ตอนที่ 114 คู่มือการใช้งาน ต้นฉบับ
ณ เกาะร้างที่มีเหล่าผู้คนอาศัยอยู่ ลมได้พัดผ่านเข้ามาจากทางมหาสมุทร
ฟาร์มาที่ช่วยชีวิตโนอาห์และคลาร่าเอาไว้ได้สำเร็จ รีบกลับมายังเกาะที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และคนอื่นๆ รออยู่เพื่อรายงานสถานการณ์
ทั้งเรื่องที่ช่วยคลาร่าเอาไว้ได้สำเร็จ
เรื่องที่เมเลเน่ ไม่พอใจจักรวรรดิที่เข้ามาทำลายวิญญาณบรรพบุรุษของพวกเธอ
แต่ฟาร์มาไม่ได้รายงานเรื่องที่ตราแห่งเทพโอสถถูกเมเลเน่แย่งชิงไป
สถานการณ์แบบนี้ไม่ควรสร้างความสิ้นหวังเพิ่ม
「ฟุมุ…แบบนี้นี่เอง แต่ตามที่คาดไว้สมกับเป็นเจ้าจริงๆ ฟาร์มา การพาทั้ง 2 กลับมาได้ในชั่วพริบตาและปลอดภัยช่างน่ายินดี ส่วนคลาร่ากับโนอาห์ เราดีใจนะที่พวกเจ้าปลอดภัยกันดี」
「ฮ่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาท」
โนอาห์ตอบกลับไป
ทางคลาร่าที่เห็นก็รีบทำตามโนอาห์
「เพคะ หม่อมฉันก็ต้องขอบพระทัยในความเมตตา」
หลังจากที่คลาร่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด การได้เห็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ในทวีปใหม่แบบนี้มันเพิ่มขวัญกำลังใจของเธอได้เป็นอย่างดี
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คือผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและเป็นที่ชื่นชมของเหล่าปวงประชา
เธอมาที่นี่โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานะของตัวเอง
มันคงไม่มีอะไรอุ่นใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ความภักดีของคลาร่ามันพุ่งสูงจนขีดสุด
หลังจากยืนยันว่าทั้งสองปลอดภัยดีแล้ว จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ก่อนจะหันกลับมาหาฟาร์มา
「ทางเราเองก็ได้ข้อมูลมาเหมือนกัน」
「ไม่จริงน่า ฝ่าบาทเป็นผู้ดำเนินการสอบสวนเองเลยเหรอพ่ะย่ะค่ะ? 」
โนอาห์ถึงกับตกใจเมื่อได้ยินว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลงมือด้วยตนเอง
「ไม่ใช่หรอก ก็แค่พูดคุยกันปกติ」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ตอบกลับมาแบบสบายๆ
ข้อมูลที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้มาจากพวกชนพื้นเมืองในช่วงสั้นๆ ที่ฟาร์มาแทรกซึมเข้าไปในถ้ำนั้นช่างน่าเหลือเชื่อ
คนพวกนี้รู้วิธีการใช้ปืน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ถึงตัวตนของสิ่งที่เรียกว่าปืนมานานมากแล้ว แถมไม่ใช่ของจากฝั่งจักรวรรดิด้วย
「หรือพวกเขาจะมีของที่ใช้หลักการเดียวกันปืนกันนะ」
ฟาร์มาคิดแล้วก็สงสัย
「ในสมัยก่อนคงจะมีชาวพื้นเมืองบางคนที่ใช้ปืนด้วยแน่ๆ 」
นั่นคือสิ่งที่พลเรือเอกฌองคิด
ฟาร์มาเองก็คิดแบบเดียวกับเขา นอกจากนี้ความเป็นไปได้ที่ของพวกนี้จะถูกนำเข้ามาจากที่อื่นแทนการผลิตเองก็สูงด้วย
(กรณีเรืออับปางแล้วมีคนมาลอยคออยู่ที่ทวีปใหม่นี้ก็มีความเป็นไปได้สูง ขนาดโลกของเราเองก่อนโคลัมบัสจะเจออเมริกา พวกนอร์สก็มาถึงก่อนตั้งแต่ในอดีตแล้ว…ขนาดไดโคคุยะ โคดายุเองก็ยังถูดพัดพาขึ้นฝั่งรัฐเซียได้เลยนี่นะ ความเป็นไปได้ที่เรือบรรทุกอาวุธจะมาเกยติ้นที่นี่ก็ปัดตกไม่ได้….)
นั่นคือสิ่งที่ฟาร์มาคิด
「แล้วก็ดูนี่สิ มันเหมือนกับคู่มือการใช้ปืนเลย」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์มอบแผ่นกระดาษที่ม้วนไว้ให้กับฟาร์มา โดยบอกว่าแผ่นกระดาษนี้คือหลักฐาน
「……ขอบพระทัยฝ่าบาท」
เมื่อพิจารณาจากความเสื่อมของมันแล้ว น่าจะอยู่มาหลายสิบปี
「นั่นคือสิ่งที่คนพวกนั้นพกมา ดูเหมือนจะเป็นสำเนา ส่วนของที่ต้นฉบับจริงๆ เหมือนทางนั้นบอกว่าอยู่ดีๆ มันก็สลายหายไปน่ะ」
พอฟาร์มาได้ยินเขาก็รู้สึกผิดทันที
(ที่กระดาษหายไปบางทีน่าจะเป็นเพราะเราสลายเซลลูโลสไปแน่ๆ!)
「ฝีมือเจ้างั้นหรือ」
「กระหม่อมขออภัย」
มันอาจจะเป็นกระดาษที่ทำมาจากเซลลูโลส ทางฟาร์มาที่เผลอลบมันไปจึงรู้สึกผิด
(เผลอทำลายมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าซะแล้วสิ!)
