ตอนที่ 109 คลาร่าผู้ต่อสู้เพียงลำพัง
ในขณะที่ฟาร์มากำลังได้รับรายงานจากผู้ส่งสารของกองทัพเรือ การซ้อมรบระหว่างเหล่านักบวชจากนครศักดิ์สิทธิ์และกองทหารรักษาการณ์ของจักรวรรดิก็เสร็จสิ้นแล้ว และเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพก็กำลังเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านกัน
ท่ามกลางฝูงคนที่แยกย้ายกันออกไป จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็หันไปมองทางปาลเล่
และเมื่อปาลเล่ตระหนักได้ว่าฝูงชนได้แหวกทางออกอย่างเป็นธรรมชาติโดยมีปลายทางคือเขา ปาลเล่ก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้
「เจ้าชื่อว่าปาลเล่สินะ เรามีอะไรอยากจะถามเจ้าสักหน่อย」
「พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท」
「ศาสตร์แห่งเทพที่เจ้าได้แสดงออกมาให้เราเห็นนั้นยอดเยี่ยมมาก ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ」
「18 ปีพ่ะย่ะค่ะ」
ปาลเล่ตอบออกไปด้วยความประหม่า อันที่จริงเดือนหน้าเขาก็อายุ 19 ปีแล้ว
เอลิซาเบทมองดูปาลเล่ราวกับกำลังประเมินบางอย่าง
「อื้ม ก็เรียกว่าโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วสินะ ว่าแต่ตัวเจ้ามีตราสัญลักษณ์แห่งเทพผู้พิทักษ์ที่สมบูรณ์ไม่ก็ไม่สมบูรณ์บนร่างกายหรือเปล่า」
「ขออภัย แต่กระหม่อมไม่มีสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวเลย」
「งั้นหรอกหรือ ถ้าเช่นนั้น」
จากนั้นคทาแห่งเทพของเอลิซาเบทก็ถูกยื่นมาทางปาลเล่ และพอปาลเล่เห็นก็ทราบถึงความหมายและจับตรงปลายคทาที่ยื่นมา
ทันใดนั้นคทาแห่งเทพที่มีคุณลักษณะซึ่งสามารถใช้แทนมาตรวัดพลังแห่งเทพก็เปล่งแสงสีน้ำเงินออกมา มันคือแสงที่บ่งบอกว่าปาลเล่คือธาตุน้ำ
จากนั้นเอลิซาเบทก็อ่านระดับของพลังแห่งเทพที่แสดงออกมาแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ
「อื้ม พลังแห่งเทพของเจ้าก็ไม่เลว ใช้ได้เลยนี่」
จากนั้นเอลิซาเบทก็มอบกล่องใบเล็กซึ่งมีตราประจำตระกูลของจักรพรรดิสลักเอาไว้ให้แก่ปาลเล่โดยไม่ให้ผู้อื่นเห็น
แต่เนื่องจากความสนใจของฝูงชนที่จับจ้องมา จึงทำให้ปาลเล่ต้องช่วยเอามือของเขาปิดไว้อีกทาง และพอมองเข้าไปด้านในกล่องเขาก็พบว่ามันคือการ์ดทองคำบริสุทธิ์ถูกใส่เอาไว้
「สิ่งนี้คือ……」
พอปาลเล่ลองพลิกด้านหลังการ์ดดูก็พบว่า มันถูกสลักตราประทับของจักรวรรดิเอาไว้อยู่
ปาลเล่สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะรู้ว่าความหมายของสิ่งนี้คืออะไร มันคือการ์ดที่มีความหมายเหมือนกับตั๋วผู้มีสิทธิ์ในการเข้าชิงราชบัลลังก์
ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก โดยบุคคลดังกล่าวจะได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาหลังเข้ารับการศึกษาเกี่ยวกับจักรวรรดิเสร็จสิ้น ก่อนจะทำการเข้าพิธีทดสอบสืบทอดบัลลังก์ โดยการต่อสู้กับจักรพรรดิองค์ก่อน
ปาลเล่คือผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าท้าทายบัลลังก์ของจักรพรรดินั้นได้
และเพราะตำแหน่งจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟนั้นมีมาตรฐานที่เข้มงวดในการสอบทอด โดยที่คนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเท่านั้น ก็หมายความว่าการได้รับความคาดหวังจากคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นมาก่อน ย่อมเป็นเกียรติที่สูงที่สุด
จากนั้นเอลิซาเบทก็กระซิบที่ข้างหูของปาลเล่ซึ่งในขณะนี้ยืนตัวแข็งไปแล้ว
「หากเจ้าตัดสินใจได้แล้วก็เข้ามาพบเราได้เลย」
จนถึงตอนนี้เอลิซาเบทก็ไม่เคยให้การ์ดใบนี้กับใครมาก่อนเลย
อันที่จริงมันก็มีอยู่ครั้งนี้ที่เธอมองว่าฟาร์มาสามารถเป็นจักรพรรดิองค์ถัดไปได้ แต่เนื่องจากเขายังเด็กอยู่มาก เธอจึงปล่อยเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แถมในตอนนี้ฟาร์มายังอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้เขาไม่สามารถรับตำแหน่งนี้ได้อีกต่อไป
ในจังหวะนั้นเองที่ปาลเล่ซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพผู้มากฝีมือก็ปรากฏตัวขึ้น
เธอก็มองเห็นความเป็นไปได้ที่ปาลเล่สามารถทำได้ต่อจากนี้
แต่ปาลเล่ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เพราะเขาจำเป็นต้องเลือกคำพูดที่เหมาะสม
ยิ่งกับเรื่องแบบนี้ เขายิ่งไม่ควรใช้คำพูดที่เป็นการหักหาญน้ำใจและสายตาของจักรพรรดินีด้วย
「กระหม่อมมีเป้าหมายที่อยากทำให้ได้อยู่พ่ะย่ะค่ะ นั่นก็คือกระหม่อมอยากจะเป็นแพทย์โอสถที่สามารถรักษาเหล่าผู้คนได้อย่างเต็มตัว」
「อื้อ เรื่องนั้นเราก็เคยได้ยินมาจากทั้งสองคนที่ใกล้ชิดกับเจ้าแล้ว」
เอลิซาเบทพยักหน้ารับคำพูดของปาลเล่อย่างตรงไปตรงมา ตัวปาลเล่นั้นอยากจะสะสมประสบการณ์ในฐานะแพทย์โอสถให้ได้มากที่สุด โดยมีปลายทางคือแพทย์โอสถหลวง ถึงตอนนี้ฟาร์มาจะยังนำหน้าเขาอยู่ แต่เป้าหมายที่ตนจะเป็นแพทย์โอสถหลวงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ถ้าหากเข้าต้องกลายมาเป็นจักรพรรดิ ความฝันที่จะเป็นแพทย์โอสถหลวงก็จะหายไป ทักษะที่เขามีก็จะใช้ได้น้อยลง การเยี่ยมผู้ป่วยและสั่งยาก็คงไม่สามารถทำได้โดยง่าย มันเป็นตำแหน่งที่ไม่ได้น่าสนใจสำหรับปาลเล่เลย
「สำหรับจักรพรรดิแล้ว ประชาชนก็เหมือนกับเหล่าลูกหลาน ยังไงสักวันหนึ่งเราต้องก็ฝากลูกๆ ของเราไว้ให้ใครสักคนดูแล」
