Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 72
ตอนที่ 72 การพบกันอีกครั้งกับจูเลียน่าและเปิดเทอมใหม่
ในช่วงปลายเดือนกันยายน ฟาร์มาได้ทำการจัดปาร์ตี้แกงกะหรี่กลางแจ้งประจำปีสำหรับเหล่าพนักงานภายในร้าน ลูกค้า และคนจากทางราชสำนัก โดยเครื่องเทศที่ได้มานั้นต่างก็มาจากทางงานเทศกาลสินค้าแซงต์เฟลิฟ
ปีนี้งานก็ยังคงถูกจัดอยู่ริมแม่น้ำของเขตแดน เดอ เมดิซิส แต่ด้วยจำนวนของแขกภายในงานที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมจึงทำให้มันไม่อาจเป็นปาร์ตี้ลับๆ ได้อีกแล้ว
ด้วยขนาดงานที่ใหญ่ขึ้น จึงทำให้งานดังกล่าวไม่อาจเก็บเป็นความลับต่อจักรพรรดินีได้อีกต่อไป ฟาร์มาเลยจำเป็นต้องเชิญเธอมาร่วมดังกล่าวด้วยความเกรงกลัว แต่เธอกลับปฏิเสธคำชวนของเขาด้วยเหตุผลว่าตนไม่ถูกกับของเผ็ดๆ ฟาร์มาสามารถจินตนาการออกได้ทันทีว่าหากเธอเข้ามาร่วมงานในครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แขกภายในงานคงไม่กล้าทำอะไรออกนอกหน้า แถมในอนาคตอาจจะไม่สามารถจัดงานแบบนี้อีกต่อไปแล้วก็ได้ มันจะไม่ใช่งานที่มีความเรียบง่ายสำหรับการแสดงความขอบคุณต่อผู้คนที่เกี่ยวข้องกับร้าน แถมงานจำเป็นต้องยกระดับให้มีสิ่งที่เรียกกันว่า “เลอ แกรน บัล” สำหรับปิดงานโดยมันเป็นพิธีเต้นรำที่เหล่าสามัญชนคงไม่อาจเข้าใจและทำตามได้แน่
แต่ถึงจะบอกแบบนั้นองค์ชายหลุยส์ก็ได้มาเป็นตัวแทนของจักรพรรดินี และเนื่องจากคนทั่วไปนั้นคงไม่อาจมีโอกาสได้พบองค์ชายตัวเป็นๆ แบบนี้ได้บ่อยจึงทำให้หลายคนพยายามสร้างความบันเทิงเพื่อเอาใจเขา แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นไปได้ด้วยยากจากเหล่าคนคุ้มกันที่มาด้วยกันกับองค์ชาย
“กระหม่อมขอเป็นตัวแทนทุกท่านในการต้อนรับองค์ชาย ว่าแต่อาหารภายในงานถูกปากพระองค์หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? “
ฟาร์มาเดินเข้าไปทักทายองค์ชายที่กำลังทานแกงกะหรี่อย่างไร้เดียงสา เหล่าลูกค้าที่อยู่ภายในงานต่างประหลาดใจที่ฟาร์มาสามารถเข้าไปทักทายพูดคุยอย่างสบายๆ กับองค์ชายของจักรวรรดิ แถมยังได้รับการตอบรับว่า “ดีใจจังที่เจอเจ้าที่นี่” ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ทราบว่าองค์ชายก็เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในการดูแลของฟาร์มาเช่นกันเลยทำให้พูดคุยกันได้ง่ายขนาดนี้
“อื้อ เราชอบมันนะ เอาซะอยากจะพาแม่ครัวของตระกูลเดอ เมดิซิสกลับบ้านเลย”
(แปลว่าเป็นจานโปรดเลยสินะ พวกเด็กๆ นี่ชอบแกงกะหรี่กันจริงๆ ด้วย)
ฟาร์มาคิดว่าแบบนี้ก็น่าจะดีแล้วก่อนจะตอบกลับคำพูดที่ไร้เดียงสานั้น
“แบบนั้นคงแย่นะพ่ะย่ะค่ะ เพราะมื้อค่ำนี้คฤหาสน์ของกระหม่อมคงจะไม่มีใครจัดเตรียมอาหารไว้ให้เสียแล้ว”
“ฮ่าๆ เจ้านี่ก็ช่างพูดไปนะ เราล้อเล่นน่า”
องค์ชายที่เห็นฟาร์มาทำสีหน้าปั้นยากแบบนั้น เขาก็หัวเราะออกมา
พอเสิร์ฟแกงกะหรี่ที่เป็นจานหลักแล้ว ก็มีออร์เดิร์ฟและของหวานมากมายตามมา รวมไปถึงการแสดงดนตรีของวงออเคสตราราวซึ่งเป็นสัญญาณเปิดงานเต้นรำทั่วไป ฟาร์มาก็กำลังคิดอยู่ว่าจะชวนเอเลนมาเป็นคู่เหมือนปีที่แล้วไหม แต่ดูจากสภาพตอนนี้ เอเลนกำลังทะเลาะอยู่กับปาลเล่อย่างออกรส พวกเขาไม่หิวกันบ้างหรือไงนะ นันคือสิ่งที่ฟาร์มาคิดขณะมองทั้งสองต่อสู้กันบริเวณริมแม่น้ำ
“วันนี้แหละ ฉันจะทำให้มันกระจ่างเอง!”
“นั่นมันคำพูดของฉันต่างหากย่ะ เลิกขยับปากแล้วหยิบคทาออกมาซะ ฉันจะทำให้นายได้เห็นเองว่าของจริงเป็นยังไง!”