ฟาร์มารู้สึกเสียดายที่ทำลายต้นฉบับไป แต่มานึกได้ตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์แล้ว เขาจึงอ่านสำเนาแทน
คู่มือสำหรับใช้งาน XX
สำหรับผู้ใช้งาน
คำเตือน ความรับผิดชอบด้านความปลอดภัยจะขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้
อย่าพยายามบรรจุกระสุนจนกว่าจะอ่านคู่มือ
เสียงของฟาร์มาสั่นขณะอ่าน
เอเลนก็พยายามมองตัวอักษรไปมาพร้อมกับดันแว่นขึ้นลง เพราะมันเป็นภาษาที่ไม่คุ้นตา
「หือ หืมมม? นี่นายพูดอะไรออกมาน่ะ? 」
ฟาร์มาตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่งเนื่องจากภาษาที่เขาเห็น
(หา…ภาษาอังกฤษ?!)
เนื้อหาดังกล่าวมันผ่านเข้าไปในดวงตาของเขา จนทำให้เขาแทบอยากกรีดร้องออกมา
เนื้อหาของมันอธิบายถึงคู่มือการใช้ปืนพกที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ
แม้ว่าจะเป็นแค่สำเนา แต่เขามั่นใจว่าสิ่งนี้คือของจากโลกของเขาแน่ๆ
หมายเลขปืน วันผลิตก็ถูกเขียนเอาไว้ในคู่มือทั้งหมด
ชื่อศักราชก็ไม่ใช่ของจักรวรรดิ แต่เป็นแบบตะวันตกของโลกเขา
(อะไรกัน? นี่มันหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงมีภาษาอังกฤษอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?!)
ฟาร์มาอยากจะทรายถึงที่มาของมันเป็นอย่างมาก
อยากจะตรวจสอบทุกอย่างให้ละเอียด
การได้มาเจอร่องรอยจากโลกของเขาที่นี่มันทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมคราม
ความรู้สึกของยาคุทานิ คันจิมันได้หลั่งไหลกลับมา ราวกับตนเดินทางถึงบ้านเกิดเมืองนอน
「ขนาดเรายังอ่านไม่ออก แต่ทำไมเจ้าถึงอ่านได้กัน? ….เป็นภาษาที่แปลกจริงๆ แต่การออกเสียง การเรียบเรียงคำพูดที่เจ้าแสดงออกมามันก็ชัดแล้วจริงๆ ว่าเจ้าอ่านมันออก」
เอลิซาเบธยื่นศีรษะเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ
「นายรู้จริงด้วยสินะว่ามันเขียนว่าอะไร ฟาร์มา」
ปาลเล่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
「….สิ่งนี้…อาจจะเป็นคู่มือการใช้ปืนที่ไม่ได้เป็นของโลกใบนี้ครับ แต่น่าจะเป็นของจากอีกโลกหนึ่งที่มีเทคโนโลยีก้าวกระโดดกว่าจักรวรรดิมาก ซึ่งมันควรจะถูกสร้างขึ้นมาหลังจากนี้ในอนาคตอีกหลายร้อยปี」
นั่นทำให้เอเลนและปาลเล่โถมตัวเข้ามาหาด้วย
「อนาคต⁉」
「แล้วนายรู้ได้ยังไงกันว่ามันเป็นของจากโลกอื่น หรือมันเป็นสมบัติลับเหมือนที่อยู่ในวิหาร? 」
「ส่วนเหตุผลที่ผมรู้ว่ามันคือของจากโลกอื่นก็เพราะ…ผมเคยเห็นอะไรแบบนี้ผ่านภาพถ่ายกับวิดีโอ…เอ่อวิดีโอก็คือภาพที่เคลื่อนไหวได้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะทำให้ดูทีหลังนะครับ」
ฟาร์มาไม่รู้จะอธิบายยังไงต่อดี
「สรุปก็คือสิ่งนี้เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงจากต่างโลก และวัสดุของพวกชนพื้นเมืองคงไม่สามารถสร้างของแบบนี้ขึ้นมาได้ พวกเขาจึงยอมแพ้ไป แต่แน่นอนว่าความรู้ในการใช้งานปืนคงจะหลงเหลืออยู่ในที่แห่งนี้」
แม้ปืนจะผุพังและหายไป แต่ความรู้นั้นชั่วนิรันดร์
ด้วยเหตุนี้เองเทคนิคใช้งานปืนพื้นฐานของพวกเขาจึงไม่หายไป
จากนั้นฟาร์มาก็ใช้กล้องสมาร์ตโฟนของเขาถ่ายรูปเอาไว้ แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นมัน
「ว่าแต่ทำไมกันล่ะ」
ทำไมสิ่งนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้
เทพแห่งการเกษตรก็เคยพูดกับเขาตอนอยู่ที่ฟันเฟือง「แปลว่าผู้ดูแลสุสาน ส่งเสามนุษย์มาจากโลกภายนอกอีกแล้วสินะ」
เมื่อรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหลาย เขาก็ได้รับข้อสันนิษฐานเดียว
(มนุษย์โลกที่พูดภาษาอังกฤษได้เคยอยู่ที่นี่มาก่อน!)
บางทีเขาหรือเธอคนนั้นอาจจะถูกผู้ดูแลสุสานส่งมายังโลกใบนี้ จากนั้นคนคนนั้นก็สอนพวกชนพื้นเมืองเกี่ยวกับการใช้ปืนเพื่อต่อสู้กับเผ่าอื่นหรือสัตว์ป่า
เขาหรือเธอคนนั้นมายังดินแดนที่ไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับเทพผู้พิทักษ์ได้อย่างไร
เขาสามารถข้ามทะเลมาถึงตรงนี้ หรือรอดจากฟันเฟืองมาได้ด้วยหรือ
หรือนี่คือที่สิ้นลมของเขา
ในหัวของฟาร์มาเต็มไปด้วยการคาดเดา
(แล้วคนคนนั้นเป็นผู้พิทักษ์หรือเปล่านะ?!)