ปาลเล่ไม่รู้จะตอบเช่นไรดี
「อะไรกัน เจ้าอย่าเกร็งไปนักเลย ยังไงวันนี้ก็เป็นแค่การทักทายไม่ใช่การบังคับขืนใจเจ้าเสียหน่อย」
เอลิซาเบทส่งยิ้มให้กับปาลเล่ที่กำลังตัวแข็งทื่อ
นี่คืองานที่เธอจำเป็นต้องทำเพื่อลูกๆ ของเธอ
「นอกจากนี้หากเป็นแพทย์โอสถ การรักษาโลกใบนี้และปกป้องประเทศเอาไว้ ก็นับว่าเป็นหนึ่งในงานรักษานะ」
「….ฮ่ะ กระหม่อมจะลองเก็บเอาไปคิดดู」
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งปาลเล่ก็ตัดสินใจตอบรับกลับไป
จะใช้มันหรือไม่สุดท้ายก็อยู่ที่เจ้าหลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว นั่นคือคำของจักรพรรดินี แต่ก็อย่างว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธการ์ดดังกล่าวได้และจำเป็นต้องยอมรับไปแต่โดยดี
「ขอโทษที่มารบกวนการสนทนาของทั้งสองนะครับ」
พอฟาร์มาเห็นว่าทั้งสองน่าจะคุยกันจบแล้วเข้าก็เดินเข้ามาคุยแทรก
แน่นอนว่าเรื่องที่ทั้งสองคุยกันฟาร์มาไม่ได้ยิน
「ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องด่วนที่ต้องรายงานพ่ะย่ะค่ะ」
จากนั้นฟาร์มาก็รายงานถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่กองทัพเรือส่งสารมาให้
「เห้อ….ถึงการสื่อสารจะถูกตัดขาดไปจากชนพื้นเมือง แต่เราจะทำอะไรได้กันล่ะ」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ยินรายงานของฟาร์มาก็ต้องแสดงสีหน้าที่เศร้าหมองออกมาเพราะมันหมายความว่าถึงเธอจะรู้ เธอก็ไม่อาจจะส่งความช่วยเหลือฉุกเฉินใดๆ ไปได้ทันเวลาแน่
แม้เธอจะส่งทีมช่วยเหลือออกไปตอนนี้ก็คงไม่ทันกาล ระยะห่างของพวกเขามันมีอยู่มากเกินไป
นอกจากนี้การเดินทางดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ด้วยเพราะขนาดมีฟาร์มาช่วยสนับสนุนแล้วก็ดูเหมือนมันจะยังไม่เพียงพอ เป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคำทำนายของคลาร่าซึ่งทำให้ชะตากรรมไม่อาจจะหลีกหนีได้แม้จะเตรียมตัวกันมาพร้อมสักแค่ไหน
「ถึงคำทำนายของคลาร่าจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่หากเกิดขึ้นแล้วสุดท้ายเราก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งกำลังเสริมไปยังทวีปใหม่สินะ」
ถือว่าเป็นการตัดสินใจแบบปกติที่ควรทำ
ฟาร์มาที่เห็นก็เข้าใจได้ถึงขีดจำกัดทางเทคโนโลยี ยานพาหนะที่พร้อมใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับการไปยังทวีปใหม่
หากมองในอีกมุมตอนนี้ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะเสียชีวิตกันไปหมดแล้ว
