Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 77
ตอนที่ 77 การวิเคราะห์ยีนกลายพันธุ์และผลลัพธ์
ประตูห้องเพาะเลี้ยงที่ติดอยู่กับห้องปฏิบัติการต่างโลกกำลังแง้มอยู่เล็กน้อย
มันเป็นห้องที่เขาจำได้ว่าครั้งก่อนมันไม่สามารถเปิดออกได้
ฟาร์มารู้สึกตกใจกับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ แถมอาจจะมีใครบางคนอยู่ข้างในนั้นก็ได้ ฟาร์มาในปัจจุบันไม่สามารถใช้พลังพิเศษหรือศาสตร์แห่งเทพได้เลย ในพื้นที่นี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎของฟิสิกส์ของโลกเดิม
(พื้นที่ที่สามารถเข้าออกจากห้องปฏิบัติการได้ขยายออกไปมากยิ่งขึ้น ไม่เหมือนคราวที่แล้วที่เรามาที่นี่…ถึงประตูบานนี้จะเป็นประตูอัตโนมัติ แต่ทำไมมันถึงเพิ่งมาเปิดได้เอาตอนนี้กันล่ะ?)
ฟาร์มาก้าวเข้าไปในห้องเพาะเลี้ยงโดยระวังไม่ให้ประตูดังกล่าวปิดเมื่อเขาเข้าไป หลังจากยืนยันว่าข้างในไม่มีคนอยู่ เขาก็เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าแตะเพื่อเข้าไปในพื้นที่เพาะเลี้ยงตามข้อปฏิบัติ
หลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวและหลอดยูวี กำลังส่องแสงสว่างภายในพื้นที่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงอนินทรีย์ เสียงมอเตอร์ของอุปกรณ์ดังก้องไปทั่วห้อง พอเขาเปิดประตูตู้เพาะซึ่งมีรูปร่างเหมือนตู้เย็นขนาดเล็ก ก็พบกับจานเพาะเชื้อที่มีเซลล์ต่างๆ เรียงรายอยู่ข้างในอย่างเรียบร้อย
เมื่อดูวันที่บนจานเพาะเชื้อแล้ว มันตรงกับวันที่ยาคุทานิได้เสียชีวิตลง
นี่ก็ผ่านมาได้สองปีแล้ว น่าคิดถึงจริงๆ
(ของพวกนี้ก็จำเป็นสำหรับเราเหมือนกัน เอากลับไปด้วยน่าจะดี?)
ฟาร์มาบรรจุภาชนะสำหรับเพาะเลี้ยงและน้ำยาแบบพิเศษที่ยากต่อการสังเคราะห์ด้วยความสามารถสร้างสสารอย่างเร่งรีบ เซลล์เพาะเลี้ยงยังถูกนำออกมาจากช่องแช่ในสภาพแช่แข็ง
สำหรับการศึกษาโรคนอนไม่หลับมรณะ จำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงเซลล์ประสาทต้นกำเนิด
เพราะมันต้องใช้เวลาในการดำเนินการและขั้นตอนอีกมาก ดังนั้นการจะนำกลับไปด้วยจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
(เดี๋ยวนะถ้าเราเข้ามาที่ห้องเพาะเลี้ยงได้แบบนี้ หรือบางทีเราอาจจะออกไปที่ทางเดินได้ด้วย?)
หากความทรงจำของเขาถูกต้อง น่าจะมีประตูอีกบานที่ด้านหลังของห้องเพาะเลี้ยงซึ่งปลายทางคือทางเดินของอาคารวิจัย
เขาเดินตัดผ่านห้องเพาะเลี้ยงและพยายามเปิดประตูไปที่โถงทางเดิน
แต่ผลที่ได้คือประตูที่เชื่อมระหว่างห้องเพาะเลี้ยงกับทางเดินนั้นไม่อาจเปิดได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการผลักหรือดึงก็ตาม ไม่ใช่ว่าระบบประตูมีปัญหาแต่เหมือนพื้นที่นอกจากจุดนี้จะยังเป็นพื้นที่ที่ถูกปิดไว้อยู่
แล้วฟาร์มาก็พยายามยื่นศีรษะเพื่อมองข้ามกระจกออกไปวิวที่อยู่หลังกระจกนั้นควรจะเป็นภาพของทางเดิน
แต่พอเขามองผ่านกระจกนั้นไปกลับมองเห็นแต่ความมืดมิดหาใช่ทางเดิน
ความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าตนจะสามารถกลับมาโลกเดิมได้ถูกทำลายลงในทันที แต่หากเขามองดีๆ ก็จะเห็นว่าเงามืดที่อยู่ภายนอกนั้นกำลังจะหมุนไปมาอย่างช้าๆ ในทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วที่คงที่
เหมือนว่าห้องปฏิบัติการนี้คือศูนย์กลางภายในของเครื่องจักรที่ซับซ้อน
(ความมืดมิดที่อยู่ภายนอกกำลังหมุนไปมา….จนเกิดเป็นพื้นที่วางขึ้นเล็กน้อยด้านหน้าประตู แต่ถึงจะออกไปได้ก็ไม่มีทางให้เดินต่ออยู่ดี…..คงต้องลืมเรื่องที่จะออกไปข้างนอกก่อน)
ฟาร์มาคาดว่าพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงใหม่นี้น่าจะนำพลังงานที่ใช้ในการออกไปภายนอกมาขยายตัวเองถึงจุดนี้จนหมดแล้ว
เขาจึงหันหลังกลับไปที่ห้องทนลองแทนเพราะที่นั่นเป็นทางออกเพียงทางเดียวสำหรับตอนนี้
(หากพื้นที่ทั้งหมดเริ่มเปลี่ยนไป เป็นไปได้ไหมว่าตัวเราก็จะมีอะไรเปลี่ยนไปด้วย?)
