ตอนที่ 116 บันทึกจากคนตาย ไดอารี่ของสกาเล็ต แฮริส
ลับสุดยอด
ไดอารี่ของสกาเล็ต แฮริส
เมื่อใดก็ตามที่มีใครอ่านไดอารี่เล่มนี้ได้ ตัวฉันคงจากโลกนี้ไปแล้ว
ดังนั้นฉันคงจะดีใจมากหากคุณที่กำลังอ่านอยู่สามารถเข้าใจภาษาภายในไดอารี่เล่มนี้ได้จริงๆ
ได้โปรดส่งต่อมันให้กับเขา
ปลายทางคือโจชัว แฮริส
ถนนXXXXX รัฐอาร์คันซอ วินเทอร์วิล
แม้ว่าตัวฉันจะจากไปแล้ว แต่ก็จะขอภาวนากับพระเจ้าให้สิ่งนี้ไม่ตายจากไปด้วย
เนื้อหา
21 กรกรฏาคม 1926
ฉันสกาเล็ต แฮริส
เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน 1902
ถนนXXXXX รัฐอาร์คันซอ วินเทอร์วิล
ฉันเป็นครูสอนในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง
เนื่องจากมีฝนตกหนักมากว่าหลายสัปดาห์แล้วจึงทำให้เขื่อนกั้นน้ำแถบแม่น้ำมิสซิสซิปปี้พังทลายลงมามากกว่า 100 แห่ง
พื้นที่รอบๆ บ้านของฉันถูกน้ำท่วมและจมลงข้างใต้นั้น
ระหว่างการอพยพฉันได้สูญเสียไม้พายของเรือคายัคไป ก่อนที่เรือของฉันจะไหลไปตามสายน้ำ
นี่ก็ผ่านมาได้สองวันแล้ว กระแสน้ำเริ่มเบาบางลงในที่สุดฉันก็ถึงริมฝั่งแม่น้ำได้สักที
แต่น่าแปลกที่ไม่มีบ้านเรือนอยู่รอบๆ เลย
ทั้งทุ่งนา สะพาน หรือแม้แต่เมืองอะไรก็ไม่พบเห็น จะมีก็แต่ธรรมชาติและป่าอันกว้างใหญ่
ฉันพยายามเดิมกลับมาตามริมฝั่งแม่น้ำได้สองวันแล้ว แต่ก็ยังไม่พบใครเลย
ตอนนี้รู้สึกปวดหัวไปหมด
ระหว่างที่กำลังเขียนไดอารี่นี้ก็ได้แต่หวังให้ทางการส่งทีมช่วยเหลือมาสักหน่อย
ระหว่างนี้ก็คงต้องตรวจสอบร่างกายตัวเองไปด้วย
แล้วก็พบว่าระหว่างที่ลอยน้ำมาได้เกิดแผลไฟไหม้อย่างรุนแรงขึ้นที่แขนขวาของฉัน
แต่น่าแปลกที่ดันไม่รู้สักเจ็บหรือมีเลือดออกจากตรงนั้นเลย
ฉันก็เลยทำแค่เพียงปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยยาฆ่าเชื้อแล้วเอาผ้าพันแผลจากกล่องพยาบาลที่พกมาด้วยพันปิดไว้
จากนั้นก็เริ่มตรวจสอบของที่พกมาด้วย
มีกระเป๋ายังชีพฉุกเฉินที่ติดมากับเรือคายัคแล้วก็ของอีกนิดหน่อยที่พอจะหยิบติดมือมาได้จากในบ้าน
เห็นแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจกับของที่พกมา
แน่นอนว่ายังมีไดอารี่พร้อมปฏิธินนี่ติดมาด้วย
ดูเหมือนจะเหลือหน้าให้เขียนอีก 256 หน้านะ
แถมพอสำรวจดูก็พบว่าตัวเองมีปืนพกกับกระสุนไว้จัดการหัวขโมยที่พ่อบังคับให้เก็บเอาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนด้วย
มีคู่มือติดมาด้วย
แต่คนแบบฉันจะไปเอาทักษะยิงปืนมาจากไหนกัน? คงได้แค่ใช้ขู่พวกสัตว์ป่ากับคนแปลกๆ เท่านั้นแหละ แต่อย่างน้อยก็ขอให้อย่าเจอของจริงละกัน
ยังต้องระวังพวกจระเข้ด้วยนี่นะ
ยังไงพวกจระเข้ก็อาศัยอยู่แถวแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ คงไม่พ้นที่จะต้องเจอแหละ
ทว่าถึงจะน่ากลัวที่เจอกับมันแต่หากเทียบกับจระเข้ที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำไนล์ซึ่งรู้จักในชื่อปีศาจกินคนแล้ว จระเข้ที่นี่ค่อนข้างจะรักสงบเลยทีเดียว