อย่างไรก็ตามมีอีกสิ่งที่ฟาร์มาสงสัย
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับชนพื้นเมืองถือว่าเป็นศัตรูกัน ไม่มีทางเลยที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะหาข้อมูลมาได้เร็วขนาดนี้
ขนาดทางฟาร์มาเองยังล้มเหลวในการสื่อสารครั้งแรกเลย
「ว่าแต่ ฝ่าบาทเข้าใจภาษาของพวกเขาแล้วได้ข้อมูลพวกนี้มาหรือพ่ะย่ะค่ะ? 」
「หืม? ก็ไม่นะ เราก็แค่ปล่อยคนคนหนึ่งมาเพื่อถามนั่นนี่ อีกฝ่ายก็อัญเชิญวิญญาณมาคุยภาษาจักรวรรดิแทน」
เหมือนกับตอนที่เมเลเน่ทำกับฟาร์มา คนที่นี่สามารถพูดคุยผ่านวิญญาณได้
「ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทะเลาะกันแล้วนี่ พวกเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าอะไรเพิ่ม พอสงบสติกันเสร็จก็เลยได้คุยกันน่ะ」
ฟาร์มารู้สึกผงะ
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและทักษะการเจรจาสื่อสารที่ติดตัวเธอมาเป็นอย่างดี การพูดคุยเหมือนจะราบรื่นกว่าฟาร์มาหลายขุม
「กระหม่อมเสียใจจริงๆ ที่ตอนนั้นคิดว่าอีกฝ่ายจะอัญเชิญวิญญาณร้ายออกมาโจมตี」
ฟาร์มาที่ฟังก็เริ่มคิดต่อ
เหมือนเป็นทางฟาร์มาเองที่บดขยี้ความพยายามจะสื่อสารของเมเลเน่ ที่พยายามอัญเชิญวิญญาณออกมาอย่างไม่ลดละ
สะท้อนให้เห็นถึงการปิดกันเพียงฝ่ายเดียว
เรื่องนี้มันได้บ่งบอกถึงประสบการณ์ที่ฟาร์มามีนั้นช่างแตกต่างเทียบไม่ได้กับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เลย
「อะไรกัน เจ้าควรจะสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายให้ดีกว่านี้สิ แม้จะไม่เข้าใจกันเพราะภาษาแต่เจตนาน่ะส่งผ่านได้เสมอ มันคือหนึ่งในพื้นฐานของการดูมนุษย์เลยนะว่ามีอะไรแอบแฝงไหมหรืออ่านใจคน จำไว้ฟาร์มา」
ทั้งที่คิดว่าเธอเป็นคนใจร้อนมาโดยตลอด แต่คราวนี้เขาคิดผิด
(ว่าแต่เธอรู้ถึงขนาดการอ่านใจคนเลยเหรอ ก็นะสมกับเป็นเธอดี)
ปรมาจารย์ด้านการทูตต้องยกให้เธอจริงๆ
「เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับเรา อย่างน้อยก็ตอนนี้」
เพื่อเป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ พวกเขายังถูกตาข่ายของฟาร์มาขังเอาไว้ แต่ก็มีการให้ข้าวให้น้ำอยู่เสมอ
สำหรับพวกฟาร์มาแล้วนี่ถือเป็นโอกาสเก็บข้อมูล
「ต้องขอขอบพระทัยฝ่าบาทอีกครั้งที่ทำให้มาถึงตรงนี้ได้ เพราะกระหม่อมพลาดไปจริงๆ ตอนที่อยู่ถ้ำ」
ตอนนี้เรื่องที่ต้องกังวลอย่างพวกชนพื้นเมืองก็คลายลงไปได้นิดหน่อย แค่นิดหน่อยจริงๆ
「เจ้านี่ก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กุมหน้าผากด้วยความผิดหวัง แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นการหยอกล้อเฉยๆ
「ไม่มีอะไรจะแก้ตัวพ่ะย่ะค่ะ」
「งั้นเราคงต้องรับไม้ต่อในการเจรจากับคนที่ชื่อเมเลเน่อีกรอบสินะ 」
ฟาร์มาแอบไม่มั่นใจว่าทักษะเจรจาของจักรพรรดิจะสยบเมเลเน่ผู้กระหายเลือดได้ไหม
「แน่นอนว่าการเจรจาอย่างสันติกับเมเลเน่แล้วกลับจักรวรรดิคือดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมมองว่าโอกาสสำเร็จนั้นต่ำมาก และไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่าพวกเราจะกลับเมืองหลวงได้ทัน」
ฟาร์มากังวลเรื่องเวลา
「หากฝ่าบาทกลับไปไม่ทันได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่」
ฟาร์มาถึงกับหน้าซีด
เพราะเธอควรจะอยู่ที่เมืองหลวง
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพาจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัย
「ไม่เป็นไรหรอกน่า เราบอกเผื่อไปแล้วด้วยว่าจะหยุดทำงานวันนี้เพราะเหนื่อยล้าจากการซ้อมรบ」
「แต่มันจะไม่น่าสงสัยหรือพ่ะย่ะค่ะหากฝ่าบาทหลับไปนานขนาดนั้น」
ฟาร์มากังวลว่าอาจจะมีข้ารับใช้เข้ามาตรวจสอบความปลอดภัยก็ได้
「หายห่วง!」