ฟาร์มาเกิดความคิดนี้ขึ้นมากะทันหันแล้วมองไปยังยาคุทานิอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาก็ยังหลับอยู่บนโซฟา เขาจะมีอะไรเปลี่ยนไปไหมนะ? พอคิดเช่นนั้นอยู่ดีๆ
เปลือกตาของยาคุทานิก็กระตุกขึ้นแล้วกลอกลูกตาข้างในไปมาอย่างรวดเร็ว ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็ตกใจจนก้าวถอยหลังไป
(เขารู้สึกตัวมากกว่าครั้งก่อน!)
แต่พอฟาร์มาพยายามจะเรียกเขา เสียงของฟาร์มาก็กลับไม่ดังออกมาราวกับเสียงของเขาไม่สามารถเดินผ่านอากาศไปได้
และถึงเขาจะพยายามสัมผัสร่างของยาคุทานิ มือของฟาร์มาก็ทะลุผ่านร่างไปราวกับตนเป็นเพียงวิญญาณ
(ทั้งที่เราสัมผัสสิ่งต่างๆ ในห้องนี้ได้แท้ๆ แต่ทำไมถึงแตะต้องยาคุทานิไม่ได้กัน…ไม่สิขนาดเสียงก็ยังส่งไปไม่ถึงเลย)
แต่เราเป็นพวกบ้างานนี่นะ
พอคิดได้แบบนั้นเขาก็นึกวิธีปลุกได้อีกอย่างหนึ่ง
(ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ)
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฟาร์มาก็เปิดประตูช่องแช่แข็งอุณหภูมิต่ำเป็นพิเศษสำหรับเก็บตัวอย่างทดลองพิเศษในห้องปฏิบัติการ
“บี๊บ บี๊บ บี๊บ”
ยาคุทานิ คันจิตื่นขึ้นทันทีที่เสียงออดดังขึ้นจากช่องแช่แข็ง
“เวรละ!ตู้แช่มีปัญหาเรอะ!?”
เขาพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย
การทำลายตัวอย่างที่เก็บไว้ภายในช่องแช่แข็งอาจจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากสำหรับเภสัชกร
(ตะ-ตื่นแล้ว ฮ่าๆ …ว่าแล้วเชียวยังไงตัวเราก็คือตัวเรานี่นะ)
ดูเหมือนยาคุทานิจะเดินผ่านร่างของฟาร์มาที่กำลังยิ้มด้วยความยินดีไปก่อนจะตรงไปที่ตู้แช่ เขามองไม่เห็นฟาร์มา แทนที่จะเรียกว่าโดนเมินน่าจะต้องบอกว่าเขาไม่รู้สึกถึงตัวตนของฟาร์มาด้วยซ้ำ
“นี่เราเปิดตู้แช่แข็งค้างไว้เหรอ เราเนี่ยนะ? ไม่สิไม่มีทาง ถ้างั้นใครกันล่ะ?”
หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับตู้แช่ของเขา ยาคุทานิก็มองไปที่นาฬิกาแล้วเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เขาควรตื่น เขาจึงเอนหลังลงโซฟาแล้วมุดตัวลงไปในถุงนอนก่อนที่จะ….
“นะ-นั่นอะไรน่ะ”
ยาคุทานิค่อยๆ มองไปรอบๆ ห้องปฏิบัติการของเขาก่อนจะเกาหัวแกรกๆ ไปมา
ฟาร์มาคาดเดาว่าเขาอาจสังเกตเห็นว่าภายในห้องมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เพราะฟาร์มาได้ขโมยเครื่องมือสำคัญในห้องปฏิบัติการไปหลายชิ้น
แม้แต่โทรศัพท์มือถือของยาคุทานิยังถูกขโมยเลย
นอกจากนี้ สารละลายที่เขาเตรียมไว้ฟาร์มาก็ขโมยออกมาจนหมด
(เฮ้ คุณรู้สึกตัวใช่ไหม ผมเป็นคนขโมยมันมาทั้งหมดนั่นเอง!)