(ให้ตายสิทั้งสองคน เอาให้มันพอดีหน่อยเถอะ…องค์ชายก็อยู่ที่นี่นะ)
ฟาร์มาได้ทำการสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาเป็นฉากกั้นเพื่อแยกทั้งสองคนกับแขกภายในงานไว้แล้ว เพราะคนอื่นไม่ควรจะได้รับลูกหลงจากการทะเลาะกันของทั้งสอง
(ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมทั้งสองคนถึงอยากจะแสดงให้คนอื่นได้เห็นกันนักนนะ….แบบนี้มันจะดีจริงๆ เหรอ)
ฟาร์มาได้แต่ส่ายหัวไปมาก่อนเดินจากไป ไม่นานนักดวงตาของเขาก็ไปสบกับลอตเต้เข้า ภาพตรงหน้าของเขานั้นคือลอตเต้ที่กำลังยัดช็อกโกแลตเข้าไปภายในปากจนป่องเหมือนกับกระรอก
“ยักย๊ายหมายค้า? “
คำที่เธอพูดออกมาไม่อาจจะฟังให้เข้าใจได้ง่ายเลย
“ถ้าช็อกโกแลตละก็ไม่เป็นไร แต่ปีนี้ผมอยากจะเชิญคุณมาเป็นคู่เต้นหน่อยน่ะ”
ฟาร์มาไม่ได้เชิญลอตเต้มาเป็นคู่เต้นในปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้สึกละอายแต่อย่างใด เนื่องจากเธอในตอนนั้นไม่มีความรู้ในเรื่องของการเต้นรำเลย แต่ในปีนี้นั้นมันต่างออกไป
“ขอกคุงมักข่ะ! แจ่จายีเหยอคะ? ยีจายจังเยยก่ะ”
(สรุปคือดีใจสินะ…?)
“คุณผู้หญิงขอความกรุณาเต้นรำกับผมจะได้หรือไม่? “
พอฟาร์มาเปิดปากชวนเธออย่างเป็นทางการตามธรรมเนียมปฏิบัติ ลอตเต้ก็จ้องเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำแล้วยื่นมือออกไป
“อึก ค๊ะ!”
(เธอพยายามจะพูดอะไรน่ะ?)
เธอรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยในทันที ก่อนจะให้ฟาร์มานำทางเธอไปยังพื้นที่เต้นรำ
“อื้อ แค่นี้ก็คุ้มค่ากับที่ให้ท่านเอเลโอนอร์สอนขณะอยู่ร้านขายยาช่วงพักกลางวันแล้วค่ะ!”
ลอตเต้นั้นได้เรียนการเต้นรำมาจากเอเลนเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปีนี้
พอการเต้นแบบกาวอตต์ที่ถูกจัดภายในฟอลเต้นได้สิ้นสุดลง วงออเคสตราเริ่มบรรเลงเพลงสำหรับมินูเอ็ตที่ต้องเต้นเป็นคู่ การเต้นมินูเอ็ตนั้นมีลักษณะและรูปแบบที่เข้มงวดมากในแต่ละบทเพลง การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้คู่เต้นต้องขายหน้าตามไปด้วยได้ แต่บทเพลงที่ใช้กันในคราวนี้ต่างก็เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงและคุ้นเคยสำหรับหลายๆ คนทำให้ แขกสามารถเต้นตามได้ง่าย
“เต้นได้ดีเลยนะ ลอตเต้”
ฟาร์มายิ้มขณะที่เขาก้าวเท้าเบาๆ ไปมาและจับมือลอตเต้ที่กำลังเต้นรำ เธอเก่งมากจน เขาไม่คิดว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอเต้นในงานที่เป็นทางการ นี่สินะผลของการฝึกในแต่ละวัน
“เหมือนกับฝันเลยนะคะที่ท่านฟาร์มามาขอเต้นด้วยแบบนี้”
“ทำไมล่ะ? หรือตอนแรกคุณมีคนในใจที่จะเต้นด้วยอยู่ก่อนแล้ว?? “
“…มะ- เรื่องนั้น”
ลอตเต้รู้สึกสับสนจนเผลอสะดุดล้มเข้า ฟาร์มาจึงได้รีบเอามือไปโอบเอวของเธอเบาๆ เพื่อไม่ให้ร่างนั้นล้มลงไป
“ขะ ขอบพระคุณมากเลยค่ะ!”
แล้วการต่อสู้กันระหว่างเอเลนและปาลเล่ก็ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับบทเพลงที่บรรเลงจบพอดี พวกเขาทั้งคู่ต่างหมดแรงจนต้องหาคนมาช่วยพาไปที่ภายในคฤหาสน์ผ่านเปลหามก่อนจะส่งขึ้นรถม้า
—————–
“อะ อะ โอยย ให้ตายสิปาลเล่ ไม่คิดจะยั้งมือเลยจริงๆ น้า!”
