Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 76
ตอนที่ 76 ความเปลี่ยนแปลง ณ ห้องปฏิบัติการต่างโลก
หลังจากได้ยินเรื่องราวของเอ็มเมอริคฟาร์มาก็สงสัยว่าพ่อของลอตเต้อาจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับตระกูลที่มีอาการป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับมรณะ เขาจึงเรียกแคทเธอรีนซึ่งเป็นแม่ของสาวใช้ประจำตัวเขา
“คุณแคทเธอรีนครับ ขอโทษทีนะครับหากกำลังยุ่งอยู่แต่ผมขอเวลาสักครู่ได้หรือเปล่าครับ”
“ได้สิคะ นายน้อยฟาร์มา งานวันนี้ค่อนข้างสบายด้วย”
ดูเหมือนแคทเธอรีนจะทำงานเสร็จเร็วและกำลังอารมณ์ดีอยู่
“ต้องขอโทษทีถามอะไรกะทันหันแบบนี้ แต่ผมอยากจะทราบข้อมูลสามีที่ล่วงลับไปแล้วของคุณสักหน่อยจะได้หรือเปล่าครับ?”
“ทำไม…นายน้อยถึงอยากจะรู้เรื่องนี้กันคะ?”
ใบหน้าของแคทเธอรีนแข็งทื่ออาจเพราะนั่นเป็นความทรงจำที่เธอไม่อยากจะนึกถึงมันเท่าไรนัก
“พอดีผมมีเรื่องที่กังวลใจอยู่ครับ จึงจำเป็นต้องขอสอบถามรายละเอียดกับคุณ”
“ถ้าเช่นนั้น…”
ว่าแล้วเขาก็นำทางแคทเธอรีนไปที่ห้องของตัวเองก่อนจะล็อกประตู เพราะหากลอตเต้เกิดเข้ามาในแล้วได้ยินเรื่องที่เขาพูดกันอยู่คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอา ก่อนที่เขาจะนั่งฟังเรื่องราวจากแคทเธอรีน พลางจดบันทึกไปด้วย
“สามีของคุณป่วยเป็นโรคอะไรเหรอครับ”
“จะว่าไปฉันก็ไม่เคยเล่าให้นายน้อยฟังสินะคะ…”
แคทเธอรีนหายใจเข้าลึก ๆ แม้จะมีอาการลังเลอยู่บ้างแต่เธอก็เริ่มพูดราวกับกำลังย้อนรอยความทรงจำเก่า ๆ ที่ผ่านมา
“เมื่อก่อนสามีของฉันและฉันอาศัยอยู่ที่ชายแดนจักรวรรดิ ซึ่งสามีของฉันเปิดร้านตัดเสื้อค่ะ แล้วพวกเราก็มีชาร์ล็อต จากนั้นก็หวังว่าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันตลอดไป จนกระทั่งปี 1138 สามีของฉันที่มีสุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ตอนที่มีอาการครั้งแรกน่าจะเป็นช่วงหน้าหนาวของปีนั้นค่ะ แม้จะทีละเล็กทีละน้อยแต่สามีของฉันเริ่มดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน… เขาเริ่มเสียสติมากขึ้นในทุกๆ วัน เริ่มจะเดินไปไหนมาไหนเองไม่ค่อยได้ แล้วก็เริ่มมีเหงื่อออกมากขึ้นเรื่อยๆ … เพราะการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ฉันจึงมั่นใจได้ว่ะต้องเกิดอะไรขึ้นกับสามีของฉันแน่ๆ ค่ะ”
แคทเธอรีนก้มมองลงไปที่พื้นและดูเหมือนความเศร้าโศกจะเริ่มถาโถมเข้ามาอีกครั้ง
“ช่วงนั้นทำให้ฉันทำงานไม่ได้เลย แม้แต่เวลาจะนอนก็แทบไม่มี จนร่างกายก็อ่อนเพลียไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่คิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ….เนื่องจากตอนนั้นชาร์ล็อตยังเด็กมากเธอคงจะจำเรื่องพ่อของตัวเองไม่ได้มากนักและแม้ว่าฉันจะพยายามตามหาหมอหรือแพทย์โอสถชื่อดังมาช่วยดูอาการ แต่พวกเขาก็ไม่ทราบถึงสาเหตุของโรค ทำได้เพียงแค่ส่ายหัวให้กับสามีของฉัน จนท้ายที่สุดสามีของฉันก็หมดสติลงไปและนั่นก็เป็นวาระสุดท้ายของเขาค่ะ เขาเสียชีวิตในช่วงเดือนมิถุนา ปี 1139 ทั้งที่เขาอายุเพียง 42 ปีเท่านั้นเอง”
เธอหลั่งน้ำตาออกมาโดยบอกว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ทำได้เพียงเฝ้ามองสามีของเธออาการแย่ลงไปเรื่อยๆ มันเจ็บราวกับหัวใจกำลังโดนฉีกกระชากออกมา
(อายุ 42 ปี…หากดูจากอาการโรคแล้วเขาก็เป็นเหมือนกันสินะ..)
ฟาร์มาไม่สามารถหาคำพูดใดมาปลอบแคทเธอรีนที่กำลังเล่าเรื่องราวอย่างเจ็บปวดออกมาได้
“ขอบคุณที่ยอมบอกเรื่องนี้กับผมนะครับ”
“หลังจากสามีของฉันเสียชีวิต ฉันก็ได้เรียกนักบวชให้มาทำพิธีศพ พอหลายๆ คนทราบข่าวการตายของสามีฉันพวกเขาก็ต่างบอกว่ามันต้องมาจากวิญญาณร้ายสิงสู่แน่ๆ หากเรียกนักบวชมาปัดเป่าเร็วกว่านี้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้….”
