ตอนที่ 73 คลาสเรียนส่วนตัวกับเอ็มเมอริค เบาเออร์
เริ่มต้นมาด้วยคำทักทายจากคล็อด ซึ่งเป็นคณบดีสาขาแพทยศาสตร์และหัวหน้าแพทย์หลวง ตามมาด้วยบรูโนคณบดีสาขาโอสถศาสตร์ ส่วนฟาร์มานั้นอยู่ในส่วนของคณบดีสาขาวิจัยยา ขึ้นมาพูดบนเวทีตามลำดับแน่นอนว่ามันย่อมเป็นที่ดึงดูดความสนใจของเหล่านักเรียนใหม่
เนื่องจากแท่นยืนไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับเด็ก ความสูงของแท่นจึงไม่เหมาะสมกับตัวเขานัก แต่ฟาร์มาก็ยืดอกขึ้นเล็กน้อยและไม่สนใจเรื่องนั้น โดยมีมุมหนึ่งของหอประชุมขนาดใหญ่ ฟาร์มาเห็นเอเลนที่กำลังเฝ้าดูเขาอยู่ด้วยความเป็นห่วง บางทีเธออาจจะกังวลว่าเขาจะรับมือไหวไหม ดังนั้นเขาจึงยิ้มและยกนิ้วขึ้นเพื่อทำให้เอเลนทราบว่าไม่มีอะไรที่ต้องกังวล
“ยินดีที่ได้พบกับทุกท่าน ผมฟาร์มา เดอ เมดิซิส เป็นแพทย์โอสถหลวงซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ทำงานเป็นคณบดีนับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
“นับตั้งแต่นี้ไป ทางมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟของเรามีเป้าหมายที่จะเกิดใหม่ในฐานะของสถานศึกษาและศูนย์กลางการวิจัยทางการแพทย์และยาระดับโลก โดยเราเริ่มจากการฏิรูปหลักสูตรการศึกษาและรวบรวมศาสตร์หลายสาขาเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน”
ฟาร์มาสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่เป็นตัวแทนนักเรียนใหม่กำลังจ้องมองมาที่เขา แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนักก่อนจะพูดต่อ โดยใบหน้าของชายหนุ่มให้ความรู้สึกว่าตนไม่อยากฟังเรื่องที่ฟาร์มาพ่นออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ยาแต่ละชนิดที่พวกคุณจะทำขึ้นมาต่อจากนี้จะมีศักยภาพที่จะสามารถนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยได้ทั่วโลก และเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เกิดจากปฏิกิริยาทางชีวเคมี ดังนั้นพวกคุณจำเป็นต้องเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างตัวยากับร่างกายของมนุษย์ หน้าที่ของแพทย์โอสถนั้นคือการดึงเอาพลังของตัวยามาใช้อย่างถูกต้องด้วยความรู้ที่เชื่อถือได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทักษะระดับสูงผมก็หวังว่าพวกคุณทุกคนจะดูการทำงานและศึกษาจากเหล่าคณะอาจารย์ทุกท่านอย่างตั้งใจนะครับ”
ตามปกติแล้วการพูดในแต่ละครั้งของฟาร์มาจะยาวนานมาก ดังนั้นเอเลนจึงส่งท่าทางไปที่ฟาร์มาให้รู้ว่าควรหยุดได้แล้ว แต่ด้วยความหลงใหลในศาสตร์แห่งยาของฟาร์มา เขามักจะจบลงด้วยการพูดนานจนเกินไปเมื่อเป็นเรื่องพวกนี้ สุดท้ายเหล่านักเรียนเห็นท่าทางบอกให้พวกเขานั่งลงฟังแทนได้จากบรูโน
การปาฐกถาของฟาร์มาก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะจบลงโดยง่าย บางครั้งฟาร์มาก็ประหลาดใจที่ทางนักเรียนฝั่งสาขาแนวทางการปฏิบัติการและให้บริการทางการแพทย์จะชื่นชอบการพูดของเขามากทีเดียว โดยสายตาของพวกเขาที่มองว่าก็เห็นได้ว่านับถือในความสามารถฟาร์มาแค่ไหน
แน่นอนว่าย่อมมีบางคนที่เบื่อหน่ายกับความยาวของการพูดนี้
“มันก็เป็นเรื่องดีนะที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แต่ทางเราต้องดำเนินพิธีถัดไปแล้วนะศาสตราจารย์ฟาร์มา”
ในที่สุดบรูโนก็เข้ามาขัดจังหวะฟาร์มาที่ติดลมกับการพูด จนเขาต้องเกาศีรษะแก้เขินขณะพูด