ฟาร์มาเดินเข้ามาหายาคุทานิก่อนจะโบกมือไปมาให้กับเขา แต่สายตาของพวกเขากลับไม่สบกันเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่ของที่ฟาร์มาถือไว้ในมือ ยาคุทานิก็เหมือนจะมองไม่เห็นมัน
(… เกิดอะไรขึ้นกัน…ไม่ใช่แค่ร่างของเรา แต่สิ่งของที่ถืออยู่ในมือก็ไม่สามารถมองเห็นได้งั้นเหรอ)
ขณะที่ฟาร์มากำลังรู้สึกมึนงง เสียงนาฬิกาเตือนก็ดังขึ้น มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าฟาร์มาต้องกลับไปยังโลกแห่งความจริงแล้ว
ด้วยสัญญาณดังกล่าว จึงมีแรงกดดันเกิดขึ้นทั่วทั้งห้องปฏิบัติการราวกับต้องการขับไล่เขาออกจากห้องปฏิบัติการ
ฟาร์มากำกระเป๋าของเขาไว้แน่นเพื่อเตรียมพร้อมที่จะดีดออกจากห้องไป
(เฮ้อ! หมดเวลาแล้วสินะ!)
หลังจากที่เขาหลับตาลง ร่างของเขาก็ถูกผลักออกจากห้องนั้นไปยังบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะพุ่งทะลุผิวน้ำซึ่งเคลือบไว้ด้วยน้ำแข็ง พลังแห่งเทพที่จางหายไปเมื่อเดินทางไปยังต่างโลก ค่อยๆ กลับเข้ามาสู่ภายในร่างกายของฟาร์มาอีกครั้ง
เขาตรวจร่างกายเพื่อหาความผิดปกติ
ครั้งที่แล้ว เมื่อเขาออกจากห้องปฏิบัติการ พลังแห่งเทพของเขาแข็งแกร่งขึ้น และร่างกายขอเขาก็โปร่งใสกว่าเดิม แต่ครั้งนี้มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรู้สึกได้ด้วยว่าพลังของตัวเองลดลงไปมากกว่าเดิม
“พอมาลองคิดดูครั้งนี้ พอถึงเวลาเขาไม่ได้ตายนี่นา แต่ยาคุทานิตรงนั้นก็เราไม่ใช่หรือไงกัน?”
ตอนเขาเข้าไปครั้งล่าสุด ยาคุทานิดิ้นทุรนทุรายก่อนจะเสียชีวิตไป ทันใดนั้นฟาร์มาก็ถูกผลักออกมาจากโลกนั้น แปลว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับเขาตอนนี้ เพราะครั้งนี้ยาคุทานิก็ไม่ได้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวด้วย
และบางทีเขาอาจจะยังไม่ตาย
อย่างน้อยฟาร์มาก็อยากจะยืนยันในเรื่องนี้
” ……เป็นไปได้ไหมว่าจะมีเส้นเวลาที่ยาคุทานิรอดชีวิต? ……เขาจะกลับมาใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่ตายอย่างนั้นเหรอ……? วันรุ่งขึ้นเขาก็จะใช้เวลาทั้งวันไปกับการวิจัย…สินะ”
แม้ฟาร์มาหมดแรงแล้วแต่ก็ยังคงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่
(ถ้าเขาเข้าไปยุ่งกับอีกโลกมากจนเกินไป เหตุการณ์ต่างๆ อาจจะเปลี่ยนไป จำนวนของความเป็นไปได้จะเพิ่มมากขึ้นและหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เส้นมิติเวลาอาจจะพังทลายลงไปก็ได้)
แถมเขายังสงสัยอีกว่าร่างของฟาร์มาที่เดินทางไปมาระหว่างโลกนั้นจะโปร่งใสกว่าเดิมไหมหากยังทำภายใต้เงื่อนไขนี้ต่อไป
“แต่ยังไงเราก็ต้องกลับไปที่นั่นอีกสักครั้งอยู่ดี”
เพราะข้อมูลของลอตเต้ เอ็มเมอริค และคนอื่นๆ ยังอยู่ภายในห้องนั้น เขาจึงจำเป็นต้องกลับไปเอาผลที่ได้ พอคิดแบบนั้นก็อดกังวลไม่ได้
ว่าแล้วฟาร์มาตัดสินใจกลับเข้าไปในห้องทดลองอีกครั้งโดยไม่รอช้า
เนื่องจากยาคุทานิยังไม่ตาย ฟาร์มาอาจได้รับผลกระทบในทางใดทางหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปด้วยก็ได้
ฟาร์มาวางของที่ขโมยมาไว้บนฝั่งของบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะดำดิ่งลงไปในบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง และพยายามที่จะกลับเข้าไปที่อีกโลกหนึ่ง
ในวันเดียวกันนั้นเอง นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาเดินทางไปต่างโลก
เขาใช้เวลาพอสมควรในการเปิดล็อกประตู ทั้งที่บัตรประจำตัวของเขาก็เป็นใบเดิมแท้ๆ นอกจากนั้นช่วงเวลาที่บานประตูเปิดออกนั้นกลับนานขึ้นและแคบลงจนไม่สามารถเปิดให้สุดบานได้ ฟาร์มารู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่พอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่า ยาคุทานิ คันจิ กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาโดยมีถุงนอนห่อร่างของเขาไว้เหมือนเดิม
แล้วฟาร์มก็ามองดูนาฬิกาในห้องนั้น
(หา!?)