เอเลนที่เสร็จสิ้นจากการหยอกล้อกันเล่นกับปาลเล่ก็กลับมาทำงานที่ร้านในวันรุ่งขึ้นด้วยร่างกายที่ปวดร้าวไปหมด
“ถ้าเป็นท่านพี่แล้วผมก็ไม่แปลกใจหรอกนะ”
ฟาร์มาตอบกลับไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง ปาลเล่นั้นไม่ใช่คนที่จะยอมอ่อนข้อให้กับคนอื่นไม่ว่าจะเด็กหรือผู้หญิง แต่ยังดีว่าที่พักหลังการปฏิบัติต่อผู้ป่วยนั้นจะดีขึ้นมาบ้างแล้ว
“โอ๊ย ร่างกายร้าวไปหมดแล้ว! ถ้าในเวลาแบนี้มีจูเลียน่าจังมาช่วยนวดให้สักหน่อยคงจะดีขึ้นเยอะเลยแท้ๆ …พอพูดเรื่องนี้แล้วเราจะได้เจอเธออีกเมื่อไหร่กันนะ”
“จูเลียน่า…อื้ม ผมก็สงสัยเหมือนกันนะว่าเธอจะกลับมาที่นี่หรือเปล่า”
ฟาร์มาได้พยายามส่งจดหมายไปหาจูเลียน่าที่นครศักดิ์สิทธิ์แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา บางทีอาจจะดีกว่าหากเตือนให้เธอมาเป็นนักบวชประจำการที่เมืองหลวงแทน
“นายไม่เห็นต้องทำหน้าจริงจังแบบนั้นเลย บางทีเธออาจจะแค่งานยุ่งก็ได้”
เอลเลนสวมแว่นกลับไปขณะพูดข้อสันนิษฐาน
“ท่านฟาร์มาคะ ฉันก็อยากจะพบกับคุณจูเลียน่าอีกจังเลยค่ะ ถ้าได้เจอกันอีกก็คงจะดีนะคะ~ “
ลอตเต้ที่แสดงความคิดถึงต่อจูเลียน่าขณะกำลังนวดไหล่ของเอเลนแทนจูเลียน่า เหล่าพนักงานของร้านนั้นทราบแต่เพียงว่าจูเลียน่าจำเป็นต้องเดินทางกลับไปที่ประเทศของตัวเองเท่านั้น
(ชักรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้วสิ อาจจะเพราะเรามีประสบการณ์ไม่ค่อยดีต่อนครศักดิ์สิทธิ์ก็ได้)
ฟาร์มารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาว่าทางศาสนจักรจะทำอะไรกับเธอไหมเมื่อทราบว่าเธอก็เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของฟาร์มา
เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าตอนนี้เธอจะเป็นเช่นไร ขณะที่คิดไปมาตัวเขาก็ได้เดินทางมาถึงวิหารเทพผู้พิทักษ์ของเมืองหลวง เนื่องจากเป้าหมายที่ต้องสังเกตการณ์มาถึงที่เองนักบวชในนั้นเลยรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมาแต่ก็ได้หัวหน้านักบวชอย่างคอมพ์มาควบคุมสถานการณ์ให้สงบ แน่นอนว่าฟาร์มานั้นเข้ามาเรียกหัวหน้านักบวชให้มาพบเขาที่ภายนอกของวิหารเพื่อพูดคุยและดูท่าทางไปด้วย
“สายัณห์สวัสดิ์ครับ ที่ผมมาก็ไม่ใช่อะไร แต่อยากจะติดต่อกับคุณจูเลียน่าที่กลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ครับ เนื่องจากจดหมายที่ผมส่งไปถึงเธอนั้นไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย ดังนั้นผมก็เลยอยากจะได้ข้อมูลการติดต่อกับทางหัวหน้านักบวชที่นั่นโดยตรงครับ เรื่องนี้พอจะเป็นไปได้หรือเปล่า? “
“ท่านนี่เอง ท่านเทพโอสถ ว่าแต่ท่านต้องการความช่วยเหลือจากนางในเรื่องใดกัน? “
คอมพ์ดูมีท่าทางน่าสงสัยมากยิ่งขึ้นเมื่อมีชื่อของจูเลียน่าโผล่ขึ้นมา
ฟาร์มาเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ จากท่าทางที่ดูกระสับกระส่ายนั้น แล้วถามเน้นเข้าไปอีก
“ผมสงสัยเรื่องที่เธอนำของไปส่งให้กับทางนครศักดิ์สิทธิ์ว่าเรียบร้อยดีหรือเปล่าน่ะครับ”
ฟาร์มาอยากจะขอพบจูเลียน่าเพื่อยืนยันว่าการส่งมอบสมบัติลับที่เป็นใบมีดซึ่งบรรจุพลังแห่งเทพของเขาไว้ไปถึงทางนครศักดิ์สิทธิ์หรือไม่
“อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ผมอยากจะให้เธอช่วยใช้ศาสตร์แห่งการนวดนั้นกับผมหน่อยน่ะ”
“หากท่านต้องการหาคนที่มีความสามารถด้านการนวดด้วยศาสตร์แห่งเทพแล้ว ทางเราสามารถเรียกนักบวชที่ประจำการภายในเมืองหลวงแห่งนี้มาก็ได้ครับ”
“แต่ผมอยากจะให้คนคนนั้นเป็นคุณจูเลียน่าครับ”
จูเลียน่านั้นมีความสามารถมาก ฟาร์มาอยากจะย้ำให้นักบวชได้รู้ถึงเรื่องนี้และยืนยันความปลอดภัยของเธอไปด้วย โดยพยายามบอกว่าต้องการเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น
“แปลว่าท่านมีเหตุผลที่ต้องการการนวดของเธอเป็นพิเศษสินะครับ”
แล้วเหล่านักบวชก็แอบกลับไปซุบซิบกันในที่ลับตาแทน ท่าทางพวกเขาจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่างไป
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ!”
(นี่พวกเขาคิดว่าเราถูกใจผู้หญิงคนนั้นมากสินะ….)