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมคงจะพูดมากจนเกินไป เอาเป็นว่าจากนี้ก็ขอให้พวกคุณทุกคนใช้เวลาที่มีภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างคุ้มค่านะครับ นอกจากหลักสูตรที่จำเป็นต้องสอนภายในสาขาตัวเองแล้ว ผมก็มีคลาสบรรยายห้าครั้งด้วยกัน ดังนั้นผมจะตั้งตารอทุกท่านไว้มาฝึกภาคปฏิบัติด้วยกันทุกคนนะครับ”
การบรรยายของฟาร์มาที่จัดขึ้นในหอประชุมใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของวิชาบังคับทั่วไปในทุกสาขา
ในปีที่ 1 และ 2 จะมีการจัดหลักสูตรสอนศาสตร์แห่งยาและการรักษาทั่วไปส่วนในปีที่ 3 และ 4 จะเป็นหลักสูตรเฉพาะทาง
ส่วนในปีที่ 5 นักเหล่านักเรียนจะได้ฝึกอบรมภาคสนามเลย และหลังจากปีนั้นพวกเขาจะได้รับสิทธิ์ในการสอบใบประกอบอาชีพของแพทย์โอสถขั้นหนึ่งและสอง ที่มีเงื่อนไขว่าต้องอายุ14ปีขึ้นไป แน่นอนว่าค่าเล่าเรียนทั้งหมดนั้นทางจักรวรรดิจะเป็นคนออกให้โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาทั้งหมดจะต้องมาทำงานให้กับทางจักรวรรดิเป็นจำนวน5ปีหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว
“เนื่องจากชั้นปีแรกคลาสของผมคือวิชาบังคับทั้งหมดดังนั้น หากใครไม่ลงเรียนก็จะไม่มีเครดิตพอจะขึ้นชั้นปีถัดไปนะครับ”
คำแนะนำทั่วไปครั้งแรกสำหรับภาคการศึกษาใหม่ได้สิ้นสุดลงแล้วก่อนจะมีเสียงกริ่งดังขึ้น พร้อมกับหอระฆังที่สั่นไหวราวกับกำลังบอกเวลาเปลี่ยนผ่าน ฟาร์มาได้ยินเสียงน้ำจากลำธารในสวนและเสียงเหล่านกที่ร้องเข้ามาในห้องทำงานของคณบดีและศาสตราจารย์ นี่เป็นห้องประจำตำแหน่งของฟาร์มา โดยภายในห้องนั้นก็มีเอเลนและเลขาของฟาร์มาร่วมสนทนากันสามคน
“ฉันละแปลกใจจริงๆ ที่ท่านคุ้นเคยกับการทักทายต่อหน้าเหล่าอาจารย์และนักเรียนจำนวนมากขนาดนี้”
“พอดีผมมีความคุ้นเคยอะไรทำนองนี้มาก่อนนะครับ แต่ทางเอเลนนี่สิดันมาป่วยเอาวันแบบนี้ซะได้”
“ช่างเรื่องของฉันเถอะย่ะ!”
ฟาร์มาหัวเราะออกมา สืบเนื่องมาจากชาติก่อนเขาได้ทำหน้าที่สอนนักศึกษามาหลายปีแล้ว
“หมายความว่าท่านเคยเป็นศาสตราจารย์สอนที่ไหนมาก่อนเหรอคะ?”
โซอี้ เดอ ดูนัว ที่นำชุดน้ำชามาเสิร์ฟก่อนจะถามฟาร์มาด้วยความประหลาดใจ เธอเป็นเลขานุการศาสตราจารย์คนสวยที่เพิ่งได้รับการว่าจ้างในภาคเรียนนี้ จากฟาร์มา ผ่านการสอบสัมภาษณ์เธอเป็นคนฉลาดและเอาใจใส่ ผมยาวสีฟ้าอ่อนของเธอถูกรวบมัดขึ้นเป็นทรงอยู่ด้านหลัง มาพร้อมกับชุดเดรสและที่ปกคอที่ทำมาประณีต บ่งบอกถึงภาพลักษณ์อันแสนงดงามของเธอ
“ผมไม่เคยเป็นศาสตราจารย์สอนที่ไหนมาก่อนหรอกครับ”
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดต่อว่า ที่เคยเป็นก็แค่รองศาสตราจารย์ก่อนจะปล่อยให้โซอี้เอียงคอสงสัยต่อไป
“ใช่ไหมล่ะ หมอนี่ดูแตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจนเลย จะพูดว่าห่างไกลจากคนธรรมดาเลยก็ว่าได้”
เอเลนเสริมเชื้อไฟให้
เมื่อทั้งสามคนกำลังดื่มชาและพักผ่อนอย่างสงบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงเคาะดังมาจากนอกห้องของฟาร์มา
“ขอโทษสำหรับการมาเยี่ยมกะทันหันครับ ผมเอ็มเมอริค เบาเออร์”
“เชิญครับ”
“เช่นนั้นขออนุญาต”
“เรียนท่านคณบดีสาขาวิจัยยา ผมอยากจะรบกวนท่านในการยินยอมให้ผมลาออกจากสาขานี้ด้วยครับ”
“ห๊ะ? จะลาออกแล้วงั้นเหรอ?”
แว่นของเอเลนเลื่อนหลุดลงมา
“กะทันหันจังเลยนะครับ ว่าแต่ทำไมคุณไม่ลองเข้าเรียนแล้วก่อนค่อยตัดสินใจอีกทีแบบนั้นจะดีกว่าไหมครับ?”