ไม่ใช่ 3.50 น. แต่เป็น 4.10น. เหรอ
(…! เวลาเร็วขึ้นกว่าเดิม 20 นาที!)
ตั้งแต่วินาทีที่ฟาร์มาเข้าไปในห้อง นาฬิกาก็เริ่มเดิน ครั้งนี้เขามีเวลาอยู่แค่ 40 นาทีเท่านั้น เขารู้ได้ทันทีว่าตนไม่ควรกระทำการเสี่ยงที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องต่างๆ บนโลกใบนี้อีกต่อไป
ปล่อยให้ยาคุทานิอยู่คนเดียวไปแบบนั้น
(แย่แล้วสิ การวิเคราะห์ข้อมูลการแสดงออกของยีนใน 40 นาทีมันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเอามันออกไปวิเคราะห์ข้างนอกเท่านั้น)
แต่ผลที่ได้กลับเป็นข้อมูลการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมนั้นเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วพอเขากลับมาถึงที่นี่อีกครั้ง ทั้งที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้นหลังจากที่เขาออกจากห้องนี้ไป
โดยปกติมันควรจะใช้เวลาในการวิเคราะห์ถึงหนึ่งสัปดาห์แท้ๆ กว่าจะเสร็จ
ฟาร์มาคิดได้เพียงว่ามันเกิดการผิดเพี้ยนของกาลอวกาศ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องพยายามคัดลอกผลการวิเคราะห์ที่มีปริมาณข้อมูลจำนวนมากออกมา
(จริงสิ!…ข้อมูลเหมือนจะเยอะเกินไปหน่อยแล้ว)
แถบแจ้งความคืบหน้าบนจอแสดงให้เห็นถึงการคัดลอกข้อมูลที่ค่อยๆ ดำเนินการอย่างช้าๆ
(40 นาทีจะทันหรือเปล่านะ!)
จากประสบการณ์ของเขามันต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผลการวิเคราะห์ของพันธุกรรมทั้งหมดนั้นมีปริมาณข้อมูลจำนวนมาก แค่วิเคราะห์เพียงครั้งเดียว ปริมาณข้อมูลที่มีอาจจะมากถึง 100 กิกะไบต์ แค่ทำสำเนาก็ไม่ทันแล้ว
“จัดลำดับความสำคัญและคัดลอกส่วนที่จำเป็นออกมาให้มากที่สุด”
ขณะเรียกใช้การทำสำเนา เขาก็เปิดซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลและบีบอัดขนาดข้อมูลให้ได้มากที่สุด ถึงจะได้ข้อมูลมาไม่ครบแต่ก็คัดเฉพาะส่วนที่จำเป็นมาได้สำเร็จ
จากนั้นก่อนถึงเวลาที่เขาจะถูกดีดออกจากห้องนี้ไปนั่นคือก่อนที่ยาคุทานิจะเริ่มทรมานและเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว เขาก็รีบหนีออกจากประตูห้องที่เขาเข้ามาและกลับสู่โลกเดิมด้วยตัวเขาเอง
ขณะนั้นประตูทางเข้าเปิดอยู่เพียงครึ่งเดียว
เมื่อประตูที่เดินทางไปสู่อีกโลกหนึ่งปิดลง พลังแห่งเทพของฟาร์มาก็กลับมาอีกครั้ง
“ในที่สุด…ก็เสร็จสักที”
มีเวลาพักหายใจเสียที
“เดี๋ยวก่อน… พลังแห่งเทพนี่มัน… อันตรายเกินไป พอได้แล้ว! หรือนี่คือผลที่เราเดินทางไปมามากเกินไปงั้นเหรอ!”
