ตอนที่ 119 ความมุ่งมั่นของปาลเล่และการมาเยือนของแขกต่างแดน
วันที่ 15 มิถุนายน ปี 1148
ในวันนี้ฟาร์มาได้อยู่ภายในห้องปฏิบัติการกับโจเซฟีนและเอ็มเมอริคตั้งแต่ช่วงเช้า
「ศาสตราจารย์ ความเร็วของเครื่องหมุนเหวี่ยงไม่สามารถทำให้เร็วกว่านี้ได้แล้วครับ……」
พวกเขาทั้งสามคนกำลังเฝ้าดูการทำงานของเครื่องหมุนเหวี่ยง ทันทีที่เครื่องส่งเสียงแปลกๆ ออกมาความเร็วในการหมุนของมันก็จะลดลง ฟาร์มาจึงบอกให้ทั้งสองปิดการทำงานของมันแล้วบันทึกข้อมูลเอาไว้
「หื้ม ความเร็วในการหมุนกับแรงG นี่ไม่ได้จริงๆ …การปั่นแยกคงจะเป็นไปได้อยาก」
ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงเครื่องหมุนเหวี่ยงเพื่อกรองเอาไวรัสออกมาใช้ในการบำบัดด้วยยีน
เครื่องหมุนเหวี่ยงนั้นจะทำการตกตะกอนสารโดยใช้แรงเหวี่ยงกับตัวถูกละลาย ในโลกของเขานั้นสามารถเร่งแรงGได้เป็นล้าน จนสามารถทำให้โมเลกุลถูกแยกออกจากกันได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับโลกนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
「ถ้าเราทำการเพิ่มระดับสุญญากาศเข้าไปอีก แรงต้านอากาศน่าจะลดลงใช่ไหมครับ? 」
จากนั้นเอ็มเมอริคก็ยกคทาขึ้นเพื่อสร้างสุญญากาศภายในห้องให้สูงขึ้น แต่คทาก็จับคทาของเขาเอาไว้ก่อน
「ไม่ดีกว่าครับ แค่นี้น่าจะพอแล้ว」
เอ็มเมอริคคือผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุลม แต่เนื่องจากการสอนของฟาร์มาตอนนี้เขาจึงสามารถสร้างพื้นที่สุญญากาศขึ้นมาได้ จากการบรรยายเรื่องความเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของอากาศ ก็เช่นเดียวกับปาลเล่ เอ็มเมอริคคือพวกเรียนรู้แล้วนำมาใช้จริงได้เร็ว
「งั้นวันนี้ก็หยุดกันแค่นี้นะครับ」
มันคือการตัดสินใจของฟาร์มา เขามองว่าควรฝืนในจุดที่ฝืนได้และควรยอมแพ้ในจุดที่ควรยอม
「คือ…แต่ว่า…ไม่ใช่ว่าพวกเราจำเป็นต้องใช้การหมุนเหวี่ยงแบบพิเศษเพื่อจัดการกับไวรัสและโปรตีนให้บริสุทธิ์ขึ้นเหรอครับ ยังไงวิธีการนี้มันก็เป็นวิธีการที่สั้นที่สุดแล้วด้วยสำหรับการสกัด」
แต่เอ็มเมอริคเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้
「หากพวกเราใช้ตัวกรองแบบคอลัมน์และเมมเบรน มันก็สามารถทำให้บริสุทธิ์ได้เหมือนกันครับ แม้ความเร็วจะต่ำไปบ้างแต่เป็นวิธีการที่ทุกคนสามารถใช้งานได้ และปลอดภัยกว่าด้วย」
เนื่องจากยังมีตัวเลือกอื่นให้ใช้ ฟาร์มาเลยมองถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก หากเกิดการระเบิดขึ้นภายในเมืองหลวง คงจบไม่สวยแน่ นั่นคือความคิดของฟาร์มา
「กำลังกังวลเรื่องที่เครื่องอัลตราเซนตริฟิวจ์จะระเบิดสินะคะ? 」
「หากมันไม่สามารถทนแรงเหวี่ยงได้ก็เกิดระเบิด หากมันเสียสมดุลไปเพียงเล็กน้อยก็เกิดระเบิด หากโรเตอร์พังก็ระเบิดอีก เรียกว่าความเสี่ยงมีเยอะเลยครับ」
แล้วความเสี่ยงในตอนนี้มันสูงกว่าโลกเขาเพราะไม่มีระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาควบคุมอีกด้วย
ขนาดชาติก่อนเขาที่ระวังตัวเป็นอย่างมาก ก็ยังเคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เลย
ดังนั้นยิ่งเป็นระดับนักศึกษาภายในคลาส เหตุระเบิดก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นระยะอยู่แล้ว
「แรงเหวี่ยงนี่น่ากลัวจังเลยนะคะ….」
โจเซฟีนนึกแล้วก็แอบขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย
สำหรับโลกใบนี้ที่ยังไม่เข้าถึงแรงเหวี่ยงมากนัก ความอันตรายของมันคงไม่มีมากเท่าไหร่
「ใช่แล้วครับ ดังนั้นก็หยุดมันไว้ก่อนดีกว่า」
ใจจริงของฟาร์มาก็แอบหวังให้พวกนักเรียนของเขาได้ดูวิดีโออุบัติเหตุจากการทดลอง แต่น่าเสียดายที่พวกนักเรียนมองไม่เห็นภาพในสมาร์ทโฟนได้ สุดท้ายฟาร์มาก็เลยบอกให้ทั้งสองแยกย้ายไปพักแทน
「เอาเป็นว่าวันนี้ก็พักกันก่อน! ผมเองก็เริ่มหิวแล้วด้วย」
「จะไปที่โรงอาหารของมหาลัยเหรอครับ? ถ้าผมจำไม่ผิด เทศกาลของหวานก็จัดจนถึงวันที่ 20 ด้วยสินะครับ คุณโจเซฟีนสนใจหรือเปล่าครับ พวกพี่น้องของผมก็เหมือนจะวิ่งวุ่นกันไปทั่วเพราะงานนี้เลย เดี๋ยวคงได้เจอกัน ทางผมเองก็ต้องไปหาข้อมูลร้านพอสมควร」
พวกน้องๆ ของเอ็มเมอริคนั้นเหมือนจะชอบของหวานมา เอ็มเมอริคเลยยุ่งอยู่กับการหาข้อมูลร้านขนมหวานภายในงานที่ถูกจัดขึ้น
「ของหวานเหรอคะ เอาด้วยค่ะ! จะได้ไปเจอกับพวกคุณน้องสาวด้วย」
โจเซฟีนเองก็เหมือนจะเห็นด้วย
ฟาร์มายังจดจำใบหน้าน้องสาวของเอ็มเมอริคที่เหมือนลอตเต้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่แปลกอะไรเพราะครอบครัวพวกเขาเป็นญาติห่างๆ กัน
「พูดถึงเรื่องนี้แล้วตอนนี้พวกน้องๆ คุณเป็นยังไงบ้างครับ? 」
「ก็เรียกได้ว่ามาทานขนมกันได้ทุกวี่ทุกวันจนบางทีก็อดอาหารเพื่อมากินแต่ของหวานครับ」
「น…นั่นค่อนข้างจะหนักอยู่นะครับ สำหรับคนที่มียีนเมตาบอลิซึมพื้นฐาน เมตาบอลิซึมของไขมัน และเมตาบอลิซึมของกลูโคสต่ำแล้ว อยากจะให้พวกเขาระมัดระวังเรื่องการทานอีกสักหน่อย….」
แค่การออกกำลังกายนั้นไม่ได้หมายความว่าจะเพียงพอ แต่ยังต้องดูแลเรื่องอาหารด้วย เพราะพันธุกรรมของพวกเขามีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานกันสูงจริงๆ
「ครับ ไว้ผมจะไปบอกพวกเธอ」
เอ็มเมอริคเองก็เหมือนจะจริงจังไม่น้อย
ทั้งที่พวกที่ควรพักผ่อนดูแลสุขภาพมากที่สุดคือทั้งสองหน่อตรงนี้แท้ๆ แต่ไม่รู้เพราะอะไรพวกเขาจึงไม่มีเวลานั้นกันเลย
「ศาสตราจารย์! มีรายงานส่งเข้ามาค่ะ」
ระหว่างที่ฟาร์มากับคนอื่นๆ กำลังถอดชุดกาวน์สีขาวออกแล้วหมายจะเดินทางไปที่โรงอาหารของมหาลัย โซอี้เลขาของฟาร์มาก็เรียกพวกเขาเอาไว้ก่อน
โดยรายงานที่ว่าคือโทรเลขจากมาร์เชลที่ชวนให้ฟาร์มาประหลาดใจ
「หา? คุณเมเลเน่ติดมากับเรือสินค้า? เมเลเน่คนนั้นน่ะเหรอครับ? 」
ฟาร์มาขมวดคิ้ว
เนื่องจากตอนนี้การสื่อสารระยะไกลจากเมืองหลวงได้กระจายไปทั่วทวีปแล้ว แต่รายงานแรกของมาร์เชลดันเป็นเรื่องนี้ ฟาร์มาชักรู้สึกไม่พร้อมรับมือจริงๆ
「ศาสตราจารย์คะ? 」
โจเซฟีนมองดูใบหน้าของฟาร์มา ส่วนฟาร์มาก็โบกมือให้ทั้งสองแบบไม่เป็นไร
「ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ แต่คงต้องขอให้ทั้งสองไปกันเองซะแล้วสิ 」
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากินของหวานอีกแล้ว
แน่นอนว่าพวกเอ็มเมอริคไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทวีปใหม่นั่น
「รีบไปรีบมานะคะ นี่เทศกาลของหวานเชี่ยวนะคะ ของหวาน!」
โจเซฟีนคงจะกลัวว่าของหวานดีๆ จะถูกกินไปเสียหมดจนไม่เหลือถึงฟาร์มา
「ไว้ผมจะรีบกลับมาให้เร็วเท่าที่ทำได้นะครับ」
「คนส่วนใหญ่ที่พูดแบบนี้ก็มักจะแห้วตลอดนะคะ」
โซอี้กระซิบข้างหูฟาร์มา
「โหดร้ายจังนะครับ」
ฟาร์มาก็ทำได้เพียงไหล่ตก
เหตุผลที่โซอี้พูดแบบนั้นก็คงจะเป็นเพราะงานด่วนที่เข้ามา