“ผมไม่คิดว่าเป็นเพราะมันนะครับ จากที่ฟังมาผมว่าสามีของคุณป่วยแล้วก็เสียชีวิตลงถึงจะยืนยันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นเพราะผมไม่ได้พบกับสามีของคุณโดยตรงก็เถอะ”
ฟาร์มาปลอบโยนแคทเธอรีนให้เธอไม่รู้สึกผิดมากกว่าเดิม แต่ดูเหมือนแคทเธอรีนจะรู้สึกผิดหนักกว่าเดิมเสียอีก
“ฉันไม่เคยบอกชาร์ล็อตเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเพราะคงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กคนนั้นแน่ๆ ดังนั้นได้โปรด….”
“ครับ ผมไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปบอกเธอแน่นอน”
หลังจากนั้นเนื่องจากการรักษาทางการแพทย์และยา แคทเธอรีนต้องขายร้านตัดเสื้อและบ้านของเธอ เพราะเธอมีหนี้สินจำนวนมาก เนื่องจากวัดตัดสินว่าเขาเสียชีวิตจากคำสาป เขาจึงถูกปฏิเสธโดยเด็กฝึกงานทุกคนที่ตรวจสอบประวัติ
หลังจากนั้นไม่นานเนื่องจากเธอต้องหาเงินมาใช้ในการรักษาและซื้อยาให้กับสามีของเธอ แคทเธอรีนเลยจำเป็นต้องขายร้านตัดเสื้อและบ้านของเธอทิ้งไปแต่ก็ยังไม่พอจะจ่ายหนี้สินที่มีหมดได้ แถมทางศาสนจักรก็ประกาศว่าสามีของเธอเสียชีวิตจากคำสาป เธอจึงโดนปฏิเสธการจ้างงานจากทุกที่ที่เธอไปสมัคร
จนกระทั่งตระกูลเมดิซิสชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ
ว่ากันว่าบรูโนจ้างเธอเข้ามาทำงานโดยไม่มีความลังเล แม้จะทราบถึงเรื่องราวของเธอมาก่อนแล้ว
กลับกันเขายังบอกอีกว่า “หากเป็นคำสาปจริงก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ เพราะจะได้ค้นคว้าวิธีลบล้างคำสาปได้ด้วย” โชคดีที่ความสามารถในการตัดเย็บของเธอเพียงพอที่จะเป็นสาวใช้ในตระกูลได้
(คุณจะแข็งแกร่งเกินไปไหมบรูโน…)
ช่วงเวลาที่บรูโนรับลอตเต้และแม่ของเธอเข้ามาทำงานที่ตระกูลนั้น ลอตเต้ยังอายุได้เพียง 4 ขวบเท่านั้น
“และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดค่ะ”
“แบบนี้นี่เอง… น่าเสียดายเหมือนกันนะครับ ว่าแต่คุณเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของสามีคุณบ้างไหม เช่นพวกเขาก็เสียชีวิตไปในในช่วงวัยกลางคนเหมือนกัน”
ฟาร์มาถามเกี่ยวกับประวัติครอบครัวเพิ่มเติม แคทเธอรีนก็พยายามดึงเอาความทรงจำเก่าๆ มาตอบ
“ใช่ค่ะ ฉันก็ได้ยินมาว่าพ่อตาของฉันเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเหมือนกัน”
“แล้วพวกเขามาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยหรือเปล่าครับ?”
“…ก็ใช่อยู่หรอกค่ะ…ว่าแต่ทำไมนายน้อยถึงทราบได้คะ?”
แคทเธอรีนเอียงศีรษะเหมือนสงสัย เมื่อได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ของแคทเธอรีนและการเลี้ยงดูลอตเต้ให้มาถึงตอนนี้ได้ ฟาร์มาก็แสดงสีหน้าเศร้าใจออกมา เมื่อเห็นอย่างนั้น แคทเธอรีนก็ฝืนยิ้มออกมาด้วยความเป็นห่วงฟาร์มา
“โถนายน้อย! ได้โปรดอย่าทำหน้าแบบนั้นเลยค่ะ หากคุณท่านไม่รับฉันกับชาร์ล็อตเข้ามาดูแล พวกเราสองแม่ลูกก็คงต้องไปอาศัยอยู่ข้างถนนแทน ฉันรู้สึกขอบคุณคุณท่านที่มอบสถานที่ให้พวกเราอาศัย ในตอนนี้ฉันมีความสุขดีค่ะ ว่าแต่….”