ทันทีที่เขากลับมายังโลกนี้ พลังแห่งเทพก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาราวกับเขื่อนแตก
“มะ.. ไม่นึกเลยว่าจะขนาดนี้”
พลังแห่งเทพที่แผ่ขยายไปนั้นรุนแรงมาก เขารู้สึกคลื่นไส้ วิงเวียน และเริ่มหมดสติ
เนื่องจากพลังที่เข้ามาในร่างกายของเขาจำนวนมาก
” แย่แล้ว แย่สุดๆ”
ฟาร์มามีอาการหนาวสั่น ความรู้สึกของการถูกบีบอัดด้วยพลังแห่งเทพเกินกว่าจำนวนที่ร่างกายจะรับไหวมันกลายเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตจนเขาอยากจะตายเอาให้ได้
ร่างของฟาร์มายังคงถูกแผดเผาด้วยพลังแห่งเทพต่อไปเรื่อยๆ เขาคิดว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ร่างของเขาอาจจะระเบิดออกมาเลยก็ได้จากปริมาณของพลังที่เพิ่มขึ้นระดับนี้ ว่าแล้วเขาก็ไม่รอช้ารีบควานหาของที่อยู่ภายในกระเป๋า
(ก็กะไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้)
ดึงคาถาผนึกของซาโลม่อนออกมาทั้งหมดเท่าที่มี แล้วแปะมันไว้ทั่วร่างของเขา เท่านั้นยังไม่พอเขายังแทงใบมีดซึ่งเป็นสมบัติลับที่ยืมมาจากจูเลียน่า ก่อนจะถ่ายเทพลังภายในร่างเข้าไปในบัตรประจำตัวและคทาแห่งเทพโอสถด้วย
ด้วยการทำเช่นนั้น เขาจึงสามารถกระจายพลังศักดิ์สิทธิ์ออกไปในส่วนต่างๆ ได้ก่อนจะกลับสู่สภาพปกติในที่สุด
แต่ก็ใช่ว่าจะเลี่ยงในส่วนที่ร่างกายของเขาโปร่งใสขึ้นไปได้
“อืม… ยังไงซะ… ตอนนี้ก็ถือว่ากลับมาเป็นเหมือนคนปกติได้แล้วล่ะนะ…”
เป็นอีกครั้งที่ฟาร์มาเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าตนคือตัวประหลาด เป็นสิ่งที่ไม่ควรอยู่บโลกใบนี้ หากยังคงทำแบบนี้ต่อไปอนาคตที่อยู่ภายในหัวของเขาก็เห็นแต่ภาพที่ตนจะต้องหายไป
“เราต้องรีบรวบรวมสมบัติลับ ไม่ใช่แค่ของที่เกี่ยวข้องกับเทพโอสถด้วย”
หากเขามีสมบัติลับอยู่มากพอ ของพวกนั้นก็จะเป็นแหล่งถ่ายโอนพลังไปเก็บเอาไว้ได้ชั่วคราว
พลังแห่งเทพที่สามารถเก็บไว้ได้นั้นไม่มีนัยสำคัญใดๆ นอกเหนือ ไปกว่าการรักษาตามอาการที่เป็น แต่ว่า…
“สถานที่แห่งนี้มันอะไรกันแน่เนี่ย ทุกครั้งที่เรากลับมาจากที่นี่ พลังแห่งเทพของเราจะเพิ่มขึ้น มันเป็นจุดชาร์จพลังงานแห่งเทพงั้นเหรอ…”
ฟาร์มายังจำถึงความมืดมิดอันยากจะหยั่งถึงที่วนเวียนอยู่ภายนอกห้องเพาะเลี้ยงนั้น
เขารู้สึกเหมือนได้เห็นเบาะแสบางอย่างของต้นกำเนิดโลกใบนี้
ตัวเขาคนก่อนต้องวนลูปตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ติดอยู่ในห้วงมิติที่ล่องลอยไปตามกาลเวลา ผลที่ได้จากการพยายามเปลี่ยนแปลงมันจะมีอะไรบ้างนะ….
