Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 74
ตอนที่ 74 คำสาปของเทพโอสถ
“ศาสตราจารย์คะ ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งให้ทราบค่ะ”
ในวันที่สองของภาคเรียนใหม่ โซอี้ปรากฏตัวที่ห้องทำงานคณบดีของฟาร์มาพร้อมรายงานจากส่วนกลาง ด้วยสีหน้าซีดเผือด
“โปรดสงบสติอารมณ์และตั้งใจฟังให้ดีนะคะ”
“เอ่อ คือ… มีอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าคุณดูจริงจังมากเลย…”
ฟาร์มากับเอเลนทำงานอย่างหนักเพื่อเตรียมสื่อการสอน โดยเขากำลังเตรียมถึงแค่ในส่วนของแนวทางในการสอนเท่านั้นเอง
“เมื่อวานนี้ เราได้รับใบประเมินค่าเสียหายในการซ่อมแซมลานประลองที่ถูกทำลายระหว่างการประลองศาสตร์แห่งเทพค่ะ”
“เอ๊ะ!? แพงชะมัด!?”
เสียงกรีดร้องของเอเลนดังก้องไปทั่วห้องทำงาน
ฟูรูนเป็นสกุลเงินของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
โดย 1 ฟูรูนเมื่อแปลงค่าเป็นเงินเยนจะอยู่ที่ประมาณประมาณ 20 เยน ดังนั้นค่าซ่อมแซมลานประลองในครั้งนี้จะอยู่ที่ราวๆ 660 ล้านเยน…
“เอ่อ….เป็นเพราะผมจัดหนักไป….สินะ…”
ฟาร์มานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนและทรุดตัวลงบนโต๊ะ
“ว่าแต่ท่านใช้ศาสตร์แห่งเทพแบบไหนกันคะ ถึงได้ทำให้ลานประลองเป็นแบบนั้นไปได้ ไม่สิคิดไปแล้วก็แปลกเกินไปหรือเปล่าเพราะลานประลองที่มีความทนทานขนาดนั้นไม่น่าจะเสียหายได้จากการประลองกันเพียงครั้งเดียว”
โซอี้ที่พยายามยืนยันสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเธอดูจะไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากเธอยุ่งอยู่กับงานในสำนักงานและไม่ได้เห็นการเผชิญหน้าระหว่างฟาร์มาและเอ็มเมอริค เอเลนก็ได้แต่บอกว่าโซอี้จะตกใจกับเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก พร้อมกับตบไหล่เธอเบาๆ
“นายนี่นะ ฟาร์มาคุงทำไมเด็กแบบนายถึงต้องใช้ใบหน้าที่แสนอ่อนโยนแบบนั้นมาหลอกคนอื่นเอาได้นะ โซอี้จังก็พยายามเข้านะ งานเลขาของเธอในอนาคตคงจะได้ลำบากจนแทบเป็นบ้าเลยก็ได้”
เอเลนพูดปลอบเธอพร้อมกับหนีจากความเป็นจริง
“อย่างเอเลนมาสิทธิ์พูดด้วยเหรอ”
ไม่เพียงแค่เอเลนเท่านั้นที่ฟาร์มาไม่อยากได้ยินคำนี้ แต่ยังรวมไปถึงปาลเล่ด้วยเช่นกัน เขาคิดว่าทั้งสองถ้าในเรื่องการประลองแล้วบ้าพลังยิ่งกว่าเขาเสียอีก
“ฮะ ฮะ…แบบนั้นเองสินะคะ..”
โซอี้ถึงกับอึ้ง เธอเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุวายุ แน่นอนว่าด้วยนิสัยของเธอแล้วคงจะไม่เหมาะกับการต่อสู้ แต่ถ้ามีช่วงเวลาแบบนั้นจริงอย่างน้อยที่สุด เธอก็คงจะไม่ทำถึงขั้นระเบิดสนามประลองจนเละตั้งแต่วันแรกที่เปิดภาคเรียน
เหมือนฟาร์มา
“จริงๆ ฉันก็น่าจะแนะนำให้เปลี่ยนสถานที่ด้วยแหละนะ….ตอนที่ดูจากข้างเวทีก็โดนบ่นเรื่องช่วยไปห้ามไม่ให้ทำลายลานประลองด้วย แต่บาเรียที่คลุมโดยรอบทำให้เสียงไม่สามารถลอดผ่านเข้าไปได้ด้วยสิ เห็นทีคงต้องไปบอกพวกนักเรียนกับอาจารย์ว่าทีหลังหากฟาร์มาคุงจะลงสนามคงไม่พ้นลานประลองได้พังอีกรอบแน่…ไม่ก็ต้องสร้างให้มันแข็งแกร่งพอๆ กับงบในการซื้อเกาะร้างที่เราไปฝึกกันแทนแล้วล่ะนะ”
เอเลนเสียใจที่ไม่สามารถห้ามการประลองระหว่างเอ็มเมอริคกับฟาร์มาได้
“ถ้าเป็นฉันอย่างน้อยก็พยายามสั่งสอนโดยเลี่ยงไม่ให้นักเรียนได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่นายดันใส่เต็มขนาดนั้นเลยเนี่ยสิฉันละสงสัยจริงๆ?”
“อันที่จริงที่ผมจัดหนักไปแบบนั้นก็เพื่อให้คนอื่นรู้ถึงพลังที่ผมมีด้วยแหละนะ จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยากแบบนี้อีก”
“ถามจริง!? ไอ้แบบนั้นแย่กว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ!”
