเอเลนที่กำลังนั่นทวนตำราเรียนไปด้วยก็เกิดตกใจกับสิ่งที่เธอนึกขึ้นได้ก่อนจะทรุดตัวลงไปด้วยความตกใจจนแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น
“ดะ-เดี๋ยวก่อนนะๆ …จีโนมของมนุษย์น่ะมันมีประมาณ 3พันล้านคู่เบสใช่ไหม แล้วทำไมนายถึงสามารถวิเคราะห์มันทั้งหมดได้กันล่ะ?
เอเลนตกใจจนเผลอทำแว่นตาตกลงไปที่พื้น
โชคดีที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์ปูพรมเอาไว้ แว่นตาของเธอจึงไม่แตก
“ระวังแว่นด้วยสิ”
“เป็นเพราะสมบัติลับที่ซ่อนอยู่ภายในบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม นายถึงทำแบบนั้นได้?”
“ก็ อะไรทำนองนั้นแหละ”
รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์วิเคราะห์พันธุกรรมในห้องปฏิบัติการที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาลได้นั้นจะให้อธิบายไปก็เหมือนจะยุ่งยาก
พอเธอได้ยินว่ามันเป็นผลมาจากสมบัติลับ สีหน้าของเอเลนก็เปลี่ยนจากตกใจเป็นสิ้นหวังแทน
“แบบนี้เองสินะ….ตระกูลของเอ็มเมอริคคุงทุกคนเป็นพาหะสินะ…ก็ดีใจหรอกนะที่ลอตเต้จังไม่เป็นพาหะ แต่มันก็รู้สึกเจ็บปวดนะที่รู้ว่าจะเปิดขึ้นในอนาคต หมอนั่นบอกจะฆ่าตัวตายก่อนจะมีอาการด้วยนี่นา แล้วเราจะเอาผลที่ได้ไปบอกเขายังไงดีล่ะ”
แน่นอนว่าโชคดีที่ลอตเต้ไม่เป็นพาหะ
แต่เอเลนก็รู้สึกเสียใจที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากดูนักเรียนของเธอเผชิญหน้ากับโรคร้าย
แล้วผลที่ได้ดูเหมือนว่า น้องชายคนที่สองของเขาอาจจะเริ่มมีอาการป่วยแล้วนะ แค่ภายนอกยังไม่แสดงอาการออกมาเท่านั้นเอง”
ในขณะที่พูดฟาร์มาก็จ้องไปที่ส่วนมอนิเตอร์แล็ปท็อปที่เขานำมาด้วย
เอลเลนสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าฟาร์มาและหรี่ตาลง
“ว่าแต่ เจ้าแสงไฟสลัวๆ ที่ฟาร์มาคุงกำลังมองคืออะไรเหรอ?”
“เอ๊ะ เอเลน คุณเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในนี่ไหม”
“เห็นมันก็เห็นหรอก แต่อะไรน่ะของสี่เหลี่ยมเรืองแสงได้นั่นแถมยังดูโปร่งแสงจนแทบมองไมเห็นอีก นายได้มากจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เหรอ?”
เอเลนมองแล็ปท็อปที่ยังคงประมวลผลจากด้านหลังฟาร์มา เมื่อเขาถามเอเลน เกี่ยวกับสิ่งนี้ก็น่าแปลกที่เธอเห็นเป็นเพียงแค่หน้าจอคริสทัลโปร่งแสงใส่ๆ
“ใช่แล้วผมได้มันมาจากที่นั่น จะเรียกว่าเป็นสมบัติลับก็ได้แหละนะ ถึงจอภาพมันจะดูโปร่งใสไปก็จริง แต่คุณไม่เห็นรายละเอียดข้างในนั้นเลยเหรอ”
แล้วฟาร์มาก็ลองพับแล็ปท็อปนั้นลง
“เอ๋ มันหายไปไหนแล้วล่ะ นายเอามันไปซ่อนไว้เหรอ!”