ฟาร์มาสงสัยว่าตัวเขาซึ่งถูกส่งมายังต่างโลกนี้ จะต้องพยายามอีกสักกี่ครั้งกันเพื่อทดลองผลที่แตกต่างออกไปภายในลูปนั้น
พอคิดถึงเรื่องนั้นก็อดหดหู่ไม่ได้
“ความน่าจะเป็นที่ตัวเราจริงๆ แล้วจะตายหรือไม่ตายนั้นมันทับซ้อนกันไปหมดแล้ว…..ชีวิตเราไม่ใช่แมวของชเรอดิงเงอร์สักหน่อย”
้เขาบ่นพึมพำไปเรื่อย ก่อนจะเดินไปที่ริมฝั่งของบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ แล้วหยิบกระเป๋าที่ใส่ของที่เขาขโมยมาจากห้องปฏิบัติการขึ้นมา
“ครั้งต่อไปถ้าเราเข้ามาที่นี่อีก แล้วเวลาภายในห้องนั้นมันเร่งเร็วขึ้นกว่าเดิม สักวันเราอาจจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป”
ฟาร์มากังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าต่างโลกใบนี้
ท้องฟ้าของดาวเคราะห์ดวงนี้เชื่อมต่อกับจักรวาลไหนอยู่กันนะ
เขากลืนความสงสัยในตอนนี้ลงคอไป ก่อนจะนำคทาแห่งเทพโอสถออกมาขยายขนาดแล้วทะยานขึ้นฟ้าสลัดแรงโน้มถ่วงที่มีออกแล้วมุ่งหน้าที่ยังจักรวรรดิ
…━━…━━…━━…
ฟาร์มาไม่ได้กลับมาไปที่คฤหาสน์เมดิซิส แต่กลับไปที่ห้องปฏิบัติการของเขาที่มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิแทน
เนื่องจากมันดึกมากแล้ว เขาจึงคิดว่าไม่น่ามีใครอยู่ที่นั่นแน่นอน แต่ประตูห้องนั้นกลับไม่ได้ถูกล็อกไว้ แถมเขายังสัมผัสได้ว่ามีใครอยู่ข้างในนั้นด้วย
เอเลนยังคงอยู่ที่ห้องนั้นในสภาพนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะ
ฟาร์มาเอาเสื้อคลุมของเขาคลุมไหล่ของเธออย่างเบามือ เพื่อไม่ให้ร่างกายของเธอเย็น
(เอเลน รอเราอยู่งั้นเหรอ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะกลับมาหรือเปล่า)
เพื่อไม่ให้เอเลนตื่น ฟาร์มาจึงได้นำข้าวของที่ติดมือมาจากห้องปฏิบัติการต่างโลกออกมาอย่างเงียบๆ ก่อนจะนำน้ำยา สารละลาย และอุปกรณ์ที่มีความละเอียดอ่อนไปเก็บไว้ ก่อนจะนำแล็ปท็อปของตัวเองออกมาจัดการงานต่อ
เนื่องจากตัวเครื่องยังมีแบตเตอรี่ จึงสามารถใช้ในการวิเคราะห์อะไรต่อไปได้
หากแบตเตอรี่เกิดหมดขึ้นมา เขาก็คงจะไม่สามารถหาทางชาร์จไฟให้กับมันได้ และต้องหันไปพึ่งไฟสำรองที่ได้มาจากห้องปฏิบัติการแทน ส่วนทางด้านของแบตสำรองที่ประดิษฐ์เองนั้นอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามอีกสักพัก
เวลาที่เหลือโดยประมาณ 10 ชั่วโมง ต้องรีบทำให้เสร็จตอนนี้เลย
ตัวอย่างแผนผังตระกูลทั้งสองได้ถูกวิเคราะห์ออกมาเป็นไฟล์ผลทางพันธุกรรมตามลำดับขั้น
ก่อนจะตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆ และลำดับเพื่อนำไปซ้อนทับข้อมูลทางพันธุกรรมที่ได้มา
ด้วยการเปรียบเทียบความแตกต่างในลักษณะนี้ จะสามารถระบุการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมของผู้ป่วยได้ว่าเป็นเช่นไร
โรคนอนไม่หลับมรณะเป็นโรคที่เกิดจากพรีออนซึ่งไม่มีทางรักษาหายแม้ในยุคปัจจุบัน ท้ายที่สุดก็จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากร่างกายที่ทรุดโทรมลงด้วยสาเหตุการพักผ่อนไม่เพียงพอ ถึงจุดนี้ก็จะได้ตรวจสอบเสียทีว่า สมาชิกครอบครัวของเอ็มเมอริค รวมไปถึงลอตเต้มีใครบ้างที่เกิดการกลายพันธุ์ขึ้น
ฟาร์มาดำเนินการวิเคราะห์อย่างใจเย็นโดยใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมรูปแบบดิจิทัลที่เขาทำไว้
ความสามารถในการใช้งานยังคงอยู่แม้ตนจะเกิดใหม่ในร่างนี้ เขาเขียนคำสั่งและป้อนรหัสข้อมูลในส่วนต่างๆ ที่ขาดหายไปได้อย่างไม่มีที่ติ
แล้วเขาก็ได้ผลลัพธ์ออกมา
ใครก็ตามที่มีผลของการกลายพันธุ์ในโคดอนลำดับ178ของพรีออน ถือว่าเขานั้นเป็นพาหะของโรคนอนไม่หลับมรณะ
น่าเสียดายที่เอ็มเมอริคนั้นเป็นพาหะอย่างแน่นอน
ลูกชายคนที่สอง ลูกชายคนที่สาม ลูกชายคนที่สี่ ลูกสาวคนโต ลูกสาวคนที่สองก็เป็นพาหะเช่นกัน…
“นี่ทุกคน….เป็นพาหะหมดเลยงั้นเหรอ….”