ดูเหมือนแคทเธอรีนจะสงสัยการสอบถามของฟาร์มาที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับลอตเต้ด้วยก็ได้
“หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชาร์ล็อตหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ผมแค่สงสัยเฉยๆ น่ะ ถ้าหากมีอะไรเดี๋ยวผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ”
ฟาร์มาพยักหน้าอย่างหนักแน่นก่อนจะแลกเปลี่ยนคำสัญญากับแคทเธอรีน
ต่อไปฟาร์มาไปที่ห้องข้ารับใช้ที่ลอตเต้และแคทเธอรีนใช้ร่วมกัน
“ลอตเต้ตอนนี้สะดวกไหม ให้ผมเข้าไปได้หรือเปล่า”
“อึก คะคือ อ๊ะ มีอะไรหรือเปล่าคะท่านฟาร์มา! เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ”
ลอตเต้ที่เปิดหน้าต่างห้องใต้หลังคาออกเพื่อฝึกวาดภาพนิ่งของผลไม้ริมขอบหน้าต่างรู้สึกตกใจจนเขินอายออกมาเนื่องจากเธอกำลังวาดรูปและฮัมเพลงไปด้วยก่อนที่ฟาร์มาจะเข้ามา
“ผมอยากจะขอเจาะเลือดคุณสักหน่อยหลังวาดรูปเสร็จจะได้ไหม พอดีผมอยากตรวจสอบเลือดของคุณว่ามันปกติดีหรือเปล่าน่ะ”
“เจาะเลือดนี่มันเจ็บหรือเปล่าคะ”
“ผมจะพยายามทำให้ไม่เจ็บนะ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอคะ? ถ้างั้นก็เชิญเลยค่ะ! ขอบคุณที่คอยดูแลฉันมาตลอดนะคะตอนนี้ฉันเพิ่งฝึกวาดรูปเสร็จพอดีเลย”
ฟาร์มารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ลอตเต้ยื่นแขนของเธอมาให้เขาก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสา แน่นอนว่าเขาก็เตรียมชุดเจาะเลือดมาพร้อมแล้ว เพื่อรักษาสัญญาเขาจึงได้สร้างน้ำแข็งขึ้นมาประคบแขนของเธอเพื่อลดความเจ็บปวดให้น้อยลงเมื่อเข็มแทงลงไป
ลอตเต้เกร็งจนหลับตาแน่นก่อนจะเกร็งไหล่ไปด้วย…หลังจากนั้นไม่นาน
“เสร็จแล้ว อดทนได้ดีมาก”
ฟาร์มาคว่ำหลอดเก็บเลือด ก่อนจะเขย่าเลือดของล็อตเต้ เพื่อให้มันทำปฏิกิริยากับยาต้านการแข็งตัวของเลือด แล้วก็หันไปหาลอตเต้
“ถึงจะไม่เจ็บแต่เลือดก็ออกมาเยอะมากเลยนะคะ…ถึงจะดูน่ากลัวหน่อยๆ ก็เถอะ”
ลอตเต้เหมือนว่าจะไม่ชอบเห็นเลือดเท่าใดนัก
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ แขนของคุณรู้สึกชาหรือมีอาการหน้ามืดไหมครับ”
“ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะท่านฟาร์มา”
ลอตเต้หันกลับมาตอบฟาร์มาและก้มลงขอบคุณ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของฟาร์มาที่ดูเศร้าหมองเล็กน้อย
“มีอะไรเหรอ?”
“ท่านฟาร์มาดูทำตัวแปลกๆ ไปนะคะ รู้สึกไม่ใช่ท่านคนเดิมเลย”
ลอตเต้อาจเป็นโรคนอนไม่หลับมรณะ ที่การแพทย์แผนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ ดูเหมือนว่าความกังวลใจที่ฟาร์มาเก็บงำไว้ได้ถ่ายทอดมาถึงลอตเต้แล้ว
ถึงเธอจะดูไร้เดียงสาแต่ก็คอยเฝ้ามองฟาร์มาอยู่เสมอ แม้จะไม่ต้องอธิบายกันผ่านคำพูด แต่ว่า….
“ไม่มีอะไรจริงๆ”
“งั้นเหรอคะ? ถ้าเช่นนั้นขอให้โชคดีกับการทำงานนะคะ”
ลอตเต้ปลดริบบิ้นที่คอเสื้อของฟาร์มาออก ก่อนจะมัดมันกลับไปให้แน่นกว่าเดิม
“ขอบคุณนะ ลอตเต้”
ฟาร์มาบอกให้เอ็มเมอริคเรียกพี่น้องของเขามาหา ดังนั้นเขาจึงให้ทุกคนมารวมกันที่ห้องปฏิบัติการทันที ในห้องนั้นมีทั้งสิ้นหกคนด้วยกัน โซอี้เลขาของเขา ก็นำชามาเสิร์ฟพร้อมกับขนมหวานให้กับกลุ่มคนที่มา แน่นอนว่าเอเลนก็มาช่วยด้วย
“ศาสตราจารย์ ผมพาคนในตระกูลของผมมาแล้วครับ”
“ขอบคุณมากนะครับ ช่วยได้เยอะเลย ทุกคนในตระกูลเบาเออร์ขอบคุณที่สละเวลามากันที่นี่นะครับ ถึงกระนั้นน้องสาวของคุณก็คล้ายลอตเต้จริงๆ ด้วยสินะครับ…”
น้องสาวของเอ็มเมอริคหน้าตาเหมือนลอตเต้มาตามที่เขาบอกก่อนหน้านี้
ใบหน้าที่เป็นมิตรพร้อมกับรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา กระทั่งเสียงของพวกเธอก็มีความคล้ายกัน หากจะบอกว่าพวกเขาเป็นญาติพี่น้องของลอตเต้จริงๆ ก็คงไม่มีใครปฏิเสธ
“ใช่ไหมล่ะครับพวกเขาเหมือนกันมากจริงๆ ผมคิดแล้วว่าศาสตราจารย์ก็ต้องพูดแบบนั้นเหมือนกัน!”