เอเลนกระสับกระส่ายขึ้นมา แน่นอนว่าฟาร์มาก็ยังคงเห็นมันอยู่ในมือเขาเช่นเดิม ดูเหมือนนอกจากแสงของจอที่แสดงผลออกมาแล้ว คนทั่วไปจะไม่สามารถมองเห็นมันได้ อีกทั้งยังไม่สามารถสัมผัสมันได้ด้วย แบบนี้ก็เหมาะกับการป้องกันการโจรกรรมพอดี
ฟาร์มารู้สึกสบายใจขึ้นมาก่อนจะกลับมาเปิดจอใหม่อีกครั้ง เพราะคงแย่แน่หากใครเห็นมันเข้า
“รูปร่างของมันจริงๆ เป็นแบบนี้”
ฟาร์มาวาดรูปแล็ปท็อปบนแผ่นกระดาษ
เอเลนก็เห็นก็พูดออกมาว่า “หือ ไม่เคยของแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ” เธอคิดว่ามันเป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่ถามถึงรายละเอียดว่ามันทำงานอย่างไร ฟาร์มารู้สึกขอบคุณสำหรับเรื่องนั้นจริงๆ
“แปลว่ามีข้อมูลที่ลอยไปมาอยู่ภายในอากาศที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสินะ….ฟาร์มาคุงบอกหน่อยได้ไหมว่าตอนนี้ในกำลังทำอะไรอยู่”
“ผมกำลังคำนวณ แล้ววิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมที่ได้มาอยู่น่ะ”
“ฟาร์มาคุง นายมีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมขั้นสูงเยอะเลยนะไม่สิ… จริงๆ แล้วต้องบอกว่านายรู้ไปซะทุกอย่างจะดีกว่าสินะ”
ฟาร์มาไม่กังวลเรื่องที่เอเลนจะเห็นของพวกนี้ ก่อนเขาจะพิมพ์คำสั่งลงไปในเครื่องแล็ปท็อปแล้วอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิดไปด้วย
“ผมก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกเรื่องหรอก แถมเราไม่ควรจะทะนงตนมากเกินไปด้วย ดูอย่างโรคที่เราเจอในตอนนี้สิ”
“ก็สมกับเป็นนายแหละนะ ว่าแต่นายหาวิธีรักษาโรคนอนไม่หลับมรณะได้แล้วเหรอ? ที่จริงทางฉันก็ลองหาทางดูบ้างล่ะนะ ยังไงก็ช่วยดูนี่หน่อยสิ”
เอเลนนำสมุดบันทึกไอเดียที่เธอคิดค้นมาทั้งคืนให้เขาดู
คงจะใช้เวลานานพอสมควรถึงคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้ หน้ากระดาษกว่าสิบหน้ามีแนวคิดหลากหลายประเภทในการรักษาเขียนไว้ แต่ยังไม่มีอันไหนที่พอจะนำมาปรับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างที่กล่าวไว้ตอนแรกว่าแม้แต่ยุคปัจจุบันที่ฟาร์มาจากมานั้น ก็ยังไม่ค้นพบวิธีการรักษาที่แน่นอนได้เลย ดังนั้นสิ่งที่เอเลนคิดขึ้นมานั้นอาจจะต้องบอกว่าไม่ได้ผล
“เป็นไงบ้าง พอจะมีประโยชน์หรือเปล่า?”
เอเลนถามออกมาอย่างไร้เดียงสาว่ามันพอจะเป็นคำใบ้ช่วยนำทางเขาได้หรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าตัวเธอนั้นก็ถือเป็นแพทย์โอสถชั้นยอดของโลกใบนี้ ตัวเธอในตอนนี้เข้าไปอยู่ในโหมดผู้ฝักใฝ่ความรู้เรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ…ก็..มีประโยชน์พอสมควรนะ ขอบคุณมากเลย”
เนื่องจากปฏิกิริยาของฟาร์มาดูไม่สู้ดี เอเลนจึงรีบนำสมุดบันทึกไอเดียของเธอกลับมา
“นั่นสินะ ฉันขอโทษ ที่ช่วยอะไรนายไม่ได้…”
เอเลนนำมือทั้งสองมาปิดใบหน้าของเธอที่แสดงอารมณ์หดหู่ออกมา ราวกับนักเรียนที่ส่งงานอาจารย์แล้วโดนขีดเส้นแดงใส่งานตัวเอง
“ไม่หรอกถึงจะน่าเสียดาย แต่มันก็ช่วยผมได้จริงๆ นะ”
ฟาร์มาให้กำลังใจเอเลน แม้ผลที่ออกมาจะไม่ค่อยดีนัก
เอเลนถอนหายใจแล้วปรับอารมณ์ตัวเองเสียใหม่