หากไม่ไปยุ่งกับมันในช่วงฤดูผสมพันธุ์ก็ไม่น่าจะถูกมันทำร้าย แถมเหยื่อของพวกมันก็มีแต่พวกสัตว์ป่าอื่นๆ
หากถามว่ามีอะไรน่ากลัวกว่าจระเข้ก็คงจะเป็นพวกงูพิษหรือนากมากกว่า
สำหรับคนที่อาศัยอยู่แถวแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ตัวพวกนี้เป็นสิ่งแรกๆ เลยที่ควรระวังฉันที่เป็นครูสอนพวกเด็กๆ ก็มักจะบอกพวกเขาเสมอ
ตอนนี้ไม่รู้ทำไมเหมือนรู้สึกตัวเองออกห่างจากปลายทางไปเรื่อยๆ
อาหารเหลืออยู่ตอนนี้ก็มีถั่ว ช็อกโกแลต แล้วก็อาหารกระป๋องอีก 3 อัน
ตอนแรกก็มี 4 นะ แต่ฉันกินไปแล้ว 1
เสื้อผ้ามี 3 ชุด
ถุงนอน
เงินสด
นาฬิกา
เข็มทิศกับแผนที่
วิทยุแร่
ไม้ขีดไฟ
มีดพก
ส่วนของข้างในกล่องปฐมพยาบาลก็มี
ปลาสเตอร์
แอลกอฮอล์
สำลี
หนังสือที่ชื่อ จะทำอย่างไรหากเกิดอาการบาดเจ็บในสถานการณ์ฉุกเฉิน
โชคดีที่ฝนมันตกบ่อยๆ น้ำดื่มจึงไม่ขาดแคลนนัก
หากเก็บใช้ภาชนะระหว่างหลบฝนก็เหลือกินเหลือใช้
ถึงจะยังไม่มีการช่วยเหลือเข้าถึง แต่ก็คงรอดไปได้อีกสักสัปดาห์หนึ่ง
เหมือนกับกำลังเดินทางไปในโลกที่ไม่รู้จักเลย
ชักรู้สึกว่าตัวเองเป็นทอม ซอว์เยอร์ละสิ
เอาเถอะไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก
สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือการตั้งแคมป์กลางแจ้งอีกสักพัก
เดี๋ยวพรุ่งนี้เครื่องบินที่ผ่านมาก็น่าจะเห็น
ต้องระวังแค่พวกสัตว์
ปล่อยใจให้สบาย
ทว่าสิ่งเดียวที่ฉันยังกังวลก็คงจะเป็นคนในครอบครัวกับพวกนักเรียน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะอพยพกันสำเร็จไหมนะ
25 กรกฎาคม ปี 1926
อาหารที่ฉันพกมาด้วยหมดไปแล้ว
ตอนนี้ก็ต้องอาศัยพวกกุ้งกับหอยน้ำจืดประทังชีวิต
อย่างไรก็ตามไอ้กุ้งพวกนี้มันไม่ใช่สายพันธุ์ที่จะเจอได้ในอเมริกาเลยสักนิด ที่ฉันจำได้เพราะเคยสอนพวกเด็กๆ ในคลาสวิทยาศาสตร์
หากทีมช่วยเหลือมาถึง บางทีฉันอาจจะได้เป็นผู้ประกาศการค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ด้วยก็ได้
แน่นอนว่าก็พยายามล่าสัตว์เหมือนกันแต่ฝีมือการยิงของฉันมันห่วยสิ้นดี
ใจหนึ่งก็หวังว่าการค้นหาทางเรือจะมาด้วย ก็เลยพยายามไม่ออกไปไกลจากแม่น้ำนัก
แต่ก็เพราะจระเข้นี่แหละเลยทำให้ใจเต้นทุกที
หรือนี่จะเป็นการทดสอบจากพระเจ้างั้นเหรอ
ในที่สุดฉันก็ถอดผ้าพันแผลที่ปิดแผลไฟไหม้ออกแล้ว
28 กรกฎาคม ปี 1926
ตั้งแต่ที่ลงเรือมา วิทยุแร่ก็ไม่ได้รับสัญญาณอะไรเลย
จนชักสงสัยว่ามันพังหรือเปล่า ยังไงมันก็เป็นโครงสร้างแบบเรียบง่ายนี่นะ
ถึงจะลองพยายามซ่อมๆ ดู แต่ก็เหมือนจะไม่ได้รับสัญญาณอะไรเลยอยู่ดี
หรือสถานีวิทยุของเมืองจะโดนน้ำท่วมไปด้วยนะ
สภาพแขนขวาตอนนี้ก็กลายเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่ไปซะแล้ว
ก็ไม่อยากจะทำให้ตัวเองคิดมากหรอกนะ
แต่มันเห็นเครื่องบินช่วยเหลือเลยตั้งแต่ออกมาจากแถวบ้าน
แถมพอมองไปแถบภูเขาไกลๆ ก็มีเห็นบ้านเรือนคนเลยนี่สิ
มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ
วันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1926