「หมายความว่ายังไงกันพ่ะย่ะค่ะ」
「เราเคยหลับไปนานถึง 2 วันมาแล้วนะ น่าจะเป็นตอนที่ใช้พลังแห่งเทพจนเกือบหมดตัว พวกข้ารับใช้ก็เลยพอรู้กันน่ะว่าถ้าเราใช้พลังแห่งเทพเยอะๆ จะตื่นยาก」
เธอบอกว่าเคยมีครั้งหนึ่งที่มีคนพยายามจะปลุกเธอ แล้วก็เกือบถูกเธอย่างสด
(ช่างน่าสงสารคนพวกนั้นจริงๆ ….โชคดีที่เรายังรอดตอนที่นอนกับเธอคราวก่อน)
อย่างไรก็ตามมันก็ช่วยให้ฟาร์มาโล่งใจได้ว่ายังพอมีเวลาเหลือ
ทว่าถึงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะเป็นคนบอกว่าอยากมาที่นี่ แต่ก็เป็นฟาร์มาที่ยอมพาเธอมา
ดังนั้นเขาก็ต้องรับผิดชอบเธอให้ถึงที่สุด
「พวกเราไม่มีธุระอะไรกับที่นี่แล้วด้วย ดังนั้นกระหม่อมว่าพวกเราควรจะปล่อยคนพวกนี้ไป แล้วรีบกลับเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นคงไม่ทันเวลาแน่」
ฟาร์มาเตือน
เรื่องเมเลเน่คงต้องทิ้งไว้ก่อน แล้วกลับเมืองหลวง
จากนั้นฟาร์มาก็เดินไปยังรถม้าที่ถูกปรับปรุงพิเศษเพื่อขนจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และคนอื่นๆ
เขาหยิบวัสถุขนาดใหญ่รูปทรงกระบอกออกมา
「นี่สินะของที่นายจะใช้ขนคนเพิ่ม? ให้ฉันช่วยไหม」
เอเลนถามด้วยความสนใจ
「ใช่แล้ว ของพวกนี้คือท่อใส่แก๊ส ที่ใช้ในการทำบอลลูน เพื่อให้มันสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ ด้วยอากาศร้อนจากข้างล่าง ผมเรียกมันว่าบอลลูนลมร้อนน่ะ อ่ะช่วยถืออันนี้ให้ผมหน่อยนะ」
「เดี๋ยวนะ….ลอย? ไปจักรวรรดิเหรอ? ด้วยไอ้นี่อ่ะนะ? 」
เอเลนถามเพื่อยืนยันทีละคำ
「ตอนมานายก็บินมาไม่ใช่เหรอ? ทำไมขากลับเราไม่เอาแบบเดิมล่ะ」
「ยกให้เป็นหน้าที่การขนส่งเถอะ!」
จากนั้นฟาร์มาก็พยายามบอกเอเลนให้สบายใจเกี่ยวกับการเดินทางแบบใหม่ ระหว่างนั้ฟาร์มากับเอเลน ปาลเล่ก็ช่วยกันประกอบบอลลูนอย่างแข็งขัน
วิธีการประกอบส่วนใหญ่ก็พึ่งพาสมาร์ตโฟน
หากล้มเหลวขึ้นมาก็ค้นไม่พ้นฟาร์มาต้องกลายเป็นแท็กซี่ส่งคนไปมาระหว่างเกาะกับจักรวรรดิหลายสิบรอบด้วยตัวเอง
「ความปลอดภัยเหรอ? ผมก็เคยทดสอบการบินมาแล้วนะ ระยะทางก็ 1 ใน 3 ของที่นี่」
ข้อมูลช่างดูไม่น่าเชื่อถือ
「จะไหวจริงเหรอ! น้ำหนักกับระยะทางที่ต้องไปมันต่างกันสิ้นเชิงเลยนะ ก่อนอื่นมันจะบินขึ้นได้จริงหรือเปล่า!」
ขนาดปาลเล่ยังกังวลเลย
「ผมกำลังพยายามคำนวณเพื่อแก้ไขอยู่ครับ โดยพื้นฐานแล้วยังไงก็มีผมช่วยผลักบอลลูนอยู่แล้ว เพราะมันจะช่วยลดภาระผมได้มากเลย อย่างที่บอกไปว่าผมสามารถแบกสูงสุดได้แค่ 4 คน บอลลูนนี้เลยจะเป็นเครื่องทุ่นแรงซึ่งสามารถพาทุกคนไปพร้อมกันได้ในทีเดียว」
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความคิดแปลกใหม่อะไร เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับเรือบินหรือเครื่องบินที่เกิดขึ้นบนโลกของเขาซึ่งใช้ในการบินข้ามทวีป
◆
เมเลเน่ หัวหน้าเผ่าไมราก้ากำลังนอนอยู่บนพื้นถ้ำที่เธออาศัยอยู่
「ปล่อยให้หนีไปซะได้….เจ้าสามคนนั้น!」
หลังจากได้สติกลับมา เธอก็กระแทกกำปั้นของตัวเองลงพื้นอย่างหงุดหงิด
จากนั้นคนในครอบครัวของเธอก็มาช่วยพยุงเธอขึ้น
「เมเลเน่ เป็นอะไรหรือเปล่า? อ้ะ เลือดเธอไหลอยู่นี่」
ไอปาพี่ชายของเมเลเน่กังวลถึงเลือดที่ไหลจากบนหน้าผากของเธอ
「แค่แผลตื้นๆ ไม่เป็นไรหรอก นอกจากนี้ฉันก็มีสิ่งนี้อยู่ด้วย」
เมเลเน่ลูบไล้ไปยังรอยสักสีแดงที่อยู่บนแขนของเธออย่างอ่อนโยน สิ่งนี้ถูกเรียกกันว่ารากเหง้าแห่งความว่างเปล่า
แสงสีแดงส่องประกายออกมาลักษณะคล้ายงูที่กำลังเลื้อยอยู่บนแขน
「สิ่งนี้เองสินะ พลังที่เคยอยู่ในบรรพบุรุษของพวกเรา」
「ใช่แล้ว ในที่สุดมันก็กลับมา เพราะเจ้าเด็กนั่นเลย」
ขณะที่รักษาบาดแผลบนใบหน้าของเธอ เมเลเน่ก็ทรุดตัวลงอีกครั้ง
「เป็นอะไรไป? 」
「ดูเหมือนพลังจะหมดน่ะ ขอโทษทีนะ แต่คงต้องขอให้ช่วยพยุงกลับ」