“ถ้าอย่างนั้นเรามาฟังคำตอบของศาสตราจารย์ฟาร์มากันดีกว่า ไม่ใช่ว่านายพูดกับเอ็มเมอริคคุงว่า “เราต้องรีบรักษายีนที่กลายพันธุ์ให้หายก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้สินะ” “
หากยีนเป็นพิมพ์เขียวดั้งเดิมของสิ่งมีชีวิต การกลายพันธุ์ของยีนก็คือการแก้ไขพิมพ์เขียวนั้น
หากสร้างโปรตีนในร่างขึ้นมาตามข้อมูลดังกล่าว พรีออนที่ทำให้เกิดโรคนี้ก็จะผลิตสารผิดปกติเหล่านี้ต่อไป
แม้แต่เอเลนเองก็เข้าใจว่า พิมพ์เขียวตั้งต้นภายในพันธุกรรมนั้นต้องได้รับการแก้ไข
“เป็นตามที่คุณพูดครับ ถึงมันจะไม่ได้ถูกเขียนไว้ในตำราแต่ว่า…เราจะใช้เทคโนโลยีที่เรียกกันว่า CRISPR-CAS 9 ซึ่งสามารถลบ แทนที่และใส่จีโนมของดีเอ็นเอในตำแหน่งที่เราต้องการได้”
ของจำเป็นสำหรับการใช้เทคนิคนั้นฟาร์มาก็ได้นำออกมาจากห้องปฏิบัติการต่างโลกหมดแล้ว
เทคโนโลยีใหม่นี้ถูกค้นพบในปี 2010 และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในฐานะเทคโนโลยีสำหรับแก้ไขจีโนม แน่นอนว่าฟาร์มาก็มีส่วนร่วมอย่างมากในการวิจัยนี้ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่
“หมายความว่าเรามีวิธีที่จะเขียนชุดข้อมูลใหม่ เพื่อรักษายีนที่กลายพันธุ์ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคที่เอ็มเมอริคคุงเจออยู่ได้สินะ?”
“ถ้าอธิบายแบบคร่าวๆ ก็ประมาณว่า เราจะทำการปล่อยไวรัสที่เตรียมไว้เข้าไปแพร่เชื้อในร่างกายของผู้ป่วยก่อนจะให้มันทำงานขึ้นมาในร่างผู้ป่วย นั่นคือขั้นตอนแรกที่เราต้องจัดการน่ะ”
“เดี๋ยวนะถ้าเราปล่อยให้ไวรัสเข้าไปในร่างของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะไม่ติดเชื้อแล้วเสียชีวิตเอาเหรอ!?”
“ในกรณีที่เป็นไวรัสซึ่งทำให้เกิดโรคก็ใช่อยู่นะ แต่เรามีไวรัสที่ถูกเรียกว่าอดีโนแอทโซซีเอทไวรัส (AAV) เป็นไวรัสที่แทบไม่ทำให้เกิดโรคน่ะ เราจะใช้ไวรัสดังกล่าวกับผู้ป่วย”
“ไวรัสบางตัวก็ไม่มีภัยงั้นเหรอ…”
ดูเหมือนว่าเลเลนจะจำได้ว่าไวรัสต่างชนิดกันย่อมมีความสามารถในการก่อโรคต่างกัน
ดังที่กล่าวไว้ว่าฟาร์มาไม่ได้สนใจเรื่องอันตรายของไวรัสเลย
เพราะไวรัสพวกนี้จะไม่มีทางทำให้ร่างกายของผู้ป่วยติดเชื้อร้ายแรงได้ ฟาร์มาได้เตรียมการไว้สำหรับเรื่องนี้แล้ว นั่นคือเขาสามารถลบสสารได้ ไวรัสที่เขานำมาก็เช่นกัน ดังนั้นไวรัสทั้งหมดในร่างกายจะหายไปทันทีหากเขาต้องการดังนั้นมาตรการความปลอดภัยนี้จึงน่าเชื่อถือได้
“แต่หากใช้วิธีนี้ ผมจำเป็นต้องขอให้คนอื่นเข้ามาช่วยในการจัดการเรื่องไวรัสนะ”
“เอ๊ะ ฉันเหรอ….ไม่ไหวมั้ง”
เอเลนสบตากับฟาร์มาก่อนจะส่ายหัว
“แค่คิดก็แทบจะเป็นบ้าแล้ว หากฉันเผลอทำพลาดละไวรัสมันหลุดไป ก็ไม่เท่ากับว่าฉันเป็นคนแพร่เชื้อเหรอ”
พอเห็นแว่นตาของเธอหย่อนจบแทบจะตกพื้น ฟาร์มาก็รู้ทันทีว่าเธอคงจะกังวลเป็นอย่างมาก
“ก็แค่ระวังไว้เท่านั้นเอง เพราะด้วยอาณาเขตของผมแล้วไวรัสกับแบคทีเรียรอบๆ คงจะถูกจัดการแล้วไม่สามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้ ดังนั้นถึงจะน่าเสียดายแต่ผมคงต้องฝากคนอื่นจัดการจริงๆ”
การมีอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่กางอยู่รอบตัวเขาตลอดก็ทำให้ลำบากอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนว่าคราวนี้เขาคงจะไม่ได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนนำคุณสมบัติของไวรัสและแบคทีเรียมาเข้าควบคุมยีนผู้ป่วย
“พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็สงสารนายเหมือนกันนะฟาร์มาคุง”
เอเลนรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมาทันที เพราะความสามารถนี้มีแต่จะทำให้แพทย์โอสถต้องร่ำไห้ออกมา
“เอาละ เลิกพูดเรื่องไวรัสกันไว้ก่อนแล้วกัน เพราะมันค่อนข้างซับซ้อนด้วย เรามาเข้าเรื่องกลไกการแก้ไขจีโนมด้วยการใช้เชือกนี่กันก่อนจะดีกว่า”
ฟาร์มานำเชือกที่อยู่บริเวณนั้นมันพันเป็นตัวกากบาทแล้วอธิบายให้เอเลนฟังต่อ
จากนั้นเขาก็ทำสัญลักษณ์ตรงกลางเชือกแสดงแทนตัวว่าคือส่วนที่กลายพันธุ์ที่อยู่ภายในพันธุกรรมของเอ็มเมอริค
“ไวรัสที่เราจะนำไปใส่ในร่างกายของผู้ป่วยนั้นจะมีการทำงานแบบ RNA ซึ่งมันถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับยีนกลายพันธุ์ พอมันตรวจพบมันก็จะเข้าไปเกาะภายในจีโนมพวกนั้น จากนั้นเราจะใช้มันเป็นตัวบ่งชี้ว่าตัวไหนเป็นยีนกลายพันธุ์ที่ควรจะถูกกำจัด”
ในขณะที่กางเชือกออกมาให้เอเลนดูนั้น ฟาร์มาก็ใช้มีดตัดเชือกออกจากกันหมดการฉีกยีนออกเป็นสองส่วน
“หืม เราสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ หมายความว่าเราสามารถตัดดีเอ็นเอออกเป็นส่วนๆ ได้สินะ แล้วมันจะไม่เป็นปัญหาใหญ่เอาเหรอถ้ายีนภายในร่างกายของเราถูกทำลาย?”
เอเลนหันไปมองเชือกในส่วนที่ถูกตัดออกไป
“แน่นอนว่าต้องแย่อยู่แล้วหากมันถูกตัดออกไป แต่ระบบในร่างกายของมนุษย์เราเยี่ยมยอดกว่านั้น เพราะมันจะซ่อมแซมยีนที่เสียหายได้เอง และถ้าเราเล็งตรงจุดนี้เราก็จะสามารถใส่ลำดับจีโนมที่เราต้องการแก้ไขลงไประหว่างการซ่อมแซมมันก็จะถูกรวมเข้าไปภายในนั้นระหว่างการซ่อมแซมด้วย”
ฟาร์มาใช้ริบบิ้นสั้นๆ คล้องเข้าไปในเชือกแทนส่วนยีนกลายพันธุ์ที่ถูกตัดออกไป และมัดมันให้เป็นปมราวกับชดเชยในส่วนที่หายไปของยีนแทน
“แล้วริบบิ้นนี่เราจะไปหามาจากไหนล่ะแถมมันจะรวมเข้ากับจีโนมที่ยุ่งเหยิงพวกนี้ได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีปัญหาเลยเหรอ”
“ในส่วนนี้ใช้ไวรัสดังกล่าวเป็นตัวช่วย ขณะที่จีโนมกำลังซ่อมแซมตัวเองตามลำดับที่ถูกต้องของมัน ท้ายที่สุดพรีออนที่ผลิตออกมาก็จะกลับมาเป็นปกติและไม่เหลือความผิดปกติภายในยีนอีกต่อไปนั่นเอง”
“เอ๊ะ แค่นี้เลยเหรอ”
เอเลนเบิกตากว้าง
“ผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการของโรคก็น่าจะรักษาให้หายขาดได้เลย”
“แปลว่านี่คือจุดสิ้นสุดของการรักษาโรคนี้แล้วสินะ”
เอเลนถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ด้วยสิ่งนี้ ตัวของเอ็มเมอริคและลูกหลานของเขาจากนี้ก็จะสามารถพ้นจากคำสาปได้”
เธอได้รับเชือกที่ฟาร์มาตัดและแปะให้ดูเหมือนจีโนม ก่อนจะดูว่ามันถูกรัดไว้เป็นอย่างดี
“งั้นก็แปลว่าหายขาดแล้วสินะ…ด้วยการเขียนยีนตัวใหม่ทับลงไป โถ่..ฟาร์มาคุงนี่ละก็ที่แท้นายก็รู้วิธีรักษามาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา ยังจะมาวางฟอร์มอีกนะ”
เอเลนแหย่ฟาร์มาที่แสดงสีหน้าโล่งใจออกมา
“ก็หวังว่ามันจะได้ผลนะ..”
