Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 75
ตอนที่ 75 การรักษา : ไม่มี
ภาคเรียนใหม่ของทางมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟได้เริ่มขึ้นแล้ว และวันแรกของการสอนในคลาสหลักก็มาถึง
ตัวฟาร์มาที่เป็นทั้งศาสตราจารย์และเจ้าของร้านขายยาย่อมไม่สามารถใช้เวลาทั้งวันไปกับการทำงานภายในมหาวิทยาลัยได้ ผลที่ได้จึงถูกแบ่งเป็นช่วงเช้าเขาจะทำงานที่ร้านขายยาและในช่วงบ่ายจึงจะเป็นงานของทางมหาวิทยาลัย
“เดี๋ยวผมขอฝากที่เหลือให้พวกคุณจัดการก็แล้วกันนะครับ คิดว่าทางเอเลนก็น่าจะมาช่วยที่นี่ในช่วงบ่าย งั้นผมขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ”
หลังจากเสร็จงานตรวจผู้ป่วยช่วงเช้าแล้ว ฟาร์มาก็ส่งไม้ต่อให้กับเหล่าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ดูแลแทน
การนัดหมายผู้ป่วยที่จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิดนั้นเขาได้ทำการจัดการหมดแล้วในช่วงเช้าที่ผ่านมา
“รับทราบค่ะ คุณเจ้าของร้าน เชิญตามสบายได้เลยเดี๋ยวทางนี้พวกเราจะจัดการเองค่ะ”
รีเบคก้าลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะพูดทิ้งท้ายแล้วยืนส่งฟาร์มา
“ศาสตราจารย์ก็พยายามเข้านะคะ! ชู้วว ถ้าทำแบบนี้พวกนักเรียนจะเงียบได้นะคะ! แล้วก็อย่าถูกพวกเขาแกล้งเอานะคะ”
เซเลสทำท่ากำหมัดแน่นเป็นการให้กำลังใจ
“ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ”
โรเจอร์โบกมือส่งขณะหาวไปด้วย พอเห็นเขาทำแบบนั้นก็ได้แต่คิดว่าจะไหวไหมนะ? แต่พอจะคิดเช่นนั้น ก็นึกโล่งใจขึ้นได้ว่าเอเลนจะช่วยเปลี่ยนไม้ให้ในช่วงบ่าย
“หากมีผู้ป่วยหนักเข้ามาโดยที่เอเลนรับมือไม่ไหว ให้ส่งผู้ป่วยไปมหาวิทยาลัยได้เลยนะครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ! ถ้ามีคนไข้ที่เราจัดการไม่ไหวจะรีบส่งต่อให้ทันทีเลยค่ะ!”
“ทันทีเลยค่ะ”
“ผมจะส่งให้เร็วที่สุดก่อนมันจะสายเกินไปเลยครับ”
(…ทั้งสามคนจะยอมแพ้กันเร็วไปไหม…)
ฟาร์มาเริ่มเตรียมของต่างๆ ให้พร้อม ขณะรู้สึกแปลกๆ กับการตอบรับของพวกเขา
“ท่านฟาร์มา มหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านหาเพื่อนได้ครบร้อยคนแล้วหรือยังคะ?”
พอขึ้นมาที่ชั้นสองของร้านขายยา ฟาร์มาก็พับเสื้อคลุมสีขาวของเขาก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นชุดธรรมดาแทน ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงลอตเต้ตะโกนเรียกเขาออกมาอย่างมีความสุข
(เพื่อนร้อยคน…เราไม่ใช่เด็กประถมสักหน่อย…แต่ก็สมกับเป็นลอตเต้ดีแหละนะ)
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมก็วางแผนที่จะเข้ากันกับนักเรียนแล้วก็คนในมหาลัยแล้ว ถึงตอนต้นจะไม่ค่อยสวยนัก…..แต่เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองแหละ”
เขาพูดขณะนึกถึงเอ็มเมอริคกับเหล่านักเรียนในวันนั้น ก่อนจะเก็บเอกสารและสื่อพิมพ์ต่างๆ ลงในกระเป๋าของตน
“แล้วท่านฟาร์มาเผลอหลับระหว่างเรียนไหมคะ ถ้าเกิดง่วงขึ้นมา ก็ลองหยิกแก้มตัวเองดูนะคะ ฉันว่ามันเข้าท่าเลยถึงจะเจ็บจนอยากร้องไห้ก็เถอะ”
“ผมเนี่ยนะ? ไม่มีทางที่ผมจะหลับในห้องเรียนหรอก”
“แต่ดูท่านฟาร์มาช่วงนี้จะนอนไม่ค่อยพอเลยนะคะ ยังไงก็ลองวิธีของฉันได้นะคะ”
“ดูจะเป็นผมมากกว่านะที่ต้องไปปลุกนักเรียนที่หลับแทน”
“แล้วมันเป็นสถานที่แบบไหนเหรอคะ มหาวิทยาลัยที่ท่านฟาร์มาจะไป?”
ถึงเธอจะสนใจเรื่องงานใหม่ของฟาร์มามากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจพาลอตเต้ไปด้วยได้
(จริงสิ ถ้าเป็นโรงอาหารก็น่าจะเปิดเป็นที่สาธารณะได้อยู่นะ ชวนเธอไปทานข้าวไม่น่าจะเป็นอะไร)
“ว่าแต่คุณอยากไปลองทานอาหารที่โรงอาหารของมหาลัยช่วงพักเที่ยงไหม ขนมปังอร่อยๆ กับของหวานก็มีเยอะเลย แถมคนภายนอกก็เข้ามาทานได้ด้วย”
“ว๊าว! แต่ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมคะ? ถ้าเป็นเช่นนั้นพาฉันไปด้วยเถอะค่ะ เดี๋ยวขากลับฉันจะเดินทางกลับเอง!!”