เนื่องจากความเข้าใจผิดนี่ยิ่งทำให้บรรยากาศดูตึงเครียดมากขึ้นไปอีก แต่ฟาร์มาก็ไม่สามารถถอนตัวได้ขณะที่ยังไม่รู้ถึงความเป็นไปของจูเลียน่า ว่าแล้วเขาก็ได้เอามือของตนไปสัมผัสกับกำแพงภายนอกของวิหาร
“นั่นท่านจะทำอะไรครับ? “
“กำแพงภายนอกของวิหารนี่ใช้วัสดุเดียวกันกับที่มหาวิหารใช่ไหมครับ? “
“เป็นตามที่ท่านว่าครับ”
คอมพ์มองไปยังฟาร์มาที่ใช้มือของตนสัมผัสกับกำแพงชั้นนอกที่ถูกสร้างมาเป็นอย่างดี และขณะที่ฟาร์มามองคอมพ์กลับไปนั้นเขาก็ได้ตั้งสมาธิ
(สลายแคลเซียมคาร์บอเนต)
ฟาร์มาใช้ความสามารถในการสลายสสารทำให้แคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของผนังหายไป นั่นจึงทำให้กำแพงภายนอกของวิหารนั้นถูกลบหายออกไปจนหมด
“ฮะ…อึก!!!! น่ะ-นี่ท่านทำอะไรลงไปกัน!? “
คอมพ์สัมผัสได้ถึงแรงคุกคามจากตัวของฟาร์มาในทันที
เนื่องจากคอมพ์ไม่รู้ถึงความสามารถในการสร้างและสลายสสารของฟาร์มา เขาจึงสันนิษฐานว่าฟาร์มาใช้พลังลึกลับของเทพผู้พิทักษ์ในการทำลายกำแพงนั้นลง
ซาโลม่อนได้บอกเขามาก่อนหน้านี้แล้วว่าทางวิหารเทพผู้พิทักษ์ทุกแห่งจะใช้วัสดุเดียวกับทางมหาวิหารเพื่อให้มันสามารถดูดซับพลังแห่งเทพเข้าไปภายในได้ ฟาร์มาที่คิดได้แบบนั้นก็คาดเดาได้ว่าตนคงจะสามารถลบพวกมันออกไปได้ในเมือเป็นวัสดุแบบเดียวกัน
“ผมได้ยินข่าวลือมาว่าทางมหาวิหารมีชั้นใต้ดินอยู่หลายชั้นเลยใช่ไหมครับ? “
ฟาร์มาพูดบลัฟออกไป
“ถ้าอย่างงั้นจะเกิดอะไรขึ้นกัน หากผมลองลบล้างพวกโครงสร้างในชั้นใต้ดินนั้นออกไปให้หมด? “
ทันทีที่ฟาร์มาใช้ความสามารถในการลบล้างชั้นใต้ดินออกไปจนหมด เหล่านักบวชในเมืองนั้นทุกคนจะร่วงหล่นไปยังใต้ดินที่ลึกกว่าหลายสิบเมตร และเสียชีวิตทันทีโดยที่ยังไม่ทันทำอะไร คอมพ์ที่นึกตามถึงกับตาค้างและน้ำมูกไหลออกมา
“หากต้องการผมสามารถเดินทางไปที่นั่นได้ภายในไม่ถึงชั่วโมงครับ….”
“ดะ-เดี๋ยวผมจะรีบติดต่อทางนครศักดิ์สิทธิ์ให้เดี๋ยวนี้เลยครับ….!”
ไม่กี่วันต่อมา ก็มีนักบวชสองคนนำพาตัวหญิงสาวคนหนึ่งมาที่หน้าร้านขายยาต่างโลก
แม้ว่าเธอจะถูกคลุมใบหน้าไว้ด้วยผ้าคลุมจนไม่สามารถมองเห็นหน้าได้ชัด แต่ฟาร์มาก็จำได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร เห็นได้ชัดว่าทางนครศักดิ์สิทธิ์ยอมจำนนต่อคำขู่ของฟาร์มาและยอมส่งตัวจูเลียน่ากลับมาให้
(หวังว่านครศักดิ์สิทธิ์จะไม่ทำอะไรแปลกๆ นะ)
ฟาร์มารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้พบเจอกับเธอขณะที่คิดถึงเรื่องนี้
“คุณจูเลียน่าเป็นยังไงบ้างครับ? เข้ามาข้างในสิ”
“ว๊าย นั่นจูเลียน่าจังนี่นา!”
เอเลนให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี บางทีในใจคงนึกอยากจะให้จูเลียน่าช่วยนวดให้ จากมุมมองของฟาร์มาร่างของจูเลียน่าดูซูบผอมลงไปมาก และเหล่านักบวชที่ตามมาด้วยนั้นก็ไปเฝ้ามองเธออยู่มุมหนึ่งของร้านเพื่อป้องกันการหลบหนี
“ขอโทษด้วยนะครับ แต่เดี๋ยวผมจะส่งเธอกลับไปที่วิหารอย่างปลอดภัยเองครับหากเสร็จเรื่องแล้ว”
ฟาร์มาพยายามจะแยกเธอกับเหล่านักบวชออกจากกัน แต่ทางนักบวชกลับปฏิเสธและส่ายหน้าไปมา
“พวกเราจะรอเธอจนกว่าจะเสร็จกิจเองครับ ดังนั้นเชิญพวกท่านตามสบาย”
“เอาแบบนั้นสินะครับ”
จูเลียน่าเหมือนจะโดนอะไรมาเยอะพอสมควร พอฟาร์มานำเธอเข้าไปที่ห้องให้คำปรึกษา เขาก็เป็นคนแรกที่เปิดปากพูด
“พลังที่ได้ไปพอจะช่วยให้ตัวฟันเฟืองทำงานได้ไหมครับ? “
จูเลียน่าถึงกับสะอื้นขึ้นมาทันทีพอได้ยินคำถามของฟาร์มา ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นจึงตัดสินใจพาเธอขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นห้องกักตัวแทน พวกนักบวชที่เห็นแบบนั้นก็กระเดาะลิ้นออกมาด้วยความไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ฟาร์มาทำแบบนั้นก็เพื่อไม่ให้พวกที่ตามมาสามารถฟังเรื่องที่พวกเขาจะคุยกัน
“ตรงนี้ปลอดภัยแล้วครับ เพราะมันไม่มีทั้งหน้าต่างและเป็นห้องเก็บเสียง พวกคนที่อยู่ชั้นล่างไม่มีทางได้ยินเสียงแน่นอนครับ ดังนั้นถ้ามีอะไรอยากจะพูดก็บอกมาได้เลยครับ”
ฟาร์มาเปิดขวดน้ำผลไม้ แล้วยื่นให้จูเลียน่าดื่มก่อนจะถามคำถามออกไป
“ขอบพระคุณสำหรับพลังที่ท่านฟาร์มามอบให้ค่ะ เพราะแบบนั้นเราจึงสามารถขับเคลื่อนฟังเฟืองนั้นได้ไปอีกนานกว่า 175 ปีเลยทีเดียว”
“เป็นแบบนั้นก็ดีแล้วครับ”
ฟาร์มาโล่งใจที่ทราบว่าจูเลียน่าทำหน้าที่ของเธอลุล่วง
“แต่ถึงแบบนั้น….ตัวฉันนี่มันช่างไร้เดียงสาแล้วโง่เง่าจังเลยนะคะ..”