「ถ้าบอกว่าจะตามไป พวกเขาอาจจะได้รอแบบมีความหวังสู้บอกว่า ไปไม่ได้อาจจะดีกว่านะคะ」
「เข้าใจแล้วครับ ครั้งหน้าผมจะบอกแบบนั้นละกัน ว่าแต่เมเลเน่กับคนอื่นๆ ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วครับ」
「อ๋อ เมเลเน่เหรอคะ? จากที่ทราบเธอกับสมาชิกอีก 6 คนของเผ่าไมราก้ากำลังอยู่ในจุดกักตัวของเมืองมาร์เชลและมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงจักรวรรดิหลังกักตัวเสร็จค่ะ ว่าแต่เผ่าไมราก้านี่คือเผ่าอะไรเหรอคะ? 」
แล้ว โซอี้อ่านโทรเลขของเมเลเน่ให้ฟาร์มาฟัง
「เมืองหลวงจักรวรรดิ! ฉันมาแล้ว!」
จากที่ทราบพวกเขาได้เดินทางมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ว่าแต่ทำไมพวกพ่อค้าถึงไม่เอาเรื่องนี้มาบอกฟาร์มาแต่แรกกันนะ
「พวกเผ่าไมราก้าก็คือคนของทวีปใหม่ครับ」
「แบบนี้นี่เอง! แปลว่าเดี๋ยวจะได้พบกันแล้วสินะคะ? ว่าแต่ท่านได้เตรียมหาสถานที่ท่องเที่ยวเมืองหลวงไว้พาพวกเขาไปหรือยังคะ? 」
「ผมเหรอ? 」
ฟาร์มาประหลาดใจและชี้นิ้วไปยังตัวเอง
「ดูยังไงพวกเขาก็เหมือนจะมาหาท่านนะคะ ฉันเลยคิดว่าท่านก็น่าจะต้องเป็นคนออกไปต้อนรับพวกเขา」
โซอี้กล่าว
「แต่ผมไม่ได้เชิญพวกเขามาสักหน่อย โถ่」
ก็จริงว่าฟาร์มาอยากจะพบพวกเขาอีก แต่การสื่อสารด้วยระบบสื่อสารข้ามทวีปก็น่าจะเพียงพอแล้วแท้ๆ
「ถ้าพูดแบบนี้ก็แปลว่าไม่มีที่แนะนำเลยสินะคะ」
「ตามที่พูดเลยครับ…คุณโซอี้พอจะมีสถานที่แนะนำหรือเปล่า? 」
「นั่นสินะคะ เอาเป็นร้านอาหารที่เป็นที่นิยมในเมืองหลวงก็ไม่เลวนะคะ」
เลขาผู้มากความสามารถอย่างโซอี้จึงเริ่ม ลิสรายชื่อร้านอาหารให้กับฟาร์มา
หากเป็นงานเตรียมตัวพบปะทางสังคม เธอก็ถิอว่าทำได้ไร้ที่ติ
「ไม่ทราบว่าทางนั้นมีอะไรที่ทานไม่ได้หรือแพ้บ้างหรือเปล่าคะ? 」
จากของที่เอลิซาเบทลองมอบให้ทาน เธอไม่กินเนื้อแห้งที่มอบให้ แต่ว่ากันตามตรงก็บอกได้ไม่ชัดจริงๆ ว่าพวกเธอจะไม่กินอะไรบ้าง ยิ่งการแต่งตัวแบบชนเผ่าด้วยแล้วยิ่งยากเข้าไปอีก
「ว่าแต่พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้ทะเลสินะคะ ฉันว่าอาหารทะเลก็น่าจะไม่ไม่เลว」
ถึงจะยืนยันไม่ได้ แต่จากเครื่องประดับที่มีเปลือกหอยเป็นส่วนประกอบ พวกเขาก็น่าจะทานหอยกันได้แน่ๆ แล้วหนึ่งอย่าง
「เอาเป็นแบบนั้นก็ได้ครับ ส่วนเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวชมเมืองนี่พอจะแนะนำด้วยได้หรือเปล่าครับ」
「ถ้านึกถึงสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ ก็มีหลายอย่างนะคะ เช่นวิหารหรือสิ่งก่อสร้างสไตล์จักรวรรดิ ที่ฉันมั่นใจว่าหาดูไม่ได้ในประเทศอื่นค่ะ」
โซอี้เริ่มแนะนำสถานที่เที่ยวให้ต่อ
「ชมสถาปัตยกรรมก็น่าสนใจหรอกครับ แต่เรื่องวิหารนี่อาจจะมีปัญหานิดหน่อยก็ได้」
หากพวกเขาลองอัญเชิญวิญญาณขึ้นภายในวิหาร
ได้เกิดเรื่องขึ้นมาแน่
「หากเป็นวังหลวงล่ะคะ? 」
「คงต้องไปยืนยันกับฝ่าบาทก่อนนะครับ เอาเป็นว่าก็พอรู้กำหนดการบ้างแล้ว เราไปหาอะไรหวานกินกันหน่อยไหมครับ คุณโซอี้」
「ได้สิคะ」
แล้วฟาร์มก็ตามคนอื่นไปที่ล่วงหน้าไปงานเทศกาลก่อนเขา
◆
「ท่านพ่อ ผมมีเรื่องจะปรึกษาครับ」
「เข้ามาสิ」
ปาลเล่เข้าไปพบกับบรูโนที่ห้องทำงานของตระกูลเดอ เมดิซิส
พอปาลเล่เข้าไปเขาก็ล็อกห้องจากด้านในและวาดการ์ดใบหนึ่งไว้บนโต๊ะของบรูโน ภายในนั้นถูกเขียนเอาไว้ว่าสิทธิ์ท้าชิงบัลลังก์แห่งแซงต์เฟลิฟ
「ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้ดี เพราะผมนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าทำไมตัวเองถึงได้สิทธิ์ในการท้าทายชิงบัลลังก์แห่งจักรพรรดิมา จากฝ่าบาทเอลิซาเบท」
「เรื่องนั้นพ่อได้ยินมาจากฝ่าบาทแล้ว」
บรูโนเงบหน้าขึ้นมามองปาลเล่
「ผมอยากจะปรึกษาว่าเป็นไปได้หรือเปล่าที่จะโอนสิทธิ์นี้ให้กับฟาร์มาแทน」
เป้าหมายของปาลเล่นั้นมีเพียงการเป็นแพทย์โอสถที่ยอดเยี่ยม
แม้จะได้รับสิทธิ์ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจในบัลลังก์
บรูโนจึงตอบขณะเอามือจับหน้าผากไว้
「การส่งมอบสิทธิ์ท้าทายบัลลังก์นั้นคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จากกฎจักรวรรดิที่มีมาช้านาน ทว่าการจะปฏิเสธสิทธิ์ในการเข้าท้าทายก็ไม่ใช่เรื่องเสียมารยาทอะไร」
「ทว่ามันก็นับเป็นการเสียโอกาสนะครับ ฝ่าบาทคงอยากจะหาผู้สืบทอดบัลลังก์เต็มที หากไม่สามารถหาคนมารับตำแหน่งนั้นแทนได้ ฝ่าบาทคงจะกังวลไม่น้อย」
「พ่อก็คิดแบบนั้น」
บรูโนทำสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย
「ทำไมฝ่าบาทถึงไม่เลือกฟาร์มากันนะ」
ปาลเล่พูดเหมือนอยากจะถามบรูโน
「อาจจะเป็นเพราะฟาร์มาถูกรู้จักดีอยู่แล้วในฐานะแพทย์โอสถหลวงยังไงล่ะ」
「เรื่องนั้นไม่ใช่เหตุผลเลยครับ…ถึงจะเป็นในฐานะแพทย์โอสถหรือฝีมือการต่อสู้ผมก็ไม่เคยเอาชนะฟาร์มาได้เลยสักครั้ง ดูเขาสิครับ ทั้งช่วยจักรวรรดิจากวิกฤติมากมาย หากเขาได้ครองบัลลังก์จักรวรรดิจะรุ่งเรืองขนาดไหนก็ไม่มีใครคาดเดาได้ ในฐานะพี่ชายของเขาแล้วผมเชื่อว่าเขามีคุณสมบัติและความเหมาะสมกว่าผู้ใด ไม่ว่าจะจักรพรรดิหรือแพทย์โอสถเขาก็คู่ควรครับ」
「ถ้าจะให้พ่อพูด…ฟาร์มาไม่เหมาะสมจะเป็นจักรพรรดิ」
จากนั้นบรูโนก็เริ่มคิดเล่าความจริงให้ปาลเล่ได้ฟัง
「ท่านพ่อทำไมกันล่ะ ทำไมท่านถึงไม่ยอมรับฟาร์มา ถ้อยคำของผมมันไม่ได้ช่วยให้ท่านพ่อตัดสินใจได้มากขึ้นเลยเหรอ」
「ไม่หรอก อันที่จริงแล้ว…」
จากนั้นปาลเล่ก็ได้รู้ความจริงจากปากของบรูโน
ฟาร์มานั้นมีสถานะระดับสูงที่สุดภายในนครศักดิ์สิทธิ์และได้รับการยอมรับว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์อย่างเป็นทางการ
บรูโนได้ทำการเล่าเรื่องราวทั้งหมด ก่อนที่ชาของโต๊ะบรูโนจะเย็นชืดเสียอีก ทางปาลเล่ที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็ทำสีหน้าปั้นยากออกมา
「เขาเป็นเทพโอสถจริงๆ เหรอครับ…」
「เพราะแบบนั้น เขาจึงไม่ควรจะเป็นจักรพรรดิแห่งโลกมนุษย์ นอกจากนี้เขาก็ไม่เลือกเส้นทางนั้นด้วย เขาพึงพอใจแค่ตำแหน่งแพทย์โอสถหลวงที่สามารถเป็นช่องทางถ่ายทอดวิชาของเขามายังโลกของเรา」
ปาลเล่พูดอะไรไม่ออก
เมื่อคิดดูนี่ไม่ใช่ว่าตัวเขาได้รับพรเสียยิ่งกว่าใครหรือ
เขาคือคนที่อยู่ใกล้ฟาร์มาที่สุด ได้ยินคำสอนของฟาร์มามากที่สุด ถูกฟาร์มาช่วยชีวิตเอาไว้ ได้เห็นการกระทำของฟาร์มา จะว่าไปพอย้อนมองกลับไปสิ่งประดิษฐ์มากมายที่ฟาร์มาสร้างขึ้นและของที่เขามอบให้กับตระกูลเดอ เมดิซิสที่นับถือเทพโอสถกันเสียส่วนใหญ่ ก็คงนับว่าเป็นโชคชะตาได้
แล้วจากนี้ปาลเล่จะทำตัวยังไงกับฟาร์มาดีล่ะ
ปาลเล่รู้สึกว่าตนได้ทำเรื่องเสียมารยาทกับฟาร์มาไปหลายเรื่องเลย
「ก็แปลว่าผมได้ดูหมิ่นเทพโอสถหลายครั้งเลยสิครับ แล้วผมจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อจากนี้ดีล่ะ เห็นทีคงต้องรับโทษตายเพื่อเป็นการไถ่บาปแล้วสิ」