「ได้สิ เดี๋ยวจะพาไปส่งที่ห้องเอง」
จากนั้นเมเลเน่ก็ถูกไอปาแบกไว้บนหลังแล้วพาเธอไปส่งที่ห้อง
หลังจากที่คนในเผ่าเข้ามาภายในห้องของเธอเพื่อเยี่ยมเยือนออกไปจนหมด เมเลเน่ก็ดึงผ้าห่มมาคลุมทั้งตัวเอาไว้ก่อนที่ร่างของเธอจะเริ่มสั่นเทา
เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงไปแล้ว ความตึงเครียดก็หายไปด้วย ด้านที่อ่อนแอของเธอก็แสดงออกมา แถมเธอยังรู้สึกกลัวไปหมด
(เด็กผมบลอนด์นั่นใครกัน? ถ้าเขากลับมาอีกทีเราคงรับมือไม่ไหวแน่ๆ )
(ไม่มีทางที่เขาจะเป็นมนุษย์ไปได้เลย ความสว่างจ้านั่น เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นตอนกลางคนเฉยเลย)
(แค่จะมองไปที่ร่างนั่นตรงๆ ยังไม่ไหวเลย)
(อีกอย่าง….ถ้าเขาต้องการ จะฆ่าเราเลยก็ได้แท้ๆ ทำไมกัน? )
(แล้วเราจะฆ่าเขาได้ไหมนะ? อื้อ ไม่ไหวๆ )
(มันไม่ใช่สิ่งที่จะมีบนโลกนี้ได้แน่ สิ่งมีชีวิตแห่งแสงนั่นยังไงก็ต้องเป็นของจากโลกอื่น)
(แสงที่น่ากลัวซึ่งคุกคามเหล่าวิญญาณ)
คลื่นแห่งความหวาดกลัวได้เข้าถาโถมเมเลเน่ที่กำลังพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้
「เมเลเน่ลูกทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแล้ว แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ」
ผู้นำเผ่านรุ่นก่อน เรเนล่า แม่ของเมเลเน่ได้ปรากฏร่างออกมาชื่นชมลูกสาวตน
「ท่านแม่…ทั้งที่หนูควรจะฆ่าพวกมันให้หมด แต่สุดท้ายหนูก็ปล่อยพวกมันไปจนได้ แถมยังเสียผู้หญิงนั่นไปอีก แล้วจากนี้จะทำยังไงกันต่อดี 」
「ไม่จำเป็นต้องฝืนไล่ตามขนาดนั้นหรอก」
เรเนล่าจับมือของเมเลเน่และปลอบเธออย่างอ่อนโยน
「….แต่พวกเขาอาจจะกลับมาพร้อมกับพรรคพวกที่มากกว่านี้นะคะ」
「สุดท้ายพวกนั้นก็หนีไปจนหมดแล้ว ไม่มีเหตุให้ต้องไล่ล่าหรอก เด็กผมบลอนด์นั่นก็อันตรายเกินไปด้วย」
「ใช่เลยค่ะ ขนาดหนูเองก็ยังรู้สึกหายใจไม่สะดวกเลย เด็กนั่นเป็นใครกันแน่นะ」
เธอจำเด็กชายผมบลอนด์ได้เป็นอย่างดี
ร่างที่อาบไปด้วยแสงสว่างและมีรากเหง้าแห่งความว่างเปล่านั่นถึง 2 แขนลักษณะคล้ายร่างวิญญาณแห่งเทพ
ซึ่งมาพร้อมกับมวลพลังงานที่เธอไม่รู้จัก
「ถึงเราจะนำสิ่งนี้กลับมาได้หนึ่งข้าง แต่หากไม่ระวังคงได้เสียมันไปอีกแน่」
เห็นได้ชัดว่าเด็กนั่นน่ากลัวขนาดไหน
จากนั้นเรเนล่าก็เรียกวิญญาณบรรพบุรุษของเธอแล้วถามกับเขา
「ท่านบรรพบุรุษพารอล ท่านพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้นหรือไม่」
วิญญาณบรรพบุรุษที่ถูกเรียกว่าพารอลก็ปรากฏตัวเป็นควันโขมงร่างชายชรา
『ข้าได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งมีสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติปรากฏขึ้นและทำการลบล้างวิญญาณในสถานที่อันห่างไกลจากตรงนี้ให้หายไปทีละตัวๆ จากที่สิ่งนั้นสามารถลบล้างได้แม้กระทั่งวิญญาณบรรพบุรุษส่วนมากของเราสำเร็จ ข้ามองว่านั่นน่าจะเป็นราชาวิญญาณ』
「เขาแข็งแกร่งกว่าแฮรีสชาร์แมนผู้ยิ่งใหญ่ของเราอีกหรือ? 」
พอพารอลบอกอย่างจริงจังว่าสิ่งนั้นเป็นราชาวิญญาณ เรเนล่าก็ถามด้วยความกังวล
แฮรีสคือชาร์แมนในตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าไมราก้า
แฮรีสคือผู้ฝึกฝนการใช้รากเหง้าแห่งความว่างเปล่าและสอนมันให้กับคนในเผ่า
ว่ากันว่าเขาคือผู้นำเผ่าไมราก้าที่มีพลังอันไร้สิ้นสุด
『น่าจะเทียบเท่าหรือเหนือกว่า ส่วนลักษณะของโครงสร้างวิญญาณนั้นตรงกันข้ามกับแฮรีส แล้วก็อย่างที่พวกเจ้ารู้นี่ เมเลเน่ถึงเจ้าจะโจมตีอีกฝ่ายรุนแรงสักเพียงใด อีกฝ่ายก็สามารถรับมือได้ และด้วยพลังในการทำลายวิญญาณได้ทางที่ดีเราควรจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับเขาด้วยซ้ำ』
เรเนล่ากับเมเลเน่เงียบลงไป
「จะว่าไป….เขาก็ทำท่าเหมือนพยายามกับจะคุยกับเราด้วยนี่นะ….」