“งั้นไปกันเถอะ”
ฟาร์มาควบม้าไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวงโดยมีจุดหมายคือมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิพร้อมกับลอตเต้เด็กสาวผู้แสวงหาคาร์โบไฮเดรตและผลไม้
ภาพที่คนภายนอกเห็นนั้นช่างคล้ายกับเด็กนักเรียนทั้งสองกำลังเดินทางไปเรียนหนังสือ
“ว๊าว! มหาวิทยาลัยนี่เป็นสถานที่ที่สุดยอดไปเลยนะคะ! ใหญ่เกินกว่าจะเดินไปได้ทั่วจริงๆ!”
ลอตเต้ที่ถูกพาเข้ามหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรกกำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น
“อาจจะเป็นเพราะมีการผนวกรวมหลายๆ สาขาจากที่ขึ้นเข้ามาด้วยแหละนะ”
ฟาร์มาได้พาลอตเต้เดินเล่นไปรอบๆ มหาวิทยาลัยพลางแนะนำสถานที่แบบพอสังเขป
และดูเหมือนเธอจะสนใจสวนสมุนไพรของมหาวิทยาลัยเป็นพิเศษ มีสมุนไพรหลายชนิดถูกปลูกไว้ในบริเวณนั้น ซึ่งส่งผลให้เกิดภูมิทัศน์ริมน้ำที่สวยงามรอบสวนสมุนไพรโดยใจกลางของสวนก็มีสระน้ำขนาดใหญ่ที่มีดอกบัวเติบโตอยู่
“หากคุณวาดภาพที่นี่ ผมมั่นใจเลยว่ามันจะต้องเป็นภาพวาดทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมแน่นอน ฝ่าบาทก็น่าจะชอบด้วย!”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเตรียมของมาก่อนแล้วกันนะคะ”
ว่าแล้วฟาร์มาก็ตั้งตาคอยที่จะได้ชมผลงาน ภาพวาดล่าสุดของลอตเต้นั้นอาจจะได้แรงบันดาลใจใหม่มาจนเกิดเป็นแนวอิมเพรสชันนิซึม ผลที่ได้อาจจะเป็นภาพวาดที่คล้ายกับผลงานดอกบัวของมอแน (จิตรกรฝรั่งเศส)
“สวัสดีค่ะ ศาสตราจารย์เมดิซิส”
“ฉันรอคอยการบรรยายในวันนี้นะ”
เมื่อนักเรียนของมหาวิทยาลัยเห็นฟาร์มา พวกเขาก็เรียกและทักทายฟาร์มาในทันที
ก็มีบางคนที่ไม่สามารถควบคุมเหงื่อจากอาการประหม่าขณะพบฟาร์มาได้ สาเหตุก็น่าจะมาจากเรื่องเมื่อวันก่อน
ฟาร์มาเลยพยายามปลีกตัวออกมาให้ไกลจากนักเรียนพวกนั้นแทน
ฟาร์มาก็หวังว่าในคลาสพวกนักเรียนจะทำความเข้าใจได้ว่าตัวฟาร์มาไม่ใช่คนที่พวกเขาต้องระวังตัวด้วยขนาดนั้น
“ดูเหมือนทุกคนจะรู้จักท่านฟาร์มาดีเลยนะคะ ขนาดท่านพึ่งจะเข้ามาทำงานไม่นานนี้เอง น่าชื่นชมมากเลยค่ะ”
ลอตเต้ซึ่งไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนก่อนหน้านี้ เธอจึงเข้าใจว่าฟาร์มาเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน ดังนั้นเธอจึงมีความสุขราวกับว่ามันเป็นของเธอเอง
“ฮ่าๆ …ก็ทำนองนั้นแหละครับ”
(ถึงจะเป็นในด้านความน่ากลัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ลงแหละนะ)
ฟาร์มาโต้แย้งอะไรเรื่องนี้ไม่ได้
“แต่ก็ช่างน่าแปลกใจเหมือนกันนะคะ ที่ท่านฟาร์มาปฏิบัติผู้เรียนที่โตกว่าในฐานะอาจารย์ผู้สอนพวกเขาได้แบบนี้”
“ผมก็สงสัยเหมือนกันว่ามาลงเอยแบบนี้ได้ยังไง เอาเถอะเรารีบไปทานข้าวกันดีกว่าไม่งั้นเวลาคงจะไม่เหลือก่อนเข้าสอนแน่”
ฟาร์มากับลอตเต้ได้มุ่งหน้าไปที่โรงอาหารซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางของมหาวิทยาลัย
ทั้งที่ในปีก่อนๆ ทางมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟนั้นไม่มีโรงอาหาร พวกนักเรียนทุกคนต้องนำอาหารกลางวันมาทานกันเองไม่ก็ไปหาทานข้างนอก แต่ดูเหมือนปีนี้บรูโนจะใช้เงินส่วนตัวในการลงทุนสร้างโรงอาหารภายในขึ้นมา แน่นอนว่าผลที่ได้ก็คือโรงอาหารแห่งนี้คึกคักไปด้วยผู้คนมากมายราวกับเม็ดข้าวในทุ่งนา
เพราะตั้งแต่ปีนี้พวกเขาได้อนุญาตให้คนธรรมดาเข้าเรียนได้แล้วปริมาณคนย่อมมากขึ้น แถมเหตุผลหลักๆ ก็ดูเหมือนพวกเขาต้องการให้นักเรียนสามารถตั้งใจทำหน้าที่ของตนในการศึกษาอย่างเหมาะสม โดยมีโภชนาการทางอาหารที่ดีให้พวกเขาด้วย ฟาร์มาอดชื่นชมบรูโนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่ได้
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ทุกคนสามารถกินได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการโดยเสียค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อย
ลอตเต้ไม่สามารถบอกได้เลยว่าเธอมีความสุขแค่ไหนที่ได้เห็นโถงห้องอาหารใหม่เอี่ยมเช่นนี้
“ดูโรลพวกนี้สิคะสีขาวดูน่าทานมากเลย อ๊ะตรงนั้นน้ำส้มคั้นสดเหรอคะ? แถมตรงนั้นยังมีนมสดที่ดูน่าอร่อยด้วย?”