แม้ว่าฟาร์มาจะตอบกลับอ่อนโยน แต่นั่นก็คือปฏิเสธคำขอของเอ็มเมอริค
“นี่คือสิ่งที่ผมคิดมาจนถึงตอนนี้ครับ ผมไม่มีเวลาเหลือแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมตัดสินใจแล้วครับ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น คุณก็จำเป็นต้องแสดงเหตุผลสำหรับการลาออกเพื่อนยื่นให้ทางคณาจารย์ครับ ส่วนจะรับเรื่องไว้ไหมก็อยู่ที่ทางนั้นอีกที”
“ถ้าเป็นเรื่องเหตุผล ผมเลือกหลักสูตรการเรียนผิดครับ ทั้งที่ผมควรจะตรวจสอบให้ดีแท้ๆ ว่าใครเป็นคนเขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมากันแน่ พูดตามตรงคือผมอยากจะขอเป็นศิษย์ของพี่ชายท่านแล้วให้เขาเป็นอาจารย์สอนส่วนตัวให้กับผมครับ”
เอ็มเมอริคสันนิษฐานว่าฟาร์มาไม่มีทางที่จะเขียนตำรานี้ขึ้นมาได้ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาคิดว่าปาลเล่ ซึ่งมีชื่อเป็นผู้เขียนร่วมของตำราคือผู้เขียนตัวจริง มันเป็นคำพูดที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ฟาร์มาถามกลับอย่างใจเย็นโดยไม่ขุ่นเคืองอะไร
“หมายความว่าคุณไม่คิดว่าผมจะเขียนตำราแบบนี้ออกมาได้สินะครับ?”
“ไม่-ไม่ใช่แบบนั้นครับ”
เขาพยายามพูดอย่างนั้นเพื่อไม่ให้ทำร้ายความรู้สึกของน้องชายปาลเล่ แต่เอ็มเมอริคก็ยืนยันอย่างหนักแน่นเพื่อให้เห็นความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่อยู่เบื้องหลังดวงตาสีเขียวของเขา ฟาร์มายังเป็นเพียงเด็กอายุ 12 ปี แถมดูเหมือนว่าเขาจะดูไม่เชี่ยวชาญในศาสตร์ที่ตนศึกษามากนัก
“น่าเสียดายนะครับเพราะพี่ชายของผมคงไม่อาจรับลูกศิษย์ได้ แม้เขาเป็นแพทย์โอสถที่ยอดเยี่ยม แต่เขาก็เพิ่งได้เป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่งเมื่อครึ่งปีก่อนเท่านั้นเอง”
ฟาร์มาจุ่มพู่กันลงหมึก ก่อนเซ็นชื่อแล้วให้คำแนะนำต่อ
“เดี๋ยวก่อน ฟาร์มาคุง ไม่ใช่ว่าที่นายพยายามพูดก็เพื่อต้องการไม่ให้เขาลาออกหรอกเหรอ?”
เอเลนที่ฟังอยู่เงียบๆ ก็ถามฟาร์มาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่เป็นไรหรอกเอเลน นั่นเป็นตัวเลือกของเขาเองนี่นา ในฐานะอาจารย์ผมก็ควรจะสนับสนุนมัน ผมไม่รับประกันนะครับว่าทางนั้นจะรับเรื่องไหมแต่เดี๋ยวผมจะลองไปคุยให้ดู”
ฟาร์มาปรามเอเลนไว้
เอ็มเมอริคเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาไม่ต้องการเรียนรู้กับฟาร์มา ฟาร์มาก็ไปบังคับอะไรไม่ได้จะฝืนให้อยู่ต่อไปก็รังแต่จะส่งผลเสีย นอกจากนี้ เมื่อโซอี้นำบางสิ่งมาให้ฟาร์มาดูก็ทำให้ทราบว่า เอ็มเมอริคเป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่งในต่างประเทศอยู่แล้ว ถึงเขาจะกลับประเทศตัวเองไปยังไงก็มีโอกาสให้เขาคว้าอีกมากมาย
(ทั้งที่พยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาได้แบบนี้แท้ๆ แต่สุดท้ายกลับบอกว่าไม่เหลือเวลาแล้วเนี่ยนะ?)
ฟาร์มาแอบเป็นกังวลกับคำพูดนั้น
“นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะบอกนายก็แล้วกันนะว่าอย่ารีบตัดสินใจเพียงเพราะรูปลักษณ์ของพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของเลเลน เอ็มเมอริคก็กลับมาคิดบางอย่างกับตัวเอง เอเลนนั้นเป็นถึงลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งของบรูโน แถมเป็นที่รู้จักกันดีในมหาวิทยาลัยและในหมู่นักเรียน ทำไมคนแบบเธอถึงต้องออกตัวปกป้องฟาร์มาขนาดนั้น
“เอาแบบนี้ไหมครับ ถ้าท่านไม่รังเกียจ ผมอยากจะขอให้ท่านช่วยชี้แนะผมผ่านการประลองสำหรับผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ”
“ว่าแต่ทำไมคุณถึงต้องการวัดความสามารถของผมด้วยศาสตร์แห่งเทพแทนล่ะครับ?”