นอกจากนี จากการวิเคราะห์การแสดงออกของยีนพบว่าโปรตีนพรีออนที่ผิดปกติได้เริ่มสะสมในลูกชายคนที่สองแล้ว มีโอกาสมากที่ลูกชายคนที่สองจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่ปี
สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่ฟาร์มาคิด
ความน่าจะเป็นทางพันธุกรรมของโรคนี้มักจะอยู่ที่ 50% แต่ในรุ่นของ เอ็มเมอริค ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ หรือเพราะการแต่งงานกันเองภายในตระกูล จึงทำให้ผลลัพธ์การติดโรคนี้คือ 100%
กล่าวอีกนัยหนึ่งทุกคนจะป่วยเป็นโรคนี้
“แล้วลอตเต้ล่ะ…”
ฟาร์มาสงบจิตใจที่เดือดดาลของเขาและนำข้อมูลที่ออกมาในลำดับสุดท้ายมาดู
มีความแตกต่างบางอย่างระหว่างพวกเขากับลอตเต้แม้จะมีบรรพบุรุษเดียวกัน แต่คนหนึ่งเป็นชนชั้นสูงและอีกคนเป็นสามัญชน
เมื่อมองไปที่ผลยีน เขาจึงได้ทราบว่าลอตเต้และเอ็มเมอริคนั้นมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันจริงๆ
แล้วฟาร์มาก็ถอนหายใจหลังจากดูข้อมูลในนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะลอตเต้มีสายเลือดสามัญทางฝั่งแม่ของเธอมากไป เธอจึงขาดยีนบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งเทพ และไม่ใช่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพอีกต่อไป ตอนนี้ลอตเต้เป็นคนธรรมดา
และโรคนอนไม่หลับมรณะนั้น…
“เธอไม่ได้เป็นพาหะของโรคนี้…”
มันเป็นเพียงความโล่งใจชั่วขณะ เมื่อเขาคิดถึงเอ็มเมอริคและคนอื่นๆ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาสบายใจ แม้ว่าการวินิจฉัยจะเกือบได้รับการยืนยันทั้งหมดแล้วแต่เขาก็ยังอดหลับอดนอนเพื่อถอดรหัสรหัสพันธุกรรมต่อไปราวกับแลกมันด้วยชีวิต เขาต้องการหาวิธีรักษาโรคนี้จากข้อมูลของยีนอื่นๆ ที่มีภายในนั้นด้วย เขาต้องการดึงข้อมูลออกมาให้ได้มากที่สุดจนกว่าแบตจะหมดลง
จากนั้นฟาร์มาก็เอียงศีรษะเมื่อเห็นแถบพลังงานในเครื่อง
(ทำไมแบตเตอรี่เครื่องถึงไม่มีทีท่าลดลงเลยล่ะ หรือว่ามัน….)