「อันที่จริง ตอนนี้ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่และรอการช่วยเหลือจากพวกเราก็ได้ กระหม่อมก็พอจะทราบตำแหน่งที่โดนโจมตีแล้วด้วย ดังนั้นขอให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ」
「นี่เจ้าตั้งใจจะเข้าไปลุยคนเดียวอีกแล้วงั้นหรือ」
「อย่างน้อยกระหม่อมก็จะช่วยยืนยันเรื่องความปลอดภัยของพวกเขาไว้ให้เองพ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่เหลือก็คงต้องรอการช่วยเหลือจากทีมของทางจักรวรรดิที่มาถึงในภายหลังก็ไม่ได้เป็นแผนที่แย่นะพ่ะย่ะค่ะ」
หากจะทำเรื่องแบบนั้นได้ทั้งหมดคงต้องมีสักแปดหน้า หกแขนในคนคนเดียว
「ทว่า ที่แห่งนั้นก็อาจจะมีผู้ป่วยและคนเจ็บจำนวนมากเลยนะ ถึงจะเป็นเจ้าก็เถอะ แต่เจ้าจะสามารถช่วยเหลือพาทุกคนกลับมาได้หมดงั้นหรือ」
「ด้วยความสามารถของกระหม่อมแล้ว คงจะทำได้เพียงแค่คราวละ 4 คน แต่หากเดินทางไปกลับหลายสิบรอบ โดยเรียงลำดับจากคนที่เจ็บที่สุดก่อน กระหม่อมมองว่าคงใช้เวลาสัก 2-3 วัน ก็จริงอยู่ว่าหากเป็นวิญญาณร้ายคงจะเสียเวลาเยอะกว่านั้น แต่หากคู่ต่อสู้เป็นมนุษย์กระหม่อมมั่นใจว่าตนจะไม่มีทางแพ้พ่ะย่ะค่ะ」
ฟาร์มาตอบกลับไปอย่างจริงจัง แถมเรียกได้ว่าเป็นคำพูดที่แสดงความมั่นใจยังเต็มเปี่ยม
「จริงๆ เลยนะ….ความคิดของเจ้านี่มันหลุดกรอบเราไปไกลเสมอเลย」
「ต้องขออภัยด้วย แต่กระหม่อมอยากจะได้รับคำอนุญาตจากฝ่าบาทจริงๆ 」
「ในฐานะจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิ ข้าขอสั่งให้เจ้าที่เป็นแพทย์โอสถหลวง ให้รออยู่เฉยๆ ไปก่อน」
ทว่าคำตอบของจักรพรรดินีกลับทำลายความคาดหวังของฟาร์มา ฟาร์มาพูดอะไรไม่ออกและจ้องมองไปยังเอลิซาเบท แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจจะตำหนิอะไรเธอได้
「……ฮ่ะ」
แถมเธอเป็นประเภทที่ไม่มีทางยกเลิกคำสั่งอะไรหากตนตัดสินใจไปแล้วด้วย ฟาร์มาก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนตัวออกจากเรื่องนี้
ขณะที่ฟาร์มากำลังนั่งครุ่นคิดในรถม้าที่กำลังมุ่งหน้ากลับไปยังตระกูลเดอ เมดิซิส โดยมีเอเลนนั่งอยู่ข้างๆ
(เหมือนจะพลาดแล้วสิที่ดันไปขอเรื่องนี้กับฝ่าบาท….ไม่มีทางแน่ที่เธอจะยอมปล่อยให้เราออกไปคนเดียว แต่ถึงแอบทำสุดท้ายเดี๋ยวเธอก็คงรู้อยู่ดี)
「มีเรื่องอะไรที่พอจะทำได้ไหมนะ」
หลังจากที่เอเลนได้ฟังเรื่องที่ฟาร์มาพูด เธอก็ใช้น้ำแข็งเข้าประคบแขนที่บวมอยู่ของเธอเนื่องจากการฝึก แล้วถามฟาร์มาที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความกังวล
「ถึงจะมีนกทะเลช่วยในกรณีที่การสื่อสารอย่างอื่นล้มเหลว แต่การที่ได้รับข้อมูลนี้เป็นสิ่งสุดท้ายจากทางนั้นก็คงรู้แล้วว่าทางนั้นน่าจะเจองานหิน….น่าหงุดหงิดเหมือนกันนะที่ถึงเราจะรู้ทุกอย่างแล้วแต่ไม่สามารถทำอะไรต่อได้」