ประมาณช่วงเที่ยงระหว่างที่ฉันกำลังเล็งปืนไปยังเป็ดที่แม่น้ำ ฉันก็ได้ยินเสียงของคน
ทว่าความสุขและความหวังที่ได้เจอกับมนุษย์เป็นครั้งแรกก็ต้องทลายลงไป
เพราะพวกเขาพกธนูกับหอกมา แถมพยายามจะทำร้ายฉันด้วย
ทั้งที่ฉันเก็บปืนแล้วพยายามเข้าหาอย่างเป็นมิตรแท้ๆ แต่อีกฝ่ายดันไม่เข้าใจภาษาอังกฤษนี่สิ
เหมือนพวกเขาจะมีภาษาถิ่นเป็นของตัวเอง
เสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ก็แปลกๆ ไม่รู้เลยว่าเป็นคนเชื้อชาติไหนมีภูมิหลังวัฒนธรรมแบบใด
แต่ที่แน่ๆ มันไม่เหมือนกับชนพื้นเมืองแถบอเมริกาเหนือเลย
บางทีพวกเขาอาจจะเป็นกลุ่มคนอพยพมาจากทางอเมริกาใต้ก็ได้ แต่ฉันก็ไม่มีความรู้ทางนั้นนักหรอกนะ
แถมมันยากที่จะเชื่อจริงๆ ว่ามีชนเผ่าอาศัยอยู่ในป่าโดยที่อเมริกาไม่รู้
จะว่าไปก็มีข่าวอย่างการค้นพบชนเผ่าที่อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวด้วยนี่นะ
จำได้ว่าเห็นจากหนังสือพิมพ์
ถึงจะไม่เข้าใจภาษาของกันแต่ฉันก็มาดีนะ
ทางฉันก็ปลดอาวุธไปแล้วด้วย ก็ได้แต่หวังให้อีกฝ่ายทำเหมือนกัน
สุดท้ายความตั้งใจของฉันก็สื่อไปถึง
ฉันได้รับการนำทางไปยังหมู่บ้านของพวกเขา แล้วได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
แน่นอนว่าระดับทางวัฒนธรรมความเจริญของพวกเขามันแปลกใหม่
มีการสร้างบ้านพักคล้ายกับเต็นท์
ฉันได้เห็นพวกธัญพืชและมันฝรั่งแปลกๆ
มันคือสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ก็ได้แค่หวังว่ามันจะไม่มีพิษนะ พอหลังทานอาหารเสร็จก็ทำได้เพียงขอบคุณพระเจ้าที่รอด
ก็คิดว่าน่าตลกดี แต่รู้สึกเหมือนตัวเองจะเข้าไปในเรื่องการผจญภัยของทอม ซอว์เยอร์จริงๆ ละสิ
นอกจากนี้พวกเขาก็เหมือนจะสนใจแผลไฟไหม้ของฉันพอสมควร เห็นพยายามเข้ามาจับอยู่บ่อยๆ
วันที่ 2 สิงหาคม ปี 1926
ก็ผ่านมาสักพักแล้วที่ฉันเริ่มใช้ชีวิตในหมู่บ้านนี้
พอได้อยู่กับพวกเขา กำลังใจของฉันก็เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ฉันก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าสถานที่แห่งนี้มันคล้ายกับอเมริกาแต่ก็ไม่ใช่
พูดให้ถูกคือมันเป็นสถานที่คล้ายกับโลกของฉันแต่ก็ไม่ใช่
ฉันไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังอาศัยอยู่ที่ไหน
เหมือนตัวเองเป็นอลิซในแดนมหัศจรรย์เลย
ทว่ามันกลับไม่มีรูกระต่ายที่จะทำให้ฉันกลับไปโลกเดิมนี่สิ
ขอร้องล่ะ ถ้ามันเป็นฝันก็ช่วยตื่นสักทีเถอะ
สำหรับฉันที่เป็นเร่ร่อนจนได้มาอาศัยในหมู่บ้านนี้ ก็ไม่มีความกล้าจะเดินทางจากไปด้วยสิ
เพราะฉันไม่รู้ว่าภายนอกมันจะมีอะไรรออยู่บ้าง
ทุกๆ วันต้องเจอกับภาษาและประเพณีที่ไม่คุ้นเคย พืชและสัตว์ก็แปลกประหลาด
ถึงจะเป็นแบบนั้นฉันก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป
ต้องปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ให้ได้ อย่างแรกฉันคงต้องเรียนภาษาของพวกเขาก่อน
เนื่องจากมันทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก การเรียนภาษาของฉันก็เลยดำเนินไปได้ด้วยดี