ความตั้งใจของฟาร์มานั้นคือการสร้างสาขาที่สามารถรวบรวมผู้คนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้โดยไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะใช้ศาสตร์แห่งเทพได้หรือไม่ เพราะแบบนั้นเขาจึงสงสัยว่าทำไมถึงมาจบตรงที่เขาจำเป็นต้องมาประลองโดยใช้ศาสตร์แห่งเทพ
เอ็มเมอริคส่ายหัวไปมา
“ก็เพราะว่าแพทย์โอสถคือผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มากความสามารถยังไงล่ะครับ ใครๆ เขาก็รู้กันดี แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับคำท้าประลองนี้ ผมก็คงจะทำอะไรไม่ได้”
“นะ…นี่นายรู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา”
เอเลนต่อว่าเอ็มเมอริค การปฏิเสธคำท้าประลองระหว่างผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพนั้นหมายถึงการหนีจากการต่อสู้ที่ทรงเกียรตินั่นคือความอัปยศของชนชั้นสูงที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เอเลนเดาว่านี่คงเป็นสิ่งที่เอ็มเมอริคเล็งไว้และพยายามจะบอกว่าฟาร์มายังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย ก็ควรจะได้รับการปฏิบัติแบบเด็กคนหนึ่ง แน่นอนว่าตามหลักความเชื่อดั้งเดิม แพทย์โอสถที่เก่งกาจนั้นย่อมเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน
“ทั้งที่ถ้าคุณอยากจะลาออกผมก็ไม่คิดจะห้ามอะไรแท้ๆ เอาเถอะครับ”
ฟาร์มาถอดแจ็กเกตและเสื้อกั๊กออกก่อนจะลุกขึ้นยืน
“คุณโซอี้ ช่วยติดต่อทางศูนย์ว่าเราขอยืมใช้ลานประลองด้วยนะครับ”
“จุดประสงค์ของการใช้งานเอาเป็นอะไรดีคะ?”
“เอาเป็นคลาสเรียนส่วนตัวจะเหมาะไหมครับ?”
“แบบนั้นก็น่าจะดีนะคะ แล้วท่านอยากจะเปิดใช้งานบาเรียสำหรับกางไว้รอบบริเวณลานประลองไหมคะรวมไปถึงให้ทีมปฐมพยาบาลรอไว้ด้วย?”
ฟาร์มาตกตะลึงเมื่อโซอี้ถาม
“บาเรียที่คุณว่านี่คืออะไรเหรอครับ”
“ก็ตามที่พูดเลยค่ะ มันเป็นกำแพงที่ป้องกันไม่ให้การโจมตีจากภายในหลุดรอดออกไปภายนอกได้ ฉันว่าเตรียมไว้ก็น่าจะดีนะคะ”
เอเลนบอกกับฟาร์มาว่า ความสามารถของเอ็มเมอริคนั้นน่าจะสูงพอสมควร คงจะดีกว่าถ้าป้องกันด้วยบาเรียเอาไว้ เพราะหากมีอะไรภายในมหาวิทยาลัยเสียหาย ผู้ที่มีส่วนร่วมในการก่อเหตุทั้งหมดนั้นจะต้องรับผิดชอบตามไปด้วย
“งั้นก็เอาตามนั้นเลยแล้วกัน”
“แล้วก็เบามือหน่อยแล้วกันนะ ท่านศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ”
เอ็มเมอริคทำหน้างงเพราะว่าสิ่งต่างๆ ดันเป็นไปตามที่เขาหวังไหวทั้งหมดอย่างง่ายดาย
“มีคำกล่าวเอาไว้ว่า “ทุกคนไม่ได้โง่พอที่จะรู้สึกดีเมื่อตัวเองถูกเรียกว่าอาจารย์” ทั้งที่คุณก็จะได้ออกจากที่นี่แล้วแท้ๆ ก็ไม่น่ามาพูดอะไรแบบนี้ต่อเลยนะครับ”
(เป็นสุภาษิตของญี่ปุ่นที่อยากจะสื่อในบทของฟาร์มาว่าที่เขามารับตำแหน่งอาจารย์ได้เพราะตัวเองก็มีกึ๋นพอที่จะเป็น)
ฟาร์มากล่าวออกมาเหมือนอยากจะเสียดสีเอ็มเมอริค
“แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้คุณสลักเอาไว้ในใจก่อนจะกลับบ้านเกิดไปนะครับ”
เมื่อพูดจบฟาร์มาก็หันหลังให้เอ็มเมอริคและออกจากห้องไป
———-
“มีการประลองศาสตร์แห่งเทพ! การประลองศาสตร์แห่งเทพจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
ข่าวด่วนนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามท่วมทุ่ง
นักเรียนและอาจารย์เริ่มรวมตัวกันที่สนามประลองกลางแจ้งโดยไม่มีใครรู้ว่าผู้ประลองทั้งสองเป็นใคร
“ทำไมถึงมีเสียงเอะอะกันขนาดนี้ได้ มันเกิดอะไรขึ้นหรือ”
บรูโนมองลงมาจากหน้าต่างห้องอธิการบดีและขมวดคิ้ว
“ดูเหมือนว่านักเรียนใหม่ในปีนี้จะเต็มไปด้วยพลังใจสำหรับการฝึกฝนศาสตร์แห่งเทพนะครับ”
รองอธิการบดีกำลังรวบรวมเอกสารสำหรับให้บรูโนเซ็นอนุมัติก่อนจะเตรียมเอกสารสำหรับคณะกรรมการด้วย