ถ้าจะทำแบบนั้นจริงก็ควรทำในที่ที่มันปลอดภัยกว่านี้สิ เหมือนกับตอนที่เอเลนฝึกฝนให้กับฟาร์มา พวกเขาก็เดินทางไปที่เกาะร้างซึ่งไม่มีใครอาศัยอยู่และพร้อมที่จะถูกลบหายไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ลืมที่จะตรวจสอบว่ามีเรือลำอื่นแล่นผ่านบริเวณนั้นหรือไม่
“เข้าใจแล้ว ครั้งนี้ผมผิดเองแหละ ไว้ครั้งหน้าผมจะระวังให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน”
โซอี้หยิบบัญชีแยกประเภทออกมาและทำการคำนวณคร่าวๆ ก่อนจะจดบันทึกลงไป
“ค่าใช้จ่ายในการวิจัยที่มอบให้กับสาขาของศาสตราจารย์คือ 100 ล้านฟูรูนค่าใช้จ่ายตามดุลยพินิจของคณบดีคือ 80 ล้านฟูรูน และเงินที่เหลือหากยกมาจากปีที่แล้วคือ 5 ล้านฟูรูน แล้วก็เงินบริจาคเข้าสาขาอีกจำนวน540 ล้านฟูรูน ท่านจะใช้เงินในส่วนนี้ทำการชดใช้ค่าเสียหายด้วยเลยไหมคะ?
“เดี๋ยวก่อน เงินบริจาคจากภายนอกเพิ่มขึ้นเยอะไปไหมครับ?”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันน่าจะอยู่ราวๆ 100 ล้านฟูรูนเองแท้ๆ
“นั่นเป็นเงินที่ฝ่าบาทบริจาคมาให้กับทางเราเป็นจำนวน 500 ล้านฟูรูนค่ะ เงินจำนวนนี้ถูกโอนเข้าบัญชีของฉันเมื่อวานนี้เอง”
ทั้งที่ฟาร์มาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินบริจาคจากทางราชวงศ์แท้ๆ แต่จะให้เข้ากลับเอาไปคืนก็คงจะถูกบ่นมาว่า “นี่เธอดูถูกความเมตตาของเราเช่นนั้นหรือ?” แล้วก็ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เขากับบรูโนต้องแบกหน้าเข้าวังไปแก้ไขเรื่องทั้งหมดอีก
“แต่ยังไงผมก็คงต้องไปคุยกับฝ่าบาทเรื่องนี้จริงๆ นั่นแหละครับ ส่วนทุนวิจัยและเงินบริจาคที่ได้มานี้เราควรจะใช้ทุกฟูรูนเพื่อประโยชน์ของพวกนักเรียนจะดีกว่านะครับ ส่วนค่าเสียหายพวกนั้นเดี๋ยวผมจะใช้เงินส่วนตัวออกเอง เป็นเพราะผมพวกนักเรียนคนอื่นๆ ก็เลยไม่สามารถใช้ลานประลองนั้นไปอีกพักใหญ่เลยนี่สิ…”
“ถ้าจะให้พูดตามตรงก็คือชมรมศิลปะการต่อสู้ กับ ชมรมวิจัยคทาแห่งเทพแหละนะที่มีปัญหากับเรื่องนี้”
เอเลนทำหน้าปั้นยากออกมา เพราะเธอเป็นศิษย์เก่าของที่นี่จึงทำให้ทราบเรื่องราวภายในเป็นอย่างดี
“งั้นเอาแบบนี้แล้วกันนะครับ หากพวกต้องการทำกิจกรรมชมรมหรือการแข่งขันอะไร แจ้งพวกเขาได้เลยนะครับว่าให้มาใช้ไซต์บริเวณริมแม่น้ำของตึกเราได้”
ฟาร์มามอบคำสั่งให้โซอี้
“จะดีเหรอคะ มันเป็นที่ดินเปล่าซึ่งเป็นสิทธิ์ของทางตระกูลเดอ เมดิซิสด้วย….ได้ค่ะไว้เดี๋ยวฉันจะแจ้งทางส่วนกลางเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ รวมไปถึงแบบฟอร์มการโอนเงินค่าเสียหายด้วย เรื่องสุดท้ายก็ท่านอธิการบดีเรียกตัวท่านค่ะ”
โซอี้ทำหน้าปั้นยากออกมา
“โซอี้จังทำไมมาพูดเรื่องนี้เอาตอนจบล่ะทั้งที่น่าจะพูดก่อนแท้ๆ!”
เอเลนมีสีหน้าที่เหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่างหลังได้ยินประโยคนั้น
ฟาร์มาคิดว่าบรูโนคงจะต้องหัวเสียกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากแน่ หลังจากบอกให้เอเลนกับโซอี้ที่พยายามตามเขาไปกลับไปรอที่ห้องของตัวเอง ฟาร์มาก็เดินทางเข้าไปที่ห้องของอธิการบดีเพียงลำพัง
“เจ้าลูกชายโง่เง่า!”
พอเขาเดินเข้าไปในห้องบรูโนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ผมขอโทษครับ……”
ฟาร์มาขอโทษอย่างสุดซึ้ง
“บนโลกนี้มันจะมีศาสตราจารย์คนไหนถูกคำยั่วยุแสนงี่เง่าจากนักเรียนที่เข้ามาใหม่ จนเกิดค่าเสียหายถึง 33 ล้านฟูรูนกัน แถมยังเป็นวันแรกที่เปิดภาคเรียนด้วย พ่อละไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่!”
บรูโนถึงกลับต้องมาคิดใหม่ว่าลูกชายของตนคงจะยังไม่โตพอที่จะคิดเรื่องอะไรพวกนี้ได้หรือเปล่า
“แต่ท่านอธิการคะ ฉันได้ยินมาว่านักเรียนหลายคนก็ทำตัวไม่เหมาะสมเช่นกัน ดังนั้นวิธีนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการให้บทเรียนกับพวกเขาก็ได้นะคะ”
เลขาของบรูโนรู้สึกตกใจที่บรูโนระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นนี้จึงได้พยายามเข้ามาสงบสติเขา
“ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะพูดอย่างไรเจ้าคิดหรือว่าการประลองศาสตร์แห่งเทพกับนักเรียนเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว?”