วันที่ 26 สิงหาคม ปี 1926
ระหว่างที่อยู่กับพวกเขาฉันก็เริ่มเรียนรู้อะไรต่อไปทีละนิดทีละหน่อย
(ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้จากบันทึกหน้าสุดท้าย)
ลำดับชนชั้นภายในหมู่บ้านค่อนข้างน่าสนใจเลย
จะมีการแต่งตั้งหญิงสาวคนหนึ่งมาเป็นผู้นำ และทุกคนในหมู่บ้านก็จะปฏิบัติตามคำแนะนำของเธอ
ยิ่งตำแหน่งภายในหมู่บ้านสูงเท่าไหร่ รอยสักบนร่างกายก็จะมีการตกแต่งมากขึ้นเท่านั้น
ชวนให้นึกถึงมิโกะอะไรทำนองนั้นแหละแฮะ
ลักษณะทางวัฒนธรรมของพวกเขาชวนให้ฉันนึกถึงลัทธิวิญญาณนิยมแถบเอเชียเลย
แถมที่แห่งนี้ก็มีสิ่งที่คล้ายกับศูนย์อนุบาลไว้คอยดูแลพวกเด็กๆ ที่อยู่กันเป็นกลุ่มด้วย
ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ออกไปล่าสัตว์โดยไม่สนเรื่องเพศ
ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านเธอก็จะอาศัยอยู่ในที่ของเธอและไม่ค่อยปรากฏตัวมาในหมู่บ้านนัก
ฉันได้เห็นเธอไม่กี่ครั้งเอง
แถมไม่มีผู้สูงอายุในหมู่บ้านด้วย
อายุขัยเฉลี่ยของพวกเขาคงสั้นจริงๆ
แต่สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ อัตราการรอดชีวิตก็คงไม่สูงเท่าไหร่
ระหว่างที่ฉันมาที่นี่ก็มีทารก 2 คนเสียชีวิตระหว่างคลอดด้วย
(สำหรับโครงสร้างของหมู่บ้าน สามารถดูได้จากภาพด้านล่าง)
วันที่ 24 กันยายน ปี 1926
วันนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านเสียชีวิตเพราะถูกฆ่าตาย
ฉันก็เลยต้องไปเข้าร่วมงานศพ ทว่าก็ได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจ
หัวหน้าหมู่บ้านทำให้ภาพวาดมีชีวิตขึ้นมาได้
คือฉันพูดจริงนะ
แบบไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีผ่านตัวหนังสือ (ก็เลยวาดภาพประกอบเอาไว้)
มันมีการวางสัตว์บูชายัญไว้บนแท่นที่เต็มไปด้วยลวดลายบางอย่าง บนนั้นมีศพของชายหนุ่มวางอยู่ จากนั้นเขาก็ท่องบทสวดอะไรสักอย่าง จากนั้นลวดลายบนแท่นบูชาก็ส่องแสงออกมา
ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ถ้าเขาวาดรูปกวางลงไปบนนั้น กวางตัวนั้นก็จะกระโดดโลดเต้นขึ้นมาได้
พวกเด็กๆ บอกว่า หัวหน้าหมู่บ้านคือคนที่ทำแบบนั้นได้
นอกจากนี้เขายังคุยกับคนตายได้อีกด้วย
ว่ากันว่ายิ่งมีรอยสักมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้ยินและเห็นวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น
ตอนแรกก็คิดว่าพวกเขาหลอนกันไปเองไหม แต่เหมือนจะไม่ใช่
ถึงฉันจะไม่เห็นของอย่างพวกวิญญาณเลย แต่มั่นใจได้ว่าพวกเขาไม่น่าจะโกหก
เพราะคนตายได้ให้ข้อมูลของผู้ที่สังหารเขาลง
จากการพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านและวิญญาณผู้ตาย ไม่ช้าก็พบหลักฐานที่สาวไปถึงฆาตกรได้
ดูเหมือนเขาจะถูกคนจากเผ่าอื่นฆ่าตาย
พอได้เห็นอะไรแบบนี้แล้วศรัทธาในพระเจ้าของฉันมันก็เริ่มสั่นคลอนละสิ
สิ่งเดียวที่ฉันบอกได้จริงๆ คือนี่ไม่ใช่โลกของฉันแน่ๆ
มันคือที่ที่ไม่มีเครื่องบินอยู่บนท้องฟ้า
ไม่มีการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุใดๆ
แล้วฉันจะกลับบ้านได้ไหมนะ
วันที่ 30 กันยายน ปี1926
งานที่ฉันทำได้ในหมู่บ้านนี้ไม่ค่อยมีมากนัก
เนื่องจากไม่สามารถออกไปล่าสัตว์เหมือนคนอื่นได้ จะให้ช่วยทำอาหารก็คงไม่ไหว
ดังนั้นฉันก็เลยไปดูแลพวกเด็กๆ
แถมยังได้หน้าที่ใหม่ด้วยระหว่างนั้น
เนื่องจากฉันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของคนในหมู่บ้านด้วยชุดปฐมพยาบาลที่เตรียมมา
หลังผ่านไปสักพักฉันก็ได้รับอนุญาตให้คุยกับหัวหน้าหมู่บ้านได้
เธอมีชื่อว่ามีนา
อยู่มาตั้งนานกำลังได้รู้ชื่อกัน
เธอบอกว่าฉันเป็นคนจากโลกอื่น
ซึ่งก็จริง ฉันก็คิดงั้น
เมื่อมองดูรอยแผลเป็นของฉันเธอก็บอกว่ามันคือรากเหง้าแห่งความว่างเปล่า
เธอก็ลองพยายามจะดึงมันออกมาจากแขนฉันแล้วนะแต่เหมือนจะไม่ได้ผล
ท่าทางอยากจะช่วยลบรอยแผลเป็นให้ฉันแต่คงไม่ไหวละน้อ
ถึงส่วนตัวจะรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ หากเธอทำได้ก็เถอะ
แล้วก็เพราะไอ้เจ้ารากเหง้าแห่งความว่างเปล่านี่แหละเลยทำให้ฉันถูกสอนเรียนเวทมนตร์อะไรสักอย่างคล้ายกับที่เธอใช้คุยกับพวกคนตาย
ดูเหมือนว่าแผลเป็นที่แขนฉันมันจะมีอะไรมากกว่าที่คิด
วันที่ 1 มีนาคม ปี 1927
ไส้ดินสอของฉันมันหมดแล้ว ฉันก็เลยต้องเขียนไดอารี่ต่อด้วยสีย้อมของคนในหมู่บ้านแทน ถึงจะไม่ต่อยสะดวกก็เถอะ แต่ช่วยไม่ได้
ตอนนี้ฉันได้เรียนรู้ถึงความลึกลับของแผลเป็นที่ฉันมีมากขึ้น
รากเหง้าแห่งความว่างเปล่าหรือที่ภาษาเผ่าเรียกกันว่า รูทาเรก้า
มันคือเครื่องหมายของชาร์แมนผู้ยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมาในตำนานเผ่าพวกเขา และผู้ถือครองสิ่งนี้จะสามารถใช้เวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ได้
ทว่าบางทีฉันอาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกวิญญาณบรรพบุรุษของเผ่า แม้จะมีรูทาเรก้าอยู่ฉันก็ไม่สามารถสื่อสารกับพวกคนตายได้
แต่อย่างน้อยฉันก็ได้รับพลังพิเศษบางอย่างมาจากมัน
มันคือพลังในการป้องกันน้ำท่วมและช่วยฟื้นฟูผืนดินให้กลับมาสมบูรณ์ตามเดิม
พลังที่ทำให้น้ำแห้งไปในเวลาไหนก็ได้
แต่เพราะความสะดวกของมันก็เลยถูกขอร้องให้ไปช่วยนั่นนี่หลายครั้ง บางทีก็ทำเอาหมดแรงจนขยับไม่ได้ไปเป็นวันเลย
น่าจะคล้ายกับอาการพลังเวทหมด ได้ยินว่าถ้าฝืนเกินไปถึงตายได้เลย
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังหวังให้ฉันใช้พลังเนี่ยนะ
ในตอนที่ฉันใช้รูทาเรก้าแผลเป็นของฉันก็จะส่องแสงออกมาเหมือนทับทิม
ก็ยากจะอธิบายถึงความรู้สึกจริงๆ นั่นแหละ
แต่เพื่อตอบสนองความคาดหวังของพวกเขาฉันก็จำเป็นต้องฝึกฝนมันเพื่อให้มีความแม่นยำและลดการใช้พลังเวทด้วย
ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้กันนะ
วันที่ 8 พฤษภาคม ปี 1927
ในช่วงเช้าตรู่ อยู่ดีๆ พวกฉันก็ถูกโจมตีขณะกำลังนอนสบายๆ
บางทีอาจจะเป็นเผ่าที่โจมตีคนของหมู่บ้านฉันปีก่อนก็ได้
จำนวนก็มีประมาณ 100 คน (ป.ล. พอมานับทีหลังได้ 280 คน)