“ว่าแต่ท่านจะไม่ลงไปดูหน่อยหรือ”
“น่าเสียดาย แต่ข้าคงไม่สะดวกแจ้งแต่ละแผนกให้ดีด้วยแล้วกันว่าอย่าให้ปีนี้มีผู้เสียชีวิต”
เพราะในทุกๆ ปีจะมีนักเรียนหนึ่งถึงสองคนเสียชีวิตจากงานประลองศาสตร์แห่งเทพอยู่เสมอ
เพราะเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นสูงย่อมไม่มีคำว่าปลอดภัยอยู่แล้ว ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีเจตนาเอาชีวิตกันก็ตาม
ถึงบรูโนจะไม่เคยคิดฝันว่าการประลองครั้งนี้มีลูกชายเขาเข้าร่วมด้วย
———
ศาสตร์แห่งเทพได้ถักทอกันเป็นโดมโปร่งใสก่อนมันจะคลุมไว้ทั่วลานประลอง
ทั้งสองได้เดินไปประจำที่ระหว่างเสาสีฟ้าภายในลาน ฟาร์มาและเอ็มเมอริคกำลังจะเผชิญหน้ากันแล้ว
“โปรดชี้แนะด้วย”
เอ็มเมอริคยิ้มอย่างสบายใจ ฟาร์มาเหยียดแขนออกและออกกำลังกายแบบวอร์มอัพ
ทางด้านของเอ็มเมอริคนั้นได้ทำการแยกคทาของตนเองออกเป็นสองส่วนจากตรงกลาง ดูท่าเขาจะใช้คทาแห่งเทพแบบคู่ แต่ถึงฟาร์มาจะเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกสับสนใดๆ และ กุมคทาของตัวเองเอาไว้อย่างสบายๆ
“ตามกฎการประลองในครั้งนี้ไม่มีระยะเวลาจำกัด จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้และปล่อยคทาแห่งเทพให้หลุดออกจากมือ หรือผู้ตัดสินเห็นว่าสมควร หากมีการต่อสู้หลังจากสัญญาณนั้น ทางเราจะปรับแพ้ฝ่ายที่ฝ่าฝืน”
เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบลานประลองกลางแจ้ง นั้นสวมปลอกแขนกรรมการเอาไว้อยู่ก่อนจะพูดเพื่อยืนยันกติกา เพราะมีบางกรณีที่พวกเขาจะฆ่ากันขึ้นมาได้หากไม่มีผู้ตัดสินมาช่วยคุมการประลอง ส่วนทางบรูโนก็แจ้งว่าเขาจะมาหลังงานประลองจบแล้วแทน
“เข้าใจแล้วครับ”
ฟาร์มาพยักหน้าตอบรับ
กฎก็เหมือนกับที่เราใช้ในการต่อสู้จริงระหว่างเอเลนและปาลเล่
“เริ่มได้!”
เอ็มเมอริคร่ายมนตร์ทันทีที่สัญญาณการประลองได้เริ่มขึ้น
“อาณาเขตสุญญากาศ”
“‘วายุเทพ'”
เป็นการร่ายประสานระหว่างคทาแห่งเทพทั้งสองข้าง แน่นอนว่าเป็นศาสตร์แห่งเทพธาตุวายุทั้งคู่ และบทร่ายนั้นไม่ใช่ภาษาของจักรวรรดิแต่เป็นของอาณาจักรปรัสเซียน
“โฮ่ๆ เด็กคนนั้นร่ายมนตร์ด้วยคทาเทพแห่งสองด้ามพร้อมกันงั้นหรือ หาได้ยากจริงๆ”
“เจ๋งสุดๆ ไปเลย”
บรรดาอาจารย์ที่เขามารับชมก็ต่างชื่นชม
ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์ทำให้ขาดอากาศหายใจจนหมดสติแล้วเหวี่ยงร่างศัตรูขึ้นไปกลางอากาศด้วยพายุ แต่มนตร์แรกนั้นไม่สามารถใช้ได้ผลกับฟาร์มา ส่วนทางด้านกรรมการได้ถูกแรงของพายุเป่ากระเด็นออกจากสนาม เรียกได้ว่าพลังอำนาจของมันนั้นช่างน่ากลัว ฟาร์มาที่โดนพายุนั้นเข้าไปเหมือนกันก็แสร้งทำเป็นกระเด็นก่อนจะรวบรวมพลังถีบพื้นกระโดดขึ้นไปอยู่บนอากาศ
คทาของฟาร์มานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะมันถูกสร้างขึ้นมาโดยช่างทำคทาระดับสูงในจักรวรรดิ แม้มันจะไม่ใช่คทาแห่งเทพโอสถแต่ด้วยบัตรประจำตัวของฟาร์มาที่อยู่ภายในกระเป๋าเสื้อจึงทำให้ร่างของฟาร์มาลอยภายในอากาศได้
ร่างกายของฟาร์มานั้นมีสายลมโอบล้อมเอาไว้อยู่
“เดี๋ยวนะมันจะลอยนานเกินไปไหม..! อย่าบอกนะว่าพายุของเอ็มเมอริคมันทำได้ถึงขนาดนั้นเลยน่ะ!”
“ไม่ใช่หรอก ทางศาสตร์จารย์ต่างหากที่ใช้ลมประคองตัวเองเอาไว้”
ทางฝั่งของผู้ชมที่เห็นว่ามนตร์ของเอ็มเมอริคนั้นใช้ไม่ได้ผลกับฟาร์มาเลยจึงตะโกนออกมา
“จากนี้คือคำถามครับ”
เสียงของฟาร์มาซึ่งดังมาจากเบื้องบนได้ก้องกังวานไปทั่วลานประลอง
“ผมมีคุณสมบัติธาตุอะไร?”
ฟาร์มาชูนิ้วชี้ขึ้นและถามคำถามขณะมองลงมา…หลังจากนั้น
“ค้อนศึกพิรุณ”
ฟาร์มาใช้ปลายคทาวาดมนตร์ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาก่อนที่มันจะเรียกเสาน้ำขนาดยักษ์ให้พุ่งเป้าไปหาเอ็มเมอริค
“ชิ! มองยังไงนั่นก็ต้องเป็นธาตุวารีไม่ใช่หรือไงกัน!”