แล้วจานของลอตเต้ก็เต็มไปด้วยขนมปัง ที่พร้อมไปด้วยเครื่องเคียงเกือบทุกชนิดผสมกันมา
“จะทานหมดนั่นไหวเหรอ ให้ผมช่วยไหม”
“ถึงจะมากเกินไปหน่อย แต่เดี๋ยวฉันจะค่อยๆ ทานมันจนหมดเองค่ะ”
ลอตเต้กำลังลิ้มรสของอาหารในแต่ละคำ แล้วหลับตาพิจารณารสชาติของพวกมันอย่างมีความสุข
“เห็นมีความสุขแบบนี้ได้ตลอดเวลา ดูท่าลอตเต้จะไม่มีเรื่องให้กังวลเลยนะ…”
ฟาร์มาสงสัยจริงๆ ว่าลอตเต้จะเคยมีความกังวลอะไรบ้างไหมนะ
“ที่ฉันมีความสุขได้ก็เพราะได้อยู่เคียงข้างท่านฟาร์มาแบบนี้ต่างหากค่ะ แถมยังได้ทานอาหารและของหวานแสนอร่อยแบบนี้อีก หรือว่าท่านฟาร์มามีเรื่องที่กังวลใจอยู่เหรอคะ?”
ดวงตาของลอตเต้แสดงความสงสัยออกมา
“..ก็มีบ้างนะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
“ฮ่าๆ ก็ดีแล้วค่ะ งั้นมาทานกันต่อดีกว่านะคะ”
ลอตเต้พยักหน้าพร้อมกับแสดงรอยยิ้มออกมา
“เพราะความหิวแท้ๆ เลยนะ ต้องทานให้หมดแล้วกลับไปทำงานที่ร้านขายยาต่อด้วย ยังไงก็ขอให้ท่านโชคดีนะคะท่านฟาร์มา! ไว้เดี๋ยวฉันจะเตรียมชาอร่อยๆ รอที่ร้านนะคะ-“
“ได้ลอตเต้ช่วยเยียวยาให้เสมอเลยนะ”
ขณะที่ฟาร์มากับลอตเต้กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ เอ็มเมอริค เบาเออร์ก็ได้เดินผ่านพวกเขาไปจากอีกฝั่งของหน้าต่างโรงอาหาร
ก่อนที่เขาจะมองไปยังใบหน้าของลอตเต้ ก่อนจะเอียงศีรษะของตนหลายครั้งแล้วเดินจากไป
“คุณรู้จักนักเรียนคนนั้นไหมครับ?”
ฟาร์มาถามลอตเต้
“ก็ไม่นะคะ แถมก็ไม่คุ้นหน้าว่าเป็นลูกค้าของที่ร้านด้วยทำไมเหรอคะ?”
ลอตเต้เอียงศีรษะ แต่ยังคงกินขนมปังต่อไป
“สวัสดีครับทุกๆ คน วันนี้เราจะมาเริ่มคลาสกันด้วยบทเรียนในส่วนของพื้นฐานโดยรวมของยาบทที่ 1 นะครับ”
เนื่องจากการบรรยายของฟาร์มาเป็นวิชาบังคับที่นักเรียนชั้นปีที่ 1 จากทุกสาขาต้องเข้าร่วม คลาสเรียนจึงถูกจัดขึ้นในหอประชุมขนาดใหญ่แทน
นอกจากนี้ การบรรยายบางรายการยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปและผู้ที่เป็นแพทย์โอสถทั่วทั้งจักรวรรดิสามารถเข้าร่วมฟังได้
ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเช้าของวัน ผู้คนจำนวนมากต่างเข้ามาขอตั๋วในการเข้าฟังการบรรยายตั้งแต่เช้าตรู่บริเวณหน้าประตูของมหาวิทยาลัย การต่อสู้เต็มไปด้วยความดุเดือดระหว่างเหล่าแพทย์โอสถขั้นหนึ่งถึงสาม แม้สิทธิ์ในการรับตั๋วจะเป็นแบบมาก่อนได้ก่อน แต่ก็ไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าเรื่องนี้ฟาร์มาไม่ทราบมาก่อนเลย
ผู้ที่ได้รับตั๋วก็ต่างเข้ามานั่งภายในหอประชุมด้วยใบหน้าของผู้มีชัย ฟาร์มาเห็นใบหน้าของเหล่าสมาชิกกิลด์ร้านขายและจ่ายยาหลายคน แน่นอนว่าปีแอร์ที่เป็นหัวหน้ากิลด์ก็อยู่ในคนกลุ่มนั้น
(นี่มันระดับคนเต็มห้องประชุมเลยไม่ใช่เหรอ….)