จูเลียน่าค่อยๆ เล่าออกมาเป็นเรื่องๆ ไม่ว่าจะเรื่องสันตะปาปาไม่มีเจตนาจะพูดคุยกับฟาร์มาเลยแถมพยายามที่จะผนึกเขาไว้ในห้องใต้ดินของมหาวิหารด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงเร่งพัฒนาเทคนิคผนึกเทพที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ตัวฟาร์มากำลังตกอยู่ในอันตราย จูเลียน่าพูดออกมาอย่างเศร้าใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ดีแล้วครับที่มาบอกผมแบบนี้…แต่ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยครับ ผมไม่มีทางถูกผนึกง่ายๆ แน่นอน ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามทำอะไรก็ตามผมไม่ได้โง่ขนาดจะยอมให้เป็นแบบนั้นด้วยครับ”
“แล้วฉันก็ได้สมบัติลับชิ้นเดิมมาอีกรอบด้วยค่ะ…”
“เดี๋ยวสิครับ นี่จะมาแนวนักฆ่าเอาอีกรอบแล้วเหรอครับ ปกติมันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาบอกกับเหยื่อนะครับรู้ไหม”
ฟาร์มายิ้มแหยๆ ขณะพูดขอโทษสำหรับการล้อเล่น จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าภายใต้ผ้าคลุมของเธอที่กำลังคล้อยลงมามีร่องรอยการถูกต่อยที่ใบหน้า รอยฟกช้ำพวกนี้ไม่เพียงแต่บนใบหน้าของเธอเท่านั้น แต่ยังมีรอยฟกช้ำตามร่างกายด้วย ฟาร์มาจึงถามจูเลียน่าต่อทันที
“นี่มันแย่กว่าที่ผมคิดไว้อีกนะครับ ทั้งที่บอกว่าจะให้ความร่วมมือแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงมาจบแบบนี้ได้กัน”
“เพราะทางศาสนจักรเชื่อว่าเทพผู้พิทักษ์เป็นพวกเชื่อใจไม่ได้ค่ะ มนุษย์กับเทพไม่มีทางสื่อสารถึงกันได้อย่างแน่นอน”
(หรือจะเป็นเรื่องที่เราไปขู่ว่าจะทำลายวิหารให้เหี้ยนกันนะ…ไม่สิไม่น่าจะเพราะแค่เรื่องนั้นอย่างเดียว)
ว่าแล้วก็มีเรื่องชวนปวดหัวให้ฟาร์มาได้คิดเพิ่ม
“แต่มีเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจครับว่าทำไมพวกนั้นถึงส่งคุณมาทำหน้าที่ในการดึงพลังแห่งเทพของผมไปกันล่ะ? “
เพราะถ้าเทียบจูเลียน่ากับซาโลม่อนแล้ว เรื่องความสามารถในการใช้พลัง ซาโลม่อนถือว่าเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหากจะรับมือกับงานแบบนี้ควรจะส่งคนระดับเดียวกับซาโลม่อนหรือสูงกว่าจากกลุ่มคณะผู้ไต่สวนมาจะเหมาะกว่า
ทำไมพวกเขาต้องมามอบหน้าที่นี้ให้เธอซึ่งเป็นเพียงมดตัวน้อยในฝูงยักษ์ ทั้งยังมีสมบัติลับที่แสนสำคัญติดมือมาด้วย ฟาร์มาอยากจะรู้ว่าทางศาสนจักรกำลังขาดแคลนกำลังคนอยู่หรือเปล่านะ
“เหตุผลที่ฉันถูกเลือกเป็นเพราะฉันได้รับวิวรณ์จากเทพเจ้าผ่านฟันเฟืองนั้นค่ะ…ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ได้รับการศึกษาแบบพิเศษสำหรับผู้ที่ถูกเลือก”
“วิวรณ์จากเทพเจ้าเหรอครับ? “
“ฉันเห็นโลกที่กำลังบัดเบี้ยวแล้วจากนั้นก็มีฟันเฟืองพวกนั้นปรากฎออกมาต่อหน้าฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าค่ะ ก่อนที่ร่างกายของฉันจะสั่นสะท้ายขึ้นราวกับกำลังโดนวิญญาณสิง ฉันเชื่อว่าเพราะวิวรณ์ดังกล่าว เลยส่งผลให้มีอาการพวกนี้ค่ะ”
(เอ๋…)
อาการที่อ้างอิงถึงวิวรณ์ดังกล่าวทำให้ฟาร์มาคิดถึงเงื่อนงำบางอย่างขึ้นมาได้
“หลังจากได้รับวิวรณ์นั่นแล้ว…คุณมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงด้วยใช่ไหมครับ? ถ้าให้ผมเดานะจะหลายชั่วโมงหลังจากนั้น”
จูเลียน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับตาเบิกกว้าง
“ใช่แล้วค่ะ มันเป็นแบบนั้นทุกครั้งเลย! พวกนักบวชก็บอกว่านั่นเป็นอาการที่ได้รับวิวรณ์จากเทพผู้พิทักษ์…!”