ฟาร์มาพูดก่อนที่จะเว้นช่วง
“เพราะเราก็ไม่รู้ด้วยว่าท้ายที่สุดแล้วจะไหวไหม”
ไม่มีเหตุให้ต้องมองโลกในแง่ดีเท่านั้น
“เอ๋ มันจะมีอะไรนอกเหนือจากนี้อีกเหรอ? เท่าที่ฉันฟังดูทั้งหมดก็น่าจะเข้าท่าแล้วนี่”
“สมอง ไขสันหลัง และอวัยวะอื่นๆ ภายในร่างกายของคนเรามีกลไกป้องกันทางชีวภาพที่สามารถกำจัดไวรัสได้ นั่นจึงทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่ไปทั่วร่างกายได้ 100% และถึงมันจะแทรกซึมเข้าไปสู่เซลล์ได้ ประสิทธิภาพของไวรัสที่จะสามารถปรับเปลี่ยนยีนให้กลายเป็นของใหม่ได้ก็ใช่จะสมบูรณ์แบบ ถ้าจะให้พูดก็คือการปรับแต่งพันธุกรรมนี้มีโอกาสที่จะล้มเหลวได้”
“นายจะบอกว่าอาจจะมีเซลล์บางตัวที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยีนบำบัดสินะ แล้วพรีออนที่ผิดปกติก็จะผลิตยีนที่ผิดปกติออกมาเหมือนเดิม”
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่มันจะไปเกาะลำดับของยีนซึ่งมีความคล้านกับเป้าหมายหลักของเขาอีกด้วย เรื่องนี้ฟาร์มาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกันเลยไม่อยากจะพูดออกไป
“แปลว่าถ้าเรามีเอนไซม์ที่สามารถแก้ไขจีโนมและเข้าถึงเซลล์ทั้งหมดภายในร่างกายได้ก็จะทำให้ขั้นตอนนี้ได้ผล โดยไม่ต้องใช้ไวรัสใช่ไหม”
“แต่หากเราไม่ใช้ไวรัส มันจะเป็นเรื่องยากมากเลยนะที่จะหาสิ่งที่สามารถแทรกเข้าไปภายในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้ เพราะแค่ยาธรรมดาพอเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว ฤทธิ์ของมันก็จะเบาบางลงไปด้วย”
ส่วนที่ยากของการบำบัดด้วยยีนก็คือการกระจายไวรัสให้ทั่วร่างกาย โดยที่ต้องคำนวณถึงปัจจัยที่จำเป็นในการรักษาทั่วไปของร่างกายไว้ด้วย
“จะว่าไป มันก็มีวิธีอื่นอยู่อีกนะ”
เอเลนเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่ฟาร์มานั่งก่อนจะมองมาที่เขา
ด้วยสายตาที่เธอมองมายังฟาร์มาเหมือนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง ฟาร์มาก็ขมวดคิ้วขึ้น
“มีอะไรจะพูดเหรอ?”
เอเลนจับมือของฟาร์มาขึ้นมาก่อนจะนำมันมาวางบนกระดูกไหปลาร้าของเธอ
“ดะ-เดี๋ยวสิ เอเลนจะทำอะไรเนี่ย?”
ฟาร์มาตกใจและงุนงง ความรู้สึกที่สัมผัสผิวหนังของเธอผ่านนิ้วมือ จากนั้นเอเลนก็ใช้มือของฟาร์มากดลงไปที่ร่างของเธออย่างรุนแรงด้วยความเขินอาย
“ดะ……”
มือของฟาร์มาโปร่งแสงแล้วทะลุเข้าไปในร่างของเอเลน
“ก็แบบนี้ไง”
เอเลนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวานแหวว
“ถ้านายถือยารักษาโรคเอาไว้ในมือแล้วยื่นมันเข้าไปในร่างของผู้ป่วย ยาที่นายจะใช้ก็จะกระจายไปทั่วเซลล์ของร่างกายได้ง่ายเลยไม่ใช่หรือไง แล้วถึงประสิทธิภาพในการดัดแปลงพันธุกรรมมันจำต่ำ แต่ก็ใช่ว่าเราต้องทำมันให้เสร็จในครั้งเดียวเสียหน่อยนี่ ค่อยๆ ทำมันเป็นจุดๆ ไปท้ายที่สุดเดี๋ยวก็ครบ 100% เองจริงไหมล่ะ?”