ฟาร์มารู้สึกงุนงงกับภาพที่ตนเห็น
“…ที่พอกันไหมครับ? แล้วก็รบกวนคนที่มีคทาช่วยนำไปไว้ข้างใต้เก้าอี้ด้วยนะครับ ที่นั่งจะได้เหลือให้คนอื่น”
ฟาร์ม่าทำการจัดระเบียบที่นั่ง
แต่ถึงจะพยายามขนาดไหนจำนวนที่นั่งก็ไม่เพียงพอ เพราะคนมันเยอะถึงขนาดมีอาจารย์บางท่านนำเก้าอี้ส่วนตัวมาตั้งเองเลย
แล้วพวกเขาทุกคนก็กางหนังสือเรียนที่ซื้อมาจากร้านค้าไว้บนโต๊ะ
“ทุกคนที่นี่เป็นทั้งแพทย์ แพทย์โอสถ วิศวกร ไม่ก็นักวิจัย ไม่ว่าในปัจจุบันหรืออนาคต ในงานใดๆ ก็ตาม พวกคุณจะต้องได้เผชิญกับโรคภัยที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของมนุษย์อยู่แล้วเป็นแน่…”
เอ็มเมอริคกำลังนั่งจดข้อมูลอยู่แถวหน้า
สัตวแพทย์โจเซฟีนก็ฟังอยู่เช่นกัน โดยเธอพยักหน้าขณะฟังการบรรยายไปด้วย
ฟาร์มาวาดรูปคนธรรมดาบนกระดานดำ โดยรอบๆ มีแต่ความว่างเปล่า
“ใช่ครับสิ่งนี้คือ มนุษย์ แต่มนุษย์ที่ว่านี่สร้างมาจากอะไรกันล่ะครับ”
ฟาร์มาหันไปหานักเรียนและผู้ฟัง ก่อนจะตั้งคำถาม
“ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยสารทั้งสิ้นครับ เริ่มจากอะตอม พวกมันจะรวมกันกลายเป็นโมเลกุล และโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ลิพิด และกรดนิวคลีอิกจะสร้างโครงสร้างสามมิติขึ้นมา แล้วประกอบกันเป็นเซลล์ ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของชีวิต โดยมีน้ำซึ่งมีสัดส่วนถึง 60% ของน้ำหนักตัว เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาภายในเซลล์ และปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่ซับซ้อนนี้ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ครับ”
“แน่นอนว่าพวกเราเราไม่สามารถเข้าใจปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ได้ แต่อย่างไรก็ตามทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตนั้นย่อมมีกฎทางวิทยาศาสตร์มารองรับอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้เสมอ เราควรจะหาหลักการที่ว่ามาเป็นสิ่งแรกในการพิจารณาและทำความเข้าใจกับโรคภัยที่เราเผชิญก่อนจะหาทางออกเพื่อรักษามันครับ”
มีใครบางคนกำลังบันทึกคำพูดของฟาร์มาด้วยความเร็วสูง
นั่นคือแพทย์โอสถที่เป็นนักชวเลขซึ่งถูกบรูโนจ้างมา ดูเหมือนพวกเขาต้องทำการบันทึกสิ่งที่อยู่ในการบรรยายนี้โดยไม่พลาดแม้แต่คำเดียว นี่ยังรวมไปถึงการบันทึกสิ่งที่เขียนบนกระดานด้วยกล้องถ่ายรูปด้วย เป้าหมายของการทำเช่นนี้ก็คือการนำข้อมูลที่ได้ไปเป็นเอกสารประกอบการสอนในอนาคตสำหรับทางมหาวิทยาลัย
บรูโนสันนิษฐานว่าสักวันฟาร์มาจะหายไป จึงต้องทำการจัดเก็บทุกสิ่งเอาไว้เท่าที่จะเป็นไปได้
(ขอบคุณบรูโนจริงๆ ถ้าเขาทำเช่นนี้ต่อไปอีกหลายปี จนสามารถรวบรวมเอกสารการบรรยายทั้งหมดได้ครบ มันคงไม่เป็นไรแม้ว่าเราจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแถมศาสตราจารย์คนอื่นก็สามารถรับช่วงต่อได้ด้วย)
สิ่งนี้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ฟาร์มาคิดว่าการรับตำแหน่งศาสตราจารย์นั้นมีความหมาย
“การจะออกแบบยาเพื่อรักษาโรค เราจำเป็นต้องรู้ว่าตัวยาซึ่งก็คือสารเคมีนั้นทำหน้าที่ในปฏิกิริยาทางชีวเคมีตรงไหนเป็นอันดับแรก”
ฟาร์มาอธิบายถึงความสำคัญในพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ว่าจำเป็นขนาดไหน ยิ่งสำหรับผู้ที่เรียนแพทยศาสตร์และโอสถศาสตร์
แพทยศาสตร์และเภสัชศาสตร์ในโลกของเขาก็เป็นหนึ่งในสาขาของวิทยาศาสตร์ประยุกต์ดังนั้นหากผู้เรียนไม่เรียนรู้พื้นฐานของมันก่อน ก็ไม่สามารถต่อยอดไปสู่การประยุกต์ใช้ได้
“เราจะเริ่มด้วยกันพูดถึงเรื่องโครงสร้างของโปรตีนนะครับ”
ในวันนั้นเอง ฟาร์มาได้อุทิศเวลาของตนไปกับการบรรยายให้คนเข้าใจถึงสสารทางชีวภาพที่ประกอบกันจนเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้และเหล่านักเรียนก็ต่างจดบันทึกมันไว้อย่างขมักเขม่น
นักเรียนบางคนที่คิดว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้วิธีการรักษาโรคที่รักษายากและยารักษาที่มีประสิทธิภาพสูงได้อย่างรวดเร็วภายใต้ปีกของฟาร์มา ก็ต่างหมดหวังและเห็นถึงหนทางอันยาวไกลในการเดินทางก่อนที่ตนจะได้เป็นแพทย์ หรือ แพทย์โอสถ ความคิดอันไร้เดียงสาที่มองว่าศาสตร์พวกนี้หากได้เรียนจากตัวฟาร์มาคงจะเป็นเรื่องง่าย ได้พัดหายไปจนสิ้น
ฟาร์มาได้ยินนักเรียนบางคนคร่ำครวญออกมาว่าตนอาจจะตามบทเรียนไม่ทันและอดหน่วยกิตวิชานี้ก็ได้
แต่นั่นก็ทำให้พวกเขาเริ่มเข้าใจได้บ้างแล้วว่าทำไมยาของฟาร์มาถึง “ได้ผล” กับอาการป่วยที่ผู้คนเผชิญอยู่
“หากพวกคุณมีคำถามเพิ่มเติม ขอให้เข้ามาถามหลังเลิกคลาสนะครับ”
ทันทีที่เสียงกริ่งสิ้นสุดการบรรยาย นักเรียนและแพทย์โอสถหลายคนพร้อมใจกันลุกขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับต้องแข่งขันกับเวลา
“ศาสตราจารย์ ผมมีคำถามครับ!”