บรูโนได้เห็นความสามารถในการใช้ศาสตร์แห่งเทพของฟาร์มาแล้ว และจากสภาพของลานประลองทำให้รู้ว่าเขาทำเกินเหตุไปมาก ในกรณีเลวร้ายที่สุดบาเรียอาจจะต้านเอาไว้ไม่ไหวและทำให้ผู้ชมโดยรอบเป็นอันตรายได้แถมนักเรียนคนนั้นอาจจะเสียชีวิต
“สำหรับเรื่องลานประลอง ผมจะรับผิดชอบโดยการจ่ายค่าเสียหายด้วยตัวเองครับ คุณเอ็มเมอริคไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วย”
เพราะตามกฎแล้วหากมีอะไรเสียหายขึ้นมาคู่กรณีต้องจ่ายค่าเสียหายกันคนละครึ่ง และหากเป็นแบบนั้นเอ็มเมอริคก็คงจะไม่สามารถอยู่ภายในมหาวิทยาลัยนี้ได้อีกต่อไป ไม่ว่าครอบครัวเขาจะมั่งคั่งแค่ไหนก็ตาม เพราะมันเป็นเรื่องของเหตุผลที่ใช้ในการอธิบายกับทางนั้นด้วยว่าไปทำอะไรมาถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ฟาร์มาคิดว่าครั้งหน้าหากต้องมาประลองอะไรแบบนี้อีก เขาน่าจะเตรียมซื้อพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายรกร้าง ไม่ก็เกาะร้างแทน เพราะลานประลองกลางแจ้งนี้มันน่าจะถูกออกแบบมาเพื่อให้เหล่านักเรียนประลองกันเองมากกว่า ทางด้านความแข็งแรงจึงไม่อาจรองรับพลังเขาได้
“แล้วก็ดูนี่”
บรูโนส่งซองใส่กระดาษให้ฟาร์มา
“คำขอโอนย้ายสาขา”
นักเรียนกว่า 20 คนจากทุกสาขายื่นเรื่องย้ายสาขา
โดยคำขอส่วนใหญ่นั้นมาจากเหล่านักเรียนสาขาโอสถศาสตร์ที่มีบรูโนเป็นคณบดีเพื่อทำการย้ายไปยังสาขาวิจัยยาของฟาร์มา
บางส่วนก็เป็นจากสาขาวิจัยยาย้ายไปสาขาอื่นแทน
“นี่พึ่งผ่านไปแค่วันเดียวเองนะ โดยพื้นฐานแล้วทางเราคงไม่อนุญาตให้นักเรียนย้ายสาขากันได้หรอก แต่ดูจำนวนคนต้องการเข้าไปเป็นนักเรียนของเจ้าสิ แล้วก็นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขายื่นมา”
นี่มันเป็นเรื่องที่ฟาร์มาคาดไม่ถึงเลย
เหตุผลในการยื่นย้ายสาขาของนักเรียกจากโอสถศาสตร์ :
・ผมต้องการเรียนกับอาจารย์ที่เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยมและเป็นนักปราชญ์ที่ชาญฉลาด
・ฉันรู้สึกประทับใจกับคำแนะนำของเขาเป็นอย่างมาก
・ข้าต้องการเรียนรู้ศาสตร์แห่งยาที่สามารถผสมผสานกับศาสตร์แห่งเทพอันยอดเยี่ยมจากศาสตราจารย์ฟาร์มาที่ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ส่วนเหตุผลของนักเรียนที่ต้องการย้ายออกจากสาขาวิจัยยา :
・ดูเหมือนฉันจะตามไม่สามารถทำความเข้าใจกับศาสตร์แห่งเทพของศาสตราจารย์ฟาร์มาได้ทันจึงคิดว่าตนไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่
・เมื่อศาสตราจารย์ฟาร์มาเอาชนะเอ็มเมอริคได้ ผมกลัวว่านี่จะเป็นแนวทางการสอนหลักของตัวศาสตราจารย์
・ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีสมาธิกับชั้นเรียนได้เพราะฉันกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไปทำให้ศาสตราจารย์ฟาร์มาไม่พอใจเข้า
“แล้วก็มีเพียงคนเดียวที่ยืนเรื่องลาออกโดยให้เหตุผลว่า เขาไม่มั่นใจว่าเขาจะเรียนจบจากที่นี่ได้”
ฟาร์มาไม่สามารถแม้แต่จะหาคำที่จะตอบกลับไป
“ที่เจ้าไปต่อสู้กับเอ็มเมอริค เบาเออร์จากมุมมองของคนนอกชักไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นการสั่งสอนหรือรังแกฝ่ายเดียว ก็ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก พ่อเข้าใจว่าเจ้าสามารถคุมมันได้ แต่ที่เจ้าใช้คุณสมบัติทุกธาตุให้พวกนักเรียนเห็นน่ะมันจะทำเกินไปหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าจะพยายามจะปลูกฝังความกลัวให้คนอื่นหรอกนะ?”
หลังจากไปปรับความเข้าใจจนรู้ถึงเจตนาของฟาร์มาแล้ว บรูโนก็กล่าวออกมาอย่างเสียใจว่าป่านนี้นักเรียนหลายคนคงเข้าใจผิดไปไกลแล้ว
“ที่จริงผมไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ทุกธาตุหรอกครับ ทั้งหมดเป็นเพียงทริกเท่านั้นเอง”
พอได้ยินคำพูดของฟาร์มา บรูโนก็พยักหน้าเหมือนไม่อยากยอมรับ
“ถึงเจ้าจะบอกว่าเป็นศาสตร์แห่งเทพหรือเล่ห์เหลี่ยมร้อยแปด แต่พวกนักเรียนที่ไม่รู้ถึงตัวตนจริงๆ ของเจ้าจะคิดเช่นไรกันล่ะ นักเรียนพวกนั้นคงสติแตกกันไปหมดแล้ว”
คำของบรูโนได้แทงใจของฟาร์มาเป็นอย่างมาก
ฟาร์มาได้รับการต่อว่าจากสิ่งที่เขาทำ
“คำขอย้ายสาขาทั้งหมดจะถูกปฏิเสธตามดุลยพินิจของอธิการบดี เราจะไม่มีการอนุญาตให้นักเรียนย้ายสาขาหลังเริ่มเปิดภาคเรียนไปแล้ว”
บรูโนได้ประทับแบบฟอร์มการขอย้ายสาขาให้ผลเป็นไม่อนุมัติทั้งหมด
“ทางที่ดีเจ้าก็ควรเข้าไปคุยกับทางนักเรียนที่ต้องการย้ายออกสาขานี้นะ เพื่อเป็นการสร้างความไว้วางใจกับพวกเขาแล้วแก้ไขสถานการณ์ให้เป็นดั่งเดิม”
เพื่อที่จะโน้มน้าวนักเรียนที่ต้องการย้ายออกจากสาขาของฟาร์มา เขาจึงตัดสินใจเข้าไปสังเกตการบรรยาย งานทดลอง งานฝึกอบรมคาบปฏิบัติของนักเรียนพวกนั้นในคลาสที่เขาไม่ได้สอน แน่นอนว่าเขาหารือเรื่องนี้กับบรูโนโดยจัดตารางการสอนวิชาบังคับของตัวเองไม่ให้ไปชนกับคลาสอื่นด้วย
“เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็เรียกว่าหนักหน่วงเลยล่ะนะ”
ฟาร์มาพูดอย่างหมดแรงในขณะที่เอเลนได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้
“ท่านอาจารย์คงจะเทศน์นายชุดใหญ่เลยสินะ?