ฟาร์มารู้สึกหนักใจกับสิ่งที่เขาเจอ
เพราะมันเป็นการล้มล้างสามัญสำนึกของการบำบัดด้วยยีนเสียหมด ความคิดทั้งหมดที่เคยมีมาได้มลายหายไป
“วิธีนี้มันก็ได้ผลจริงแหละ ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นวิธีรักษาทั่วไปก็เถอะ”
แม้จะดูเหมือนเป็นการโกง แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ยิ่งใหญ่มาก
มันอาจแก้ไขส่วนที่เป็นคอขวดของการแพทย์แผนปัจจุบันได้เลย
“ต้องแบบนี้สิ ในที่สุดหนึ่งในความคิดฉันก็ได้รับการยอมรับเสียที ถึงจะดูโกงไปหน่อยก็เถอะนะ”
เอเลนพูดออกมาอย่างมีความสุข
“แต่น้องชายคนที่สอง ร่างกายของเขาเริ่มสะสมพรีออนที่ผิดปกติแล้ว ดังนั้นเราคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับพรีออกผิดปกติที่ผลิตออกมาด้วยสิ”
พรีออนที่ผิดปกติจะเปลี่ยนให้พรีออนปกติกลายเป็นผิดปกติตามได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำจัดพรีออนที่ผิดปกติออกให้หมด แน่นอนว่าไอเดียของเอเลนก็ดูจะเอาชนะปัญหาดังกล่าวได้ด้วย
หากฟาร์มาสอดมือเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยแล้วกระจายแอนติบอดีที่ทำหน้าที่จับพรีออนผิดปกติในร่างกายทั้งหมด พอพรีออนพวกนั้นถูกตรวจจับได้ฟาร์มาก็จะใช้ความสามารถในการสลายสสารกำจัดพรีออนพวกนั้นออกไปให้หมด
แน่นอนว่าทั้งนี้พรีออนที่ปกติก็อาจจะหายไปจากร่างกายได้ด้วย แต่ด้วยพรีออนที่อยู่ในสภาพปกติจะถูกส่งเข้าไปแทนที่จากการใช้มาตรการยีนบำบัด ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ ในส่วนดังกล่าว
นั่นหมายความว่าน้องชายคนที่สอง ฟาร์มาก็สามารถรักษาเขาได้
ถึงจะต้องใช้เวลาในการรักษาบ้าง แต่ก็หวังว่าตระกูลของเอ็มเมอริคทุกคนจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้
ด้วยการรักษาดังกล่าวเซลล์สืบพันธุ์ของพวกเขาที่จะส่งต่อไปยังลูกหลานก็จะไม่มีเชื้อโรคนอนไม่หลับอีกต่อไป
(จนถึงตอนนี้ความเสี่ยงที่เราประเมินอาจจะต่ำไปก็ได้…แต่มันก็ยังดีกว่าไม่คิดอะไรเลยแล้วไปนั่งภาวนาเอากับพระเจ้าทีหลังแหละนะ)
เนื่องจากเป็นวิธีการที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากล้มเหลว
แถมการบำบัดด้วยยีนในตอนนี้ก็ยังเริ่มทดลองแค่กับสัตว์ ยังไม่มีข้อมูลที่ประสบความสำเร็จในมนุษย์เลยด้วย
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลองทำมันดู และถึงแม้ว่าประสิทธิภาพของการแก้ไขจีโนมจะแย่กว่าที่คาดไว้ ตราบใดที่เขาสามารถลบโปรตีนพรีออนที่ผิดปกติออกไปได้ ความคืบหน้าของอาการที่จะกำเริบก็คงจะช้ากว่าเดิม จนอาจจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ไปอีกนานแสนนาน
ฟาร์มาสรุปผลการวิเคราะห์ยีน และเรียกเอ็มเมอริคไปที่ห้องของศาสตราจารย์เพื่ออธิบายแผนการรักษา แน่นอนว่าเอเลนก็อยู่ที่นั่นด้วย
เอ็มเมอริคซ่อนความตกใจไว้ไม่ได้เมื่อเขาพบว่าสมาชิกทุกคนในตระกูลของเขาได้รับโรคทางพันธุกรรมที่อันตรายถึงชีวิตนี้มาหมด แต่ความแนวทางการรักษาที่ฟาร์มาพูดไป เขาก็เริ่มดูมีความหวังมากยิ่งขึ้น
“หมายความว่าถ้าเรารวมศาสตร์แห่งเทพของศาสตราจารย์เข้ากับเทคโนโลยีเพื่อดัดแปลงยีน เราอาจจะรักษามันให้หายขาดได้สินะครับ!”