ของจากโลกใบอื่นหากถูกนำเข้ามาในโลกนี้มันจะกลายเป็นสมบัติลับ นั่นหมายความว่าทั้งบัตรประจำตัว สารละลาย น้ำยาต่างๆ และเครื่องมือของเขาก็น่าจะไม่มีข้อยกเว้น
แถบที่แสดงสถานะของแบตเตอรี่ที่ไม่มีทึท่าจะหมดลงนั้นแสดงถึงความผิดปกติได้เป็นอย่างดี
“ถ้ามันไม่ลดลงเลยแบบนี้….ไปนอนพักสักหน่อยแล้วกัน”
แล้วฟาร์มาก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
ในวันรุ่งขึ้นเราต้องค้นหาวิธีรักษาโรคนี้ให้เร็วที่สุด
โรคร้ายที่สาปส่งนักเรียนของเขา
ภายใต้ห่วงนิทราอันมืดมิด เขาได้ยินเสียงนกตัวน้อยร้องเจื้อยแจ้วออกมา
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบผิวทำให้เกิดความอบอุ่น
มีบางสิ่งที่อ่อนนุ่มสัมผัสแขนของฟาร์มาอยู่ เมื่อเขาตื่นขึ้นเอเลนก็พิงอยู่ข้างๆ เขาด้วยโดยที่แขนของเขานั้นรัดด้วยแขนของเธออยู่และพอเขาได้สติแล้วเอเลนก็ตื่นขึ้นพอดี
“อรุณสวัสดิ์ ฟาร์มาคุง”
เอเลนยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เอเลน คุณยังเห็นร่างผมอยู่ใช่ไหม”
“ชัดเจนเลย”
พอได้ยินคำพูดของเอเลนแล้วฟาร์มาก็รู้สึกสบายใจขึ้น ก่อนที่เขาจะพบว่าเอเลนได้เข้ามาสวมกอดร่างของเขาเอาไว้แน่น ครึ่งตัวด้านบนของเธอได้บดขยี้ใบหน้าของฟาร์มาเอาไว้แน่นจนทำให้เขาหายใจไม่ออก
“อ่ะ คือ เอเลน มันเจ็บนะ เจ็บ…”
ถึงในอดีตเขาจะเคยออกไปนอนอวกาศมาแล้วจนทำให้แน่ใจว่าตนไม่น่าจะขาดอากาศหายใจตายได้ แต่ด้วยสถานการณ์กะทันหันแบบนี้ทำให้ฟาร์มาตัวแข็งทื่อขึ้น เอเลนไม่ใช่คนที่ปกติจะทำอะไรแบบนี้เสียหน่อย
“นายจากไปยังที่ที่แสนห่างไกลแบบนั้น….ดีจริงๆ ที่นายกลับมา…พอนายหายไป..ฉัน….”
เสียงของเอเลนที่พูดออกมาขณะที่น้ำตาของเธอไหลออกมาด้วยผ่านเข้ามาใกล้หูของฟาร์มา
“ยิ่งไปกว่านั้น พอนายกลับมาคราวนี้ ทำไมร่างนายดูเหมือนมันจะส่องแสงออกมาในความมืดได้เลยล่ะ…นายไปทำอะไรแปลกๆ มาอีกแล้วใช่ไหม ร่างกายของนายจะไม่เป็นไรเอาเหรอ”
“ใช่..คือ..ผมขอโทษ”
ฟาร์มารู้สึกได้ทันทีว่าเขาต้องทำให้เอเลนปวดใจมากแน่ๆ ก่อนจะตัดสินใจฟังเอเลนที่พิงเขาอยู่ดุอย่างว่าง่าย โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้เวลามัน…
ครืด—–
ในขณะที่เอเลนและฟาร์มากำลังนั่งพิงกันอยู่บนโซฟา ประตูห้องของเขาก็เปิดออก ในวินาทีนั้นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจก็บังเกิดขึ้น
“อ่ะ อรุณสวัสดิ์ค่ะ… อา ขอโทษนะคะ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นเลยค่ะ!”
โซอี้เลขานุการของฟาร์มาทำกระเป๋าของเธอหล่นลงพื้นก่อนจะพยายามถอยหนีไป
“เดี๋ยวครับ คุณโซอี้……!?”
ฟาร์มาตื่นตระหนกเมื่อเห็น โซอี้ในช่วงเวลาที่ไม่คาดฝันแบบนี้
แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรผิดศีลธรรมกัน แต่เนื่องจากความลนลานในจังหวะนั้นจึงทำให้พวกเขา แสดงอาการแปลกๆ ต่อหน้าโซอี้
“โอ้ ว่าไงอรุณสวัสดิ์นะ โซอี้จัง วันนี้มาเช้าจังเลยนะ พอดีเมื่อคืนพวกเรายุ่งกันนิดหน่อยน่ะ เลยมาค้างคืนที่ห้องนี้ พอมีหลายเรื่องให้ต้องทำแบบนี้ ก็อยากจะอาบน้ำสักหน่อยจริงๆ น้า”
เอเลนพูดออกไปโดยไม่คิดว่า คำพูดพวกนั้นจะสร้างความเข้าใจผิดอย่างลึกซึ้งให้กับโซอี้ แน่นอนว่าเธอไม่รู้ตัว
“เอ่อ คือ…ฉันกำลังรบกวนสองท่านอยู่สินะคะ!”
แล้วเธอก็ขอตัวออกไปทำธุรแล้วบอกว่าอีกสัก 30 นาทีจะกลับมา แต่อาจจะเป็นเพราะเธอกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของฟาร์มาและเอเลน ทำให้สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่กลับมาตามที่พูดไว้
ท้ายที่สุดฟาร์มาก็ต้องวิ่งวุ่นไปรอบเขตมหาลัยเพื่อตามหาโซอี้ จนหมดช่วงเช้าของวันนั้นก็ลงเอยที่เขาต้องเริ่มสอนด้วยอารมณ์ที่น่าอึดอัดใจ
———-
Note 1 : สบายใจแล้วพักได้ เย้
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code