แล้วเอเลนก็พยายามให้กำลังใจฟาร์มาแบบติดตลกตามแบบของเธอ
“ผมต้องเกลี้ยกล่อมพวกนักเรียนที่ต้องการย้ายด้วยสิ”
ในวันนั้นเองฟาร์มาก็ได้วิ่งวุ่นไปปรับทัศนคติตัวต่อตัวกับเหล่านักเรียนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย เท่านั้นยังไม่พอเขาจำเป็นต้องไปพบนักเรียนที่ไม่ได้มามหาวิทยาลัยด้วยโดยการเดินทางไปยังที่พักอาศัยของพวกเขาแน่นอนว่าไม่มีการแจ้งล่วงหน้าถึงเรื่องนี้ เนื่องจากถ้าฟาร์มาเดินทางไปคนเดียวบางทีอาจจะเป็นการกดดันพวกนักเรียนมากจนเกินไป เอเลนเลยอาสาเดินทางไปกับเขาด้วย โดยให้เอเลนเป็นคนเข้าไปคุยก่อนเพื่อลดแรงกดดันของนักเรียนและผู้ปกครองที่มีต่อฟาร์มา
“ตรงนี้เป็นที่สุดท้ายแล้ว หวังว่าที่อยู่ที่ได้มามันจะถูกนะ”
ทั้งสองได้เดินทางไปยังหอพักทั่วเขตชานเมืองของเมืองหลวงตลอดทั้งวัน จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด
“ขอบคุณเอเลนจริงๆ ที่มาด้วยกันในวันนี้ ทั้งที่คุณก็มีงานต้องทำเหมือนกันแท้ๆ ผมขอโทษจริงๆ”
“นายพูดอะไรกันเนี่ย เราทำงานด้วยกันนะแค่นี้เองไม่เห็นจะเป็นไรแถมงานของฉันน่ะสามารถฝากคนอื่นจัดการให้ได้ แต่เรื่องนี้ฉันคงปล่อยนายไปคนเดียวไม่ได้หรอกฟาร์มาคุง”
(สำหรับเอเลนแล้วเธอเป็นแบบนี้เสมอเลยสินะ ขนาดช่วยมาตามเช็ดล้างเรื่องที่เราก่อไว้อีก…)
ถึงเธอจะเป็นคนพูดอะไรตรงไปตรงมา แต่คำพูดและการกระทำของเธอที่เขาเห็นก็ทำให้รู้ว่าเธอนั้นเป็นคนอ่อนโยนและมีน้ำใจมาก ฟาร์มารู้สึกขอบคุณเอเลนเป็นอย่างมากที่เธอคอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอมา
“นี่ ออกมาหาพวกเราหน่อยสิ!!”
ันักเรียนคนสุดท้ายนั้นเป็นสามัญชนคนเดียวที่ยื่นเรื่องลาออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยความรู้สึกที่บอบช้ำทางจิตใจ
ฟาร์มาและเอเลนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหอพักนักเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงผ่านประตูเข้าไป
“ขอโทษที่มาเอาป่านนี้นะครับ แต่ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยสักหน่อย”
“กลับไปเถอะ ข้าไม่อยากไปที่มหาวิทยาลัยนั่นแล้ว ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นพอเถอะ”
เสียงของนักเรียนเปล่งออกมาอย่างแหบแห้ง จะเห็นได้ว่าเขาอยู่ในสภาวะตึงเครียดอย่างรุนแรง
“ผมหวังว่าคุณจะพิจารณาการออกจากมหาวิทยาลัยอีกครั้งนะครับ ถึงคุณจะไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร แถมคะแนนสอบเข้าสาขาของเราคุณก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย ไม่เห็นมีอะไรต้องน่ากังวลเลยครับ”
“นี่ท่านพูดจริงเหรอ…ท่านไม่เห็นหรือไงว่าท้ายที่สุดแล้วมหาวิทยาลัยยาก็เป็นเพียงสถานที่สำหรับชนชั้นสูง สามัญชนอย่างข้าไม่มีที่ยืนกับเขาหรอกทั้งที่ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะมีอะไรที่ข้าพอจะศึกษาได้ แต่ข้าคิดผิดไปเอง!”
น้ำเสียงของเขาที่อยู่หลังประตูเหมือนจะร้องไห้ออกมา
“สำหรับผู้ที่ใช้ศาสตร์แห่งเทพไม่ได้ทางเราก็มีคลาสสอนศิลปะการต่อสู้ทดแทนให้ครับ แถมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมก็ขอให้สัญญาว่าจะไม่มีทางชี้คทาแห่งเทพของตนไปยังนักเรียนที่ไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้เป็นอันขาด”
“……นั่นท่านพูดจริงเหรอ?”