เอ็มเมอริคต้องมีความสุขมาก เขากระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้และแสดงความดีใจ
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นนะครับ”
ฟาร์มาพยายามอธิบายอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เขามั่นใจจนเกินเหตุ
“โปรดสอนศาสตร์แห่งเทพนั้นให้ผมด้วยเถอะครับ!”
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ เนื่องจากวิชานี้หากไม่ใช่ผมแล้วก็คงใช้ไม่ได้”
หมายความว่ายังไงเหรอครับ เอ็มเมอริคทำท่าไม่เข้าใจ แต่ท้ายที่สุดฟาร์มาก็อธิบายไปว่ามันเป็นศาสตร์แห่งเทพที่จำเป็นต้องใช้คุณสมบัติพิเศษบางอย่างในตัวผู้ใช้จึงจะทำงานได้
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คุณสมบัติธาตุของศาสตราจารย์เมดิซิส แทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นธาตุปกติสินะครับ…..แบบนี้นี่เอง งั้นผมคงต้องฝากให้ศาสตราจารย์ช่วยแล้วครับ เพราะผมที่ไม่มีคุณสมบัติแบบนี้ก็คงจะใช้วิชานั้นไม่ได้”
เอ็มเมอริคกล่าวออกมาด้วยความประทับใจ
“แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ ก็ไม่มีใครนอกจากศาสตราจารย์ที่สามารถรักษามันได้…”
การรักษาคนในตระกูลของเอ็มเมอริคนั้นอาจจะมีหนทาง แต่กับคนอื่นแล้ว…
ฟาร์มาก็ได้แต่หวังว่าเอ็มเมอริคจะไม่เอาจุดนี้ไปด้อยค่าตัวเองว่าไม่เหมาะกับการเป็นแพทย์โอสถ
“เพราะแบบนั้นผมถึงได้บอกว่า โรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาไงครับ”
ฟาร์มาพูดอย่างตรงไปตรงมา
วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีที่สามารถใช้ได้เพียงแค่คนเดียว มันไม่สามารถส่งต่อไปให้ช่วยเหลือผู้ป่วยในอนาคตได้
การรักษาต้องมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องได้รับการตรวจสอบทุกขั้นตอนเป็นอย่างดีตามแบบแผน และทุกคนต้องสามารถทำตามเทคนิคดังกล่าวได้ หากมันไม่เป็นไปตามที่ว่ามา ฟาร์มาก็ไม่สามารถพูดได้ว่าโรคดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้แล้ว
ความตั้งใจของฟาร์มาดูเหมือนจะถ่ายทอดไปยังเอ็มเมอริคได้สำเร็จ
“ผมจะทำการตรวจสอบเพิ่มเติมว่าวิธีดังกล่าวจะเป็นไปได้ในแนวทางปฏิบัติจริงไหมโดยการทดลองในพืชกับสัตว์ขนาดเล็กก่อน ถ้าผ่านไปได้ด้วยดีก็จะเป็นตาของน้องชายคนที่สองของคุณ และหากสำเร็จเราจะเริ่มทดลองใช้กับสมาชิกที่เหลือในตระกูลของคุณรวมถึงตัวคุณเองด้วยนะครับ”
เอ็มเมอริคที่ฟังแผนการรักษาของฟาร์มาอย่างเงียบๆ เสร็จ เขาก็เงยหน้าจ้องมองไปยังเพดานที่ว่างเปล่า
“เอ็มเมอริคคุง เป็นอะไรไปเหรอ หรือไม่เข้าใจเรื่องที่ฟัง?”
เอเลนเข้าไปตบไหล่ของเอ็มเมอริคที่ดูแววตาว่างเปล่า และถามว่าไม่เข้าใจในจุดไหนหรือเปล่า จากมุมของฟาร์มาเขาคิดว่าเอ็มเมอริคน่าจะตามทัน
“หากวิธีรักษาเป็นไปตามนี้คุณจะยอมรับไหมครับ”
ฟาร์มาถามยืนยัน แน่นอนว่าเขาวางแผนที่จะอธิบายเรื่องนี้กับสมาชิกภายในตระกูลที่เหลือด้วย เพื่อรับการยินยอมจากแต่ละคน
“ครับ โปรดช่วยพี่น้องของผมด้วยศาสต์แห่งเทพของศาสตราจารย์และเทคโนโลยีอันทันสมัยนั้นด้วยครับ ขอขอบพระคุณมากจริงๆ ที่ช่วยพวกเรา”
เอ็มเมอริคสูดหายใจลึกและหลับตาราวกับจะใคร่ครวญคำพูดของฟาร์มาที่ผ่านมา
(เดี๋ยวนะ? พูดว่าพี่น้อง แปลว่าไม่รวมตัวเองเข้าไปด้วยเหรอ?)