ปาลเล่รู้สึกผิดจริงๆ จนอยากจะฉีกร่างตัวเองทิ้งไปเสีย เขาอยากจะรีบวิ่งไปสวดภาวนานับล้านๆ ครั้งและกรีดเลือด ถวายหัวใจให้องค์เทพจริงๆ
「ทำตัวแบบที่ผ่านมาเถอะ นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นเทพเจ้า เขาไม่ได้ต้องการการปฏิบัติเช่นนั้นด้วย เขาเพียงอยากอาศัยอยู่กับผู้คนและเคียงข้างมนุษย์ ที่ไม่รู้ว่าตนเองจะหายไปเมื่อไหร่ พ่อเองก็จะปฏิบัติตัวกับเขาเฉกเช่นคนเป็นพ่อควรทำเช่นเดิม เพราะเขาขอให้พ่อทำเช่นนั้น ดังนั้นเจ้าก็ควรทำตัวในฐานะพี่ชายเช่นเดิมเถอะ 」
บรูโนถอนหายใจออกมาแล้ววางปากกาลง
สิ่งที่บรูโนกำลังทำก็คือการเขียนบันทึกทางการแพทย์และโอสถวิทยาของฟาร์มาที่ได้ถ่ายทอดให้กับเขา
「….งั้นเหรอครับ ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ควรจะเป็นจักรพรรดิเพื่อปกป้องเขา และเผยแพร่ศรัทธาแห่งเทพโอสถและการแพทย์ที่เขานำมาให้พวกเราสินะครับ」
「อื้ม…ทำตามที่เจ้าอยากเถอะ เพราะเหมือนฟาร์มาก็รีบเดินทางไปในที่ต่างๆ ที่เขาสร้างสัมพันธ์เอาไว้พอสมควร จากที่เห็นเขาอาจจะเหลือเวลาอยู่อีกไม่มากแล้วก็ได้」
ปาลเล่กำหมัดแน่น
ฟาร์มาคือร่างสถิตแห่งเทพโอสถ น้องชายของเขากำลังเป็นร่างที่ทำให้เทพโอสถมีชีวิตอยู่ได้
และในเวลาเดียวกันพรดังกล่าวก็เป็นการบอกว่าปาลเล่ได้สูญเสียน้องชายของตนไปเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่เทพโอสถจากโลกใบนี้ไป วิญญาณของน้องชายปาลเล่ที่ชื่อว่า ฟาร์มา เดอ เมดิซิสก็อาจจะถูกพาตัวไปยังสรวงสวรรค์ด้วย ปาลเล่จึงอดเศร้าหมองไม่ได้
น้ำตาได้เริ่มหลั่งรินออกมาจากดวงตาเล็กน้อย
「จากวันนี้เป็นต้นไป นอกจากการแพทย์แล้ว ผมจะไปขอให้ฝ่าบาทสอนเรื่องการปกครองด้วยครับ」
ปาลเล่ระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา
「ได้สิ พ่อจะแจ้งกับฝ่าบาทให้ ยังไงฝ่าบาทก็คงพร้อมจะเชิญเจ้าเข้าพบอยู่แล้ว」
「ขอบคุณมากครับ หากเริ่มได้เร็วก็จะสามารถท้าชิงบัลลังก์ได้เร็วขึ้น」
ปาลเล่รู้แล้วว่าตนต้องทำอะไรต่อจากนี้ไป
แต่พอเขาออกจากห้องของบรูโนเขาก็ไปชนเข้ากับฟาร์มา
ในมือของฟาร์มานั้นกำลังถือขนมจำนวนมากอยู่ ท่าทางเขาจะออกไปซื้อจากที่ไหนสักแห่ง
ปาลเล่รีบดึงสติกลับมา
「ท่านพี่ ผมกำลังจะไปดื่มชากับลอตเต้ที่ชั้นล่าง มาทานด้วยกันไหมครับ? 」
「โฮ่! ของแบบนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ วันนี้ไปฝึกกันดีกว่าน่า!」
「ไม่เอาหรอกครับ วันนี้ผมไม่ได้ว่างสักหน่อย」
นั่นสินะ…ปาลเล่มองดูฟาร์มาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มสงสัยว่าคนแบบนี้น่ะหรือคือเทพโอสถ
เป็นคนที่ชอบทำตัวสบายๆ แต่ก็ละเอียดอ่อน ถึงบางครั้งจะดูไม่น่าเชื่อถือบ้างก็ตาม
ทว่าเขาก็ได้สร้างปาฏิหาริย์มากมายด้วยร่างกายเล็กๆ นั้นมาตลอด
ปาลเล่ที่กำลังเผชิญหน้ากับมะเร็งเม็ดเลือดขาวแล้วรอความตายมาเยือน ก็ได้เขาคอยเคียงข้างทั้งคืนวัน จนสามารถรอดมาได้
ความรู้แห่งทวยเทพก็ถูกบันทึกลงในตำราแล้วเผยแพร่ไปทั่วโลก
เขาได้พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้วิทยาศาสตร์และโอสถวิทยาเป็นที่รู้จัก
แต่ท้ายที่สุดแสงสว่างของโลก ก็จะต้องจากไป
หากเขารู้เร็วกว่านี้..ก็คงจะดี ปาลเล่สลักความรู้สึกของตัวเองไว้ในจิตใจส่วนลึก
ก่อนจะอธิษฐานอย่างเงียบๆ กับร่างเล็กๆ ตรงหน้าแล้วเดินลงบันไกไปอย่างมีความสุข