แม้ว่ามีนากับพวกชาร์แมนในหมู่บ้านจะพยายามสู้กันอย่างเติมที่ขณะอัญเชิญพวกรูปภาพวิญญาณอะไรออกมาด้วย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกฆ่าไปทีละคน
โดยมีนาตายเป็นคนแรกเลย
ฉันก็เลยจำเป็ฯต้องใช้ปืนพกเข้าช่วยสู้
สุดท้ายก็ยิงโดนแค่แถวขาของพวกมัน
แต่พอกระสุนหมดแล้วจนมุมจริงๆ ฉันก็เลยปลดปล่อยพลังของรูทาเรก้าไปตรงหน้าตัวเอง
โดยหวังว่าจะจัดการกับผู้บุกรุกพวกนี้ให้หายไปในคราวเดียว
นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือทุกคนที่อยู่ตรงหน้าของฉันทั้งคนในหมู่บ้านและผู้บุกรุกต่างก็ได้รับผลกระทบนั้น
ผลคือทุกคนกลายเป็นศพ ของเหลวในร่างกายถูกดึงออกไปจนหมดและแห้งเหลือแต่กระดูก
และก็เป็นวันนั้นเองที่ฉันได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
วันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1927
ตั้งแต่ได้มาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ฉันก็ใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษาความสงบสุขของหมู่บ้าน
หากได้ดูแลอาร์คันซอทุกอย่างมันคงง่ายกว่านี้ แต่ที่นี่ดันไม่ใช่เนี่ยสิ
สุดท้ายแล้วหากคนในหมู่บ้านไม่พอใจกับนโยบายของผู้นำ พวกเขาก็สามารถโจมตีหรือลอบสังหารหัวหน้าหมู่บ้านขณะหลับได้ด้วย
โชคดีที่ฉันชนะใจคนในหมู่บ้านได้โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ก็เลยเป็นผลให้พวกแม่ๆ สนับสนุนฉันไปด้วย อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลที่หัวจะหลุดเอาตอนหลับแล้ว
นอกจากนี้ฉันยังมีสิ่งพิเศษที่เรียกว่ารูทาเรก้า ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านไม่มีมันเลยช่วยซื้อชีวิตฉันได้
ไม่เคยรู้สึกว่าโชคดีที่ตัวเองเป็นครูขนาดนี้มาก่อนเลย
เมื่อเร็วๆ นี้พวกเผ่ารอบๆ ก็มาวุ่นวายกับเราด้วยสิ แถมจำนวนดันเยอะขึ้น
คงเพราะข่าวลือเรื่องที่อดีตหัวหน้าเผ่าอย่างมีนาได้ตายลงไปในการต่อสู้คราวก่อนนั่นแหละ พวกนั้นคงคิดว่าหมู่บ้านฉันน่าจะอ่อนแอลงมาก
ปืนก็กระสุนหมดไปแล้ว จำนวนคนที่สู้ได้ก็ลดลง ไม่แปลกที่พวกนั้นจะหมายตาจังหวะนี้
ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนของฉันก็คือเสริมแกร่งให้กับหมู่บ้าน ต้องให้ความรู้และฝึกฝนพวกเขา
ฉันจึงพยายามรวบรวมคนมีฝีมือในหมู่บ้านมาสร้างกองกำลังอะไรให้มันชัดเจนเสียใหม่
วันที่ 15 สิงหาคม ปี 1927
ดูเหมือนว่าจะมีคนป่วยด้วยโรคติดต่อแปลกๆ
จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่มีอาการน้ำในช่องท้องสะสม
ฉันเองก็ไม่ใช่หมอ แต่ก็เคยอ่านบทความทำนองนี้อยู่บ้าง
มันเรียกว่าพยาธิใบไม้เลือด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อปรสิต
โรคพยาธิใบไม้เลือด นั้นถูกค้นพบโดยเซอร์แพทริก แมนสันเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
หลังจากอ่านรายงานนั่นก็รู้สึกกลัวจริงๆ ที่ปรสิตมันทำได้ถึงขนาดนั้น จำได้ว่าตอนนั้นกลัวมากที่พ่อชวนให้ไปเที่ยวเกาะแถวแคริบเบียน
พยาธิใบไม้เลือดนั้นจะแพร่กระจายทางน้ำ โดยมีพวกหอยเป็นพาหะ และติดเชื้อในมนุษย์ได้