“ศาสตราจารย์เมดิซิส! ฉันไม่เข้าใจครึ่งหลังเลยค่ะ”
“ศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์! บอกข้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับพันธะของเปปไทด์ที”
ฝูงชนมารวมตัวกันที่แท่นบรรยาย และฟาร์มาก็ถูกล้อมรอบด้วยนักเรียนในเวลาไม่นาน ในขณะที่ไขข้อสงสัยของพวกเขาทีละคน ฟาร์มาก็สังเกตเห็นว่า เอ็มเมอริคกำลังรออยู่ที่มุมหอประชุมอย่างอดทน
แล้วฟาร์มาก็เรียกเอ็มเมอริคเข้ามาหลังจัดการกับคนที่เหลือหมดแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณเบาเออร์”
“ศาสตราจารย์ ผมมีเรื่องจะบอกคุณ ขอเวลาสักครู่ได้ไหม”
เมื่อนักเรียนออกไปหมดแล้วไปแล้วเอ็มเมิอริคก็เดินเข้ามาหาฟาร์มาด้วยท่าทางครุ่นคิด
“ก่อนอื่น ผมต้องขอโทษด้วย เมื่อวันก่อน ผมได้ยินว่าศาสตราจารย์จ่ายค่าซ่อมแซมลานประลองที่ผมมีส่วนด้วย ผมไม่รู้จะขอโทษท่านยังไงดี…”
จากเอ็มเมอริค ที่มีทัศนคติคับแคบมองฟาร์มาด้วยความไม่เคารพเมื่อสองสามวันก่อนได้หายไปจนหมดสิ้น และตอนนี้เขากลับสงบนิ่งราวกับคนละคน
“ผมเป็นคนทำมันพังเองด้วยคุณไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบด้วยหรอกครับ แถมดีขนาดไหนแล้วที่คุณไม่เป็นอะไรไปด้วย”
เอ็มเมอริคไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก นั่นเป็นเรื่องที่ฟาร์มาให้ความสำคัญมากที่สุดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“แล้วมีเรื่องอะไรที่สงสัยเหรอครับ”
“ถึงมันจะเป็นคลาสที่จะได้เรียนในอนาคตอยู่แล้ว แต่จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะถามท่านเกี่ยวกับโรคทางพันธุกรรม”
เอ็มเมอริคนำหนังสือเรียนออกมา
“ไม่ใช่คำถาม แต่ขอคำปรึกษาสินะครับ?”
ฟาร์มาและเอมเมอริคกลับมานั่งคุยกันในหอประชุมที่มืดมิด
บางทีเอ็มเมอริคน่าอ่านหนังสือเรียนพวกนี้บ่อยมากแน่ๆ เพราะสภาพของมันดูจะขาดรุ่งริ่งไปบ้างแล้ว
“ผมได้อ่านตำราของศาสตราจารย์อย่างละเอียดแล้วนะครับ ถึงจะมีหลายเรื่องที่ผมไม่สามารถทำความเข้าใจได้หากไม่ได้ฟังการบรรยายวันนี้ แต่ตำราเล่นนี้ก็วิเศษมากจริงๆ ทั้งประโยชน์ในด้านการวินิจฉัยโรค แถมยังมีวิธีการรักษาแบบใหม่ๆ ให้ได้ลองนำไปใช้อีก”
“ถ้าช่วยได้ก็ดีแล้วครับ แต่คุณก็สุดยอดเหมือนกันนะครับ…ทั้งที่ตำราเล่มนี้วางขายได้เพียงครึ่งปีเท่านั้นเอง”
แม้ตัวฟาร์มาจะเป็นคนเขียนตำราเอง แต่ก็อดทึ่งกับความสามารถในการเรียนรู้ของเอ็มเมอริคไม่ได้
“อันที่จริง จากที่ผมศึกษามาผมคิดว่าตระกูลของผมจะมีประวัติเป็นโรคทางพันธุกรรมครับ….ทางตระกูลของเราบอกว่านั่นมันคือคำสาปที่คนในตระกูลไม่อาจหลีกเลี่ยงได้…”
“ส่วนตัวผมก็ไม่มองว่านั่นเป็นคำสาปนะ เพราะคุณก็ดูใช้ศาสตร์แห่งเทพได้เชี่ยวชาญเลยทีเดียว แถมถ้าถูกสาปเข้าจริงๆ คุณก็ไม่น่าจะใช้ศาสร์แห่งเทพได้ด้วย”
ฟาร์มาเห็นด้วยกับเอ็มเมอริค และยังเป็นเรื่องน่ายินดีที่รู้ว่าตัวเอ็มเมอริคก็ไม่คิดว่านั่นคือ “คำสาป” เรื่องที่จะคุยกันต่อจากนี้ก็ง่ายยิ่งขึ้น
“ผมต้องการค้นหาต้นเหตุของโรคทางพันธุกรรมนี้และปลดปล่อยตระกูลของผมจากพันธนาการของโรคครับ”
“เข้าใจแล้วครับ งั้นอย่างแรกผมคงต้องขอประวัติคนในครอบครัวคุณด้วย แล้วก็คนที่เสียชีวิตจากโรคด้วยนะครับ”
ฟาร์มาอยากจะเปรียบเทียบข้อมูลที่เข้าเคยได้มาจากบรูโนกับข้อมูลที่เอ็มเมอริคบอกเองโดยตรงซึ่งอาจจะได้อะไรใหม่ๆ มาด้วยก็ได้
“ต่อไปก็ช่วยบอกอาการทั่วไปของผู้ป่วยด้วยครับ”
“ได้ครับ”
ตามที่เอ็มเมอริคกล่าว เมื่อคนในตระกูลของเขาล่วงเข้าสู่วัยกลางคน พวกเขาก็จะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของ “คำสาป” อย่างหลีกหนีไม่ได้ อาการหลังจากนั้นคือชีพจรของพวกเขาจะเต้นเร็วขึ้น รูม่านตาตีบ และไม่นานจากนั้นร่างกายของพวกเขาก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ มีอาการนอนไม่หลับไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายก็จะอ่อนแอลงในเวลาอันสั้น ถึงแม้จะพยายามนอนหรือใช้ยาเข้าช่วยท้ายที่สุดแล้วผลก็เป็นอันล้มเหลวในทุกทาง
จากนั้นไม่ถึงหนึ่งปีเมื่อร่างกายอ่อนแอจนถึงขีดสุด พวกเขาก็จะต้องเผชิญกับความตายที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม
จากสิ่งที่เขาได้ยินมา ฟาร์มาก็มีโรคที่อาการเป็นแบบนั้นอยู่ในใจแล้ว
ในตำราที่ฟาร์มาเขียนขึ้นมานั้น มันได้อธิบายเอาไว้ว่าโรคที่เกิดจากยีนเด่นนั้นหาได้ยากมากและเป็นโรคทางพรีออนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง
ผู้ป่วยที่เป็นโรคดังกล่าวจะมีความผิดปกติในยีนที่ทำการเข้ารหัสทางพันธุกรรมของพรีออน และพรีออนที่ผิดปกติเหล่านั้นจะสะสมกันอยู่ภายในสมองเมื่อมันมีปริมาณที่มากขึ้นก็จะทำการทำลายเซลล์ประสาททั้งหมดลง ทำให้ระบบประสาทภายในสมองเกิดความผิดปกติซึ่งมันส่งผลโดยตรงกับระบบการนอนหลับของผู้ป่วย ท้ายที่สุดก็นำพาไปสู่โรคนอนไม่หลับ
“จากที่ผมเล่าศาสตราจารย์คิดว่าอาการของมันน่าจะเป็นโรคอะไรเหรอครับ?”