เอ็มเมอริคดูมีความสุขที่ได้รับความเห็นจากฟาร์มา
“ดูยังไงพวกเขาก็เหมือนกันมากจริงๆ พอได้เห็นแบบนี้นายคงไม่บอกหรอกนะว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกันน่ะ?”
เอเลนก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักสำหรับฟาร์มา
(ถึงจะบอกว่าเป็นแค่คนหน้าก็ได้ แต่ความเหมือนระดับนี้ เราก็คงปฏิเสธไม่ลงจริงๆ)
“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่ามันเป็นโรคอะไร หรือเราจะใช้วิธี PCR กันอีกรอบ?”
เอเลนเอียงคอถาม
“ครับ ขั้นแรกก็ต้องทำแบบนั้นก่อน”
หากต้องการทราบว่าลอตเต้และเอ็มเมอริคมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดรกันหรือไม่เพียงใช้วิธี PCR เช่นเดียวกับที่ฟาร์มาทำการทดสอบความเป็นพ่อแม่เด็กก่อนหน้านี้น่าจะเพียงพอ
หลังจากพวกเขา PCR กันเสร็จแล้วก็จะนำมันมาหาว่าสมาชิกในตระกูลพวกเขานั้นมียีนที่กลายพันธุ์จนนำพาไปสู่โรคนอนไม่หลับมรณะหรือไม่ หากเป็นในญี่ปุ่นสมัยใหม่ ข้อมูลดีเอ็นเอและข้อมูลยีนกลายพันธุ์ที่มีอยู่จำนวนมากนั้นสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า ดีเอ็นเอซีเควนเซอร์ ซึ่งจะอ่านลำดับเบสด้วยความเร็วสูงได้ แต่ในกรณีนี้วิธีการแบบอนาล็อกก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
มันเป็นวิธีที่ต้องทำการทดสอบซ้ำๆ ด้วยจำนวนครั้งที่มากพอในห้องปฏิบัติการแห่งนี้ โดยฟาร์มาตั้งใจจะสอนวิธีการให้กับเอเลนและเอ็มเมอริคในภายหลัง
“แล้วผมควรจะอธิบายให้คนในนี้ฟังตั้งแต่ตรงไหนดีครับ?”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมอธิบายให้พวกเขาฟังเกือบหมดแล้วครับ”
“งั้นสรุปอย่างรวดเร็วก็คือ ผมจะเก็บดีเอ็นเอจากเลือดของพวกคุณ รวมไปถึงตัวอย่างเลือดไว้ใช้ทดลองต่อด้วย โอเคไหมครับ”
ฟาร์มาได้รับความร่วมมือจากเอ็มเมอริคและพี่น้องของเขาทั้งหมด และเตรียมพร้อมการทดลองเพิ่มเติมด้วยเลือดที่ได้มาจากลอตเต้ด้วย เพื่อให้ได้ปริมาณ ดีเอ็นเอที่เพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ เขาจึงใช้ดีเอ็นเอที่ได้จากเลือดแทนที่จะเป็นเซลล์เยื่อบุในช่องปาก
“หลังจากรัดสายที่แขนให้แน่นแล้ว เส้นเลือดหลายเส้นจะปรากฏออกมานะครับ ตรงนี้เราจำเป็นต้องตรวจดูให้ดีๆ ว่าเส้นไหนเหมาะสมกับการจะเจาะเลือดออกมา เพราะเส้นเลือดที่ปรากฏออกมานั้นใช่ว่าจะเหมาะสำหรับการเจาะทุกเส้น”
“นี่ ฟาร์มาคุงถ้าเป็นแบบนี้ล่ะพอจะได้ไหม?”
เอเลนซึ่งกำลังหาเส้นเลือดที่เหมาะสมบนแขนของน้องๆ เอ็มเมอริคเจอได้เรียกฟาร์มามายืนยันผล
“โห! ดูเหมือนจะเจอเส้นที่เหมาะแล้วนะเอเลน”
“งั้นฉันขอลองเจาะเลือดเธอเลยได้ไหม พอดีอยากจะลองมานานแล้วน่ะ”
เอเลนเหมือนต้องการจะลองเจาะเลือดดู แต่พอคิดว่านั่นเป็นแขนของมนุษย์จริงๆ แล้ว….ฟาร์มาก็ได้แต่ยิ้มแบบฝืนๆ ไป
“ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็อยากลองเหมือนกันครับ”
เอ็มเมอริคก็อยากจะลองด้วยอีกคน