ตามที่เคยอ่านผู้ติดเชื้อจะมีอาการผิวหนังอักเสบ มีไข้ ท้องมาน อุจจาระมีไข่พยาธิติดมาด้วย
ถ้ามีกล้องจุลทรรศน์ก็คงจะตรวจสอบได้แต่ของแบบนั้นจะไปมีได้ที่ไหนกัน น่าหงุดหงิดจริงๆ
แถมยังไม่มียารักษาพวกโรคประจำถิ่นด้วย
ได้ยินมาว่าการรับมือในบางพื้นที่ก็ต้องตัดระบบน้ำจืดที่ใช่เป็นประจำไปเลย
หากฉันเดาถูก ทะเลสาบปาติกากาซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่นี่แหละ สาเหตุ
ถึงโชคดีที่ตอนนี้ฉันยังไม่ติดเชื้อแต่ใครจะรู้ว่าตอนหลังจะเป็นยังไง
ดังนั้นวิธีรับมือตอนนี้ฉันจึงสั่งไม่ให้คนในหมู่บ้านสัมผัสกับน้ำจืดทุกชนิดที่อยู่บนผืนดิน
แหล่งน้ำที่พวกเราจะใช้กันมีเพียงน้ำฝนและน้ำจากใต้ดินเท่านั้น――
วันที่ 24 กันยายน ปี 1927
วันที่ 30 ตุลาคม ปี 1927
วันที่ 2 มกราคม ปี 1928
……
……
……
……
……
……
……
……
……
วันที่ 12 เมษายน ปี 1929
พอจำนวนหน้าของไดอารี่มันลดลง ฉันก็เลยพยายามเขียนตัวอักษรให้เล็กที่สุด แต่ยังไงหน้าสุดท้ายก็มาถึงแล้ว
นี่จึงเป็นจุดสิ้นสุดของไดอารี่นี้
เมื่อวันก่อนฉันได้รู้ถึงตำนานอันใหม่ที่ถูกสลักไว้บนสุสานด้วย
การล่มสลายของโลกจะดำเนินต่อไปหากไม่ได้รับเสามนุษย์มีตราแห่งเทพถูกส่งมาจากต่างโลก
เสามนุษย์ มันคือสิ่งที่เรียกคนแบบฉันซึ่งถูกส่งมายังโลกใบนี้
ฉันรู้สึกเหนื่อยกับทุกสิ่งจริงๆ
รู้สึกเหมือนตัวเองถูกพระเจ้าทอดทิ้งและส่งมายังก้นหุบเหวของโลก
โลกใบนี้คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นและตัดขาดกับกาลอวกาศในพหุจักรวาลอื่นๆ
ฉันไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้เลย
แม้ว่าผู้คนในหมู่บ้านจะรักฉันและฉันก็อาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว
แต่ฉันก็อยากจะกลับบ้านอยู่ดี
นอกจากนี้ดูเหมือนพลังเวทภายในร่างกายของฉันมันจะน้อยลงไปทุกที
พอถึงเวลาเหตุผลในการดำรงอยู่ของฉันสำหรับที่แห่งนี้ก็คงจะหมดไปด้วย
ฉันเริ่มกังวลความปลอดภัยของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะถูกฆ่าเอาตอนนอนไหม
สุดท้ายก็เลยตัดสินใจมอบตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้กับผู้สืบทอดคนใหม่แล้วฝากฝังทุกอย่างไว้กับเขาแทน
ส่วนความสำเร็จที่ฉันทำได้ระหว่างดำรงตำแหน่ง ก็คือการสร้างสันติกับเผ่าทั้ง 6
แต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากพลังพิเศษของฉัน
ไม่ใช่เพราะปืน
ไม่ใช่เพราะรูทาเรก้า
แต่มันคือความรู้อันน้อยนิดที่ติดตัวมากับฉัน มันคือภูมิปัญญาแห่งมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต
ด้วยความรู้นั้นจึงทำให้ฉันสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับหมู่บ้านและเผ่าที่อยู่รอบๆ ฉันได้รับการต้อนรับจากพวกเขาเป็นอย่างดี
พอฉันถูกยอมรับจากทุกเผ่า หมู่บ้านไมราก้าของฉันจึงไม่ถูกโจมตีไปด้วย
หากนี่คือจุดประสงค์ที่พระเจ้าเลือกฉันมายังที่แห่งนี้ ภารกิจของฉันก็คงจะสำเร็จแล้ว
ฉันสามารถจะพักผ่อนได้จริงๆ แล้วใช่ไหม…..