เอ็มเมอริคมองการโจมตีนั้นออกก่อนจะ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีนั้น แต่ฟาร์มาสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของเอ็มเมอริคได้อย่างสมบูรณ์แบบและควบคุมทิศทางของน้ำในขณะที่มันค่อยๆ พุ่งลงมาเพื่อให้เอ็มเมอริคนั้นหลบได้ยากยิ่งขึ้น เอ็มเมอริคไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบไปมาเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ตกเป็นเป้าหมายของนกล่าเหยื่อ ลานประลองได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จากการโจมตีของฟาร์มาจนเป็นหลุมขนาดเล็กขึ้นภายใน
“แรงดันน้ำนั้นมันอะไรกัน…! ทำลายได้กระทั่งลานประลองที่ลงมนตร์เอาไว้เลยหรือ… ค้อนน้ำยักษ์นั่นก็เป็นศาสตร์แห่งเทพหรือนี่?”
คณะอาจารย์ที่มาชมได้แลกเปลี่ยนคำพูดกัน
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ บทร่ายของศาสตราจารย์ฟาร์มาดูจะไม่ขึงขังเอาเสียเลย พลังทำลายมันก็ไม่น่าจะได้มากขนาดนั้นสิ.…”
แม้ว่าการร่ายมนตร์ไม่จำเป็นต้องส่งเสียงออกมาดัง แต่หากจะทำแค่พึมพำไปมาเพื่อปลดปล่อยมนตร์ น้ำเสียงที่ไม่ชัดเจนและแผ่วเบานั้นก็สามารถลดระดับของพลังมนตร์ดังกล่าวได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
“พลังทำลายล้างรุนแรงขนาดนั้นทั้งที่พึมพำออกมาเบาๆ เนี่ยนะ…..”
ผู้ชมไม่สามารถทำความเข้าใจในพลังศาสตร์แห่งเทพนี้ได้เลยก่อนจะเริ่มพูดคุยกันเสียงดังกว่าเดิม
เอ็มเมอริคได้พยายามโต้กลับหลังถูกโจมตีหลายครั้งจากทางอากาศ เขาตระหนักว่าฟาร์มาเป็นฝ่ายโจมตีอยู่เพียงฝ่ายเดียวในขณะที่เขาทำได้แค่พยายามหลีกหนี
“นี่ท่านไม่ได้ตั้งใจให้มันโดนผมจริงๆ ใช่ไหม ศาสตราจารย์!”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นไปได้ล่ะครับ”
ฟาร์มาพยายามร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล
แน่นอนว่าฟาร์มาได้ลดความระมัดระวังจากการโจมตีของเอ็มเมอริค จุดร่อนลงของฟาร์มานั้นเหมือนจะเปล่งแสงออกมาก่อนจะถึงพื้นราวกับบอกว่าพลังในการหลีกหนีจากแรงโน้มถ่วงสิ้นสุดลงแล้ว
“ถ้าท่านจะต่อสู้กับผมโดยยั้งมือตัวเองเอาไว้เพราะไม่อยากทำร้ายร่างกายผมแล้วละก็ ขอให้ท่านหยุดเสียเถอะ ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น ได้โปรดใส่ทุกอย่างเข้ามาราวกับต้องการจะฆ่าผมซะ!”
ในฐานะอาจารย์ ฟาร์มาผู้มีความรู้สึกแบบคนญี่ปุ่นว่าต่อให้ถูกนักเรียนทุบตี ตนก็ไม่ควรโต้กลับ ได้แต่ฟังคำของเอ็มเมอริคก่อนที่จะรู้สึกประหลาดใจ
“งั้นผมจะไม่ยั้งมือแล้วนะครับ”
เมื่อฟาร์มาหรี่ตาลง เอ็มเมอริคก็รู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ฟาร์มาพึมพำอะไรบางอย่างก่อนจะสร้างน้ำแข็งชิ้นหนึ่งขึ้นมาบนปลายนิ้วของเขา
ก้อนน้ำแข็งค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น จากสองเป็นสี่เป็นหก
“คมมีดน้ำแข็งเหรอ?”
เป็นเทคนิคพื้นฐานของผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีที่แม้แต่เอ็มเมอริคก็รู้ เทคนิคที่โจมตีเป้าหมายด้วยคมมีดน้ำแข็งสิบหกเล่ม อย่างไรก็ตาม คมมีดน้ำแข็งของฟาร์มายังเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่สิ้นสุดและเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างทวีคูณ จนมีอาวุธร้ายแรงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่รอบฟาร์มา
ด้วยจำนวนขนาดนี้ถ้าหากโดนเข้าไปคงจบไม่สวยแน่ แถมจะให้หลบทั้งหมดนี่มันก็…เอ็มเมอริคเริ่มมีอาการลนลานขึ้น สัญลักษณ์แห่งความสงบนิ่งได้จางหายไปจากใบหน้าของเขา
ฟาร์มาค่อยๆ ชี้นิ้วของตนไปทางเอ็มเมอริคราวกับต้องการค่อยๆ สร้างความกลัวขึ้นมา แล้วสะบัดนิ้วของตนเบาๆ
“พ-พลังระดับนี้…มันไม่ใช่ศาสตร์แห่งเทพธรรมดาแล้ว..”