“แบบนั้นผมว่าคงไม่เหมาะนะครับ ยิ่งเป็นครั้งแรกของพวกคุณด้วย! แขนของพวกน้องๆ คุณอาจจะช้ำจนเป็นสีน้ำเงินเลยก็ได้ดังนั้นผมไม่อยากแนะนำเท่าไหร่ เอาไว้ครั้งหน้าพวกเราค่อยฝึกการเจาะเลือดด้วยแขนเทียมดีกว่านะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ น้องของผมทนเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ได้อยู่แล้ว”
พอเอ็มเมอริคเริ่มแสดงความตั้งใจออกมา น้องสาวที่หน้าเหมือนลอตเต้ก็หนีไปหลบอยู่หลังฟาร์มาและพูดออกมา
“เราต้องการให้ศาสตราจารย์เมดิซิสเจาะเลือดใช่ไหมพวกเรา”
“เอ่อ…ใช่แล้ว ท่านพี่แถมถ้าพลาดขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่ด้วยใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเอง”
“ได้ยินแบบนั้นพวกเราก็สบายใจค่ะ”
ว่าแล้วฟาร์มาก็สาธิตวิธีการเจาะเลือดให้ทั้งสองคนดู
“เอาปลายเข็มถูกที่ตัดแล้วแทงขึ้น เจาะผ่านผิวหนัง ตรงเข้าเส้นเลือด คุณจะรู้สึกได้ถึงการแตกของเส้นเลือดเล็กน้อยจากการแทงเข็ม ตรงนี้ต้องระวังอย่าให้มือสั่นนะครับ พอได้เลือดออกมาจนพอแล้วก็ถึงขั้นตอนการปลดสายรัดออก จากนั้นค่อยๆ ดึงเข็มออกมานะครับ จะไว้นะครับว่าให้ปลดสายรัดก่อนดึงเข็มไม่งั้นเลือดได้กระฉูดออกมาแน่
“จากที่ดูเหมือนจะยุ่งยากพอสมควรเลยนะ”
เอเลนเหมือนจะยอมแพ้ที่จะเจาะเลือดแล้วในตอนนี้แล้วเป็นผู้ดูแทน ส่วนทางด้านของเอ็มเมอริคก็ดูเหมือนจะพยายามเลียนแบบฟาร์มาผ่านจินตนาการ
(สมกับเป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่งและนักเรียนตัวอย่าง ดูมีความกระตือรือร้นจริงๆ)
ฟาร์มาชำเลืองมองที่เอ็มเมอริค
“ถึงวันนี้จะเจาะเลือดกันไม่ได้ แต่พวกคุณอยากจะลองสกัดดีเอ็นเอจากเลือดดูไหม”
ฟาร์มาถามเอเลนกับเอ็มเมอริค
ขั้นตอนแรกคือนำเลือดที่ได้ใส่ลงไปในหลอดทดลองขนาดเล็ก จากนั้นก็เต็มเอนไซม์ที่มีความสามารถในการสลายเซลล์แล้วให้ความร้อนกับตัวหลอด เมื่อปฏิกิริยาของเอนไซม์สิ้นสุดลง เซลล์ที่อยู่ภายในนั้นจะสลายไปให้เติมฟินอลและคลอโรฟอร์มลงไปก่อนจะผสมให้เข้ากันด้วยเครื่องหมุ่นเหวี่ยงแบบแมนนวล ตะกอนที่ลอยขึ้นมาจะถูกกรองออกไป ก่อนที่จะเติมแอลกอฮอล์เข้าไป
ไม่นานนักหลังจากเริ่มการทดลอง ก็มีบางอย่างคล้ายกับด้ายใสสีขาวลอยขึ้นมาเหนือแอลกอฮอล์ที่อยู่ภายในหลอดทดลอง
“ศาสตราจารย์เมดิซิส นี่… หรือว่าจะเป็น…”
“ใช่ครับนั่นคือดีเอ็นเอของตัวคุณ”
มันเป็นด้ายสีขาวที่รวมกันเป็นกระจุก มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีลักษณะเช่นนี้และลอยอยู่เหนือแอลกอฮอล์ได้
“มันเหมือนผ้าฝ้ายบางๆ ที่พร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อเลยนะ”
เอเลนมองมาที่ฟาร์มา
“นี่คือ…พิมพ์เขียวของร่างกายมนุษย์…มันมีอยู่จริง…”
มือที่ถือหลอดทดลองของเอ็มเมอริคสั่นระริก
สำหรับเอ็มเมอริคดูแล้วที่แห่งนี้เหมือนสถานศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามที่เขาด้วยก้าวล่วงเข้ามา
“ก็แบบนี้แหละนะ มันไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติหรอก! มันคือดีเอ็นเอที่มีอยู่จริงในร่างกายของเรา”
ว่าแล้วเอเลนก็เดินไปแตะที่หลังของเอ็มเมอริค แต่นั่นก็ทำให้เขาตกใจจนทำหลอดทดลองหลุดมือแล้วกลิ้งไปกับพื้น
“อ๊ะ! เดี๋ยวสินี่ท่านทำอะไรน่ะศาสตราจารย์บอนฟัว!”