จูเลียน่าพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น จากคำพูดของฟาร์มาที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ ทั้งที่เขาก็แค่ประเมินอาการของเธอเท่านั้นเอง
“ถ้าเป็นกรณีนี้อาจจะเป็นอาการตามัวร่วมกับมีแสงประกาย นอกจากนี้ก็น่าจะมีอาการของโรคลมชักด้วยครับ”
ฟาร์มาอธิบายเรื่องนี้ให้เธอฟัง พอเธอทราบถึงเรื่องนั้นก็เข่าอ่อนจนฟุบลงกับโต๊ะ ก่อนเขาจะกล่าวต่อว่าบางทีพวกคนนอกที่เห็นอาการแบบนั้นอาจจะปล่อยข่าวลือว่ามันคืออาการที่ได้รับวิวรณ์จากพระเจ้าไม่ก็ปีศาจได้ แต่จากที่ใช้ดวงตาวินิจฉัยตรวจสอบดูอาการของจูเลียน่านั้นเหมือนจะบรรเทาลงบ้างแล้ว
“อย่างที่ผมบอกไปว่า อาการตามัวร่วมกับมีแสงประกายนั้นจะเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งทำให้เห็นอะไรหมุนและสั่นไหวไปมา กรณีของคุณก็เป็นฟันเฟืองที่ว่า ด้วยสาเหตุจากการที่หลอดเลือดในสมองหดตัวแล้วขยายออกจะส่งผลต่อเปลือกสมองส่วนการเห็นอย่างชัดเจน มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ลึกลับอะไรหรอกครับ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพียงแค่อาการไมเกรนของคุณจูเลียน่ารุนแรงกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง”
ถึงจะอธิบายไปแล้วแต่ก็ใช่เธอจะเข้าใจสิ่งที่ฟาร์มาพูดเสียหมด
“ในอีกความหมายหนึ่งก็คือไม่ว่าใครก็สามารถเห็นแบบนั้นได้สินะคะ? “
“ก็ประมาณนั้นครับ ว่าแต่ฟันเฟืองที่คุณเห็นบ่อยๆ นั่นคือช่วงที่ยังเด็กอยู่สินะครับ พอมาถึงตอนนี้คงจะลดลงไปเยอะแล้ว อาการดังกล่าวคือโรคลมบ้าหมูครับ มันจะทำให้ภาวะการทำงานของสมองนั้นผิดปกติไปโดยที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองเอง แต่ตอนนี้คุณคงไม่มีอาการแบบนั้นแล้วผมพูดถูกใช่ไหมครับ? “
อาการตามัวร่วมกับมีแสงประกายจะหายไปเมื่อเราโตขึ้น แน่นอนว่าโรคลมชักก็เหมือนกันครับ แต่หากคุณยังกังวลว่าจะมีอาการพวกนั้นอีก ผมสามารถจ่ายยาป้องกันให้ได้นะครับ
“แบบนี้เองสินะคะ!…ไม่คิดเลยนะคะว่าจะถูกเทพผู้พิทักษ์มาบอกเองว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก….”
จูเลียน่าทำสีหน้าที่ซับซ้อนขึ้นมา ความพยายามและความยากลำบากในการเรียน การฝึกฝนที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นมันล้วนสูญเปล่า แต่ท้ายที่สุดเธอก็แสดงสีหน้าที่สดชื่นขึ้นมาแทน
“เอาเถอะค่ะ อย่างน้อยฉันก็ยกเขาออกจากอกได้อีกเรื่อง”
“ได้ยินแบบนั้นผมก็สบายใจ ว่าแต่ยังมีเด็กคนอื่นที่เป็นเหมือนคุณไหมครับ? “
โดยพื้นฐานแล้วคนที่จะเป็นคาร์ดินัลนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงระดับหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้น อย่างกรณีของจูเลียน่านั้นก็ถือว่าพิเศษ แน่นอนว่าอาจจะมีคนอื่นอยู่อีก และตอนนี้หากจะปล่อยให้จูเลียน่ากลับไปทั้งแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอเธออยู่อีก เพราะเขาดันรู้ความลับของเธอมากจนเกินไปแล้ว
“คุณพร้อมจะตัดขาดกับทางนครศักดิ์สิทธิ์แล้วอาศัยอยู่ในจักรวรรดิหรือเปล่าครับ? “
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ถึงมันจะเป็นเรื่องดีแค่ไหนก็ตาม….เพราะจะให้ฉันละทิ้งประเทศของตัวเองแบบนั้น…แถมถ้าฉันออกจากที่นั่นมาจริงๆ ก็คงไม่พ้นโดนทางศาสนจักรจัดการเป็นแน่ค่ะ”
“ถ้าเรื่องนั้น ให้เป็นหน้าที่ผมเองครับ”
ฟาร์มาเดินลงไปชั้นล่างหลังจากพูดคุยกันเสร็จ แล้วมุ่งหน้าไปหาเหล่านักบวชที่รออยู่ แน่นอนว่าพวกนักบวชก็คิดว่าทั้งสองคงคุยกันจบแล้ว
“ช่วยส่งสารไปที่นครศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะครับว่าผมจะเป็นคนดูแลคุณจูเลียน่าเอง เพราะเธอปรารถนาที่จะอาศัยอยู่ในจักรวรรดิแห่งนี้แทน”
พวกนักบวชถึงกับผงะเมื่อได้ยิน ก่อนจะตอบกลับไประหว่างดูทีท่าของเขาด้วย
“นะ-นางผู้หญิงคนนั้นไปพูดอะไรไร้สาระออกมากัน ผมของไม่สามารถให้เป็นเช่นนั้นได้ครับ เพราะนางเป็นนักบวชคนสำคัญของทางนครศักดิ์สิทธิ์เราด้วย”
แต่ก็ฟาร์มาก็หาได้สนใจ
“เราพบรอยฟกช้ำและบาดแผลมากมายบนร่างกายของเธอ นั่นจึงทำให้เธอถูกจัดอยู่ในหมวดของ “บุคคลที่ถูกข่มเหงจนไม่สามารถอาศัยอยู่ภายในประเทศบ้านเกิดได้” เมื่อเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าเธอสามารถอยู่ในสถานะของผู้ลี้ภัยได้ คุณเซดริกรบกวนช่วยอ่านกฎหมายระหว่างประเทศสำหรับการคุ้มครองผู้ลี้ภัยภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศทีครับ.”