ว่ากันว่าปลายถ้ำแห่งนี้ซึ่งถูกเรียกว่า ลากังก้า มันมีทางเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งอยู่ซึ่งเรียกกันว่ากระแสน้ำวนแห่งแสง
ตอนนี้ฉันคงสามารถข้ามประตูนั้นไปได้แล้วใช่ไหม
เวลาของฉันก็เหลือไม่มากแล้วด้วยสิ
เพราะเชื้อพยาธิใบไม้เลือดมันค่อยกัดกินฉันอยู่
ฉันเหนื่อยเหลือเกินเพราะเชื้อตัวนี้
อยากจะกลับอเมริกาจังเลย
นั่นคือทั้งหมดที่ฉันต้องการ
อีกฟากของประตูนั่นจะมีอะไรอยู่กันนะ
ฉันคงไม่รู้หรอกจนกว่าจะผ่านเข้าไปข้างใน
หวังว่าพรุ่งนี้จะได้ดื่มโค้กนะ
เอาล่ะ ได้เวลาเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดที่แสนน่าคิดถึงแล้ว
◆
ฟาร์มาปิดไดอารี่พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
ถึงแม้เขาจะไม่มีเวลามาพอจะอ่านไดอารี่กว่า 250 หน้า แต่เขาก็พอจะสรุปสาระสำคัญที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้แล้ว
ชายคนนี้คือคนของรัฐอาร์คันซอที่เดินทางข้ามโลกมาแล้วอาศัยอยู่กับชนเผ่าไมราก้า เรียนรู้พลังในการใช้รากเหง้าแห่งความว่างเปล่า ใช้ความรู้ที่ตนมีเพื่อปกป้องหมู่บ้านจากเชื้อพยาธิใบไม้เลือดให้ได้มากที่สุด รวมเผ่าต่างๆ เข้าด้วยกัน
(น่าทึ่งจริงๆ …คุณแฮริส ทั้งที่เป็นแค่ครูสอนเด็กประถม แต่สามารถทำอะไรต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายขนาดนี้ โดยไม่มีทั้งยารักษาโรคหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ แถมความรู้ที่เขามีก็ถึงแค่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20)
วันสุดท้ายในบันทึกคือ 17 ตุลาคม ปี 1929
หากเป็นโลกของเขาคงต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนแบล็คฟรายเดย์ แต่เขาคงไม่รู้เรื่องนี้หรอก
ตามที่เมเลเน่บอกเหมือนเขาจะเสียชีวิตที่ในถ้ำลากังก้า
ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปลายทางนั้น เขาจะได้พบกับกระแสน้ำวนแห่งแสงในตำนานนั่นหรือไม่….ทว่าหากมีคนพบศพของเขาในถ้ำนั้น ก็แปลว่าเขาคงจะทำมันไม่สำเร็จในตอนท้าย
เขาตายลงอย่างโดดเดี่ยวในนั้น
ฟาร์มาที่เดินตามรอยของเขาซึ่งสุดท้ายก็ต้องมาจบชีวิตในต่างแดนรู้สึกเสียใจแทนจริงๆ
ความทุกข์ทรมานของเขาคือสิ่งที่ฟาร์มาสัมผัสได้เช่นเดียวกัน
หากเขากับฟาร์มาได้มาที่แห่งนี้พร้อมกันคงจะมีความสุขมากกว่านี้แน่
สุดท้ายไดอารี่เล่มนี้ก็คงไม่สามารถถูกส่งกลับไปยังถนนXXXXX รัฐอาร์คันซอ วินเทอร์วิล ตามที่เขาต้องการได้
(ต้องขอบคุณที่เขาทิ้งไดอารี่ซึ่งบันทึกข้อมูลไว้ละเอียดขนาดนี้ เราจึงสามารถเห็นสภาพโดยรวมได้ง่าย บางทีเราก็น่าจะเขียนไดอารี่ไว้เหมือนกันนะ……)
จะว่าไปแล้ว
ก็มีเรื่องหนึ่งที่ฟาร์มานึกขึ้นได้
(เมเลเน่บอกว่าเธอไม่สามารถเรียกวิญญาณของแฮริสที่อยู่ในถ้ำนั้นได้)
แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถทำตามฝันตัวเองได้สำเร็จ แต่วิญญาณของเขาคงจะได้รับการปลดปล่อยให้กลับไปยังบ้านเกิดที่ฝันได้สำเร็จแน่
ฟาร์มาก็ไม่ควรจะปล่อยเบาะแสที่เขาทิ้งไว้ให้ต้องสูญเปล่าด้วย
พอคิดได้แบบนั้นฟาร์มาก็ประสานมือภาวนาให้กับเขาอย่างอ่อนโยน
———–
Note 1 : จบเล่ม 7 แล้วครับ อีก 2 เล่มฟาร์มาก็จะอวสานแล้ว
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
MANGA DISCUSSION