「เทพอยู่เคียงข้างเราและคอยมองเราในระยะนี้มาโดยตลอดเลยงั้นเหรอ」
เขาจะรู้สึกแบบไหนกันนะขณะที่เห็นปาลเล่กำลังคุกเข่าสวดภาวนาต่อรูปปั้นเทพโอสถอยู่ทุกวันจากด้านหลัง
◆
「ผมมีแขกจะมาเยี่ยมในอีก 2 วันน่ะ ดังนั้นก็เลยต้องรีบวางแผนพาพวกเขาเที่ยว」
ฟาร์มาได้จัดการหลายๆ อย่างเสร็จไปแล้วผ่านการแนะนำของโซอี้ แต่เขาก็ได้มาขอความเห็นของลอตเต้ที่คฤหาสน์เอาไว้ด้วย
นอกจากนี้ก็มีปาลเล่ที่เขาไปเชิญมาเมื่อครู่
「หรือก็คืออยากจะให้ช่วยแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหญิงสาวสินะคะ」
ลอตเต้ถามฟาร์มาขณะเสิร์ฟขนมไปด้วย
「หื้ม ค่อนข้างยากเลยนะคะที่จะช่วยแนะนำได้ เพราะผู้หญิงเองก็มีหลากหลายประเภทนะคะ อย่างคุณหนูบลานช์เอย ท่านเอเลโอนอร์เอย ทุกคนต่างก็มีความแต่ต่างทางรสนิยมกันอย่างสิ้นเชิงเลยค่ะ」
ลอตเต้เคียงคอคิดขณะถือถาดที่มีชาวางอยู่
(ก็จริงแฮะ…เมเลเน่กับลอตเต้เองก็ดูเหมือนจะเป็นคนนิสัยตรงข้ามกันเลย)
งั้นลองดูนี่ก่อนสิ ฟาร์มายื่นเอกสารแผนไปให้ลอตเต้ดู แน่นอนว่าปาลเล่ก็ด้วยแต่เหมือนปาลเล่ตอนนี้จะคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัวอยู่ ท่าทางเลยแปลกไป
ฟาร์มาเองก็ไม่อยากจะไปถามอะไรมาก เพราะบางทีอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไปคุยกับพ่อมา
「เมเลเน่อายุใกล้เคียงกับลอตเต้นะ ผมก็เลยอยากจะฟังความเห็นนิดหน่อย ส่วนท่านพี่เองหากมีไอเดียดีๆ ก็บอกได้นะครับ」
ได้ยินว่าเมเลเน่อายุได้ 13 ปี ดังนั้นเธอจะแก่กว่าฟาร์มาไป 1 ปีและแก่กว่า ลอตเต้ไป 2ปี
ทว่าฟาร์มานั้นไม่ได้มีหัวใจเป็นเด็กไร้เดียงสาเลยไม่รู้จะต้องทำแบบไหน ดังนั้นหากเป็นอะไรที่ลอตเต้ทำแล้วน่าจะมีความสุข ก็น่าจะพออ้างอิงใช้กับเมเลเน่ได้บ้าง
มาถึงวันแรกก็มาเจอกันที่คฤหาสน์ของเขา จากนั้นพาไปทานอาหารที่ร้านซึ่งเหมาไว้ แล้วก็ไปเดินเล่นรอบเมืองหลวงช่วงบ่าย จากนั้นก็เข้าวังไปงานเลี้ยงริมแม่น้ำ แล้วพักค้างคืนที่คฤหาสน์เดอ เมดิซิส
วันที่สองก็จะพาไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยแพทย์ แล้วก็ซื้อของนั่นนี่
ลอตเต้ที่มองดูตารางแผนแล้วก็ยิ้มออกมา
ฟาร์มาเลยรู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่เห็นท่าทางแบบนั้น
「สมบูรณ์แบบมากเลยค่ะ! ทำเอาฉันอยากจะไปด้วยเลย」
「งั้นมาด้วยกันเลยไหม? 」
「แต่ฉันว่ามันจะเยอะไปไหมนะ」
ปาลเล่ที่ดูตารางแผนอยู่ก็เริ่มถามเรื่องเวลาซื้อของที่นานมากๆ ฟาร์มาก็อธิบายไปตามที่ตนคิดว่านั่นเหมาะสมแล้ว
「จะว่าไปอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหนเหรอ? 」
ไม่แปลกที่ปาลเล่จะไม่รู้จัก จึงได้ถามแบบนั้นขึ้น
「ถ้าจะให้พูด พวกเขาเป็นชาร์แมนที่สามารถควบคุมวิญญาณและใช้ศาสตร์แห่ง…」
「หาาาา! ควบคุมวิญญาณได้เหรอ! เห็นทีว่าคงต้องเตรียมวงเวทศักดิ์สิทธิ์เอาไว้หน่อยแล้วสิ!」
ฟาร์มารู้สึกแย่ที่ตนไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนจนอีกฝ่ายตกใจไปก่อน
「แต่มันไม่ใช่ของน่ากลัวแบบที่เราเจอหรอกครับ นอกจากนี้ก็สร้างรูปวาดที่สามารถจับต้องได้จริงด้วย」
「เห! รูปวาดเหรอคะ?!」
ลอตเต้ผู้เป็นถึงจิตรกรหลวงย่อมตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำว่าการวาดภาพ น้ำเสียงของเธอกลับมาสดใสอีกครั้ง
「แบบนี้ ฉันจะสามารถทำให้รูปตัวเองขยับได้บ้างไหมนะ?!」
(จะว่าไปไอนั่นมันเหมือนอนิเมชั่น 3D เลยนี่หว่า!)