พอนึกถึงสีหน้าของเด็กคนนั้นแล้ว เธอก็ไม่ได้เห็นวี่แววของความเกลียดชังอยู่เลย
น้ำเสียงของเขาก็ดูสงบนิ่ง ท่าทางไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
เขาไม่ได้เลือกจะทำร้ายเมเลเน่ตรงๆ แม้ว่าเธอจะทำร้ายเขา แถมเธอยังสัมผัสได้ว่าเขาออมมือให้เธออยู่
『แต่เรื่องที่เขาทำลายวิญญาณอย่างโหดเหี้ยมไปล่ะ พวกเราจะว่าอย่างไร』
พารอลแสดงสีหน้าสงสัยเมื่อเห็นเมเลเน่พูดแบบนั้น
เมเลเน่เริ่มขมริมฝีปากแล้วนึกถึงความเกลียดชังที่อยู่ภายในใจของเธอ
ปู่และย่าสุดที่รักของเมเลเน่ จนถึงเดือนที่แล้วเธอยังสามารถอัญเชิญพวกเขามาพบเจอกันได้เสมอ ว่าอยู่มาวันหนึ่งสัมผัสแห่งวิญญาณพวกเขาได้หายไป หลังการมาถึงของเด็กชายคนหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเด็กหนุ่มนั่นเป็นคนทำลายครอบครัวของเธอ
「ใช่แล้ว เขาคือศัตรูของเผ่า หากเจอครั้งหน้าถึงจะต้องแลกด้วยชีวิต…」
เรเนล่าส่ายหัวและบอกกับเธอว่า อย่าได้เอาตัวเข้าแลกขนาดนั้น
ก่อนจะส่งพาเรลกลับโลกวิญญาณแล้วเตือนเมเลเน่อีกครั้ง
「ตอนนี้หยุดคิดถึงเด็กคนนั้นก่อนเถอะ แล้วพักผ่อนให้เพียงพอ ลูกยังต้องฟื้นฟูพลังนะ」
「ได้ค่ะ วันนี้หนูจะรีบเข้านอนแล้วกัน」
เมเลเน่ตอบอย่างอ่อนแรง
「เมเลเน่」
เธอได้ยินเสียงเรียกและเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
เธอจึงตอบกลับไปผ่านประตูนั้น
「ว่าไง」
「พวกที่ส่งไปดูแลนักโทษตรงเกราะร้างยังไม่กลับกันมาเลย」
「ว่ายังไงนะ」
ดวงตาของเมเลเน่เบิกกว้าง
หญิงสาวผู้แสนอ่อนแอก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นโหมดหัวหน้าเผ่าไมราก้า
「พวกเขาควรจะกลับกันมาถึงตอนเย็นนี้สิ」
เมเลเน่ลุกจากเตียงและเดินไปยังประตู
「ฉันก็ส่งนกวิญญาณไปส่องแล้วนะ แต่ถูกยิงร่วงหมดเลยนี่สิ」
「เรื่องจริงเหรอ」
「เห็นได้ชัดว่าแม้จะมีคำสาปของปิติกากาอยู่ พวกมันก็สามารถเคลื่อนไหวได้」
「เจ้าพวกนั้น หรือจะทำการจับตัวพวกพ้องเราไว้อยู่? 」
「น่าจะเป็นอย่างนั้น ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่เข้ามาตัวคนเดียวน่าจะแค่ช่วยเพื่อนและซื้อเวลาให้คนบนเกาะแน่ รีบไปกันเถอะ」
พลังของเมเลเน่ยังฟื้นไม่เต็มที่
จนถึงตอนนี้เธอยังไม่ได้นอนเลย
「รีบสร้างกองทหารมนตรา เราจะรีบไปช่วยครอบครัวของพวกเรา ปลายทางนั้นคือเกาะร้าง พวกเราจะขี่นกวิญญาณแล้วแฝงไปในความมืด เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเริ่มโจมตีจากทางฟากฟ้าก่อนเอง」
「จัดให้เดี๋ยวนี้เลย」
ไอปาพี่ชายของเธอได้นำคทาและหอกมาให้
「พวกเราจะไม่ทิ้งสหายของพวกเรา พวกเราทุกคนคือหนึ่งเดียว」
หากเราตายทุกคนก็คงไม่รอดแน่
「แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของพวกเราก็ตาม」
◆
「โย้ช เท่านี้ก็พร้อมแล้ว」
ฟาร์มาได้ย้ายบอลลูนที่ประกอบเสร็จแล้วไปซ่อนไว้ในป่าอีกเกาะหนึ่งซึ่งอยู่ในสถานะพร้อมบินตลอดเวลา
หากเขาเลือกจะเก็บไว้ตรงนี้ เกิดมีศัตรูเข้ามาโจมตีคงจะแย่
「กำหนดการคือช่วงรุ่งสาง」
มันคือหลักการทำงานทั่วไปของบอลลูนลมร้อนที่จะเลือกบินในช่วงเช้าหรือค่ำ เพราะจำเป็นต้องใช้ความต่างระหว่างอุณหภูมิภายในกับนอกบอลลูน
กลางวันที่มีกระแสลมร้อยและลมพัดแรงจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมนัก
「ทำไมยังจะต้องรอเวลาอีกนะ? นายไม่ทำให้มันบินได้ตลอดไปเลยล่ะ」
ปาลเล่ถามขณะนั่งทานข้าวกัน เพราะสงสัย
「การไหลของกระแสลมมันซับซ้อนนะครับ ไม่ใช่ของที่จะคำนวณแล้วทำของใหม่มาแก้ไขให้สะดวกสบาย ยิ่งมีอากาศร้อนมาเสริมมันเสี่ยงเกิดอันตรายด้วย」
แม้แต่บนโลกของเขาการบินในช่วงที่มีอากาศร้อนจัดก็ถือเป็นเรื่องต้องห้าม กิจกรรมที่เกี่ยวข้องทุกอย่างก็ต้องยกเลิกไปด้วย
「งั้นเหรอ……」
ในขณะที่กำลังเตรียมเดินทางกลับ ฟาร์มาก็ได้สร้างปราการขนาดใหญ่ขึ้นที่แนวชายฝั่งหันไปทางที่พวกเมเลเน่อยู่เพื่อตั้งรับ