“เท่าที่ฟังมาผมมีความมั่นใจมากว่ามันต้องเป็นโรคนอนไม่หลับมรณะซึ่งสามารถติดต่อกันได้ผ่านพันธุกรรมครับ”
“อย่างที่ผมคิดไว้ ท่านก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันสินะครับ…”
เลือดของเอ็มเมอริชเริ่มสูบฉีด
ราวกับเขาได้ฟังคำตัดสินโทษประหาร
“แต่ก็ยังตัดสินให้ชัดว่าเป็นโรคที่เกิดจากยีนเด่นไม่ได้หรอกนะครับ เพราะโอกาสการติดโรคเหมือนจะสูงเกินไปหน่อย”
เพราะการถ่ายทอดโรคที่เกิดจากยีนเด่นนั้นจะส่งผ่านทางการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเมื่อยีนของพ่อและแม่จับคู่กันแล้วเกิดการกลายพันธุ์ ซึ่งมีโอกาสประมาณ 50% ที่จะเป็นเช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงเพศของเด็กที่เกิดมา
แต่จากแผนภูมิต้นไม้ คนส่วนใหญ่ในตระกูลแต่ละรุ่นต่างก็มีอาการเช่นนี้กันหมด
“หรือว่าจะมีผู้สืบสกุลมากกว่าที่เราเห็นภายในแผนผังตระกูลนี้ครับ พวกเขาคงไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้สินะครับ?”
ฟาร์มาคิดว่าหากรวมคนพวกนั้นด้วยแล้วอัตราส่วนก็น่าจะใกล้ 50% พอดี
เอ็มเมอริคพยักหน้าก่อนจะเบิดตากว้างด้วยความตกใจที่ฟาร์มาทราบเรื่องนี้ด้วย
“ใช่ครับ จากที่ผมทราบมาเหมือนว่าบางคนจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลให้ไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแทนเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเปิดชีพจรแห่งเทพได้”
เป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับชนชั้นสูงที่มีบุตรอ่อนแอเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ทันทีที่ทราบผล เด็กคนนั้นจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลให้กลายเป็นเพียงสามัญชนและลบรายชื่อออกไปจากตระกูล
“เป็นไปได้ไหมครับที่เราจะติดต่อกับลูกหลานของพวกเขา เพราะผมสงสัยว่าคนที่ชีพจรแห่งเทพไม่เปิดนั้นจะมีอาการของโรคนี้หรือเปล่า บางทีเราอาจจะได้อะไรที่เป็นประโยชน์มากขึ้นก็ได้”
หากตระกูลของเอ็มเมอริคเป็นโรคนอนไม่หลับมรณะ หากลองเทียบอัตราการเป็นโรคดังกล่าว ผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลไปเนื่องจากชีพจรแห่งเทพไม่เปิดนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะไม่เป็นโรคนี้
“จากบันทึกที่ผมก็ก็พอจะทราบว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งใดรับพวกเขาไปดูแลครับ ถ้าลองตามบันทึกนั้นไปดูแล้วไปหาข้อมูลจากที่นั่นได้ก็น่าจะทราบ…”
เอ็มเมอริคกล่าวว่าเป็นไปได้ที่จะสามารถพบลูกหลานของคนที่ถูกขับไล่ออกตระกูลไปจากการตรวจสอบบันทึกของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
“ตอนนี้คุณก็ไม่ได้มีอาการของโรค แถมผมก็ไม่ทราบด้วยว่ายีนของคุณนั้นเกิดการกลายพันธุ์ด้วยหรือเปล่า จึงทำให้วินิจฉัยได้ยาก ถ้าอย่างงั้นตอนนี้มีคนในตระกูลของคุณคนไหนที่เป็นโรคนี้หรือเปล่าครับ”
“ถ้าตอนนี้ก็ไม่มีใครเป็นโรคที่ว่าครับ เพราะคนล่าสุดก็คือท่านพ่อของผม….ซึ่งเขาก็เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อนแล้ว.”