หากได้ความร่วมมือจากเมเลเน่ ฟาร์มาจึงเริ่มตระหนักถึงความเป็นไปได้ของผลงานศิลปะชิ้นใหม่ทันที
◆
สองวันต่อมา
พวกเมเลเน่ก็ได้เดินทางมาถึง ซึ่งขบวนเดินทางมานั้นเหมือนจะถูกอดัมจัดเตรียมมาให้เป็นอย่างดีตั้งแต่ที่มาร์เชล เมเลเน่ได้มาในมาดของคุณหนูผู้ดีซึ่งสวมชุดอันงดงาม
ผู้ติดตามคนอื่นๆ ของเธอเองก็สวมชุดสูทคุณภาพสูง หญิงสาวอีก 2 คนเองก็สวมชุดแบบกางเกงมาด้วย
แน่นอนว่าคลาร่าซึ่งเป็นคนรู้จักกับอีกฝ่ายก็ถูกทางเดอ เมดิซิสเชิญมาด้วยไม่ว่าเธอจะต้องการหรือไม่ก็ตาม แล้วเพราะฟาร์มามาอยู่ตรงนี้จึงเหลือแค่เอเลนดูแลร้านขายยาแทน
พอเมเลเน่กับผู้ติดตามของเธอลงมาจากรถม้า ฟาร์มาก็ทักทายพวกเธอ ส่วนเธอที่เห็นฟาร์มาก็ยิ้มออกมา
(มีผู้ชาย 3 ผู้หญิง 3 สินะ)
ฟาร์มาเริ่มสังเกตว่าบางคนเขาเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก
「ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เมเลเน่ ยินดีต้อนรับสู่เมืองหลวงจักรวรรดิครับ」
ฟาร์มาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่สดใส แม้จะชวนอึดอัดนิดหน่อยแต่คงต้องปล่อยไปแบบนี้ก่อน
「กว่าจะได้เจอกันนะฟาร์มา นายเองไม่เปลี่ยนไปเลยนี่」
ฟาร์มายื่นมือไปจับเธอ เมเลเน่ที่เห็นก็คว้ามือเขามากำไว้แน่น
ดูจากแรงบีบแล้ว บอกได้เลยว่าเมเลเน่เหมือนจะยังแอบแค้นฟาร์มาอยู่นิดหน่อย ชวนให้ฟาร์มาแอบกังวลขึ้นมา
「ไม่ทราบว่าพอจะแนะนำผู้ติดตามให้พวกผมรู้จักหน่อยได้ไหม? 」
「คนนี้ ไอปา พี่ชายคนโตของฉัน เลเบปาพี่ชายคนที่สองของฉัน บอนปาพี่ชายคนที่สามของฉัน ส่วนทางนั้นมิน่า ผู้นำเผ่าคนถัดไปกับเบน่าน้องสาวของเธอ」
เนื่องจากพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน ฟาร์มาเลยวางแผนว่าจะถ่ายรูปให้พวกเธอในภายหลังด้วย
ช่วงอายุของพวกเขาดูเหมือนจะอยู่ช่วง 10 ต้นๆ ถึง 20 และเมเลเน่ดูจะอายุน้อยที่สุด
ทว่าตามที่ไดอารี่ของสกาเล็ต แฮริสเขียนสังคมของพวกเขาไม่มีระบบอาวุโส ลำดับปกครองในเผ่าจะอยู่ที่ความแข็งแกร่งของพลัง
「ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมฟาร์มาส่วนทางนี้คือคลาร่าครับ」
「ยินดีต้อนรับนะ เมเลเน่ ตอนเดินทางมารู้สึกเมาเรือหรือเปล่าคะ? 」
คลาร่าทักทายอย่างขวยเขินนิดหน่อย ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนก็ยังลบความเขินอายออกไปไม่ได้
ลอตเต้ บลานช์ กับคนของเดอ เมดิซิสเองก็ออกมาทักทายพวกเขาด้วย แต่เมเลเน่เหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรนัก ส่วนทางมิน่ากับเบน่าเหมือนจะให้ความสนใจกับลอตเต้พอสมควร
「ฉันไม่สนใจครอบครัวของนายหรอกนะ เพราะตอนนี้คนของฉันอยากไปเที่ยว นอกจากนี้ฉันก็ได้เงินของจักรวรรดิมาเยอะแล้วด้วยก็เลยจำเป็นต้องมาใช้ที่จักรวรรดิ อยากจะรู้จริงๆ ว่าจะมีสิ่งไหนคุ้มค่าต่อการแลกเปลี่ยนไหม」
ดูเหมือนเธออยากจะยืนยันมูลค่าของสินค่าและเงินที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนด้วย
「ชุดเหมาะกับคุณมากเลยนะคะ」
คลาร่าที่มีปัญหาในการพูดคุยเลือกจะชมการแต่งตัวของอีกฝ่ายแทน
「เป็นเสื้อของจักรวรรดิที่ชายชื่ออดัมเตรียมไว้ให้น่ะ เนื้อผ้านุ่มดี คนของฉันก็ชอบกัน น่าจะต้องซื้อกลับไปให้คนที่เผ่าด้วย…」
「ฉันรู้จักร้านเสื้อผ้าคุณภาพดีราคาถูกอยู่ด้วยนะคะ!」
พอเธอได้หัวข้อคุยขึ้นมาก็เริ่มแสดงท่าทางดีใจ
「ไว้พาฉันไปทีหลังแล้วกัน」
จากนั้นฟาร์มาก็เริ่มสังเกตได้ว่าเมเลเน่ใช้เสียงของตัวเองในการสนทนามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
「นั่นสินะครับ เรื่องการซื้อของเอาไว้ก่อนกลับน่าจะดีกว่า ว่าแต่เมเลเน่คุณพูดภาษาจักรวรรดิได้แล้วเหรอครับ? 」
「ฉันอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษมาไว้ในหัวน่ะแล้วใช้ท่านเป็นล่ามอีกที ได้ยินว่าคนของจักรวรรดิขี้กลัวแล้วไม่ชอบวิญญาณกัน ก็เลยคิดว่าไม่ให้พวกเขามองเห็นทางฉันคงสบายกว่า」
ก็เรียกว่าเป็นการแสดงน้ำใจในแบบของเธอเอง
「ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอเนี่ย」
ฟาร์มารู้สึกทึ่งในความสามารถของเธอ
「เอ๋? ฟาร์มานายทำไมได้เหรอ? 」
ใบหน้าของเมเลเน่แสดงออกเลยว่าตนมีชัยเหนือกว่าฟาร์มาไปแล้ว