“สนธิสัญญาระหว่างประเทศกำหนดว่าหากพบว่าบุคคลที่ถูกข่มเหงจากประเทศดังกล่าว เขาหรือเธอผู้นั้นไม่จำเป็นต้องถูกส่งคืนไปยังประเทศที่คุกคามชีวิตหรือเสรีภาพของเขาหรือเธอผู้นั้นครับ”
แม้จะไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องแต่เซดริกก็พูดออกมาโดยไม่จำเป็นต้องเปิดตำราอ้างอิงใดๆ เพราะตัวเซดริกนั้นสามารถนึกถึงตัวกฎหมายทุกข้อได้อยู่แล้วราวกับตนเป็นหนังสือเดินได้ ไม่ว่าจะกฎหมายจักรวรรดิหรือกฎหมายระหว่างประเทศเขาก็สามารถจำได้ทั้งหมด เอเลนที่ได้ยินแบบนั้นก็พอจะเดาถึงสภาพของจูเลียน่าได้ทันที และรู้ว่าเธอต้องการความช่วยเหลือ
“ไม่ใช่ว่าทางนครศักดิ์สิทธิ์ก็ลงสนธิสัญญาระหว่างประเทศนี้ด้วยเหรอครับ? “
พวกนักบวชไม่สามารถต่อต้านได้แม้จะต้องการ ก่อนที่สิทธิ์ในการดูแลจูเลียน่าจะตกไปยังฟาร์มาแทน ท้ายที่สุดพวกของก็ต้องกลับไปมือเปล่าอย่างไม่มีทางเลือก
ท้ายที่สุดจูเลียน่าก็ได้รับการยอมรับในฐานะของผู้ลี้ภัยจากทางนครศักดิ์สิทธิ์และยอมทิ้งสัญชาตินั้นไป แน่นอนว่าฟาร์มาต้องการจะเก็บภาพบันทึกร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของจูเลียน่าไว้ด้วยเผื่อกรณีที่นครศักดิ์สิทธิ์จะโต้แย้งอะไรกลับมา เขาจะได้มีหลักฐานให้กับแพทย์ทางประเทศที่สามซึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับทางจักรวรรดิและนครศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้สืบสวนวินิจฉัยเรื่องนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาได้รับการยินยอมให้เดินหมากเองได้โดยไม่ต้องยื่นเรื่องกับทางจักรพรรดินีเพิ่มเติม
และต้องขอขอบคุณจักรพรรดินี ที่หลังจากทราบเรื่องเธอก็ได้รับจูเลียน่าเข้ามาในการคุ้มครองโดยให้เธออาศัยอยู่ภายในวังก่อนจะมอบสัญชาติของจักรวรรดิให้หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น และพอจูเลียน่าได้เจอซาโลม่อนเธอก็ทำหน้าราวกับกำลังเห็นผี
“เจ้าพวกศาสนจักรมันชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้วนะ เห็นทีเราคงจะต้องขับไล่พวกมันออกจากเมืองหลวงจักรวรรดิเสียให้หมด”
จักรพรรดินีรู้สึกไม่พอใจเมื่อเธอได้ยินเรื่องของจูเลียน่า และงานที่เธอได้รับมอบหมายให้มาจัดการกับฟาร์มา
“ในความเป็นจริงเราคงทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกนะครับ เพราะพวกมันต่างก็ควบคุมศาสตร์แห่งเทพเอาไว้ในมือหมดแล้ว”
ซาโลม่อนตอบจักรพรรดินี
เหตุผลที่ประเทศอื่นไม่สามารถต่อต้านทางนครศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างออกนอกหน้านักเป็นเพราะศาสนจักรได้ครอบงำและผูกขาดศาสตร์ลับในการเปิดปิดชีพจรแห่งเทพ หากพวกนักบวชหายไปเด็กแรกเกิดที่ต้องเข้ารับการเปิดชีพจรแห่งเทพก็จะไม่สามารถทำได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาก็จะไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้
แม้ว่าจะขับไล่ศาสนจักรออกจากเมืองหลวงได้สำเร็จ แต่จักรวรรดินั้นช่างกว้างใหญ่หากสร้างความไม่พอใจให้กับศาสนจักรแล้วพวกเขาถอนคนออกจากจักรวรรดิทั้งหมด จักรวรรดิก็คงจะถึงคราวอ่อนแอไปทั้งประเทศพร้อมกัน เพราะหากศึกษาหน้าประวัติศาสนตร์ในอดีตก็เคยมีประเทศที่ไม่สนใจทางศาสนจักรและพึ่งพาตนเองแทน ไม่นานนักประเทศนั้นก็อ่อนแอลงจนประเทศอื่นสามารถรุกรานได้อย่างง่ายดายทำให้ท้ายที่สุด ประเทศนั้นก็ต้องกลับมาอ้อนว้อนต่อศาสนจักรเหมือนเดิม
แต่จักรวรรดิตอนนี้มีทั้งอดีตคาร์ดินัลที่รู้ความลับของทางศาสนจักรที่เคยผูกขาดเอาไว้ตั้งแต่ในอดีต อีกทั้งยังมีซาโลม่อนอดีตนักบวชผู้มากความสามารถ ดูท่าว่าจักรพรรดินีจะตัดสินใจว่าตนควรจะเริ่มเดินเกมบ้างได้แล้วหลังจากได้ไพ่ที่แสนสำคัญมาสองใบ
“ซาโลม่อน จูเลียน่า เรามีภารกิจลับบางอย่างให้พวกเจ้าทำ”
คำสั่งลับจากจักรพรรดินีถึงอดีตนักบวชสองคน คือการสร้างความเชื่อให้คนกลับมาบูชาเทพผู้พิทักษ์ดั่งที่ควรเป็น ยกเลิกพิธีกรรมที่ไร้แก่นสารออกไป ค่อยๆ ก่อตั้งศาสนาที่ปฏิบัติตามหลักคำสอนดั้งเดิมของศาสนจักร และฝึกผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพสายศรัทธาที่ยอดเยี่ยมเพื่อเป็นนักบวช
“เรามีเทพผู้พิทักษ์อาศัยอยู่ภายในประเทศของเรา และจากนี้ไปเราจะไม่ยอมให้นครศักดิ์สิทธิ์ทำตามใจชอบอีกแล้ว”