เอ็มเมอริคพยายามกลืนเสียงกรีดร้องของตนเข้าไปภายในคอ ขณะที่มองดูการโจมตีที่จนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หมด
คมมีดน้ำแข็งจำนวนมากได้พุ่งเข้าหาเอ็มเมอริคพร้อมกันด้วยความเร็วมหาศาล
“ต้องรีบหลบ…”
ม่านวายุที่เอ็มเมอริคพยายามสร้างขึ้นมาถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะได้สร้างอันใหม่เสร็จ วินาทีนั้นเขาได้ตระหนักถึงความตายของตนในทันที แต่ใบมีดทั้งหมดนั้นกลับหยุดนิ่งจากจุดที่เอ็มเมอริคยืนเพียงไม่กี่มิลลิเมตร หากเขาขยับตัวแม้เพียงนิดเดียว ชีวิตของเขาก็คงสิ้นสุดตามไปด้วย
“คุกเหมันต์”
“อ๊าก!”
เอ็มเมอริคไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย จากการถูกผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่กักขังเอาไว้
จากนั้นฟาร์มาก็เล็งคทามาที่เขาราวกับกำลังจะตีลูกบิลเลียด
“วายุคลั่ง”
“อะไรกัน!?”
ใบหน้าของเอ็มเมอริคสั่นด้วยความกลัวมากขึ้น
ท้ายที่สุดคู่ต่อสู้ที่เขาคิดว่าเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีได้ปลดปล่อยศาสตร์แห่งวายุ ผลึกน้ำแข็งเริ่มกลายเป็นไอก่อนที่เขาจะถูกพายุอัดเข้าใส่ เอ็มเมอริคไม่มีทางหลบหนีจากแรงกระแทกนั้นได้เลย และด้วยไอน้ำนั้นทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเลย จนในวินาทีต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงที่แสนน่ากลัวพูดบางอย่างออกมา
“เพลิงนรก”
ฟาร์มาได้สร้างเปลวไฟขึ้นมาเป็นวงกลมล้อมตัวเอ็มเมอริคที่กำลังหวาดกลัวอยู่เอาไว้ เอ็มเมอริคพยายามตั้งสติก่อนจะเรียกลมออกมาปัดเป่าให้เปลวไฟนั้นหายไป แต่พอทำเช่นนั้นได้เขาก็โดนการโจมตีระลอกถัดไปทันที
“การพิพากษาของสรวงสวรรค์”
มันเป็นศาสตร์แห่งเทพธาตุปฐพีระดับสูงที่นำผืนดินซึ่งมีเปลวไฟติดอยู่ลอยขึ้นไปในอากาศเพื่อโจมตีลงมายังพื้นอีกครั้ง แน่นอนว่าเป้าหมายนั้นคือเอ็มเมอริค และด้วยเปลวไฟที่ยังคงติดอยู่ทำให้มันสร้างความเจ็บปวดกับร่างกายของเขาอย่างมาก แม้ท้ายที่สุดเขาจะปัดป้องมันออกไปได้ด้วยแรงลม พอมาถึงตรงนี้เขาเหมือนจะสังเกตได้แล้วว่าพลังแห่งเทพที่ตนมีอยู่ได้ลดลงไปอย่างรวดเร็ว
เทพผู้พิทักษ์ของเอ็มเมอริคนั้นคือเทพโอสถ
ตั้งแต่ที่เข้าสู้กับฟาร์มามาเขารู้สึกเหมือนตัวเองค่อยๆ สูญเสียพลังแห่งเทพมากขึ้นไปเรื่อยๆ และพลังนั้นมันก็ค่อยๆ ไหลเข้าไปที่ฟาร์มาแทน
“น่ะ…พลังแห่งเทพมัน…ไม่กันล่ะ…”
“เป็นอะไรไปเหรอครับ?”
เมื่อได้ยินคำถามของฟาร์มาที่เหมือนจะเข้าใจทุกสิ่ง เขาก็ตระหนักได้ว่าฟาร์มาน่าจะรู้อะไรบางอย่าง
“มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ”
ตราบใดที่เทพผู้พิทักษ์ของเอ็มเมอริคคือเทพโอสถ เขาก็ไม่มีวันที่จะชนะฟาร์มาได้ เพราะยิ่งเขาพยายามใช้ศาสตร์แห่งเทพมากเท่าใด เขาก็ยิ่งต้องการการคุ้มครองและพลังจากเทพผู้พิทักษ์ของตนมากขึ้นเท่านั้น
การอธิษฐานต่อเทพโอสถก็เหมือนกับเป็นการเพิ่มพลังให้กับฟาร์มา เดิมที่ปาลเล่นั้นก็ถือว่าเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีพลังมากเป็นพิเศษยังทำได้เพียงต้านทานการโจมตีของฟาร์มาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เอมเมอริคนั้นย่อมเทียบไม่ได้พลังของเขาลดลงไปอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะเป็นหนึ่งในผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยมที่สุดในมหาวิทยาลัยจากการประเมินด้วยมาตรวัดพลังแห่งเทพที่ประเมินเขาก่อนจะเข้าเรียน
“ทีนี้ก็กลับมาที่คำถามเดิมนะครับ คุณคิดว่าผมมีคุณสมบัติธาตุอะไร”