“อย่าทำหลอดทดลองหล่นสิครับทั้งสองคน หากมันคว่ำขึ้นมา เราต้องเริ่มใหม่กันหมดแล้วนะครับ”
ฟาร์มาเหงื่อแตกพลั่ก เพราะเขาไม่อยากจะเสียตัวอย่างการทดลองที่ล้ำค่านี้ไป
“งั้นพรุ่งนี้เราจะมาวิเคราะห์กันนะตอนนี้หมดเวลาพักแล้ว เดี๋ยวเราต้องไปเข้าเรียนกันต่อด้วย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะครับ”
“เข้าใจครับ”
แล้วฟาร์มามุ่งหน้าไปยังคลาสเรียนร่วมกับเอ็มเมอริค
(เอาล่ะ..ถึงเวลาแล้ว)
ฟาร์มาจบการบรรยายสำหรับวันนี้แล้ว ดีเอ็นเอที่สกัดพร้อมกับเอเลนและเอ็มเมอริค ตัวอย่างเลือดที่ลอตเต้ให้มา เขาได้บรรจุทุกอย่างลงในถุงพร้อมกับให้ความเย็นมันด้วยน้ำแข็ง ก่อนจะตรวจสอบผนึกที่สามารถดูดซับพลังแห่งเทพซึ่งโซโลม่อนได้มอบให้กับฟาร์มาไว้
ครั้งที่แล้ว เมื่อเขากลับมาจากอีกโลกหนึ่ง ความโปร่งใสของร่างกายเขาก็มีมากขึ้น
หากเขาต้องกลับไปที่นั่นอีกความเสี่ยงที่เขาจะหายไปก็น่าจะมากยิ่งขึ้น
(ถึงจะไม่อยากไปเพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว มีแต่ต้องไปที่นั่นเท่านั้น…)
ตั้งแต่วันนี้ เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เฉียดใกล้ห้องปฏิบัติการต่างโลกนั้นผ่านบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์อีก แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์ขั้นสูงจากอุปกรณ์ทดลองที่อยู่ในห้องนั้นจึงทำให้ไม่มีทางเลือก
โดยวัตถุประสงค์คร่าวๆ ก็มีดังนี้
・เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมที่มีความเที่ยงตรงสูงของผู้ป่วยโดยใช้อุปกรณ์วิเคราะห์เข้าช่วย
・ไปเอารับตัวทำปฏิกิริยา หนังสือ และเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการวิจัยเพิ่มเติม
นั่นคือสองประเด็กหลักๆ ที่จะไปในครั้งนี้ ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของเหล่านักเรียกและลอตเต้ เขาอยากจะได้ข้อมูลทางพันธุกรรมที่ละเอียดมากยิ่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และหาวิธีการรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาได้แม้จะมีการแพทย์แผนปัจจุบันอยู่
“งั้นก็ไปเลยแล้วกัน”
ฟาร์มาจับคทาแห่งเทพโอสถเอาไว้แน่น
“จะไปไหนน่ะ ฟาร์มาคุง หืม… นั่นตัวอย่างทดลองไม่ใช่เหรอ?”
เอเลนตะโกนเรียกจากด้านหลังและมองออกไปนอกห้องปฏิบัติการซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงานของศาสตราจารย์ ฟาร์มาเคยคิดว่าเอเลนน่าจะกลับไปแล้ว แต่ดูเหมือนเธอจะยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยเนื่องจากเป็นห่วงฟาร์มา
“ทำไมเอเลนถึงยังอยู่กันล่ะ มีธุรอะไรอีกเหรอ?”
“ฉันก็กำลังเตรียมข้อมูลที่จะบรรยายพรุ่งนี้น่ะสิ ว่าแต่นายนั่นแหละจะไปไหน? แล้วนั่นมันก็ตัวอย่างดีเอ็นเอที่เราจะวิเคราะห์กันพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือไง….อย่าบอกนะว่านายจะไปสถานที่แห่งนั้น….สถานที่ที่นายบอกว่าสามารถเดินทางไปอีกโลกหนึ่งได้ผ่านบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์”
เอเลนรู้ดีว่ามันเกี่ยวกับลอตเต้ฟาร์มาจึงต้องทำเช่นนี้
“เพราะที่นั่นมันมีบางสิ่งที่ผมต้องการเป็นอย่างมากน่ะสิ”
นี่ก็เพื่อลอตเต้ เอ็มเมอริคและครอบครัวของเขา ฟาร์มาอธิบายให้เธอฟัง
“นายแน่ใจแล้วเหรอว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยน่ะ…มันไม่อันตรายเกินไปหน่อยเหรอ”
น้ำตาของเอเลนเริ่มไหลออกมา
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ผมไม่อยากจะมาเสียใจเอาภายหลังหากตอนนี้ผมยังสามารถทำอะไรได้ ยิ่งเป็นลอตเต้หรือคนใกล้ตัวผมแล้วด้วย ผมอยากจะจัดการมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
จากข้อมูลของเอ็มเมอริค โรคดังกล่าวจะเริ่มมีอาการก็ต่อเมื่ออายุ40ปีขึ้นไป แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสมอไป ในบางกรณีโรคดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นในวัยเด็กด้วยก็ได้ ไม่มีอะไรรับประกันเสียหน่อยว่ามันจะเกิดขึ้นเอาตอนอายุเท่าไหร่
“อีกอย่าง ผมไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเสียหน่อย ผมไม่คิดว่าผมจะอยู่บนโลกนี้ได้ตลอดไปหรอกนะ ผมอาจจะหายตัวไปในวันพรุ่งนี้เลยก็ได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่สำคัญแล้วว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร หากวันนี้ผมยังสามารถทำมันได้อยู่ ผมก็ควรจะทำมันเสียตอนนี้เลย”
“ทำไมนายต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วยล่ะฟาร์มาคุง อย่างน้อยก็รออีกสักปีสองปีก็ได้นี่นา”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะเอเลน”
ฟาร์มาเปิดหน้าต่างแล้วทะยานออกไปโดยไม่รอคำตอบกลับของเอเลน
ถึงจะถูกขอมาแบบนั้นแต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของเขาได้
ตำราที่เขาเขียนก็เสร็จไปแล้ว ความรู้เบื้องต้นก็ทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้แล้ว
หากเขาหายไป แน่นอนว่าเขาก็คงจะเสียใจ….แต่ด้วยสิ่งที่เขาทำมาจนถึงตอนนี้ความเสียใจกว่าน่าจะน้อยกว่าเมื่อก่อนอยู่พอสมควร
(ขอโทษนะเอเลน แต่ผมต้องไปจริงๆ)
ฟาร์มาขอโทษเอเลนในใจก่อนจะส่งพลังแห่งเทพไปยังคทาแห่งโอสถเทพ
เขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมและบินผ่านท้องฟ้าของจักรวรรดิไป
เมื่อฟาร์มามาถึงบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์บริเวณใจกลางที่ราบสูงชันซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอก ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในบริเวณโดยรอบเลย มันเต็มไปด้วยน้ำบริสุทธิ์เหมือนเมื่อก่อน ฟาร์มากระโดดลงไปในน้ำพุนั้นโดยไม่ลังเล
แทนที่จะดำลงไปลึกเหมือนแต่ก่อน เขารีบใช้ศาสตร์แห่งเทพสร้างน้ำแข็งขึ้นมาเป็นเงาสะท้อนบนผิวน้ำทันที
จากนั้นเขาก็เห็นทางเข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง
มันคือประตูทางเข้าห้องปฏิบัติการอีกโลกหนึ่ง
ฟาร์มาหยิบบัตรประจำตัวออกมาและถือไว้เหนืออุปกรณ์ยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์
(เอ๋?)
เขาสแกนบัตรไปสองครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ ออกมา
“…ปี๊บ”
จนกระทั่งครั้งที่สาม ในที่สุดล็อกอิเล็กทรอนิกส์ก็เปิดออก แล้วประตูที่เชื่อมต่อกับห้องปฏิบัติการนั้นกลับเป็นบริเวณตรงกลางห้องแทน
รู้สึกว่าจะไม่ราบรื่นเหมือนครั้งก่อนเลยแฮะ
(……ประตูมีปัญหาหรือเปล่านะ?)
มีบางสิ่งภายในห้องนี้เปลี่ยนไปแต่มันก็อยู่ในระดับที่ความทรงจำของเขานั้นไม่แน่ใจว่าอะไรกันแน่ที่มันเปลี่ยนไป
(รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป ไม่สิเราอาจจะคิดไปเองก็ได้)
เขาค่อยๆ ขยับร่างกายของตนเข้าไปภายในห้องปฏิบัติการนั้น
พอเข้ามาข้างในเขาก็ได้กลิ่นของเครื่องปรับอากาศในห้องปฏิบัติการ เสียงของตู้แช่แข็ง อุปกรณ์ต่างๆ ที่กำลังทำงานอยู่ชวนให้นึกถึงอดีต แน่นอนว่ามันทำงานได้อย่างถูกต้องทั้งหมด
พอดูนาฬิกาภายในห้องมันก็หยุดนิ่งที่เวลา 3 นาฬิกา 50 นาที สิ่งนี้เหมือนกับครั้งที่แล้ว และพอร่างของเขาเข้ามาในห้องนี้ เข็มนาฬิกาก็จะเริ่มเดิน
นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนครั้งก่อน มันคือช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่รองศาสตราจารย์ยาคุทานิจะเสียชีวิตลง
(พูดอีกอย่างคือเหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงสินะ?)
จากนั้นฟาร์มาก็หันยืนยันสิ่งที่เขาไม่ต้องการเห็นมากที่สุด
ร่างของยาคุทานิที่ยังมีชีวิตซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยถุงนอนบนโซฟา กำลังหลับสนิทอยู่
(ตัวเราตรงนั้นก็ยังเหมือนเดิม อยากจะออกจากห้องไปก่อนจะเห็นตัวเองตายอีกรอบจริงๆ)
ภาพตัวเองเผชิญความตายจากการทำงานหนักเกินไป ถ้าเป็นไปได้ เราก็ไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมการตายของตัวเองอีกรอบหรอกนะ
ครั้งที่แล้วเขาถูกบังคับให้ออกจากห้องนี้ในช่วงที่หัวใจของยาคุทานิหยุดเต้น แต่หากออกจากห้องนี้ก่อนที่ยาคุทานิตายล่ะจะเป็นอย่างไร?
ฟาร์มาอยากจะทดลองเรื่องนี้ดู ทันทีที่ยาคุทานิอาการกำเริบ เขาจะรีบออกจากห้องนี้โดยทันที แม้ว่าตัวเขาจะสามารถรักษาผู้อื่นได้ แต่เขากลับไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับร่างกายของยาคุทานิหรือตัวเขาเองได้เลย
…..ถึงจะน่าหงุดหงิด แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ สินะ พอคิดแบบนี้ก็ขำไม่ออกเลย
ฟาร์มาเดินไปที่คอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมซึ่งอยู่ถัดจากอุปกรณ์วิเคราะห์ขนาดใหญ่เป็นอันดับแรก
(ข้อมูลการวิเคราะห์ยีน…พร้อมแล้ว!)