หากเมเลเน่ไม่ได้บุกเข้ามา เขาก็ตั้งใจจะปล่อยชนพื้นเมืองแล้วเดินทางกลับจักรวรรดิ
เรือลำเล็กที่มีอยู่น่าจะช่วยพาพวกเขากลับทวีปหลักได้สบาย
นั่นคือแผนที่ฟาร์มาวางไว้
จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งวันแล้วตั้งแต่ที่เผชิญหน้ากับเมเลเน่
「ฟาร์มา นังผู้หญิงสารเลวที่ชื่อเมเลเน่นั่นมีพลังแบบไหนเหรอ? 」
ระหว่างที่ปาลเล่แทะเนื้อตากแห้ง เขาก็เริ่มขอข้อมูลศัตรูจากฟาร์มา
อย่าพูดแบบนั้นสิครับ
「อย่าใช้คำพูดแบบนั้นสิครับ ส่วนการโจมตีของเมเลเน่นั้น หากเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพตั้งสติให้ดีก็น่าจะรับมือไม่ได้ยาก การเคลื่อนไหวของเธอก็ช้าด้วย…แต่สิ่งที่เรียกว่ารากเหง้าแห่งความว่างเปล่า น่าจะเป็นของแสลงที่เหมือนคุณสมบัติเชิงลบของธาตุทั้งหลายครับ」
ทว่าปาลเล่ก็เหมือนจะยังไม่เข้าใจที่ฟาร์มาอธิบายนัก
「ไม่ค่อยมีภาพเลยแฮะ ก็คือจะบอกว่าอีกฝ่ายใช้ของที่เหมือนศาสตร์แห่งเทพได้เหรอ? 」
「ประมาณน้้นครับ แต่ถ้าจะให้เจาะจงลงอีกสักหน่อย ก็จะประมาณว่าเธอสามารถสลายน้ำในระยะสายตาของเธอได้ทั้งหมด」
「ของแบบนั้นจะเรียกว่าคุณสมบัติเชิงลบก็ไม่น่าใช่นะ!」
โนอาห์ที่เห็นการโจมตีของเมเลเน่มาก่อนก็ประหลาดใจ
「แต่ก็พอสรุปได้ว่าพลังของมันหักล้างกับการสร้างของพวกเรา」
ปาลเล่หันไปมองทางเอเลน
「อืม…ถ้างั้นหากเราสร้างน้ำขึ้นมาจำนวนมากพอ เมเลเน่จะสามารถลบล้างไปจนหมดได้จริงๆ เหรอ หากใช้แผนในการโถมพลังโจมตีด้วยคนหมู่มากจะไหวไหมนะ…」
「…คือพลังเธอมันไม่ได้ทำงานแบบนั้นซะทีเดียวครับ」
สุดท้ายก็มีเพียงฟาร์มาที่เข้าใจลักษณะการโจมตีของเมเลเน่จริงๆ
「แล้วคิดว่าเมเลเน่จะบุกมาจริงๆ เหรอ? 」
「เธอจะมาแน่นอนค่ะ แล้วก็จะเป็นทางทิศนั้นด้วย」
คลาร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมั่นใจ เหตุผลที่พวกฟาร์มาไม่บุกไปโจมตีเมเลเน่อีกครั้งนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขากำลังจะเดินทาง แต่พวกเขาสร้างสถานการณ์ให้เมเลเน่ต้องเดินทาง
นั่นคือแผนของคลาร่า
「ดูมั่นใจจังเลยนะ」
「อ๊ะ! กำลังจะมาแล้วค่ะ」
คลาร่าหลับตาและเพ่งสมาธิให้สูงขึ้นราวกับกำลังสื่อสารกับเทพแห่งการเดินทาง
「อะไรนะ」
ทุกคนหยุดนิ่งและมองไปยังบนท้องฟ้า
ทางฟาร์มาเองก็เช่นเดียวกัน
「กองกำลังประมาณ 25 คน เดินทางมาแล้ว….」
「รู้ได้กระทั่งจำนวน จะสุดยอดเกินไปไหม!」
เอเลนกล่าวความประทับใจออกมา
「น่าแปลกที่ข้อมูลเยอะกว่าปกติที่ควรจะได้อีกค่ะ」
เธอรู้อยู่แล้วว่าเธอสามารถดูอนาคตการเดินทางของพวกพ้องตัวเองได้ แต่ก็เกิดคาดที่พอเป็นฝั่งศัตรูข้อมูลที่เข้ามาในหัวกลับเยอะกว่าซะงั้น
เอเลนที่ได้ยินก็เตรียมตัวใช้ศาสตร์แห่งวารี
โนอาห์ก็วายุ
「นั่นมันเรืองั้นเหรอ」
「“เปิดใช้บาเรียป้องกัน”」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ออกคำสั่งให้กางบาเรียขึ้น ก่อนจะยกคทาของเธอเพื่อเปิดการใช้งานด้วย
「….นั่นไม่ใช่เรือนี่! เหมือนกับเมื่อตอนนั้นเลย…เจ้ากลุ่มก้อนความมืดพวกนี้!」
สายลมในท้องทะเลเริ่มพัดแรงขึ้น
「เข้ามาแล้ว!」
นอกจากนี้บนท้องฟ้าก็ปรากฏร่างของนกยักษ์ประหลาดที่ดูคล้ายภาพวาดมากกว่า 10 ตัว
2 ตัวจากในฝูงได้บินโฉบลงมา
ก่อนจะปล่อยก้อนกรวดที่ผนึกไว้ด้วยพลังบางอย่างลงพื้น
ก้อนกรวดที่มากมายราวกับฝนดาวตก ร่วงลงมาหาพวกฟาร์มา
ทว่าก็ถูกเปลวเพลิงของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เผาทิ้งจนหมด
「เดี๋ยวจะสอยให้ร่วงหมดเลย」
ปาลเล่ชี้เป้าไปยังพวกนกยักษ์ที่บินอยู่
แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายคือเมเลเน่ซึ่งปล่อยพลังบางอย่างออกมา
จนทำให้น้ำทะเลบริเวณชายฝั่งและผืนทรายเหือดแห้งไปจนหมด
(……การสลายสสาร!)