ฟาร์มาจับความหมายของคำพูดของเอ็มเมอริค
“ศาสตราจารย์ ผมตัดสินใจแล้วครับ”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“โปรดอย่ารักษายีนของผมเลยครับ ผมจะลองหาวิธีจัดการรักษาโรคนี้ด้วยตัวเองดู”
เขาตัดสินใจที่จะค้นคว้าวิธีรักษาพรีออนด้วยตัวเอง รวมไปถึงโรคนอนไม่หลับมรณะนั่นด้วย
เอ็มเมอริคประกาศการตัดสินใจต่อหน้าฟาร์มา
“ผมสงสัยมาโดยตลอดว่าทำไมตระกูลของผมถึงได้ป่วยเป็นโรคนี้กัน”
เอ็มเมอริคจำได้ถึงความเจ็บปวดเพราะไม่ว่าเขาจะคิดถึงเรื่องนี้มากแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกสาปโดยเทพโอสถให้ต้องมาเผชิญชะตาเช่นนี้
“ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าโรคนี้จะต้องรักษาได้สำเร็จแน่นอนและนั่นคือการบ้านที่เทพผู้พิทักษ์ของผมได้มอบมาให้กับผม ท่านเทพโอสถ…”
เอ็มเมอริคแสดงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ออกมา แน่นอนว่าอาจจะมองว่าเป็นความผยองก็ได้
ฟาร์มารู้สึกประหลาดใจกับแรงใจเช่นนี้ ก่อนที่ฟาร์มาจะมองไปยังเขาแล้วหันไปหาเอเลน และเอเลนก็พยักหน้าเบาๆ ให้กับเขาเช่นกัน
“ฉันก็ว่าเทพโอสถคงเฝ้ามองนายดูจริงๆ นั่นแหละจากที่ฉันรู้สึกนะ”
เอเลนพูดพลางชำเลืองมองฟาร์มา ทางฟาร์มาก็ได้แต่ยักไหล่แล้วกระแอมคอออกมาก่อนจะพูดให้กำลังใจเอ็มเมอริค
“ได้ครับ ผมจะยังไม่ทำการรักษาคุณ ขอให้พยายามเข้านะครับ”
“ขอขอบคุณครับ! ผมจะพยายามสู้กับความตายนี้ให้ถึงที่สุดเอง”
ฟาร์มายกย่องในความกล้าหาญที่เอาชนะความกลัวของเอ็มเมอริค
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณสามารถใช้สิ่งที่อยู่ในห้องปฏิบัติการนี้ได้อย่างอิสระเพื่อการวิจัยของคุณ เรามีไวรัสอดีโนด้วย ดังนั้นก็ลองพยายามวิจัยมันดูนะครับ”
“เป็นเกียรติจริงๆ ครับ! จากนี้ก็โปรดชี้แนะผมต่อไปด้วยนะครับ!”
(สำหรับเราแล้ว มันก็เหมือนการบ้านที่เราต้องกลับมาทำต่อจากชีวิตก่อน ลองดูสักตั้งสิว่าระหว่างเรากับเอ็มเมอริคใครจะเจอมันก่อนกัน)
ฟาร์มาคิดว่าคงจะมีน้อยคนนักที่จะยอมกระโจนเข้าสู่โลกแห่งการวิจัยที่แสนยากเย็นนี้ด้วยความทะเยอทะยาน
เขาก็ขอให้เอ็มเมอริคได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่จากการค้นหาวิธีรักษาโรคร้ายแรงนี้สำเร็จ
หน้าที่ของเขาคือการชี้นำให้คนเหล่านี้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น ฟาร์มาตั้งปณิธานอีกครั้ง
ในฐานะหัวหน้างาน เขาจะไม่ละความพยายามในการสนับสนุนงานวิจัยของเอ็มเมอริค
และฟาร์มาเองก็จะพยายามค้นหาวิธีการบำบัดด้วยยีนที่เป็นวิธีซึ่งไม่ต้องอาศัยความสามารถของเทพโอสถด้วย
—
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code