มันคือข้อมูลของตัวเขาเอง ที่ทำทิ้งไว้เมื่อเขาเข้ามาที่ห้องนี้ครั้งก่อน
การวิเคราะห์ดังกล่าวจำเป็นต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แน่นอนว่ามันย่อมเกินเวลาที่เขาสามารถอยู่ในห้องนี้ได้ แต่การวิเคราะห์ดังกล่าวกลับเสร็จสิ้นแล้ว ดูเหมือนว่าลูปเวลาภายในนี้จะเป็นหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เขาจะตายเสมอ แต่การทำงานของเครื่องมือต่างๆ ภายในห้องนี้จะมีความคืบหน้าโดยไม่ได้รับผลของการวนลูปดังกล่าว
(การวนลูปแบบนี้ดูเหมือนจะอันตรายพอสมควร)
การอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งชั่วโมงก็ทำให้ร่างกายของเขาโปร่งใสมากขึ้นแล้ว
นั่นก็เป็นราคาที่เขาต้องจ่ายในหนึ่งชั่วโมง แถมเขายังไม่อยากคิดด้วยว่าถ้าอยู่นานกว่านั้นได้จะเกิดอะไรขึ้น แถมถ้าพยายามมาที่นี่บ่อยๆ ร่างกายอาจจะรับไม่ไหวเอา แต่ในทางกลับกัน…
(ทีนี้เราก็จะได้รู้สักทีว่า ข้อมูลทางพันธุกรรมของคนโลกนี้เป็นแบบไหน เราจะเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ได้อยู่หรือเปล่านะ)
ฟาร์ม่าเปิดผลที่ได้ดู
พอตรวจสอบดูก็จบว่า ข้อมูลดีเอ็นเอของเขานั้นตรงกับมนุษย์
ฟาร์มารู้สึกตกใจ
(…เป็นไปได้งั้นเหรอที่คนจากโลกอื่นจะมีความใกล้เคียงกับมนุษย์โลกสายพันธุ์โฮโมเซเปียน?)
ข้อมูลทางพันธุกรรมของร่างกายฟาร์มา เดอ เมดิซิสนั้น ตรงกับมนุษย์โลก โดยมีความน่าจะเป็นถึง 99.9% แถมพอตรวจสอบความต่างทั้งเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ก็พบว่ามีความใกล้เคียงมาก ฟาร์มาตรวจสอบข้อมูลที่ได้มาด้วยความตื่นเต้น
ข้อมูลของร่างกายที่ฟาร์มาได้มานี้ช่างแตกต่างจากสิ่งที่เขาเป็นเช่นเรื่องที่เขาไม่มีเงา แต่ข้อมูลทางพันธุกรรมที่เขาได้มานั้นมันแทบไม่ต่างจากมนุษย์โลกเลย
(สุดยอด..ข้อมูลพวกนี้มันน่าทึ่งมาก!….แบบนี้มันก็น่าจะมียีนที่ควบคุมการแสดงออกของชีพจรแห่งเทพภายในร่างกายด้วยสินะ ที่เหลือก็ต้องมาหาว่าเป็นอันไหน?)
เพราะสิ่งที่ตรวจพบในนั้นยันมียีนอีกหลายตัวซึ่งมนุษย์โลกไม่มีอยู่ภายในร่างกาย
แน่นอนว่าฟาร์มาก็ไม่รู้จักยีนพวกนั้นด้วยซ้ำว่าคืออะไร
มันมีทั้งหมดด้วยกันห้าตัว หนึ่งในนั้นอาจจะมียีนที่ควบคุมชีพจรแห่งเทพด้วยก็ได้
ฟาร์มาคัดลอกข้อมูลบางส่วนไปยังโน้ตบุ๊คเครื่องโปรดของเขา ถ้าเขานำสิ่งนี้กลับไปด้วยได้ เขาก็จะสามารถวิเคราะห์มันต่อไปได้เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีพลังงานไฟฟ้าให้ใช้ นอกจากนี้เขายังถ่ายสำเนาข้อมูลทางการแพทย์และเภสัชกรรมและบทความที่เขาคิดว่าจำเป็นเอาไว้ด้วย
นอกจากนี้ ฟาร์มายังใส่หนังสือทางการแพทย์และตำรายาลงในถุงพลาสติก ก่อนจะยัดมันไว้ในกระเป๋าใบใหญ่ ใส่พีซีและสมาร์ทโฟนลงในถุงพลาสติก และสะพายไว้บนหลังของเขาเหมือนกระเป๋าเป้
(ถ้าทำแบบนี้ก็น่าจะปลอดภัยถึงจะโดนน้ำ)
จากนั้นเขาก็เดินตรวจสอบภายในห้องนี้ตามจุดประสงค์เดิมที่ตั้งเอาไว้
นำตัวอย่างทดลองที่ได้จาก เอ็มเมอริคและลอตเต้ เข้าเครื่องวิเคราะห์ แม้จะมีเครื่องในการช่วยวิเคราะห์ แต่มันก็จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล เขาจำเป็นต้องกลับไปก่อนแล้วค่อยมาเอาข้อมูลดังกล่าวทีหลัง
เมื่อมองไปรอบห้องให้ดีๆ ฟาร์มาก็รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรที่ต่างไปจากเดิมจริงๆ
(เดี๋ยวนะ ตรงนั้นมันประตูห้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนี่ แถมไฟข้างในห้องก็เปิดอยู่ด้วย..)
ประตูห้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่อยู่ติดกับห้องปฏิบัติการอยู่ในสภาพที่แง้มเอาไว้แถมยังมีไฟจากในห้องนั้นด้วย
ครั้งล่าสุดที่เรามา มันเป็นห้องที่เปิดไม่ออกแม้ว่าจะผลักหรือดึง
(พื้นที่นี้ถูกขยายขึ้นงั้นเหรอ?)
ณ ห้องปฏิบัติการต่างโลกแห่งนี้ ได้มีบางสิ่งที่เปลี่ยนไปจนตัวฟาร์มาไม่อาจมองข้ามได้
———–
Note 1 : รู้สึกค้างและอยากอ่านต่อจึงรีบแปล พอจบตอนก็ค้างอีกรอบsheeet
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code