「ดูเหมือนพวกเขาจะใช้นกอพยพแทนนกทะเลเฉยๆ ด้วยนะ」
เพราะระยะทางระหว่างทวีปใหม่กับท่าเรือมาร์เชลคือ ราวๆ 8 พันกิโล
การที่จะเลือกนกอพยพที่สามารถบินได้เป็นเดือนๆ โดยไม่ลงจอดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
หากจะให้ยกตัวอย่างก็คงจะเป็นนกนางนวลแกลบอาร์กติกที่สามารถบินนานได้เป็นเดือนๆ
และเพราะต้องเดินทางกันอย่างยาวนานบริษัทอินเดี้ยนตะวันออกก็เลยได้รวบรวมเอานกทะเลและนกอพยพหลากหลายชนิดมาไว้เพื่อส่งข้อความ พอเห็นแบบนี้แล้วนกพิราบสิ่งสารที่ล้าสมัยไปเมื่อคราวก่อนอาจจะต้องมาประเมินกันใหม่เลย
「ก็เพราะแบบนั้นไง เลยรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ควรจะปล่อยให้รายงานนี้เสียเปล่า」
ต้องขอบคุณพลเรือเอกฌองกับคนอื่นๆ ที่รายงานกลับมาก่อนหน้านี้ เลยพอจะคาดตำแหน่งของกองเรือได้
นี่ไม่ใช่เวลามาคร่ำครวญเกี่ยวกับคำทำนายที่เกิดขึ้นแล้ว
เนื่องจากเรือ 2 ใน 5 ลำมีความสามารถในการสื่อสารแบบไร้สายอยู่ ดังนั้นโดยปกติแล้วระยะห่างของเรือทั้งสอง ก็น่าจะห่างกันระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้ถูกทำลายพร้อมกันขณะถูกโจมตี ตัวเลือกอย่างการที่ให้อีกลำหนึ่งจอดอยู่เหนือทะเล แทนที่จะเทียบท่าก็น่าจะเหมาะสมกว่า หากเป็นแบบนั้นถึงจะเกิดการโจมตีอะไรขึ้นมา ก็ควรจะเหลือเรือสักลำที่รอดกลับมาส่งข่าวได้
ทว่าเรือทั้ง 5 ลำกลับขาดการติดต่อไปทั้งหมด
ความเป็นไปได้ในตอนนี้ก็คือเรือทั้ง 5 ลำอาจจะถูกทำลายลงพร้อมกัน ไม่ก็ถูกยึดไปแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นหากอ้างอิงตามคำทำนายของคลาร่า พวกเขาก็น่าจะยังไม่เป็นอะไรกันจนกว่าฟาร์มาจะไปถึง
ดังนั้นถึงแม้จะต้องขัดคำสั่งของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ฟาร์มาก็จำเป็นต้องทำ
「ผมอาจจะไม่ได้กลับมาอีกสักพักเลย ไว้ค่อยเจอกันใหม่นะ เอเลน」
เอเลนที่เหมือนจะรู้แล้วว่าฟาร์มาคิดจะทำอะไรก็ถามขึ้นอย่างจริงจัง
「แน่ใจแล้วเหรอว่านายจะบินไปที่นั่นคนเดียว?! กองเรือที่มีผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพกว่า 100 คน หายไปในพริบตาแบบนี้ บางทีนั่นอาจจะเป็นฝีมือของวิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งมากก็ได้นะ อย่างน้อยให้ฉันตามไปด้วยเถอะ」
「ไม่หรอก นั่นไม่ใช่วิญญาณร้าย」
เท่าที่ฟาร์มาทำการเดินทางไปยืนยันมาแล้วหลายครั้ง จุดที่พลเรือเอกฌองหมายจะลงจอดนั้นไม่มีสัญญาณของพวกมันอยู่เลย
อันที่จริงมันก็มีอยู่บ้าง แต่พวกมันก็ถูกฟาร์มากำจัดไปหมดแล้ว พวกมันจึงไม่น่าจะโจมตีคนบริเวณนั้นได้อีก
ดังนั้นเขาจึงสรุปได้ว่าการโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกวิญญาณร้าย แต่เป็นมนุษย์ ไม่ก็สัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้จัก แต่ทางเอเลนก็ส่ายหน้าไปมาอยู่ดี
「ถึงจะเป็นตามที่นายบอกฉันก็จะไปด้วยอยู่ดี นายมันเป็นพวกบ้าระห่ำนี่นาจะปล่อยไปได้ยังไง นอกจากนี้ฉันก็ดวงตานี้อยู่ด้วย เดี๋ยวฉันจะช่วยนายค้นหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือเอง」
「แต่ว่า…แบบนั้นมันอันตรายเกินไปนะ คุณอาจจะบาดเจ็บได้อีกด้วย นอกจากนี้พลังนั่นผมว่าคุณไม่ควรใช้มันสักพักจะดีกว่านะ」
「ถ้าฉันมองว่าตัวเองเป็นภาระเดี๋ยวจะรีบหนีไปให้สุดกำลังแล้วรออยู่แถวข้างนอกแล้วกัน นอกจากนี้นายบอกว่าแบกกลับมาได้สูงสุดรอบละ 4 คนสินะ แต่ถ้าระหว่างที่นายกำลังเดินทางไปมาแล้วมีคนเจ็บที่ต้องดูแลเพิ่มจะทำยังไงล่ะ เดี๋ยวฉันคอยจัดการให้เอง」
ถึงคทาแห่งเทพโอสถที่สร้างขึ้นมาใหม่จะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมหลายเท่า จนทำให้สามารถบรรทุกหนักได้ถึง 200 กก. แต่หากทำแบบนั้นประสิทธิภาพการบินก็คงจะลดลงไปมากด้วย การควบคุมก็คงแย่ลง ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็คงแบกไปได้แค่รอบละ 4 คน พอฟาร์มาคิดถึงเงื่อนไขพวกนี้แล้วเขาก็ปรบมือเหมือนนึกอะไรออก
「เดี๋ยวสิ…ถ้าเป็นจุดที่พลเรือเอกฌองอยู่ละก็…ไอ้นั่นอาจจะได้ผลก็ได้」
「ไอ้นั่นเหรอ? 」
ฟาร์มามองดูบันทึกตำแหน่งการสื่อสารที่ส่งมา
「ที่โรงงานมาร์เชล มีแผนกที่เรียกว่าแผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีไว้เพื่อจำหน่ายผลลงานที่ล้มเหลวจำนวนมากของคุณทีโอดอร์ในเชิงพาณิชย์อยู่น่ะ เพราะมันมีของที่ไม่เข้าเป้าเขาแล้วเขาอย่างทิ้งเยอะด้วยสิ」
「หือ? ผลงานที่ล้มเหลวเหรอของคุณทีโอดอร์? แล้วถ้าเราใช้ของล้มเหลวจะไม่เป็นอะไรเหรอ? 」
「ในทางทฤษฎีแล้ว ผมว่ามันน่าจะช่วยให้พวกเราสามารถบรรทุกคนกว่า 100 คนกลับมาด้วยในคราวเดียวได้เลยนะ แถมยังใช้เวลาไม่ถึง หนึ่งวันด้วย」
「ดะ-เดี๋ยวนะไอ้ของแบบนั้นมันศาสตร์แห่งเทพประเภทไหนกันน่ะ」
ดวงตาของฟาร์มาเปล่งประกายขึ้นมาราวกับสังหรณ์ได้ว่ามันน่าจะได้ผล ส่วนทางเอเลนก็แสดงท่าแปลกใจออกมา เหมือนตามพวกคลั่งในงานประดิษฐ์ไม่ทัน
「แทนที่จะเรียกว่าเป็นศาสตร์แห่งเทพควรบอกว่ามันเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งจะดีกว่านะ」
「ไอ้ของแบบนั้นมันมีอยู่ในโรงงานมาร์เชลด้วยเหรอ? 」
「แน่นอนสิว่ามันต้องมีอยู่」
จากนั้นรถม้าก็เกิดหยุดอย่างกะทันหัน และพอฟาร์มามองออกไปก็พบกับม้าสีขาวตัวหนึ่งหยุดอยู่ข้างๆ โดยคนที่กำลังควบม้าตัวนั้นอยู่ก็คือ….
「จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลิซาเบท?!」
「กำลังคิดจะบินตรงไปยังทวีปการ์บันอยู่หรือเปล่า? 」
เอลิซาเบทที่ปฏิเสธคำขอของฟาร์มาก่อนหน้านี้ อยู่ดีๆ เธอก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเขาด้วยเสียงหัวเราะ
ทั้งที่เธอควรจะกลับไปพักผ่อนแล้วแท้ๆ แต่ดูเหมือนเธอจะแอบออกมาเจอกับพวกเขาอย่างลับๆ
「เจ้าบอกเราว่าสามารถไปกันได้ 4 คนสินะ」
「ฝ่าบาท?! อย่าบอกนะว่าที่คุยก่อนหน้านี้….」
「ก็ในฐานะพระสันตะปาปาเราไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้าด้วยนี่เนอะ เพราะงั้น」
ท่าทางของเธอแสดงออกมาอย่างชัดเจน
「กระหม่อมไม่สามารถพาฝ่าบาทได้ด้วยได้แน่ หากเกิดอะไรขึ้นมาจะทำเช่นไร」
「คำพูดนั้นเราขอคืนให้กับเจ้าแล้วกัน」
ในฐานะพระสันตะปาปาแล้ว เธอจำเป็นต้องปกป้องเทพผู้พิทักษ์เอาไว้
แถมเธอก็เป็นคนให้อิสระมากมายกับฟาร์มา โดยที่เธอนั้นต้องเป็นคนรับผิดชอบกับอิสระดังกล่าวนั้นด้วย
นั่นก็หมายความว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับฟาร์มาเธอก็จำเป็นต้องรับผิดชอบในฐานะพระสันตะปาปา
「แต่ถ้าฝ่าบาทไม่อยู่แล้ว ผู้คนจะ……」
「เราบอกคนของเราไปแล้วว่าเราจะนอนสักครึ่งวันแล้วอย่าให้ใครเข้ามาปลุกเพราะต้องการฟื้นพลังแห่งเทพ ดังนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก หากเรากลับมาได้ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน」
「เอ๋ นี่ฝ่าบาทกะจะไปกลับในวันเดียวเลยหรือ!」
「คู่ต่อสู้ก็เป็นมนุษย์ใช่ไหมล่ะ? หากเป็นแค่นั้นละก็สบายมาก」
(ฝ่าบาทคนนี้จะบ้าพลังเกินไปหน่อยไหม….แถมที่นั่นอาจจะมีกับดักอยู่ด้วยก็ได้)
ฟาร์มาทำหน้าปั้นยาก
「เอ๋ ฝ่าบาทเอลิซาเบท ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้กัน」
พอสังเกตได้ถึงความโกลาหลจากด้านหลัง ปาลเล่ก็ลงมาจากม้าที่กำลังนำหน้าไปอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่างานนี้ปาลเล่คงขอร่วมด้วยอีกคนแน่
「ถ้างั้น กระหม่อมขอกลับไปเตรียมยากับอุปกรณ์ที่คฤหาสน์ก่อน ได้โปรดรอสักครู่」
สุดท้ายฟาร์มาก็ไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้และลงเอยด้วยการพาทั้ง 3 คนไปยังทวีปใหม่ด้วย
ฟาร์มาได้ส่งโทรเลขเกี่ยวกับรายละเอียดการเดินทางไปหาอดัม ทีโอดอร์และเคียร่าที่อยู่มาร์เชลเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ก็เหลือแค่ต้องเดินทางไปให้เร็วที่สุด
แต่สุดท้ายถึงจะรีบสักแน่ไหนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเป็นอย่างดีก่อน
ถึงเขาจะบอกว่าหากเป็นมนุษย์เขาจะไม่มีทางแพ้เด็ดขาด แต่ฟาร์มาก็ยังแอบลังเลอยู่ดีที่จะใช้พลังกับพวกเขา
หากเป็นแค่การต่อสู้เฉยๆ มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
ความแตกต่างของพลังก็คงไม่ต้องถาม
แต่เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความนึกคิด สามารถสร้างแผนการและสงครามจิตวิทยาได้มากมาย พวกเขาจึงน่ากลัวกว่าพวกวิญญาณร้ายเป็นไหนๆ
◆
「กรี๊ด」
หยดน้ำได้ตกลงมากระทบแก้มของคลาร่าจนทำให้เธอตื่นขึ้น
「ที่นี่มัน」
พอเธอมองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ด้วยความกระวนกระวาย ก็พบว่าตัวเองอยู่ภายในถ้ำที่มืดและเต็มไปด้วยความชื้น ซึ่งขณะนี้เธอกำลังถูกจับอยู่ภายในกรงขังที่ทำมาจากแท่งเหล็กซึ่งติดกับเพดาน แล้วหยดน้ำดังกล่าวก็หยดลงมาจากเพดานของถ้ำนั่นเอง มีแสงไฟถูกจุดอยู่บริเวณรอบนอกกรง ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งและมีคนเดินไปมาอยู่มากมาย
สิ่งที่คลาร่าเห็นก็คือเหล่าผู้คนผิวสีแทนซึ่งมีผมสีดำ
หลังจากที่เธอจ้องมองรอบๆ พักหนึ่ง ก็เห็นว่ามีเด็กสาวถือคทาแห่งเทพเดินเข้ามาจ้องคลาร่าจากนอกตาข่าย
ถึงจะบอกว่าเป็นเด็กสาว แต่คลาร่าก็ไม่สามารถเดาอายุจริงๆ ของเธอได้
ลักษณะของเธอมีผมยาวถักเปียเอาไว้ข้างหนึ่งซึ่งบริเวณดังกล่าวถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกหลากสี
นัยน์ตาสีดำคู่โตที่ดูจะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นพุ่งตรงมาที่คลาร่า
(เดี๋ยวนะ เด็กคนนี้คือคนที่ทำให้เรือของพวกเราจมนี่นา!)