ฟาร์มาถามคำถามต่อหน้าเอ็มเมอริคที่หายใจอย่างหมดแรงจนไม่มีพลังแม้แต่จะร่ายมนตร์ใดๆ ได้อีก เขาเหนื่อยเกินกว่าจะพูดตอบโต้อะไรออกมาได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพลังทั้งสี่ธาตุที่ฟาร์มาแสดงให้เขาเห็น
ผู้ชมค่อยๆ เริ่มสังเกตเห็นว่าศาสตร์แห่งเทพของฟาร์มานั้นผิดปกติ เนื่องจากไม่มีผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ไหนสามารถใช้คุณลักษณะทั้งหมดได้ ทางด้านเอ็มเมอริคยังคงพูดไม่ออก ตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะยอมรับการโจมตีต่อจากนี้ด้วยแววตาที่ว่างเปล่า
“ในตอนแรกที่ผมใช้น้ำในการโจมตีคุณบอกว่าผมมีคุณสมบัติธาตุวารีสินะ”
ริมฝีปากของเอ็มเมอริคสั่นเขาไม่สามารถโต้แย้งคำของตนได้
“แต่ท่านก็หลอกผมจนได้”
ฟาร์มาสามารถปลอมแปลงศาสตร์แห่งเทพธาตุต่างๆ ได้ด้วยความสามารถสร้างและสลายสสาร
คุณสมบัติไฟคือการสร้างวัตถุระเบิดและสารที่ติดไฟได้
คุณสมบัติลมทำการสร้างความกดอากาศโดยการลบผลึกน้ำแข็งออกไปแล้วทำให้ไอระเหยมานั้นเป็นลมกระแทก
คุณสมบัติดินก็คือการสร้างแร่ขึ้นมาโดยรอบเพื่อใช้โจมตี
แน่นอนว่าทุกการกระทำของเขานั้นจะมีบทร่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพื่อความแนบเนียน
อย่างไรก็ตาม เอ็มเมอริคผู้ไม่รู้เรื่องนั้นได้มองเขาราวกับว่าตนกำลังมองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่
“ศาสตราจารย์ฟาร์มา เป็นไปได้ไหมว่า…ท่านสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ทุกคุณสมบัติ?”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงครับ”
ฟาร์มาหัวเราะขณะปิดบังความจริงนี้เอาไว้
“โกหกชัดๆ ถ้าท่านไม่สามารถใช้มันได้ทั้งหมดจริงๆ แล้วคุณสมบัติของท่านคือธาตุอะไรกันล่ะ”
“คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมอยากให้คุณเรียนรู้ว่าก่อนจะออกไป ไม่ว่าคุณจะออกไปแล้วหรือทำอะไรนับจากนี้ ขอให้มีมุมมองที่เปิดกว้างอย่าตั้งแง่กับอะไรโดยใช้สิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้องจากอดีต..”
แล้วฟาร์มาลากคทาของตนเป็นเส้นตรงต่อหน้าเอ็มเมอริคซึ่งความยาวของเส้นนั้นลากไปจนถึงขอบลานประลอง
ทันใดนั้นส่วนของลานประลองที่ถูกขีดเส้นไว้ก็ได้เลือนหายไปราวกับเรื่องโกหก จนทำให้เอ็มเมอริคล้มลงด้วยความตกใจ
“ถ้าหากว่าคุณต้องการจะทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่และช่วยเหลือผู้คนให้มากขึ้นกว่านี้”
เนื่องจากเอ็มเมอริคได้เสียการทรงตัวจนปล่อยให้คทาของตนนั้นหลุดมือไป นั่นจึงเป็นสัญญาณของการยอมแพ้ในงานประลอง
“ฟู่…ชัยชนะเป็นของศาสตราจารย์ฟาร์มา เดอ เมดิซิส…!”
ผู้ตัดสินประกาศออกมา และฟาร์มาก็ลดคทาของตัวเองลงเช่นกัน
“ผมยอมรับการลาออกของคุณนะครับ แน่นอนว่าผมจะไปขอกับทางสภาคณาจารย์ให้ยินยอมในเรื่องนี้เอง แต่คุณแน่ใจแล้วสินะครับ?”
ฟาร์มาหยิบแผ่นกระดาษที่มีลายเซ็นของเขาออกมาจากกระเป๋าแล้วแสดงขึ้นเอ็มเมอริคดู
“จะดีแล้วจริงๆ เหรอถ้าเราถอนตัวตอนนี้…..”
พอพึมพำจบเอ็มเมอริคก็ส่ายศีรษะและอ้อนวอนต่อฟาร์มาด้วยเสียงแหบห้าว
“ผมอยากเรียนรู้จากท่าน ผมคิดผิดเอง……ศาสตราจารย์ฟาร์มาได้โปรดให้อภัยกับความหยาบคายของผมด้วย!”
ฟาร์มารับฟังความตั้งใจของเอ็มเมอริคก่อนจะสร้างสารไวไฟขึ้นมาและเผาคำขอสำหรับลาออกจากมหาวิทยาลัยด้วยความสดชื่น
“คลาสเรียนส่วนตัวจบลงแล้ว คลาสเรียนต่อไปจะอยู่ในห้องเรียนนะครับ”
วงเวทที่ถูกปลดปล่อยทำให้แสงที่กระจายเป็นโดมขึ้นโดยรอบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เอ็มเมอริคยืนขึ้นก่อนจะก้มศีรษะลงเพื่อเคารพจนฟาร์มาเดินจากไปลับสายตา
———
Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
MANGA DISCUSSION