เสียงกระดิ่งดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออกช้าๆ
ท้ายที่สุดด้วยความพยายามฟาร์มาก็สามารถเกลี้ยกล่อมนักเรียนคนทุกในสาขาให้กลับมาเรียนกับเขาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น เอเลนขอบคุณสำหรับวันนี้นะ ไว้เดี๋ยวผมจะหาทางตอบแทนในเรื่องนี้ภายหลัง”
ฟาร์มารู้สึกเป็นห่วงเอเลนที่แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมา
“นายกำลังพูดเรื่องอะไร สำหรับฉันก็ดีออกที่จะได้จำหน้าพวกเขาครบทุกคน แต่ดูท่าคงจะต้องกลับไปนอนเร็วๆ หน่อยแล้ว งั้นฟาร์มาคุงราตรีสวัสดิ์นะ”
เอเลนพูดบางอย่างและยิ้มออกมาก่อนจะควบม้ากลับคฤหาสน์ของเธอไป
(การศึกษาในโลกที่มีศาสตร์แห่งเทพนี่มีความซับซ้อนมากจริงๆ …เรายังอ่อนด้อยในเรื่องนี้เกินไป..)
ฟาร์มากลับมาคิดเรื่องนี้กับตัวเองและจดจำมันไว้ขณะขี่ม้าผ่านถนนยามค่ำยืน
คำมั่นสัญญาที่เขาให้ในฐานะผู้สอนตอนขึ้นไปพูดช่างไร้ค่า เขาคิดเพียงว่ามันคงจะมีกระแสต่อต้านหรือปัญหาเพียงเล็กน้อย เพราะในชีวิตที่แล้วของเขานักศึกษาเภสัชที่เข้ามาเรียนนั้นก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเลยทำให้เขาชะล่าใจว่าคงไม่ต่างกันนัก
สถานการณ์ที่เขาต้องเจอในตอนนี้มันแตกต่างจากที่เขาเคยสอนค่านิยมระหว่างยุคสมัยมันไม่ได้เหมือนกับยุคที่เขาสอน โลกใบนี้ไม่ได้ประเมินเพียงแค่ความสามารถทางวิชาการ แต่เป็นโลกที่ผู้มีความสามารถในการใช้ศาสตร์แห่งเทพกับผู้ที่ไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก โดยเห็นได้จากผลลัพธ์ทางการรักษาที่ออกมา
และฟาร์มาก็ปฏิบัติต่อผู้ที่มีภูมิหลังไม่เท่าเทียมกันตั้งแต่แรกเริ่มอย่างเท่าเทียมกันและพยายามสอนพวกเขาทุกคน
ที่เขาทำอยู่มันผิดงั้นหรือ?
หลังจากเกลี้ยกล่อมนักเรียนเสร็จ เขาก็กลับคฤหาสน์ที่ไร้ซึ่งแสงไฟใดๆ แล้วในขณะนี้ เขาพยายามเปิดประตูให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนภายในคฤหาสน์ต้องตื่นขึ้นมา
“ยินดีต้อนรับกลับนะ ฟาร์มาลูกเหนื่อยมากแน่ๆ เลย ได้ทานอะไรมาหรือยัง”
เบียทริชที่อยู่ข้างในคฤหาสน์กำลังยืนมองฟาร์มาอยู่
“เจ้าอยากดื่มอะไรไหม?”
บรูโนชวนฟาร์มาเนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุด เบียทริชกับบรูโนเพิ่งออกไปทานอาหารเย็นนอกบ้านมาจึงกลับมาดึกเหมือนกัน
ไม่นานนักบรูโนและเบียทริชก็นั่งดื่มไวน์กัน ส่วนฟาร์มานั้นเป็นน้ำองุ่นและขนมทำจากชีส
เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะเมาจากน้ำองุ่นที่ดื่มได้เลย
(ถึงมันจะไม่มีวันนั้นก็ตาม…)
พิษและยาทุกชนิดไม่ได้ผลกับตัวเขา อาการเมายิ่งไม่ต้องพูดถึง จะให้หมดสติจนความทรงจำกระเจิงออกไปยิ่งแล้วใหญ่
“เจ้าไปจัดการเรื่องพวกนักเรียนมางั้นหรือ”
“ใช่แล้วครับ ผมพึ่งจะจัดการเรื่องนี้เสร็จพร้อมกับอาจารย์เอเลโอนอร์ไม่นานนี้เอง”
“ถึงจะมีความสามารถแค่ไหนแต่ถ้าสูญเสียความน่าเชื่อถือไปก็ถือว่าจบกันนี่นะ”
เหนือสิ่งอื่นใดการที่มีผู้ริเริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ ย่อมถูกห้อมล้อมไปด้วยสายตาที่สงสัยและระแวงอยู่เสมอ บรูโนพูดขณะดื่มไวน์ ส่วนเบียทริชก็นั่งฟังบทสนทนาอย่างเงียบๆ
“ว่าแต่เอ็มเมอริค เบาเออร์ กลายมาเป็นผู้ติดตามของเจ้าไปแล้วสินะ?”
“ก็คงแบบนั้นแหละครับ แต่ผมก็เข้าใจเขานะครับเพราะผมก็เป็นเด็กจริงๆ นี่นา”
ฟาร์มาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกตัวเองเล็กน้อย
“เขาบอกว่าเขาไม่มีเวลาแล้วด้วย คราวหน้าถ้าเจอเขา ผมจะถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ผมเพราะผมเชื่อว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของแรงจูงใจที่เขาทำแบบนี้ครับ”
ฟาร์มาพูดถึงเรื่องที่เอ็มเมอริครีบร้อนให้บรูโนฟัง
“แม้ว่าเจ้าจะไม่ถาม เอ็มเมอริคก็คงจะมาหาเจ้าเองนั่นแหละ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพ่อจะบอกเรื่องที่รู้มาให้ฟังก็แล้วกัน”
ฟาร์มาเอียงศีรษะอย่างสงสัย
“จากที่พ่อไปสืบมา ตระกูลของเขาเหมือนจะเป็นที่พูดถึงกันว่าถูกสาปโดยเหล่าทวยเทพน่ะ”
ไม่ทันทีบรูโนจะพูดได้จบฟาร์มาก็พูดสวนขึ้นมา
“คำสาปเหรอครับ?”