หากเรื่องนี้หลุดไปถึงหูของนครศักดิ์สิทธิ์ได้สถานการณ์ของจักรวรรดิคงต้องตกอยู่ในอันตรายจากประเทศรอบข้างที่พร้อมจะรุมเข้ามาโจมตีในฐานะพวกนอกรีต
แน่นอนว่าฟาร์มาไม่ทราบถึงเรื่องที่เธอคิดจะทำแม้แต่น้อย จนในที่สุดก็ถึงเวลาการเปิดภาคเรียนใหม่ของมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ฟาร์มาสวมหมวกสำหรับพิธีการของศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด และสวมเสื้อคลุมที่มีตราประจำคณะและตราสลักสีทอง เอเลนที่เห็นแบบนั้นก็เรียกให้เขาถ่ายรูปเก็บไว้
“ท่าทางคงดูไม่จืดเลยสินะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย นายดูดีจะตายศาสตราจารย์ฟาร์มา ฉันมั่นใจเลยว่าชุดของนายน่ะต้องเป็นแบบสั่งตัดพิเศษแน่ๆ”
“ก็ดูเป็นของสั่งตัดจริงๆ นั่นแหละนะ ทั้งที่ผมไม่ใช่ตัวหลักของงานแท้ๆ ยังจะทำให้อีก นี่เอเลนจะถ่ายรูปเยอะไปหน่อยไหม”
ฟาร์มาสงสัยว่าหรือจะมีศาสตราจารย์รุ่นเยาว์คนอื่นอยู่อีกไหมนะ
“ว่าแต่มันมีพิธีเปิดภาคเรียนด้วยเหรอ ผมนึกว่าจะมีแต่พิธีจบการศึกษาเสียอีก”
“นั่นสินะ นายไม่เคยเข้าพิธีภาคเปิดเรียนอะไรกับเขาเลยนี่นา”
ว่าแล้วเอเลนก็หัวเราะ เพราะตามความคิดของฟาร์มานั่นพิธีเปิดภาคเรียนในญี่ปุ่นนั่นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่หากเป็นฝั่งของทางยุโรปหรืออเมริกาพิธีเปิดใหญ่ๆ แบบนี้แทบไม่มีให้เห็นเลย เขาจึงนึกว่าความแตกต่างนี้อาจจะเหมือนกันกับโลกเขา
ไม่นานนักเขากับเอเลนก็เข้าไปที่หอประชุมตามเวลาที่กำหนด เหล่านักเรียนก็เริ่มรวมตัวกันภายในหอประชุม ทางด้านฟาร์มาที่เป็นกลุ่มอาจารย์สอนก็จำเป็นต้องขึ้นไปบนเวทีเพื่อแสดงตัวพร้อมกับคนอื่นๆ ในคณะ ก่อนจะกลับลงไปนั่งตามเก้าอี้ที่จัดไว้ให้
แล้วเสียงระฆังก็ดังขึ้นมาเป็นสัญญาณเมื่อเสร็จสิ้นจากการร้องเพลงชาติ บรูโนก็ขึ้นเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะอธิการบดี ก่อนที่รองอธิการบดีจะเริ่มขานชื่อของผู้เรียนในเทอมนี้ขึ้น ซึ่งนักเรียนที่ถูกขานชื่อก็ยืนขึ้นมาตามลำดับ
นักเรียนปีหนึ่งมีดังนี้
นักเรียนแพทยศาสตร์ จำนวน 30 คน
นักเรียนโอสถวิทยา จำนวน 20 คน
นักเรียนวิจัยยา จำนวน 30 คน
นักเรียนวิชาแนวทางการปฏิบัติการและให้บริการทางการแพทย์ จำนวน 20 คน
“ทั้งหมดรวมทั้งสิ้น 100 คน คือนักเรียนชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยแพทย์จักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ พวกเราขอต้อนรับทุกท่าน ขณะนี้ขอให้ตัวแทนชั้นปีขึ้นมากล่าวปราศรัยด้วยครับ คุณเอ็มเมอริค เบาเออร์”
ชายหนุ่มที่เป็นตัวแทนลุกขึ้นตอบรับคำของบรูโน ซึ่งเขาก็เป็นนักเรียนที่ฟาร์มาคุ้นหน้าดี
(เด็กคนนั้นที่เป็นตัวแทนมาจากภาควิชาโอสถวิทยาสินะ ชื่อเหมือนคนเยอรมันเลย)
ในมุมมองของฟาร์มาเขามองชายคนนั้นเป็นเพียงแค่ “เด็ก”
เขาคือเด็กหนุ่มที่โวยวายในวันประกาศผลสอบว่า “นี่ฉันต้องมาเรียนมหาวิทยาลัยยาที่มีอาจารย์สอนเป็นแค่เด็กเนี่ยนะ” และปฏิเสธการเข้าเรียนกับฟาร์มา
(ดีจริงๆ ที่เด็กเก่งแบบเขาไม่ถูกไล่ออกไปเพราะเรื่องนั้น)
จากนั้นไม่นานนัก
หลังจากนี้ถึงแม้จะไม่มีเครื่องแบบเฉพาะสำหรับนักเรียน แต่ก็มีกฎที่จำเป็นต้องสวมเข็มขัดที่มีตราสัญลักษณ์ของคณะที่ทางมหาวิทยาลัยจัดมอบไว้ให้ นักเรียนที่ผ่านความยากของการสอบเข้ามาได้ ก็ต่างรับมันไปด้วยความรู้สึกภูมิใจที่ความทุ่มเทของตนนั้นเกิดผลแล้ว
ในปีนี้ ตามคำเรียกร้องของฟาร์มา จึงมีการสร้างโควตาการคัดเลือกพิเศษสำหรับนักเรียนสามัญชนที่ไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ จึงมีสามัญชนได้รับตราที่มหาวิทยาลัยมอบไว้ให้ด้วย เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันภายในคณะโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นทางสังคมใดๆ ทั้งสิ้น
“เนื่องจากในภาคเรียนนี้ ทางมหาวิทยาลัยของเราได้มีการปรับปรุงโครงสร้างคณะใหม่จนหมด จึงอยากจะขอให้คณบดีจากแต่ละคณะทักทายทุกท่านด้วย”
แล้วก็เป็นภาพของเหล่าคณบดีขึ้นไปทักทายนักเรียนของตน แน่นอนว่าฟาร์มาก็ต้องขึ้นไปเหมือนกัน
ซึ่งเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
———–
Note 1 : ตอนนี้แอบยาวแต่จบง่ายเฉย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR