ตอนที่ 112 รากเหง้าแห่งความว่างเปล่า
แม้จะเป็นในความมืด แต่ฟาร์มาก็รู้ว่ามีบางสิ่งกำลังพุ่งเข้ามา
ฟาร์มาที่เห็นก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
เพราะเมื่อมองมันผ่านดวงตาวินิจฉัย มุมมองที่เขาเห็นนั้นย่อมไม่ต่างอะไรกับตอนปกติเลย
บางสิ่งที่กำลังเข้ามาใกล้นั้นมีแสงอยู่เพียงแค่จุดเดียวบนร่าง และกำลังพุ่งทะลุผ่านชั้นหินมา
แต่ถึงจะเป็นดวงตาของเขาก็ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่
(คนงั้นเหรอ…ไม่สิอย่างจะเป็นอย่างอื่นก็ได้…)
เพื่อที่จะให้รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคืออะไรกันแน่ ฟาร์มาก็เลยตัดสินใจวางกับดักไว้รอสิ่งนั้น
ฟาร์มาเล็งไปในจุดที่เดาว่าสิ่งนั้นจะโผล่ทะลุออกมา แล้วสร้างกำแพงเหล็กขวางเอาไว้
(แต่ถ้ามันยังทะลุมาได้อีกก็คงจะงานหนักไม่น้อย)
และแล้วตัวตนที่ไม่อาจทราบ ก็หยุดลงก่อนที่จะพุ่งออกมาจากผนัง แล้วเสี้ยววินาทีต่อมาสิ่งนั้นก็ไปโผล่อยู่ที่ข้างหลังของฟาร์มาซึ่งตัวติดอยู่กับผนังอีกฝั่งแทน
ฟาร์มาที่รู้สึกตัวก็รีบกระโดดออกจากจุดที่ยืนอยู่ในทันทีโดยไม่หันไปมอง ก่อนจะสร้างระยะห่างเพื่อประเมินอีกฝ่ายจากตรงนั้นแทน
ศัตรูคือหญิงสาวผมสีดำ ผิวสีแทน ซึ่งมือรอยสักอยู่ตัวร่างกาย มาพร้อมกับสายตาที่เฉียบคม
ฟาร์มารู้สึกได้ถึงออร่าอันน่าขนลุกจากตัวเธอ
(ผู้หญิงงั้นเหรอ? แถมยังเป็นมนุษย์อีก….หรือว่าเธอจะมีลักษณะร่างกายคล้ายกับเรากันนะ…?)
ราวกับว่าเธอไม่ต้องการให้เวลาฟาร์มาคิดอะไรอีก เธอจึงถือคทาที่อยู่ในมือแล้วตะโกนอะไรออกมา
「――、――!」
และราวกับมันตอบรับเสียงของเธอ บนผนังด้านหลังของฟาร์มาได้เกิดภาพวาดบางอย่างขึ้น
ภาพวาดค่อยๆ เกิดขึ้นมาทีละภาพ โดยทั้งหมดนั้นจะต้องเป็นของที่มีไว้ใช้โจมตีฟาร์มาแน่ๆ
(นี่สินะ….รูปแบบการโจมตีของคนพวกนี้)
จากนั้นภาพวาดก็ก่อรูปร่างขึ้นและออกมาจากผนัง ก่อนที่มันจะรวมตัวกันเป็นมวลอันดำมืดเพื่อล้อมฟาร์มาเอาไว้
(ลุกลามเร็วอย่างกับเนื้องอกเลย แทบจะแยกความแตกต่างระหว่างพวกวิญญาณกับเนื้องอกไม่ออกแล้วสิ)
ขณะที่จ้องมองฟาร์มาอยู่ นิ้วของหญิงสาวก็พลางขยับต่อไปเพื่อให้พวกวิญญาณเตรียมตัว
ทว่าพอถึงจังหวะที่วิญญาณพวกนี้บุกเข้ามา มันกลับไม่สามารถทำอะไรฟาร์มาได้เลย แตกต่างจากที่อยู่บนเกาะเมื่อกี้
นั่นก็หมายความว่าการโจมตีพวกนี้เป็นการโจมตีทางกายภาพที่ร่างกายของฟาร์มาสามารถปฏิเสธได้
มันก็คงจะสมเหตุสมผลอยู่บ้าง เพราะหากจะโจมตีเขาให้สำเร็จคงต้องเชื่อมวิญญาณเข้ามาโจมตีเหมือนลิงยักษ์นั่น แทนที่จะออกคำสั่งให้โจมตีทางกายภาพเฉยๆ
ฟาร์มาที่สังเกตท่าทีของเธอ ก็เริ่มสงบสติอารมณ์แล้วคิดภายในใจ
(หากเป็นไปตามที่คิด…กฎของฟิสิกส์ก็น่าจะสามารถจัดการกับพวกมันได้ สลาย ซิลิคอน!)
เมื่อฟาร์มาเหวี่ยงมือขวาของเขาออกไปด้านหน้าพวกวิญญาณที่ปรากฏออกมาจากผนังถ้ำ ก็ไม่สามารถรักษารูปร่างของมันได้อีกเนื่องจากซิลิกอนที่เป็นแกนประกอบของผนังถ้ำมันได้หายไปแล้ว พวกมันจึงหลุดจากการควบคุมของผู้หญิงคนนั้นและสลายไป
เธอจ้องมองไปยังมือของฟาร์มา ในขณะที่เขาใช้พลังแปลว่าเธอเองก็สามารถมองเห็นได้แม้จะในที่มืด
(หรือว่าเด็กคนนี้ กำลังพยายามวิเคราะห์ความสามารถของเรากัน)
ไม่นานนักสายตาของเธอก็จับจ้องไปยังไหล่ของฟาร์มา
(นี่เธอเห็นตราเทพโอสถของเราด้วยงั้นเหรอ แย่แล้วสิ )
บางทีเธออาจจะมีความสามารถคล้ายกับดวงตาวินิจฉัยก็ได้
สัญชาตญาณของฟาร์มาบอกว่าไม่ควรให้เวลากับเธอมากจนเกินไป
ในระหว่างที่เขากำลังลังเล ร่างกายของเธอก็หายจมลงไปกับพื้น
เพียงชั่วพริบตาเดียว คทาที่หญิงสาวคนนั้นถืออยู่ก็โผล่ออกมาจากพื้นดินด้านหลังของฟาร์มา ก่อนจะเสียบทะลุหัวใจของฟาร์มาไปอย่างสมบูรณ์แบบ ฟาร์มารู้ได้ทันทีว่าเธอกะจะเอาให้ถึงตาย เขาจึงต้องเพิ่มความระวังตัวมากยิ่งขึ้น
(เธอตั้งใจจะฆ่าเราจริงๆ )
ฟาร์มารีบคว้าคทายนั้นและแย่งมันออกมาจากมือของเธอ
หากนี่ไม่ใช่ฟาร์มา พวกเขาคงจะต้องตายไปแล้วแน่ๆ
แต่เพราะเป็นเขามันจึงยังปลอดภัยดี
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้แววตาของหญิงสาวได้เกิดความหวาดกลัวขึ้น
(สิ่งที่การโจมตีทางกายภาพและก็พวกวิญญาณที่เธอใช้ยังไม่สามารถทำอะไรได้ คู่ต่อสู้แบบนี้ทั้งชีวิตของเธอคงไม่เคยเจอมาก่อนแน่ ดังนั้นต้องรีบทำให้จบโดยเร็วที่สุด)
ภายในความมืดมิด ร่างของฟาร์มาได้ส่องแสงสว่างออกมา เพราะเขาได้ทำการส่งพลังแห่งเทพไปยังคทา
「ผมขอริบคทานี่ไปก่อนนะครับ」
สำหรับผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพแล้ว คทาเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ามนตร์ที่จะใช้เลย
ดังนั้นคทาที่หญิงสาวคนนี้ถืออยู่ก็ควรจะมองว่าเป็นตัวช่วยในการร่ายมนตร์ประหลาดของเธอ ไม่ต่างอะไรกับเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ
เธอได้หยุดโจมตีฟาร์มา และเสียการทรงตัวไปก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น
และก็เป็นวินาทีเดียวกับที่เงามืดได้ปรากฏออกมาข้างใต้เธอ
(เหมือนกับเราเลย เธอถึงเธอจะไม่มีคทาก็สามารถใช้มนตร์ได้อยู่เหรอ?)
เธอแค่แสร้งทำเป็นโซเซจนล้มลงไปกับพื้นเมื่อทำการร่ายมนตร์
นั่นก็น่าจะเป็นการเรียกวิญญาณออกมา
(ยังมีใจสู้อยู่สินะ)
แน่นอนว่ารอบนี้ฟาร์มาไม่ยอมปล่อยให้เธอทำสำเร็จ เขาได้ทำการสร้างและลบสสารอย่างรวดเร็ว พื้นเหล็กได้เกิดขึ้นแทนที่พื้นดินที่เธออยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอทำอะไรได้อีก
จากนั้นฟาร์มาก็ทำการจับนิ้วกลางมือซ้ายของเธอขึ้นแล้วค่อยๆ งอมันไปทงข้อศอกของเธอ เพื่อให้เธอไม่สามารถขัดขืนอะไรได้อีก
ทางนั้นก็ดูเหมือนจะประหลาดใจพอสมควรที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เพียงเพราะโดนจับที่นิ้วหนึ่ง
「ถึงจะเป็นการกระทำเพียงแค่นี้ แต่มันก็เพียงพอให้คุณไม่สามารถขัดขืนได้โดยง่ายแล้วครับ」
ฟาร์มาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
มันต้องเจ็บมากแน่ๆ หากเขาลงแรงมากจนเกินไป
ถึงจุดประสงค์ของเขาจะไม่ได้ต้องการสร้างความเกลียดชัง แต่พอเป็นแบบนี้แล้วเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะคุยได้โดยง่าย
「ถึงจะรุนแรงไปบ้าง แต่ผมก็อยากจะพูดคุยกับคุณนะครับ」
แต่ถึงเธอจะโดนจับเอาไว้ เธอก็ไม่ได้สูญเสียจิตวิญญาณแห่งการดิ้นรนเธอยังคงด่าทอฟาร์มาต่อ
「งั้นเอาเป็นคำถามง่ายๆ แล้วกันครับ รู้จักผู้หญิงคนนี้ไหม? 」
ฟาร์มาหยิบสมุดบันทึกของเขาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะนำรูปถ่ายภายในนั้นออกมาวางไว้บนพื้นเหล็ก
มันคือภาพของคณะเดินทางก่อนจะออกเรือ และจุดที่เข้าชี้ไปก็คือคลาร่า
「รู้จักเธอไหมครับ? ตอนนี้ผมกำลังตามหาเธออยู่และมั่นใจว่าเธอน่าจะอยู่ที่นี่」
เธอหันไปดูรูปถ่ายของคลาร่าและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นราวกับอยากตรวจสอบ
「ท่าทางเหมือนจะรู้จักสินะครับ」
ฟาร์มาที่มองหน้าเธอก็สรุปได้แบบนั้น ก่อนที่เธอจะเบือนหน้าหนีราวกับไม่ชอบให้ฟาร์มาจ้องมองเธอ
「ผมต้องการพาเธอกลับไปครับ เพราะเธอก็ไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการสู้ด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณต้องลักพาตัวเธอมากัน? 」
แต่หลังจากที่ฟาร์มาถามจบ ก็มีผู้คนจำนวนมากถือคบเพลิงพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของฟาร์มาก็คือร่างของเด็กชายที่มีส่วนสูงไล่เลี่ยกับเธอคนนี้ซึ่งถูกฟาร์มาจับตัวไว้อยู่ ดูจากท่าทางแล้วพวกเขาคงยังไม่เข้าใจว่าฟาร์มาทำอะไรกับเธออยู่
พวกเขาก็เลยเลือกจะเฝ้าดูสถานการณ์ขณะถืออาวุธไว้ในมือ
「อย่าเข้ามามากกว่านี้ครับ ว่ากันตามตรงผมไม่อยากสู้กับใครอีกแล้ว!」
จากนั้นฟาร์มาก็ใช้พลังในการสร้างสสารสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมากั้นระหว่างสองฝั่ง
จากนั้นฟาร์มาก็ทำการเค้นว่าคลาร่าอยู่ที่ไหนได้สำเร็จ ฟาร์มาก็ปลดพันธนาการของหญิงสาว และทันทีที่เธอหลุดออกมาได้เธอก็ทำการเข้าไปบีบคอเขา
แต่มือของเธอกลับผ่านร่างของฟาร์มาไปเฉยๆ
เธอจึงเสียการทรงตัวและล้มลงไปกับพื้น จนไม่สามารถขยับไปไหนได้ในทันที
จากนั้นฟาร์มาก็ทิ้งทุกคนไว้ตรงนั้นแล้ว ทะลุหายเข้าไปในผนังถ้ำ
ฟาร์มาพอจะรู้แล้วว่าคลาร่าอยู่ตรงไหน ก่อนจะพุ่งทะลุผนังถ้ำเหมือนที่หญิงสาวทำก่อนหน้า
(นั่นสินะ เราน่าจะทำแบบนี้เลยตั้งแต่แรก)
หลังจากตรงไปหาคลาร่าในเส้นทางที่สั้นที่สุด ก็พบว่าเธอกำลังถูกขังอยู่ภายในคุกลูกกรงเหล็ก
ทางเข้าถูกปิดเอาไว้ด้วยสิ่งกีดขวาง ฟาร์มาเลยผ่านเข้าไปภายในคุกเพื่อพบคลาร่า หากมีของพวกนี้บังอยู่ด้วยการมองเห็นจากภายนอกก็คงไม่ชัดนัก
(โชคดีจริงๆ ที่มีสิ่งกีดขวางบังไว้อยู่บ้าง พวกยามไม่น่าจะเห็นเรานะ ตราบใดที่ไม่ส่งเสียงดัง……)
ฟาร์มารู้ได้ทันทีว่าหากเขาโผล่ออกมาจากผนัก คลาร่าที่เห็นได้กรีดร้องออกมาแน่ ดังนั้นทันทีที่เขาโผล่ออกมาเขาก็รีบเอามือพุ่งไปปิดปากคลาร่าทันที
ตามที่คาดคลาร่าพยายามจะกรีดร้องออกมา และกัดนิ้วของเขาอย่างรุนแรงด้วยความตระหนก
แต่ก็อย่างที่รู้ว่าการกระทำของเธอไม่ได้ส่งผลอะไรกับฟาร์มาเลย
กลับกันฟาร์มาแอบประทับใจในความกล้าหาญของเธอหน่อยๆ
(น่าทึ่งจริงๆ! หากเป็นแรงกัดระดับนี้บางทีอาจจะทำให้นิ้วขาดเลยก็ได้)
คลาร่าไม่ได้ลดแรงกัดลงเลย จนฟาร์มาต้องกระซิบข้างหูเธอเพื่อทำให้เธอสงบลง
「คุณคลาร่า อย่าเพิ่งส่งเสียงออกมานะครับ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผมฟาร์มาเองครับ」
พอคลาร่าที่รู้ว่ามอนสเตอร์ซึ่งสามารถโผล่ออกมาจากผนังถ้ำได้คือฟาร์มาก็สับสน
「เอ๋ ตัวจริงเหรอคะ? ไม่ใช่ของปลอบที่ภาพวาดสร้างขึ้นสินะ…」
「นั่นเรื่องจริงครับ จริงสิ ถ้าจะให้เชื่อได้ก็เอาเป็น…ยาแก้เมาเรือที่ผมให้มาได้ผลไหมครับ? 」
หลังจากที่เธอได้ยินข้อมูลที่มีเพียงฟาร์มาตัวจริงเท่านั้นที่รู้ คลาร่าก็เหมือนจะพยายามปักใจเชื่อถึงจะไม่เต็มร้อยก็เถอะ
「ยานั่น…ได้ผลดีค่ะ……」
เธอตอบด้วยสภาพที่น้ำตาตลอเบ้า ก่อนจะถามด้วยความสงสัย
「คือว่า ท่านแพทย์โอสถจริงๆ สินะคะ….? …ต…แต่ยังไงก็ดูน่าสงสัยอยู่ดี….」
คลาร่ากลัวจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก
「ล-แล้วท่านโผล่มาที่นี่ได้ยังไงกันคะ ข้างหลังก็เป็นผนังถ้ำ ตรงหน้าก็เป็นลูกกรงแถมมีสิ่งกีดกวางกั้นไว้เต็มไปหมด」
ที่เธอสงสัยก็คงจะเป็นเรื่องนี้สินะ
「อ๋อ คือว่าผมแทรกตัวเข้ามาตามช่องว่างของมันน่ะครับ」
「ช่องว่าง ของแบบนั้นมด้วยเหรอคะ? แล้วทำไมฉันถึงไม่เห็นกัน? นี่ท่านจะบอกว่าท่านเข้ามาด้วยของแบบนั้นจริงเหรอ? 」
「จริงสิครับ ด้วยรูปร่างของผมแล้วจึงผ่านมาได้」
เหมือนฟาร์มาจะพูดอะไรที่ไม่จำเป็นไปเสียแล้ว
「เอ๋? จะบอกว่าฉันยังอ้วนเกินไปที่จะผ่านมันเหรอคะ ทั้งที่ผอมลงขนาดนี้แล้วแท้ๆ 」
ฟาร์มาไม่รู้จะแก้ตัวยังไงอีกก็เลยได้แต่ยิ้มให้กับเธอ แต่แล้วจู่ๆ คลาร่าก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
「หากเป็นท่านแพทย์โอสถจริง ก็แปลว่าคำทำนายถูกต้องสินะคะ ที่ฉันจะได้พบกับท่านที่ทวีปใหม่แห่งนี้」
「ใช่แล้วครับ คำทำนายของคุณแม่นยำจนน่าเหลือเชื่อจริงๆ 」
ฟาร์มาพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่แสนซับซ้อน
「ถ้าอย่างงั้น ฉันก็สบายใจแล้วค่ะ ว่าแต่ทุกคนปลอดภัยดีหรือเปล่าคะ? เพราะฉันถูกพามาที่นี่คนเดียวก็เลยไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นยังไงบ้าง…」
พอคลาร่ารู้สึกว่าตนน่าจะปลอดภัยแล้ว ก็เลยถามถึงคนอื่นบ้าง
「ผมทำการช่วยพวกเขาหมดแล้วครับ ทุกคนปลอดภัยดี」
ถ้าให้บอกตามตรงก็คือตอนนี้ยังหาโนอาร์ไม่เจอ แต่เขาไม่ควรจะทำให้คลาร่าเป็นกังวลเพิ่ม
คลาร่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
「ทั้งที่ฉันคือคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมด รู้สึกเสียใจจริงๆ ค่ะที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ทั้งที่ฉันควรจะเข้มแข็งและยืนกรานมากกว่านี้ให้พวกเขาหยุด ทำไมฉันถึงไม่ยอมเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้กันนะ ทั้งที่รู้แล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะอันตรายขนาดนี้ ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณท่านที่มาช่วยจริงๆ 」
คลาร่าแสดงความรู้สึกที่แสนซับซ้อนออกมา
「สุดท้ายฉันก็ยังขาดการตระหนักถึงความร้ายแรงและเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจริงๆ ค่ะ」
ฟาร์มาก็ได้แต่รับฟังความรู้สึกของเธอ
「ผมไม่เคยคิดหรอกครับว่า โชคชะตามันจะถูกกำหนดมาอย่างแน่นอน เพราะอนาคตคือเส้นทางที่เราเลือกมันจากตัวเลือกนับไม่ถ้วน ช่วงเวลานี้มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของตัวเลือกดังกล่าวจากทุกคนที่ประสานเข้าด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกครับ」
คลาร่าก้มหน้าลงลงกับพื้น ส่วนทางฟาร์มาก็เลยใช้จังหวะนี้ในการมองไปรอบๆ
(ถ้าตรงนี้เป็นถ้ำหินปูน การจะเอาแคลเซียมคาร์บอเนตออกคงเป็นตัวเลือกที่ดี)
ฟาร์มาจึงชูมือขวาขึ้นไปบนเพดาน แล้วทำการสร้างรูขนาดใหญ่ขึ้นข้างบนนั้น
แต่ก่อนที่ฟาร์มาจะได้ตั้งสมาธิ เขาก็ถูกคลาร่าถามหยุดเอาไว้
「จะว่าไปแล้วท่านแพทย์โอสถ รู้จักผู้หญิงที่ชื่อเมเลเน่หรือเปล่าคะ? เธอเป็นผู้หญิงผมยาวสีดำ ที่มีรอยสักอยู่ตรงไหล่ค่ะ」
「อาจจะเคยเจอแล้วก็ได้ครับ แต่เพราะข้างในนี้มันมืดมากผมก็เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรือชื่ออะไร」
ก่อนจะมาถึงตรงนี้ ฟาร์มาได้พบชายหญิงจำนวนมาก แต่เขาไม่ได้สังเกตถึงรูปร่างหน้าตาของทุกคน
「ถ้าจะใช้ชี้ชัด เธอคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาค่ะ」
「ถ้าเป็นคนแบบนั้น ก่อนหน้านี้ผมก็เจอผู้หญิงที่รับมือได้ยากคนหนึ่งครับ แต่ผมหยุดเธอเอาไว้ได้สำเร็จก่อนที่จะตรงมาที่นี่ แต่คงเป็นเรื่องแน่หากเธอตามกลับมาทัน」
ฟาร์มาเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก
「…เธอนี่แหละค่ะ ที่เป็นเหตุผลทำให้ฉันหนีไปไหนไม่ได้」
「หมายความว่าไงครับ? 」
ฟาร์มารู้สึกสงสัยว่าทำไมคลาร่าพูดเหมือนจะปฏิเสธความช่วยเหลือ
「เธอคนนั้น มีความสามารถพิเศษในการจัดการพวกวิญญาณค่ะ และพลังของเธอก็คือการสร้างภาพวาดเหมือน ก่อนจะทำให้มันเป็นรูปร่างจริงขึ้นมา ขอโทษด้วยนะคะ ที่ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี…」
ดูเหมือนว่าคลาร่ายังคงสับสนจนไม่สามารถอธิบายให้เป็นรูปเป็นร่างได้ดีนัก
「อ๋อถ้าหากเป็นเธอคนนั้นละก็ ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เพราะผมจัดการเธอไปแล้ว」
「เธอยังปลอดดีใช่ไหมคะ!? 」
คลาร่าเข้ามาถามกับผมด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเป็นเพราะอะไร
「จากที่ดูก็ปลอดภัยดีอยู่ครับ ว่าแต่ทำไมกัน? 」
ทำไมคลาร่าต้องเป็นกังวลขนาดนี้ด้วย เขาไม่เข้าใจเลย
「ฉันถูกเด็กคนนั้นสาปอยู่ค่ะ….คนที่ชื่อเมเลเน่ โดยที่หากเกิดอะไรขึ้นกับเธอคนนั้น ฉันก็จะตายไปด้วยในฐานะคนที่ถูกเธอสาปค่ะ ตอนนี้ก็เลยไม่ต่างอะไรกับการถูกเธอจับไปเป็นเชลย ถึงจะมีคนมาช่วย ฉันก็คงไม่มีสิทธิ์จะหนีไปได้หรอกค่ะ」
คลาร่าพูดด้วยท่าทางที่อยู่ไม่สุข ปลายนิ้วทั้งสองของเธอขยับเข้าหากันไปมาระหว่างพูด
ดูเหมือนฟาร์มาจะพลาดอะไรไปซะแล้วสิ
จากนั้นฟาร์มาก็จ้องไปยังร่างกายของคลาร่า แล้วพบว่ามีตราที่เหมือนกับเครื่องหมายของคำสาปอยู่หลังคอของเธอ
(คล้ายกับของที่เคยติดอยู่บนร่างของคุณจูเลียน่าเลย)
ฟาร์มาจำสัญลักษณ์คำสาปศักดิ์สิทธิ์ที่จูเลียน่าซึ่งอดีตเคยเป็นคาร์ดินัลจากมหาวิหารได้ต้องขอบคุณหอสมุดของนครศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ฟาร์มาสามารถหาความรู้เกี่ยวกับคำสาปและปรากฏการณ์ลึกลับได้มากยิ่งขึ้น
「ถูกสาปอยู่ตรงที่คอสินะครับ? หากปล่อยไว้ต้องแย่แน่ งั้นเรามารีบจัดการกันเลยดีกว่า」
ฟาร์มานำยาออกมา ก่อนจะใช้มือในการหยดของเหลวจากขวดใส่มือของคลาร่า
มันคือโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ชั่ววันที่หลงเหลืออยู่ก่อนหน้านี้หากเธอใช้สิ่งนี้ ร่างกายของเธอก็จะเป็นอมตะอยู่ 1 วัน คงไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำร้ายร่างกายของได้อีกแล้ว
「ด้วยสิ่งนี้น่าจะช่วยระงับคำสาปได้ชั่วคราวครับ」
「อารมณ์เหมือนยาแก้พิษเหรอคะ」
คลาร่าถามขณะเอามือถูของเหลวนั้นเหมือนเจลล้างมือ
「ก็ประมาณนั้นครับ」
「โล่งอกไปที เพราะเธอบอกว่าจะจับฉันไปเป็นทาส แล้วถ้าขัดขืนจะฆ่าให้ตายเลยกลัวแทบแย่……」
「โห…เธอพูดถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ…」
ฟาร์มาไม่เข้าใจภาษาที่เธอพูดก็เลยไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะพูดแรงถึงขนาดนี้
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ฟาร์มารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
「เดี๋ยวนะครับ คุณคลาร่าพูดกับคุณเมเลเน่รู้เรื่องด้วยเหรอ? หรือจริงๆ เธอสามารถพูดภาษาจักรวรรดิได้เหมือนกัน? 」
จากนั้นคลาร่าก็เล่าเรื่องราวความเป็นมาสั้นๆ ให้ฟังหลังเธอถูกลักพาตัว
「แบบนี้นี่เอง ตอนแรกคุณเมเลเน่ไม่ได้รู้ความถึงสามารถของคุณคลาร่า แต่พามาเพราะสงสัยในตัวคุณเฉยๆ ก่อนที่จะใช้วิญญาณในการเป็นตัวกลางสื่อสารแทนสินะครับ? 」
「เป็นไปตามที่พูดค่ะ」
จะว่าไปก่อนหน้านี้ เธอก็พยายามเรียกพวกวิญญาณออกมาล้อมเขาเฉยๆ เหมือนแค่พยายามจะจับตัวไว้
(หรือก็คือวิญญาณนั่นจริงๆ แล้วไม่ได้มีไว้เพื่อโจมตี แต่มีไว้เพื่อทำการสื่อสารเหรอ? )
แต่พอเธอเห็นว่าฟาร์มาทำการโต้กลับ เธอก็เลยเปลี่ยนท่าทีไป
(พลาดไปแล้วสินะเรา….การสื่อสารล้มเหลวโดยสมบูรณ์เลย)
ฟาร์มารู้สึกปวดใจ
「ว่าแต่ท่านแพทย์โอสถคะ ยาที่ใช้ในการต้านคำสาปนี้มีเพียงพอสำหรับคณะเดินทางทุกคนหรือเปล่าคะ เพราะพวกเขาต่างก็ลงไปเล่นในทะเลสาบปิติคาก้า เมเลเน่บอกฉันว่าที่นั่นต้องสาป ทุกคนที่ลงไปต้องแย่แน่ๆ 」
「เพราะแบบนั้นก็เลยถามถึงพวกเขาเมื่อกี้ด้วยสินะครับ」
「เราจะทำยังไงกันดีคะ! ทุกคนกำลังตนอยู่ในอันตราย」
คลาร่าเหมือนนึกขึ้นได้ว่าพวกพ้องของเธอแย่แล้ว
「ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมได้ทำการรักษาพวกเขาแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วง」
「นี่ท่านเป็นผู้ส่งสารจากพระเจ้าหรือไงกันคะ! ท่านแพทย์โอสถ การที่ค้นพบยาในการต้านคำสาปของทะเลสาปนั่นได้อย่างรวดเร็วดูยังไงมันก็แปลกเกินไปแล้วค่ะ!」
「ไม่หรอกครับ นั่นไม่ใช่ผลงานของผม แต่เป็นของเธอคนนั้นที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีจนเกินไปต่างหาก……」
ฟาร์มาพูดขณะนึกถึงในหน้าของเอเลน
「แบบนี้นี่เอง….ค่อยยังชั่ว」
「มีเรื่องที่ผมสงสัยอยู่ครับเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อเมเลเน่ เธอมีความแค้นอะไรกับคณะสำรวจหรือคุณคลาร่าเหรอครับ หรือจะเป็นเพราะพวกเราบุกรุกขึ้นมาบนชายฝั่งของพวกเขาโดยไม่บอกกล่าว」
หากฟาร์มาเป็นพวกเขา การมีกองกำลังบุกรุกมาจากทางทะเล ก็ไม่แปลกอะไรนักหากจะทำการตอบโต้ผู้บุกรุกที่สามารถสื่อสารกันได้และไม่ทราบจุดประสงคืการมา
「ตอนที่พวกเราเทียบท่ากันครั้งแรก พวกนักบวชและผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ทำการร่ายมนตร์ชำระล้างผืนดินที่ความปลอดภัยค่ะ」
「เอ๋? แล้วมันแปลกตรงไหนเหรอครับในการจัดการพวกวิญญาณร้าย? หากทำแบบนั้นคนที่นี่ก็น่าจะใช้ชีวิตกันได้อย่างปลอดภัยขึ้นด้วย ผมว่าหากเราเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพวกเขาดีๆ ก็น่าจะปรับความเข้าใจกันได้นะครับ」
ฟาร์มาไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไรเรื่องมันถึงมาจบตรงนี้
「ไม่หรอกค่ะ….ที่นี่ไม่เหมือนกับทวีปของพวกเรา พวกเขามีวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับวิญญาณและดูเหมือนว่าวิญญาณบรรพบุรุษของเขาที่คอยดูแลสถานที่แห่งนี้ได้หายไปด้วยเพราะการชำระล้าง ดังนั้นพวกเมเลเน่ก็เลยโกรธเป็นอย่างมากค่ะ」
「เอ๋――!? 」
ฟาร์มายิ่งไม่เข้าใจไปมากกว่าเดิม
อันที่จริงฟาร์มาก็แยกไม่ออกหรอกว่าวิญญาณร้ายกับวิญญาณแบบอื่นมันต่างกันตรงไหน แต่ดูเหมือนพวกเมเลเน่จะรับรู้ได้ และการที่คณะสำรวจเดินทางมาถึงตรงนี้ก็สร้างผลเสียมากกว่าผลดีต่อพวกเขา
(หรือว่า ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะเราด้วยนะ…? )
เนื่องจากฟาร์มามีอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์กางอยู่รอบตัว และเพื่อทำให้การสำรวจทวีปใหม่ดำเนินไปได้ด้วยดี เขาก็เลยทำการเดินทางมากำจัดพวกวิญญาณแถวนี้ไปก่อนแล้ว
「เอาเป็นว่ายังไงตอนนี้พวกเราก็รีบออกจากที่นี่กันเถอะครับ ไว้ออกไปได้เดี๋ยวค่อยหาทางแก้ไขปัญหาในอนาคตกันอีกที」
ฟาร์มาได้ทำการยื่นมือขวาออกมาอีกครั้งเพื่อทำการลบแคลเซียมคาร์บอเนตออกจากชั้นหินเพื่อหมายจะสร้างรู
ทว่าเขากลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งเทพที่ไหลผ่านตราเทพโอสถเหมือนที่เคยเป็น
ฟาร์มาผงะทันที ก่อนจะเอามือแตะที่ไหล่ขวาของตน
มันหายไป
ตราแห่งเทพโอสถที่ส่องแสงออกมาทุกครั้งก่อนจะมอบพลังให้กับฟาร์มามันหายไปแล้ว
ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปทันที
แน่นอนว่าเขาได้ลองตรวจสอบที่ไหล่ซ้ายด้วยแต่เหมือนจตะยังอยู่ดี
เขาเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว
(สร้างโซเดียมคลอไรด์)
ผงสีขาวได้ปรากฏขึ้นที่มือซ้ายของเขาไม่ต่างจากเดิม
เป็นการยืนยันว่าความสามารถในการสร้างสสารของเขายังอยู่ผ่านการสร้างโซเดียมคลอไรด์
โดยปกติแล้วฟาร์มาจะทำการตรวจสอบสสารที่ตนสร้างขึ้นมาด้วยการสสายสสารเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบอีกที แต่ในเมื่อแขนขวาของเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว เขาจึงไม่มีทางลัดอื่นในการตรวจสอบได้อีก
เขาก็เลยจำเป็นต้องยืนยันมันผ่านร่างกายของตนโดยการเลียตรวจสอบ ผลก็คือเขายังสัมผัสได้ถึงเกลือภายในสารนั้น
(สุดท้ายก็ต้องมาจบลงที่ตรวจสอบด้วยวิธีการที่มีมาแต่สมัยโบราณ)
แต่ตอนนี้มันก็ได้เกิดข้อจำกัดหลายๆ อย่างขึ้น จนทำให้ฟาร์มาไม่สามารถต่อสู้ในรูปแบบเดิมได้
(แล้วดวงตาของเราล่ะ? )
ฟาร์มาทำการเปิดใช้ดวงตาวินิจฉัย ผลที่ได้คือการมองเห็นของเขายังคงเหมือนเดิม เขายังสามารถมองไปภายในร่างของคลาร่าได้
สรุปคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงพิเศษอะไรกับการเปิดใช้งานดวงตา
การขยายภาพด้วยนิ้วมือขวาก็ยังอยู่
(ไม่มีปัญหาในการสร้างสสาร การใช้ดวงตา การขยายภาพ สรุปก็คือมีเพียงการสลบสสารเท่านั้นที่หายไป!)
หากมันถูกช่วงชิง ก็น่าจะสามารถเอาคืนกลับมาได้ แต่ฟาร์มาก็แอบคิดว่าถึงจะได้ตรากลับมา ความสามารถในการลบสสารจะกลับมาด้วยไหม
นอกจากนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าตราแห่งเทพโอสถบนแขนขวาของเขา อาจจะถูกลบหายไปแทนที่จะถูกขโมยด้วยก็เป็นได้นอกจากนี้มันยังไม่ใช่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้น สถานการณ์ของเขามันเลวร้ายได้กว่านั้นอีก
(พลังแห่งเทพของเราลดลง……!)
เมื่อตระหนักได้ว่าพลังแห่งเทพที่อยู่ภายในร่างกำลังลดน้อยลง เขาจึงสามารถรับรู้ได้ว่าจริงๆ แล้ว พลังแห่งเทพในร่างกายของเขามันก็มีจำกัดอยู่ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่มายังโลกใบนี้
ก็จริงว่าหากลองไปวัดด้วยมาตรวัดพลังแห่งเทพมันก็ยังไม่สามารถวัดค่าได้เหมือนเดิม แต่ร่างกายของฟาร์มามันสามารถบอกได้จริงๆ ว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว
(พลังที่เราเคยคิดว่าไม่มีขีดจำกัด จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นมาจากตราแห่งเทพโอสถทั้งสองนี้สินะ….)
หากเขาเหลือตราเพียงอันเดียว ตัวเขาในตอนนี้ก็จะไม่ต่างอะไรกับเทพองค์อื่นที่เคยมาจุติบนโลกใบนี้ เพราะพวกเขาก็มีตราเพียงอันเดียวมาโดยตลอด
หากมาลองคิดดูให้ดีๆ แล้ว เดิมทีเทพโอสถจะมีความสามารถในการสร้างและลบสสารในองค์เดียวเลยงั้นหรือ
ตอนนี้มันก็แค่อาจจะกลับไปในสิ่งที่ควรเป็นก็ได้ แต่การสูญเสียสิ่งที่เคยมีมามันก็เจ็บปวดอยู่ดี
「ท่านแพทย์โอสถ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ…รู้สึกปวดท้องเหรอคะ? 」
คลาร่าเข้ามาหาเขาด้วยความกังวล จริงๆ ฟาร์มาก็รู้สึกปวดท้องเพราะเรื่องนี้หน่อยๆ จริงนั่นแหละ
「พลาดไปแล้วสินะ」
ตอนนี้มีบางสิ่งเข้ามาภายในหัวของฟาร์มา
มีความเป็นไปได้ว่าเมเลเน่อาจจะมีความสามารถในการขโมยหรือลบล้างตราเทพโอสถของฟาร์มาได้
แต่ว่า มันตอนไหนกันล่ะ?
หากเมเลเน่ขโมยตรานั้นไปได้จริง แล้วมันเป็นจังหวะไหนกัน
ก็จริงว่าฟาร์มาอาจจะประมาทเธอไปบ้าง
(เป็นไปได้ไหมว่า เธอจะใช้ความสามารถในการเห็นอนาคตของคุณคลาร่ามารับมือกับตราแห่งเทพโอสถ? )
แต่หลักการในการจัดการกับตราของเราคืออะไรกันแน่ล่ะ
(หรือจะเป็นเหมือนกับตอนที่เราจัดการกับตราหลอมละลายแล้วตรานั้นก็เข้าไปสถิตอยู่กับที่อื่นแทน ไม่สิ แต่เธอไม่ได้มีพลังแห่งเทพเหมือนพวกเรา….ชีพจรแห่งเทพก็ไม่มีด้วย….หรือว่า มันจะเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขคำสาปอะไรบางอย่าง…? )
ความคิดของเขาเริ่มยุ่งเหยิง
(เอาเป็นว่าตอนนี้เราต้องเลิกคิดเรื่องจะเอาตราแห่งเทพโอสถกลับมาแล้วรีบหนีจากเมเลเน่ก่อนดีกว่า หากการสร้างสสารโดนเอาไปด้วย เราคงได้ติดอยู่ที่นี่จริงๆ แน่!)
ในกรณีที่เลวร้ายสุดก็คือ เขาจะถูกขโมยความสามารถไปทีละอย่าง จนสุดท้ายเขาก็จะถูกทรมานจนตายโดยไม่สามารถกลับบ้านเกิดได้
แค่คิดฟาร์มาก็ตัวแข็งทื่อแล้ว คลาร่าที่เห็นจึงถามขึ้น
「มีอะไรผิดปกติไปจริงๆ สินะคะ? 」
「ดูเหมือนว่าคุณเมเลเน่จะทำการผนึกศาสตร์แห่งเทพบางส่วนของผมไปครับ」
「ประมาณว่าผนึกชีพจรแห่งเทพของท่านเหรอคะ? 」
(จริง สิมันมีของแบบนั้นด้วยนี่นา)
ฟาร์มาไม่เคยเห็นชีพจรแห่งเทพของเขามาก่อน
แม้แต่ทางเอเลนเองก็ไม่สามารถตรวจสอบมันได้
ถึงจะเป็นแบบนั้น สมมติฐานที่ว่าเมเลเน่สามารถมองเห็นชีพจรแห่งเทพของฟาร์มาได้ ก่อนจะทำการปิดผนึกมันและช่วงชิงไปก็มีความเป็นไปได้
(เธอทำได้ยังไงกัน? )
ฟาร์มารู้สึกตัวสั่นเมื่อรู้ถึงความสามารถของเธอ คลาร่าก็พูดขึ้นขณะมองดูฟาร์มาด้วยความกังวล
「ไม่ว่าจะถูกผนึกไปด้วยวิธีไหน…แต่จากที่ฉันสัมผัสได้ ดูเหมือนท่านคงไม่สามารถนำกลับคืนมาได้ในการเดินทางครั้งนี้ค่ะ」
คลาร่าผู้ได้รับการคุ้มครองจากเทพแห่งการเดินทาง ผู้ไม่เคยพลาดในเรื่องการพยากรณ์มาก่อนเลยสักครั้ง
ฟาร์มาก็คงต้องยอมรับในคำทำนายของเธอ
หากเป็นทางสวรรค์บอกเองว่าการพยายามเอาตรานั้นคืนกลับมาในตอนนี้จะจบลงด้วยความล้มเหลว
เขาก็ต้องถอดใจไปก่อน
「เข้าใจแล้วครับ ยังไงคำสาปของคุณคลาร่าก็สามารถถูกระงับได้ด้วยยาตัวนี้ระยะหนึ่ง เอาเป็นว่าพวกเราเลิกตามหาตัวเมเลเน่แล้ว ถอยกันดีกว่า」
แต่ถึงจะยบอกว่าถอย มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดีที่จะพาคลาร่าออกจากถ้ำโดยไม่มีความสามารถลบสสาร
ตอนนี้ทั้งคู่ยังถูกขังอยู่ในคุก
ตรงกันข้ามกับการสรรค์สร้าง การลบสสารคือความสามารถในการทำลายล้างอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะมันสามารถใช้กับร่างกายของมนุษย์ได้ด้วย อาจจะกล่าวได้ว่าผู้ที่ครอบครองพลังนั้นคือที่สุดของโลก
(ไม่เป็นไรหรอก ถึงเธอจะได้มันไป แต่เธอก็คงไม่สามารถใช้มันในการลบสสารได้ง่ายๆ หรอก)
ฟาร์มาเริ่มสงบใจได้
เพราะข้อจำกัดของมันมีด้วยกัน 2 ประการ
อย่างแรกคือจำเป็นต้องมีพลังแห่งเทพ
แต่เธอคงจะไม่ผ่านจุดนี้เพราะเธอไม่มีชีพจรแห่งเทพ
อย่างที่สองคือเธอไม่สามารถระบุสสารที่เธอต้องการจะลบออกไปได้
หากให้เทียบกันแล้วความสามารถในการลบสสารนั้นมีความคลุมเครือน้อยกว่าการสร้างที่จำเป็นต้องเข้าใจถึงองค์ประกอบของสสารทั้งหมดที่ต้องการจะสร้าง
ึถึงจะเป็นแบบนั้นผู้ใช้ก็ยังจำเป็นต้องเข้าใจถึงลักษณะของสสารที่ต้องการจะลบอยู่เช่นกัน
(ดังนั้นเธอไม่น่าจะสามารถใช้พลังในการลบสสารที่มีความซับซ้อนได้ แต่หากเป็นน้ำ ก็อาจจะมีความเป็นไปได้อยู่)
ขณะที่ฟาร์มากำลังครุ่นคิด เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น
『นี่พวกเรามีนักโทษถึง 2 คนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? 』
พวกสิ่งกีดขวางที่กั้นอยู่ตรงหน้าคุกค่อยๆ ถูกเอาออก และฝุ่นก็ลอยฟุ้งไปในอากาศ
และร่างที่ปรากฏอยู่อีกฝั่ง พร้อมกับถือคบเพลิงอยู่ในมือก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเมเลเน่ หญิงสาวที่ฟาร์มาต้องการจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด
ตอนนี้เธอเดินมาพร้อมกับพวกชนพื้นเมืองคนอื่นและวิญญาณที่ลอยอยู่ข้างๆ เธอ ก่อนจะจ้องมองมายังคลาร่าด้วยเสียตาที่ขุ่นเคือง
『ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าถ้าเธอขัดขืนเท่ากับตาย』
คำพูดของเมเลเน่ถูกส่งไปยังพวกฟาร์มาผ่านวิญญาณที่อยู่ข้างๆ เธอ
「อะไรกัน…เป็นไปไม่ได้」
แม้ว่าคำสาปของคลาร่าจะไม่มีผลไปแล้ว แต่เธอก็ไม่สามารถขยับตัวได้ อาจจะเป็นเพราะเธอกลัวคำขู่ของเมเลเน่จริงๆ
ฟาร์มาจึงตัดสินใจว่าเขาควรจะปกป้องคลาร่า
『ดูเหมือนว่าจะยังไม่ยอมหลาบจำสินะ ฉันคงต้องสั่งสอนเธอผ่านร่างกายจนกว่าจะยอมแพ้จริงๆ 』
เมเลเน่พูดกับฟาร์มาและคลาร่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
「ผมได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วนะครับ ก่อนอื่นผมอยากจะขอโทษที่แสดงความหยาบคายไปก่อนหน้า ในเมื่อพวกเราสามารถสื่อสารกันได้แล้ว ลองมาคุยกันก่อนดีไหมครับ เริ่มจากเรื่องที่พวกเราทำการขับไล่วิญญาณบรรพบุรุษที่แสนมีค่าของพวกคุณไป ทางเราอยากจะหาทางชดเชยให้ครับ」
ฟาร์มาพยายามเจรจา
เขามองว่าตัวเขาที่สามารถจัดการกับเมล็ดพันธุ์ต้องสาปได้อย่างชำนาญ ซึ่งมันมีความเกี่ยวข้องกับการอัญเชิญวิญญาณ บางทีเขาอาจจะสามารถเรียกวิญญาณบรรบุรุษของพวกเธอกลับมาได้
『การพูดคุยไม่จำเป็น ฉันไม่ได้สนใจที่พวกเธอจะซื้อเวลาหรอก』
เมเลเน่ปฏิเสธข้อเสนอของฟาร์มาผ่านวิญญาณของเธอ
『จะว่าไปก็เห็นว่ากำลังแสดงท่าทีร้อนรนพอตัวเลยนี่ กำลังตามหาสิ่งนี้อยู่เหรอ? 』