(…โลกใบนี้คงมีเรื่องแบบนี้อยู่สินะ)
“จริงเหรอคะ! โถพระผู้เป็นเจ้าได้โปรดคุ้มครองเขาด้วยเถิด”
เบียทริชที่ได้ยินเรื่องคำสาปก็ทำท่าทางราวกับกำลังอธิษฐานต่อเทพผู้พิทักษ์ขึ้นมา
หากเป็นฟาร์มาเมื่อก่อน เขาคงหัวเราะให้กับเรื่องงี่เง่าแบบนี้ แต่ในโลกนี้มีศาสตร์แห่งเทพ การสาปแช่ง และวิญญาณร้าย ดังนั้นการที่บรูโนพูดถึงเรื่องคำสาปก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้างไปได้
“จากการประเมินของพ่อแล้วดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ถูกสาปนะ เนื่องจากเอ็มเมอริคก็เป็นแพทย์โอสถอยู่แล้วด้วยคงจะรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้ว แต่หากเรื่องคำสาปของตระกูลเขาหลุดไปถึงพวกนักบวชเข้าคงไม่พ้นโดนคณะผู้ไต่สวนตามมาแน่…”
“ท่านพ่อได้ตรวจสอบเขามาก่อนแล้วเหรอครับ”
ดูเหมือนบรูโนจะใช้ยาบางอย่างเพื่อทำการวินิจฉัยว่าคนผู้นั้นถูกสาปโดยวิญญาณร้ายหรือป่วยจากโรคภัยได้
บรูโน่เสริมว่านี่เป็นทักษะที่แพทย์โอสถผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ต้องเชี่ยวชาญมากที่สุด
“เราต้องค้นหาต้นตอที่แท้จริงของคำสาปที่เกี่ยวข้องกับตระกูลของเอ็มเมอริค”
บรูโนเป็นผู้ที่เริ่มดำเนินการในเรื่องนี้ก่อน โดยเขาสั่งให้เอ็มเมอริคส่งแผนภูมิวงศ์ตระกูลเมื่อสี่ชั่วอายุคนก่อนมาให้เข้าดู แน่นอนว่าเขาให้สัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้มันรั่วไหลออกไปภายนอกได้ แถมหากเขาถูกสาปขึ้นมาจริงๆ การจะนำคำสาปเข้ามาสู่ในมหาวิทยาลัยก็ถือเป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่มาก บรูโนจึงจำเป็นต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว ดีว่าเอ็มเมอริคก็ให้ความร่วมมือ
บรูโน่เป็นผู้นำเกม บรูโน่สั่งให้เพียงเอ็มเมอริชส่งแผนภูมิวงศ์ตระกูลเมื่อสี่ชั่วอายุคนก่อน แม้ว่าจะจำเป็นสำหรับขั้นตอนการรับเข้าเรียน โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะระวังไม่ให้มันรั่วไหล หากเขาถูกสาป การนำคำสาปนั้นเข้ามหาวิทยาลัยถือเป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การตรวจสอบลักษณะที่แท้จริงของคำสาปก็เป็นความรับผิดชอบของบรูโน่ ซึ่งยอมรับเอ็มเมอริชด้วยและจำเป็นต้องได้ข้อมูลจากตัวเขาโดยตรงเท่านั้น
“เบาเออร์เป็นนามสกุลแฝงหรือเปล่าครับ?”
ฟาร์มารู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นชื่อตระกูลที่เขียนอยู่บนแผนภูมิต้นไม้
ครอบครัวของเขาไม่ได้มาจากอาณาจักรปรัสเซียน แต่มีต้นกำเนิดมาจากขุนนางผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรสไปน์ อันมีนามว่าคือโซร่า ซึ่งเป็นนามสกุลที่พบได้ในราชอาณาจักรสไปน์เท่านั้น
“ตามที่เจ้าคิด เมื่อพ่อรู้เช่นนั้นพ่อก็ยอมให้เขาใช้นามแฝงเพื่อซ่อนนามสกุลที่แท้จริง ปิดบังเรื่องคำสาปจากตระกูลของเขา…ถึงมันจะดูเป็นแผนที่ไม่ค่อยน่าภิรมย์ก็เถอะ”
ฟาร์มารู้สึกได้ถึงปวดร้าวของเอ็มเมอริค
ครอบครัวของเขามีชื่อเสียงเนื่องจากคำสาปทำให้เชื่อว่าเขาคงไม่สามารถอยู่ในราชอาณาจักรสไปน์ได้ ก่อนหลบหนีไปยังอาณาจักรปรัสเซียน
“แล้วคำสาปที่ว่าส่งผลยังไงบ้างครับ”
“จากที่พ่อได้ยินถึงความน่ากลัวของมันก็สรุปได้ว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถปัดเป่าคำสาปนี้ได้ ภายในหนึ่งปีหลังถูกสาป ผู้ถูกสาปจะค่อยๆ มีอาการวิกลจริตอย่างช้าๆ ก่อนจะมีอาการชักตลอดทั้งวันคืน จนท้ายที่สุดร่างกายก็จะค่อยๆ หมดแรงแล้วตายลงไปทั้งอย่างนั้น และความจริงที่มืดมนยิ่งกว่านั้นก็คือพ่อแม่ ญาติพี่น้องของพวกเขาส่วนใหญ่ก็ตายไปเพราะคำสาปนี้ ครอบครัวของเขาก็ต้องหนีกันไปอาศัยอยู่ตามซากปรักหักพัง ด้วยเหตุนี้เพื่อตัวของเขาเองและพี่น้อง เขาจึงจำเป็นต้องหาทางออกสำหรับชะตากรรมที่ตระกูลของตนเผชิญ พอคิดแบบแล้วคำพูดของเขาที่บอกว่าไม่มีเวลาแล้วก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมาแล้วนะ”
แผนภูมิต้นไม้ตระกูลมักมีสัญลักษณ์ของศาสนจักรอยู่ถัดจากชื่อ
ผู้ที่มีเครื่องหมายคือผู้ตายจากคำสาป แต่มันก็เป็นสัญลักษณ์ประหลาดที่
ฟาร์มาไม่เคยเห็นมาก่อน จนฟาร์มาเบิกตากว้าง
“สัญลักษณ์พวกนี้….มันแตกต่างจากคนที่ตายปกติใช่ไหมครับ?”