ราวกับฟาร์มาได้เห็นการสร้างหลุมบนทะเลมาร์เชลที่ตัวเองทำในอดีต
พลังนั้นส่งผลไปยังชนพื้นเมืองที่ถูกจับอยู่ด้วย
ชั่วพริบตาเดียว พวกลูกเรือก็อยู่ในสภาวะร่างกายขาดน้ำและแห้งเหมือนปลาตาย
แต่พวกเขาก็ยังไม่ตาย
เมื่อร่างกายเหือดแห้งไปจนหมด พวกมันก็เริ่มฟื้นฟูใหม่อีกครั้ง ผิวหนังกลับมาชุ่มชื้นจนท้ายที่สุดก็กลับมาเหมือนมนุษย์ปกติ ราวกับคืนชีพ
ฟาร์มาได้มอบโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ชั่ววันให้กับพวกเขาด้วยนั่นเอง เพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการปะทะ
ผู้ที่ได้รับโอสถนี้ไปจะไม่มีวันตายแม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ภายใน 1 วันหลังรับยา
จากนั้นคลาร่าก็แนวรุดหน้าไปยังแนวหน้าการปะทะก่อนจะยกคทาขึ้น
『อันตัวข้าพเจ้าได้มาถึงจุดหมายแล้ว』
จากนั้นคทาของคลาร่าก็สร้างกำแพงแสงขึ้นทอดยาวไปสุดขอบฟ้า
นกยักษ์ที่เมเลเน่กับคนอื่นๆ พามาด้วยได้ถูกบาเรียแสงของคลาร่ากระแทกเข้าจนเสียการทรงตัว
พวกนกยักษ์ค่อยๆ ร่วงลงมาก่อนจะถูกใยไหมแสงที่กางภายในอากาศมัดตรึงแล้วค่อยๆ ร่อนลงมาอย่างช้าๆ แทน
คลาร่าได้หายใจหอบราวกับกำลังพยายามประคองสมาธิหลังใช้ศาสตร์แห่งเทพ
「เกิดอะไรขึ้นกัน⁉」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ถาม
คลาร่าได้ใช้พลังของตนกับพวกเมเลเน่ เพื่อทำให้พวกเธอร่อนลงที่ทะเลพร้อมกับนกยักษ์
「พวกคุณไม่สามารถก้าวออกจากที่นี่ได้อีกแล้วค่ะ การเดินทางของพวกคุณสิ้นสุดลงแล้ว」
คลาร่าใช้คทาของเธอเสริมพลังแห่งเทพให้มากขึ้น
เพราะพลังที่เธอใช้ตอนนี้เป็นพลังเฉพาะตัวของเทพแห่งการเดินทาง
(นี่สินะ…พลังของเทพแห่งการเดินทาง)
ฟาร์มาเข้าใจได้ในทันที
「พลังของเทพผู้พิทักษ์ของฉัน สามารถยุติการเดินทางของทุกสรรพสิ่งได้ค่ะ」
「น่าเหลือเชื่อจริงๆ 」
ขนาดจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เองก็ยังประหลาดใจก่อนจะมองเมเลเน่กับคลาร่าสลับกัน
「ว่ากันตามตรงก็อยากจะซ่อนมันเอาไว้…เพราะมันคือศาสตร์แห่งเทพที่อันตรายเกินไป」
เหงื่อของคลาร่าไหลออกมาไม่หยุด
「ก็เคยได้ยินจากพวกนักบวชอยู่หรอกว่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีเทพแห่งการเดินทางเป็นเทพผู้พิทักษ์สามารถหยุดทัพของข้าศึกได้เป็นแสนๆ และยุติการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขาลง….นึกไม่ถึงว่าจะเป็นของจริง」
แต่ตัวคลาร่านั้นย่อมไม่อยากจะใช้มาทำร้ายใคร
「….พลังของเทพแห่งการเดินทางมันจะโกงเกินไปไหม? 」
เอเลนเผลอพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ฟาร์มาก็เข้าใจเรื่องที่คลาร่าอยากจะปิดมันเอาไว้
เพราะไม่มีผู้นำของประเทศไหนหรอกจะทิ้ง คนที่สามารถหยุดทัพนับแสนของศัตรูได้ด้วยตัวคนเดียวเฉยๆ
ยิ่งเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เธอย่อมไม่ปล่อยให้เสียของแน่
ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็ฉุกเฉินเกินกว่าจะมาปิดบังอะไรอีก
「เจ้าสามารถหยุดได้อีกนานเท่าไหร่? 」
「จนกว่าพลังแห่งเทพของหม่อมฉันจะหมดลงเพคะ!」
เสียงของคลาร่าเริ่มสั่นเครือ ท่าทางใกล้จะถึงขีดจำกัดของเธอแล้ว
「โย้ช」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กระโดดลงไปในทะเล โดยความลึกอยู่ที่ประมาณเอว
ตอนนี้เมเลเน่ถูกจับกุมไว้ด้วยศาสตร์แห่งเทพของคลาร่าจนร่วงลงไปในน้ำ
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยิ้มให้กับเมเลเน่
พอสบตากันได้สักพักจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็นำกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้เมเลเน่อ่าน
ภายในนั้นมันคือภาษาของพวกเธอที่มีเนื้อหาว่า สหายของพวกเธอปลอดภัยดีและเป้าหมายของทางนี้ไม่ใช่การรุกราน พวกเราต้องการหยุดการต่อสู้ทั้งหมดแล้วมาคุยกันอย่างสันติ กรุณายกมือหากเข้าใจ
ฟาร์มาเชื่อว่าอีกฝ่ายที่เห็นข้อความนี้น่าจะคิดได้อยู่ 3 แบบ
อย่างแรกเชื่อว่าต้องการจะคุยและสร้างสันติจริง
อย่างที่สองคนเขียนถูกบังคับให้เขียน
อย่างที่สาม คนเขียนถูกล้างสมองไปแล้ว
ทว่าอย่างที่สองคงเป็นไปได้ต่ำเพราะของแบบนี้หากทำรหัสลับแฝงไปด้วยคงจบ
มันคือภาษาที่มีแต่อีกฝ่ายรู้
อันที่จริงเขาได้ขอให้ชนพื้นเมืองคนหนึ่งเขียนข้อความนี้ให้ ก่อนจะเอาไปให้คนอื่นยืนยันว่าเนื้อหาไม่คลาดเคลื่อน
ตอนนี้ฟาร์มาก็ได้แค่ดูปฏิกิริยาของเมเลเน่ว่าจะทำอย่างไรหลังอ่าน
เมเลเน่ยังสามารถพูดคุยกับวิญญาณของเธอได้ แม้ว่าจะถูกปิดผนึกพลังเอาไว้บางส่วนก็ตาม
แล้วพอเวลาผ่านไปได้ 5 นาที
ระหว่างนี้เกิดความเงียบงันที่รู้สึกเหมือนนานแสนนานขึ้น
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เฝ้าดูการตัดสินใจของอีกฝ่ายอย่างใจเย็นราวกับแม่รอคำตอบจากลูกสาว
จากนั้นเมเลเน่ก็ได้คำตอบ
เธอพยักหน้าและยกมือขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คลาร่าได้หมดแรงลงจนทำให้ศาสตร์แห่งเทพของเธอคลายพลัง
———–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
MANGA DISCUSSION