เธอยกมือขวาขึ้นก่อนจะคลี่ฝ่ามือออก
สิ่งที่ปรากฏออกมานั้นก็คือสัญลักษณ์เหมือนสายฟ้าสีแดงขนาดเล็กซึ่งกำลังส่องแสงออกมา
ตรานั้นมันได้ถูกหลอมรวมเข้าไปภายในฝ่ามือของเธอก่อนจะส่องแสงออกมา
เมเลเน่จ้องมองไปที่ฟาร์มา แสงสีแดงแห่งลางร้ายนี้ส่องแสงจ้า
(นั่นมันตราแห่งเทพโอสถที่ถูกขโมยไป…แถมยังเปลี่ยนไปบางส่วนด้วย)
ฟาร์มาเคยเห็นสิ่งที่คล้ายกับตรานี้มาก่อนบนโลกของเขาผ่านการรายงานข่าว
มันถูกเรียกว่า เรดสไปน์ มันคือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของแสงในชั้นบรรยากาศ ที่เกิดขึ้นช่วงฝนฟ้าคะนอง
ฟาร์มาที่รู้สึกตกใจกับแสงสีแดงนั้น ส่วนทางคลาร่ากลับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ฟาร์มาก็สังเกตเห็นความกลัวของเธอจนต้องถอยหนีไปอย่างชัดเจน
อารมณ์ความกลัวของมนุษย์จะทำให้วิญญาณร้ายแข็งแกร่งขึ้น
การที่เมเลเน่สั่งให้วิญญาณออกมาแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งเกลือให้ศัตรู
「คุณคลาร่า ถอยไปก่อนครับ แล้วก็อย่าขยับไปไหน ไม่มีอะไรต้องกังวล」
「ม-ไม่ค่ะ ฉันก็จะสู้ด้วยเหมือนกัน」
คลาร่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
จากนั้นฟาร์มาก็หันไปคุยกับเมเลเน่อีกครั้ง ระหว่างที่บอกไม่ให้คลาร่าเคลื่อนไหว
「คืนสิ่งนั้นมาเถอะครับ ถึงคุณจะได้มันไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากนี้มันอาจจะสร้างอันตรายให้กับคุณได้ด้วย」
『พูดอะไรน่ะ หรือหมายถึง “รากเหง้าแห่งความว่างเปล่า” นี้เหรอ? 』
เมเลเน่แสดงตราสายฟ้าสีแดงให้ฟาร์มาดูอีกครั้ง
(…ก็แปลว่าเธอรู้เรื่องพวกนี้เหมือนกันสินะ นั่นน่าจะเป็นชื่อที่ตำนานของทวีปนี้กล่าวถือตราแห่งเทพก็เป็นได้)
ฟาร์มาตอบรับคำพูดของเธอ
「ถึงจะเรียกไม่เหมือนกัน แต่ก็ใช่แล้วครับ」
『รูทาเลกะ รากเหง้าแห่งความว่างเปล่า สิ่งที่สถิตอยู่ภายในร่างของจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งใช้ในการกำจัดทุกสรรพสิ่งที่เป็นปรปักษ์ต่อวิญญาณแห่งบรรพบุรุษ นี่คือสิ่งที่สำคัญในการทำให้พวกเราอยู่รอด』
「แล้วพวกคุณจะใช้มันในการทำอะไรกันแน่ครับ? 」
ฟาร์มาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าความสามารถในการลบสสาร มันจำเป็นต่อการอยู่รอดอย่างไร
หากเป็นความสามารถในการสรรค์สร้างเขาก็พอเข้าใจได้
เพราะมันสามารถสร้างทรัพยากรที่แสนมีค่าในการดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่มีจำกัด
ก็จริงว่าการลบสสารอาจจะจำเป็นอยู่บ้างในเรื่องของน้ำ
สิ่งที่ฟาร์มานึกออกจากประโยชน์ของมันก็มีเพียงการดูแลเรื่องน้ำท่วม
『นายจะรู้ไปเพื่ออะไรกัน? นี่มันก็ผ่านมากว่า 200 ปีแล้วที่รากเหง้าแห่งความว่างเปล่าสูญหายได้สูญหายไปจากเผ่าของเรา จนพวกเราต้องตกต่ำมาใช้ชีวิตภายในถ้ำ พวกเราไม่มีวันยอมให้มันกลับไปอยู่ในมือของผู้รุกรานหรอกนะ』
คลาร่าที่ได้ยินแบบนั้นก็เข้ามากระซิบกับฟาร์มา
「ท่านแพทย์โอสถคะ ตอนที่ฉันถูกขังเป็นเชลย ฉันพอจะได้ยินเรื่องราวจากคนที่อยู่ที่นี่มาบ้าง ดเหมือนชนพื้นเมืองพวกนี้จะมีความสามารถเหนือธรรมชาติที่แตกต่างจากศาสตร์แห่งเทพ โดยพวกเขาเรียกมันว่าคาถาค่ะ และพวกที่ใช้คาถาได้ทั้งหมดก็จะมารอยสักอยู่ตามร่างกาย」
「ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ」
ฟาร์มาที่รับข้อมูลมาก็รู้สึกประหลาดใจไม่ได้จริงๆ กับความสามารถในด้านภาษาศาสตร์ของคลาร่า
หากมองดูให้ดีๆ ก็จะเห็นได้ว่าคนที่ตามเมเลเน่มานั้นก็มีรอยสักด้วย หากนับดูแล้วนอกจากเธอก็มีอีก 3 คนที่เป็นผู้ใช้คาถา
(พวกเขาได้พลังพวกนี้มาได้ยังไงกันนะ? หรือว่ามันจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีพจรแห่งเทพอยู่ในตัวพวกเขาด้วยกัน)
ฟาร์มาคือคทาแห่งเทพโอสถเอาไว้ก่อนจะตรวจสอบอะไรบางอย่างอีกครั้ง
แล้วเขาก็พบว่ารอบหัวใจของเมเลเน่มีร่องรอยของโรคอะไรบางอย่างที่ส่องแสงสีน้ำเงินออกมา
นั่นก็หมายความว่าเธอเป็นโรคเกี่ยวข้องกับหัวใจ
ทว่าเขากลับไม่เห็นร่องรอยอื่นที่เกี่ยวข้องกับชีพจรแห่งเทพหรืออะไรทำนองนั้นเลย
ด้วยความกังวลที่ว่าตราแห่งเทพโอสถบนแขนซ้ายของเขาจะถูกพรากไปด้วย เขาจึงเลือกใช้พลังจากคริสทัลแทน หินพวกนี้มันก็เหมือนกับแบตเตอรี่ ที่แม้ว่าพลังแห่งเทพของผู้ใช้จะหมดลงแต่ก็ยังสามารถใช้พลังศาสตร์แห่งเทพได้
แม้ว่าพลังแห่งเทพในร่างของเขาจะหายไปกะทันหัน แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะพอโต้กลับอะไรไปได้บ้าง
ฟาร์มาเริ่มเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง
———–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
MANGA DISCUSSION