“ตามที่เจ้าพูด มันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ตายโดยคำสาปของวิญญาณร้าย มันย่อมแตกต่างจากความตายโดยทั่วไป แถมทางศาสนจักรนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาคงไม่ปลอมข้อมูลสัญลักษณ์ขึ้นมาส่งเดชแน่ ด้วยความที่เอ็มเมอริคที่เชื่อใจพอเขาถึงยอมมาบอกเรื่องนี้แม้ว่าตัวเองจะพยายามปกปิดมันมาโดยตลอด
ปู่ทวดของเขาเสียชีวิตจากคำสาป และน้องสาวทั้งสามคนของปู่ทวดได้เสียชีวิตไปสองในสามคนจากคำสาป
โดยคนที่รอดนั้นถูกขับไล่ให้กลายเป็นเพียงสามัญชนเนื่องจากไม่สามารถเปิดชีพจรแห่งเทพได้ ทำให้ไม่เหลือข้อมูลต่อจากนั้น
ยายของเขาก็ถูกสาปด้วยเช่นกัน พี่น้องห้าคนของคุณยาย มีสี่คนเสียชีวิตด้วยคำสาป
พ่อของเขาก็ถูกสาปให้ตายเช่นกัน พี่น้องของพ่อเขา สามในสี่คนถูกสาปให้ตาย คุณลักษณะของผู้รอดชีวิตคือมีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพวารี ที่มีคุณสมบัติเชิงบวก (สร้าง)
และเอ็มเมอริคก็มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมดห้าคนโดยเขาเป็นพี่ชายคนโต
(เอ็มเมอริคในวัย 25 ปี ไม่มีเวลาเหลือแล้ว… น่าสงสัยจริงๆ ว่าคำสาปจะทำงานงานเมื่อทุกคนอายุ 40 ขึ้นไปเท่านั้นแล้วจริงหรือ)
“เหลือเชื่อมากเลยนะครับ…..”
แม้จะบอกแบบนั้นแต่ฟาร์มาก็สงสารพวกเขาจับใจ
เทพผู้พิทักษ์ของผู้ถูกสาปคือเทพโอสถ ที่มีคุณสมบัติธาตุน้ำที่เป็นเชิงบวก ไม่ก็ ธาตุลมที่เป็นเชิงบวก
“สรุปได้ว่า ทุกคนที่ถูกสาปนั้นจะมีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพโอสถสินะครับ?”
“ใช่แล้ว ตามที่พ่อดูในบันทึกเก่าแก่ ก็มีคนกล่าวถึงเหมือนกันว่ามันเป็นคำสาปของเทพโอสถ พอเห็นแบบนี้พ่อก็นึกเจ็บใจแทนไม่ได้เพราะเรื่องนี้ตระกูลของเขาถึงต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย แถมพวกเขาก็ต่างมีเทพผู้พิทักษ์เหมือนกันกับพ่ออีกเลยทำให้พ่ออยากจะลองช่วยพวกเขาดู นี่ยังแค่สภาพของคนภายในเมื่อสี่ชั่วอายุคนก่อนนะ ยิ่งย้อนรอยกลับไปก็พบว่าคำสาปนี้มันมีมานานมากแล้วจากหนังสือประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรสไปน์”
(เป็นเราก็คงจะเจ็บใจเหมือนกัน ว่าแต่ครอบครัวพวกเขาไปทำอะไรมาถึงเป็นแบบนี้ได้นะ)
ยิ่งไปกว่านั้นท้ายที่สุดเขากลับมาพบกับฟาร์มาซึ่งมีคทาแห่งเทพโอสถอยู่ในมือ ใช้ศาสตร์แห่งเทพและศาสตร์ลับแห่งเทพโอสถได้ มีตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์บนแขนทั้งสองข้าง แถมมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับเทพโอสถจนถูกทางศาสนจักรกล่าวว่าเขาคืออวตารของเทพโอสถ
(เรื่องโชคดีในความโชคร้ายนี้ก็คือ เอ็มเมอริคนั้นไม่มีเงาดำแห่งคำสาปปกคลุมอยู่เลย)
หากโดยวิญญาณร้ายเข้าสิงจริงตัวเอ็มเมอริคคงไม่สามารถสู้หน้าฟาร์มาได้ จากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่เขากางเอาไว้ตลอดซึ่งอ้างอิงมาจากคำพูดของซาโลม่อน
ถึงจะมีบางกรณีที่วิญญาณร้ายนั้นทรงพลังจนไม่เกรงกลัวการมีอยู่ของฟาร์มา แต่เขาก็คงจะเห็นเป็นเงาสีดำอยู่เหนือตัวเอ็มเมอริคได้ไม่ยาก
แน่นอนว่าเอ็มเมอริคไม่มีเงาที่ว่า
“นอกจากนี้ตัวเขาที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพทรงพลังได้ขนาดนั้นบางทีแล้วคำสาปพวกนี้อาจจะไม่มีผลอะไรก็ได้นะครับ…ถึงนั่นจะเป็นสิ่งที่ผมหวังเอาไว้ก็เถอะ”
บรูโนเห็นด้วยกับความเห็นของฟาร์มาก่อนจะพยักหน้าให้แล้วดื่มไวน์ต่อ
บางทีเขาก็น่าจะคิดเหมือนกัน
สักพักเขาก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้ยินเสียงของเบียทริชเลย ก่อนจะหันไปดูแล้วเห็นว่าเธอหลับลงบนโซฟาไปแล้ว
“แถมผมก็ไม่คิดว่านั่นเป็นคำสาปด้วย…”
ฟาร์มากล่าวอย่างมั่นใจ
ตัวเอ็มเมอริคเองก็น่าจะเคยหาทางวินิจฉัยอาการของตัวเองว่าเป็นคำสาปหรือโรคเหมือนที่บรูโนทำแล้วแน่ๆ ก่อนจะพบว่าผลที่เขาได้เป็นลบ นั่นอาจจะทำให้เขาเชื่อว่าตนได้รับการปกป้องจากเทพโอสถจนทำให้เขาสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ทรงพลังได้ขนาดนี้ และอาจจะทำให้คำสาปนั้นไม่เป็นผลก็มีส่วน
และถ้ามันเป็นคำสาปจริงๆ ก็ถึงเวลาแล้วสำหรับคทาแห่งเทพโอสถ
ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีความมั่นใจในการชำระล้างคำสาปหรอกนะแต่ว่า…
พอฟาร์มมองดูรูปถ่ายของเอ็มเมอริกก็ส่ายหัวไปมา
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาคงไม่ต้องมาที่สาขาวิจัยยาของเรา ในฐานะแพทย์โอสถแล้วเขาอาจจะมองว่านั่นเป็นโรคก็ได้นะครับ”
“อืม เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ จะว่าไปแล้วแม้แต่เจ้าก็ที่พบกับเอ็มเมอริคมาแล้วก็วินิจฉัยเรื่องนี้ได้ไม่ชัดเจนสินะ”
“ตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรกก็ไม่เห็นอะไรผิดปกตินะครับ”
บางทีเขาอาจจะมองข้ามอะไรที่สำคัญไปก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาคิด
ขณะที่เขาต่อสู้กับเอ็มเมอริคเขาได้ตรวจสอบร่างกายของเอ็มเมอริคด้วยดวงตาวินิจฉัยแล้ว แต่ตอนนั้นก็ไม่เห็นถึงอาการของโรคใดๆ ร่างกายก็ค่อนข้างแข็งแรงอาการผิดปกติร้ายแรงก็ไม่มีให้เห็น
อาจจะมีก็แต่อาการปวดหลังเล็กน้อย ฟาร์มาเริ่มตั้งสมมติฐานขึ้นมา
(ดวงตาวินิจฉัยของเราอาจจะไม่สามารถวินิจฉัยอาการป่วยของผู้ป่วยก่อนเริ่มแสดงอาการสินะ…..)
ฟาร์มาไม่อาจทราบอาการได้จนกว่าคนคนนั้นจะป่วย ความสามารถของเขาจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อพบมนุษย์ที่ต้องการการรักษา
จนถึงตอนนี้ เขาก็คิดมาตลอดว่าตนอาจจะตรวจสอบผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการของโรคได้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นตามที่คิดเท่าไหร่
ดูท่าเขาจำเป็นต้องไปพบกับเอ็มเมอริคอีกครั้งก่อนจะตรวจสอบอะไรหลายๆ อย่างให้ละเอียดอีกที
เราต้องใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้โดยไม่ถูกผูกมัดด้วยความคิดแบบที่ผ่านมา
“ฟาร์มาเจ้าช่วยทำลาย ‘คำสาปของเทพโอสถ’ ที่ผูกมัดกับตระกูลนี้ได้หรือไม่?”
บรูโนหรี่ตาลง โดยคำสาปที่เขาพูดถึงนั้นไม่ใช่คำสาปที่ตรงตามความหมายของมัน
แน่นอนว่าฟาร์มาเข้าใจความหมายโดยนัยจากการจ้องมองดวงตาคู่นั้น ทำให้ทราบว่าบรูโนไว้ใจในตัวลูกชายของตนแค่ไหน
“เดี๋ยวผมจะแสดงให้ท่านพ่อเห็นถึงทางออกของปัญหานี้เอง…ยังไงผมก็เป็นถึงอาจารย์ของเด็กคนนั้นนะครับ”
ฟาร์มาพูดออกมาอย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลัง
“นอกจากนี้ไม่ว่าเทพโอสถที่ปรากฏในอดีตนั้นจะเป็นคนแบบไหน ไม่ว่าบรรพบุรุษของคุณเอมเมอริคจะทำอะไรกับเทพโอสถไว้ในอดีต แต่ผมเชื่อว่าเขาคงไม่ทางจะสาปแช่งมาถึงกระทั่งรุ่นลูกหลานหรอกครับ ทำแบบนั้นไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมาเลย”
“อื้อ…พ่อก็อยากจะเชื่อเช่นนั้นนะ ก็ได้แต่หวังว่าคำสาปที่ว่าจะไม่มีอยู่จริงด้วย”
บรูโนพยักหน้าและหลับตาลง
เขาขอบคุณบรูโน ก่อนจะพยายามหาหนทางที่จะไปต่อข้างหน้าโดยยืมแผนภูมิต้นไม้ตระกูลจากบรูโนแล้วกลับไปที่ห้องนอนของตน
ฟาร์มามองดูแผนภูมิต้นไม้สลับไปมาก่อนจะเขียนบางอย่างลงในกระดาษบันทึก แล้วค่อยๆ นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง….
“บางที่อาจจะเป็นความผิดปกติที่เกิดจากยีนเด่นในระดับที่ร้ายแรง….”
ฟาร์มาวางปากกาลงอย่างช้าๆ และพยายามระงับหัวใจที่กำลังสั่นไหวของตนเอาไว้
ในตอนนี้ สิ่งที่ฟาร์มาสามารถวินิจฉัยได้นั่นคือคำสาปที่ถูกฝังอยู่ในยีนของเอ็มเมอริค ซึ่งดวงตาวินิจฉัยของฟาร์มาได้อาจพบได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีหยุดยั้งมันก่อนจะเกิดขึ้นได้ วิธีที่จะหยุดระเบิดเวลานี้และผนึกมันเอาไว้ตลอดกาลนั่นก็คือ…
ต้องไปห้องปฏิบัติการซึ่งเชื่อมระหว่างทั้งสองโลกเข้าไว้ด้วยกัน
———-
Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code