「น่าแปลกใจจริงๆ เลยนะทั้งที่คิดว่าไม่ว่าเรื่องไหนนายก็ทำได้หมดแท้ๆ 」
「ฮ่ะๆ จริงสิ ผมว่าจะเอานี่ให้คุณอยู่พอดี」
「อะไรเหรอ? 」
ฟาร์มายื่นสมุดเล่มหนึ่งที่ถูกเข้าเล่มอย่างดีให้เมเลเน่
「มันคือไดอารี่ของสกาเล็ต แฮริสน่ะ」
แน่นอนว่าไม่ใช่ฉบับแปลภาษาไมราก้า แต่เป็นภาษาจักรวรรดิ
「ทั้งที่บอกว่ากว่าจะเสร็จก็คงปีหน้า ฉันเลยไม่ได้คาดหวังอะไรตอนนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่าทุ่มเทกับไดอารี่หนาๆ นี้แค่ไหน」
「ก็ไม่ใช่งานหนักอะไรมากหรอก」
ความเร็วในการแปลภาษาอังกฤษของฟาร์มาก็พอๆ กับการอ่าน
แต่ระหว่างที่เขาแปลเขาก็แอบน้ำตาซึมไปบ้างเพราะคิดถึงภาษาโลกของเขา บางทีคงจะมีความสุขไม่น้อยหากได้อ่านออกเสียงตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่น
แต่ฟาร์มาก็จำเป็นต้องซ่อนข้อมูลที่เกี่ยวกับโลกของเขาให้ได้มากที่สุด โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ฟาร์มาแปลไปให้นั้นจะเป็นข้อมูลที่เมเลเน่อยากรู้และจำเป็นต้องรู้เสียมากกว่า
「วิญญาณสามารถอ่านภาษาจักรวรรดิได้ไหมครับ? 」
「ก็คิดว่าได้นะ อ้อ ท่านบอกว่าไม่มีปัญหาน่ะ」
เมเลเน่แสดงสีหน้าดีใจออกมา
ท่าทางไดอารี่นี่จะเป็นเหมือนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเธอเลย
「ก่อนอื่นผมบอกไว้เลยนะว่ามันเป็นเพียงไดอารี่ปกติ มุมมองของคนที่พวกคุณมองว่ายิ่งใหญ่อาจจะเปลี่ยนไปด้วยก็ได้」
「เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก ไว้กลับไปถึงบ้านเกิดของพวกเรา พวกเราค่อยอ่านแล้วกัน」
「แบบนั้นดีแล้วครับ」
ฟาร์มาตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ
มันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเจ็บปวดก็ได้
เพราะชาร์แมนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นเขียนแต่เพียงเรื่องที่ตนอยากจะกลับไปยังบ้านเกิด
「อันที่จริง ผมจองร้านอาหารเอาไว้ด้วย เลยอยากจะทราบเพิ่มเติมว่ามีอะไรที่พวกคุณกินไม่ได้หรือเปล่าครับ? 」
เมเลเน่ก็หันกลับไปคุยกับคนของเธอก่อนจะหันกลับมา
「ดีเลยๆ พวกเราเริ่มหิวกันแล้วด้วย ส่วนอาหารพวกเรากินอะไรก็ได้ที่พวกนายกิน แต่ถ้าของชอบก็ต้องคาตานะ」
「หมายถึงปลาสินะคะ!」
คลาร่าจำได้ว่ามันหมายถึงปลา
「งั้นก็ดีเลยครับ เพราะร้านที่เราไปขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลด้วย」
ฟาร์มารู้สึกโล่งใจที่การตัดสินใจของโซอี้ถูกต้อง
แล้วก็เป็นร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองหลวงที่ถูกสงวนไว้ให้กับพวกฟาร์มา คลาร่า และของเผ่าไมลาก้าได้เพลิดเพลินกับเมนูอาหารที่ดีงาม รสชาติดี รับประทานง่ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้ช้อนส้อมแบบเป็นพิธีการอะไร
แล้วดูเหมือนว่าเมนูหอยจะทำพวกเธอติดใจเป็นพิเศษ จนขอเติมเยอะมาก
「ฉันกินไปเยอะเลย คงไม่ใช่ว่าจะติดโรคอะไรใช่ไหม? 」
เมเลเน่แอบพูดตลกร้ายออกมา
「พวกมันไม่ใช่หอยน้ำจืดนะ แล้วก็ผ่านการปรุงสุกมาแล้วด้วย ดังนั้นคงไม่ต้องห่วงเรื่องโรคหรอก」
ฟาร์มาพูดขณะเอื้อมมือไปหยิบหอย
จากนั้นเมเลเน่ก็ถามฟาร์มาต่อ
「พยาธิใบไม้เลือดสินะ แล้วคนของนายที่ติดโรคไปเป็นยังไงแล้วบ้าง? 」
ฟาร์มาประหลาดใจกับคำถามของอีกฝ่าย
「ทุกคนกำลังฟื้นตัวน่ะ หลังทานยาเข้าไป ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ」
「งั้นเหรอ」
เมเลเน่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ท่าทางของเธอก็แสดงออกมาว่าโล่งใจนิดหน่อย
อันที่จริงเมเลเน่ไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรกับคนที่ป่วยเลย
ก็จริงว่าพวกเธอปล่อยให้คณะเดินทางเข้าไป แต่สุดท้ายมันก็เป็นทางเลือกของคนพวกนั้นเอง ฟาร์มาเลยพูดเปลี่ยนเรื่อง
「รู้สึกยังไงบ้างกับอาหารเมืองหลวง」
「อาหารเมืองหลวงอร่อยดี มีหลากหลาย ฉันชอบนะ ทั้งที่ใช้ของแบบเดียวกันแต่กลับอร่อยกว่าที่เคยกิน」
「มันเป็นเพราะเครื่องเทศครับ ขากลับก็ลองหาซื้อของพวกนั้นกับตำราทำอาหารดูนะ」
แล้วจำนวนร้านที่พวกเมเลเน่ต้องไปเพิ่มขึ้นไปอีก
ฟาร์มาก็เลยกลับมาคิดอีกครั้งว่า ตัดสินใจถูกแล้วที่เขาลงเวลาให้กับการซื้อของนานที่สุด
MANGA DISCUSSION