เอ็มเมอริคได้มอบเวชระเบียนของพ่อเขาที่บันทึกอาการเอาไว้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตให้กับฟาร์มา
และดูเหมือนว่ามันจะเป็นความทรงจำเจ็บปวดเมื่อคิดย้อนกลับไป ระหว่างพูดดวงตาของเขาคลอไปด้วยน้ำตา
ฟาร์มามองดูเวชระเบียนของเอ็มเมอริค
นี่มันเป็นการต่อสู้กับความเจ็บป่วยที่โดดเดี่ยว ภายในบันทึกนั้นมีแต่ความล้มเหลวที่โหดร้าย เต็มไปด้วยความเสียใจ ก่อนที่จะเสียชีวิตไปพร้อมกับความสิ้นหวังในตอนท้าย…
“ท่านพ่อของผมเขาเป็นแพทย์โอสถ ที่พยายามต่อสู้ อดหลับอดนอน แถมยังพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้าเช่นนั้น…
”
เมื่อพิจารณาจากบันทึกการสั่งจ่ายยาของเอ็มเมอริคส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนการหาฟางเส้นสุดท้ายไว้จับและคาดหวังผลอย่างลมๆ แล้งๆ
วันและคืนผ่านพ้นไป เขาได้เอาแต่ทดลองผสมยา สมุนไพร และโลหะหนักทั้งหมดเท่าที่ตนจะทำได้
จนเรียกได้ว่าเป็นการทดลองกับร่างกายมนุษย์โดยตรงมากกว่าการรักษา
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถทำให้พ่อของเขาหลับได้แม้เพียงสักครู่หนึ่ง
“ผมหวังไว้จริงๆ ว่าตระกูลของเราน่าจะพบท่านให้เร็วกว่านี้”
ตระกูลของเอ็มเมอริคนั้นป่วยด้วยโรคร้ายแรงก่อนที่ฟาร์มาจะมายังโลกใบนี้เสียอีก
“ศาสตราจารย์โปรดบอกผมที่ว่าต้องทำเช่นไร เพราะตอนนี้มันถึงคิวของผมกับเหล่าพี่น้องแล้ว”
เอ็มเมอริคถามฟาร์มาราวกับต้องการทางออก
“มียาที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ครับ”
ราวกับคำอธิษฐานนั้นเป็นจริง
“แปลว่าท่านมีมันสินะครับ?”
ฟาร์มาถูกสายตาของเอ็มเมอริคพุ่งตรงเข้ามาด้วยความหวัง ก่อนจะมองเขากลับไปด้วยสายตาที่อ่อนใจ
“ไม่ครับ”
เพียงแค่สองคำเท่านั้น
เป็นคำพูดที่ไร้ความปราณีกับความหวังในใจของเอ็มเมอริค
“มัน….จบสิ้นแล้ว…”
เอ็มเมอริคทรุดลงกับพื้นโดยที่ยังถือตำราเรียนอยู่ เขารู้ว่าชะตากรรมที่รอเขาอยู่ต่อจากนี้จะพัวพันเขาและพี่น้องที่อายุน้อยกว่าเขา ลงไปยังหุบเหวแห่งความตาย
เวชระเบียนที่หล่นลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรงจากมือของเอ็มเมอริคนั้นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นหอประชุมอย่างอนาถใจ
ในขณะที่เขาทรุดลงไปนั้น เขาก็ยังได้ฝากคำพูดที่เหมือนจะเป็นความตั้งใจสุดท้ายของตนให้กับฟาร์มาได้รับรู้
“ผมมีเรื่องจะขอร้องครับ หากผมมีอาการดังกล่าวแล้ว ผมจะฆ่าตัวตายก่อนที่อาการนั้นจะกำเริบมากขึ้นกว่าเดิม พอถึงตอนนั้นรบกวนท่านช่วยผ่าศพของผมเพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้แทนตัวผมด้วยนะครับ….”
ในขณะที่ฟังคำขอร้องอันแสนน่าเศร้าของเอ็มเมอริค ฟาร์มาก็หยิบเวชระเบียนแต่ละหน้าเข้ามารวมกันใหม่
“มันเป็นโรคที่รักษาได้นะครับ แค่ผมจะบอกคุณว่ายาที่ใช้ในการรักษายังไม่มีในตอนนี้เท่านั้นเอง”
ฟาร์มานำเวชระเบียนที่เก็บขึ้นมาและมอบให้เอมเมอริคด้วยความเอาใจใส่
เอ็มเมอริชที่อ่านตำรานี้จนขาดสะบั้น บางทีเขาอาจเริ่มมองเห็นแนวคิดของการค้นพบยารักษาบ้างแล้วก็ได้ ดังนั้นฟาร์มาจึงถามคำถามเขาแทน
“คุณคิดว่ายาชนิดใดที่ใช้ได้ผลกับโรคที่รักษาไม่หายในปัจจุบันนี้ครับ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ…เพราะตอนนี้ผมสับสนไปหมดแล้ว..บางทีน่าจะเป็นยาที่ช่วยป้องกันความเสียหายภายในเซลล์ประสาทหรือเปล่าครับ?”
ความคิดของเอ็มเมอริคนั้นถือว่าเข้าใกล้แผนการรักษาสมัยใหม่มากเลยทีเดียว
ในความเป็นจริงแล้ว แม้จะมีวิธีในการรักษาดังกล่าวอยู่ แต่นักวิจัยก็ยังคงดำเนินการค้นคว้าวิธีและแนวทางใหม่ๆ ของโรคนี้อยู่เสมอ
“ยอดเยี่ยมมากครับ นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งวิธีที่จะชะลอการเกิดโรคนี้ ไม่ก็ทำลายหรือปิดการทำงานของพรีออนที่ผิดปกติพวกนั้น หรือถ้าดีกว่านั้นก็คือการจัดการการกลายพันธุ์ของยีนก่อนที่มันจะเกิดความผิดปกติขึ้น”
“ยีนหรือครับ…แต่ท่านจะนำพิมพ์เขียวของร่างกายเราออกมาได้ยังไงกันครับ…”
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ไขความผิดปกติทางพันธุกรรมทั้งหมดในเซลล์ร่างกายที่มีกว่า 70 ล้านล้านเซลล์
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแม้แต่ยาแผนปัจจุบันก็ไม่มีหนทางที่จะรักษาแบบนั้นได้ จนต้องตราหน้าเอาไว้ว่า “ไม่มีทางรักษา”
การศึกษาโรคทางพันธุกรรมและการพัฒนายารักษาโรคดังกล่าวเป็นงานที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งที่ฟาร์มาทำตั้งแต่เขายังมีชีวิตอยู่ และแม้ว่าเขาจะมีความรู้ดังกล่าวมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการรับมือกับโรคในตอนนี้เลย
ดังนั้นตราบใดที่ยังมีการกลายพันธุ์ในยีน การรักษาทั้งหมดจะเป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น เว้นเสียแต่จะทำอะไรกับยีนนั้นได้
ฟาร์มาบอกกับเอ็มเมอริคที่กำลังกังวลใจ
“สิ่งที่เรียกกันว่า “โรคที่ไม่มีทางรักษาได้” ที่ผ่านมามันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบตัวยาใหม่ๆ ไม่ใช่หรือไงกันครับ”
แทนที่จะฆ่าตัวตาย สู้ค้นคว้าข้อมูลของตัวเองและลองใช้วิธีการต่างๆ เพื่อเอาชนะมันดูจะดีกว่าไหม
ฟาร์มาให้กำลังใจเอ็มเมอริคด้วยคำพูดปลอบโยน
แต่ฟาร์มาก็ใช่ว่าจะเอาแต่ยืนดูเฉยเสียหน่อย
“งั้นเรามาดูว่ายีนของคุณมีความผิดปกติอะไรน่าจะดีกว่านะครับรบกวนช่วย ติดต่อพวกพี่น้องของคุณได้ไหมครับ”
“ได้เลยครับ เพราะผมได้ย้ายพวกเขามาอาศัยอยู่ใกล้ๆ นี้แล้วด้วย”
“ผมอยากพาพวกคุณไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อนำดีเอ็นเอจากเซลล์มาวิเคราะห์ ก่อนอื่นเราจะดูว่าการคาดเดาของเราถูกต้องหรือไม่ และมีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่ รวมไปถึง”โรคนอนไม่หลับมรณะ” เพื่อเก็บเป็นข้อมูลจำเพาะเอาไว้ครับ”
การใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยในห้องปฏิบัติการอีกโลกหนึ่ง ฟาร์มาสามารถอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ผลลัพธ์นั้นอาจสามารถตรวจสอบการกลายพันธุ์ของยีนได้ แน่นอนว่าการไปอีกโลกหนึ่งนั้นมันจะเป็นการทำลายตัวตนของฟาร์มาที่อาศัยในโลกนี้ หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะเข้าใกล้ที่แห่งนั้น แต่นี่เป็นเรื่องระหว่างความเป็นตายของนักเรียนของเขา
“ได้ครับ เรามาเริ่มกันให้เร็วที่สุดน่าจะดีนะครับ”
ดูเหมือนว่า เอ็มเมอริคจะตัดสินใจเผชิญหน้ากับโรคร้ายนี้ ซึ่งอาจร้ายแรงถึงชีวิตได้โดยไม่ลังเล
เวลานั้นกำลังหมดลงในทุกขณะ
ฟาร์มาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ถ้าเอ็มเมอริคป่วยขึ้นมาปลายทางก็คือความตาย
แต่จะมาให้ยอมแพ้เอาตอนนี้ก็เร็วเกินไป
“จริงสิครับ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้กันแล้ว เด็กผู้หญิงที่ศาสตราจารย์ไปกินข้าวด้วยกันนั้นเป็นเพื่อนของท่านเหรอครับ?”
ดูเหมือนว่าเอ็มเมอริคจะนึกอะไรขึ้นมาได้ พอพูดถึงเรื่องพี่น้องของเขา เขาจึงได้ถามฟาร์มาออกไปเช่นนั้น
“เด็กคนนั้นชื่อว่าลอตเต้ เธอเป็นคนรับใช้ของตระกูลเมดิซิสและเป็นพนักงานของร้านขายยาครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ก็ไม่เชิงครับ…เพราะเธอหน้าตาเหมือนกับน้องสาวของผมมากจนยากจะเชื่อว่าเป็นคนอื่นได้…”
“หือ หายากนะครับเนี่ย”
ฟาร์มาฟังผ่านๆ โดยไม่คิดอะไรมาก แต่เหมือนเอ็มเมอริคจะไม่ใช่
“เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมขอทราบชื่อเต็มของเธอได้ไหมครับ?”
“เธอชื่อชาร์ล็อต โซเรลครับ”
“โซเรล?”
มือของเอ็มเมอริชหยุดนิ่งไป ไม่นานนักเขาก็พูดกับฟาร์มาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะแสดงความเสียใจ
“นั่นมันเป็นนามสกุลเดียวกันกับตระกูลของผมครับ…ถ้าจะให้พูดนามสกุลของตระกูลผมนั้นคือ โซร่า แต่หากเป็นการอ่านแบบจักรวรรดิแล้วจะอ่านว่า โซเรลครับแถมนามสกุลนี้ก็น่าจะหาได้ยากด้วย…..ผมก็หวังว่าเธอกับผมจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันนะครับ….บางที…”
“นี่คุณหมายความว่า…”
ฟาร์มารู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลัง
เรื่องราวที่เขาได้ยินจากลอตเต้เข้ามาในสมองของเขา
พ่อของลอตเต้เป็นสามัญชน แต่เขาเสียชีวิตด้วยโรคที่รักษาไม่หายที่ไม่ทราบสาเหตุไม่นานนักหลังจากที่ลอตเต้เกิด…
——–
Note 1 : ผมแก้ไขนามสกุลของลอตเต้ใหม่หลังไปอ่านแบบญี่ปุ่นนะครับ พอดีก่อนหน้านี้อิงมาจากอิ้ง
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code