ถึงตอนนั้นจะเห็นหน้าเธอไม่ชัดนักเนื่องจากความมืด แต่คลาร่าก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเด็กสาวที่ดูไร้เดียงสานี้นะหรือจะมีความสามารถที่เอาชนะผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพกว่า 100 คนได้อย่างง่ายดาย
「……、…………!」
พอเห็นว่าคลาร่าตื่นแล้ว เด็กสาวคนนั้นก็เหมือนจะเดินเข้ามาพูดคุยกับเธอ แต่ถึงดูเหมือนว่าเธอจะพูดอะไรอยู่ คลาร่าก็ฟังไม่ออกเลยสักนิด ก่อนจะฝืนยิ้มตอบกลับไป
「คือว่า..ฉันฟังไม่ออก…หรอกนะ」
คลาร่าส่ายหน้าไปมาเชิงขอโทษ จากนั้นเด็กสาวก็เอียงศีรษะและถอนหายใจออกมา
「ถ้าเป็นไปได้ ฉันขอคทาแห่งเทพคืนได้ไหม…ยังไงเธอก็ไม่ได้ใช้มันอยู่แล้วนี่」
คลาร่าที่ถูกจับมาขังเอาไว้ ย่อมถูกยึดคทาแห่งเทพไปด้วย
ทางเด็กสาวก็ได้ถือคทาแห่งเทพเอาไว้และแตะปลายคทาไปยังฝ่ามืออีกข้างเหมือนดูท่าทางของคลาร่า
ไม่นานนัก เธอก็ถูกใครบางคนเรียกตัวไป ไม่นานนัก เด็กชายประมาณ 2-3 คน ก็เดินมายังหน้ากรงขังหลังจากเด็กสาวเดินจากไป
เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาสนใจคลาร่าที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากพวกตน คลาร่าก็เลยเกิดความคิดที่จะสื่อสารกันด้วยภาพวาดแทน โชคดีที่พื้นของห้องขังเป็นทราย เธอจึงสามารถวาดพื้นนั้นด้วยนิ้วของเธอได้
เธอเริ่มวาดนกขึ้นมาก่อนเพื่อเป็นตัวอย่าง ซึ่งนั่นก็คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขารู้จักด้วย
「พิริ!」
เด็กชายคนหนึ่งชี้และตะโกนออกมา ขณะคลาร่าชี้ไปยังภาพวาดเหมือนถามว่าคืออะไร
「พิริ? 」
「พิริ!」
「อ๋อพวกเธอเรียกสิ่งนี้ว่า พิริสินะ!」
คลาร่าพอจะโชคดีที่เริ่มได้เบาะแสเกี่ยวกับภาษาของพวกเขาบ้างแล้ว จากนั้นเธอก็วาดรูปปลาแล้วถามต่อ
「คาตานะ」
「ปลาคือ คาตานะ สินะ」
อาจจะเป็นความโชคดีที่เธอพอจะมีหัวทางด้านศิลปะอยู่บ้าง
จากนั้นเธอก็วาดรูปคน ชาย หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ และส่วนต่างๆ ของร่างกายไปเรื่อยๆ
พวกเด็กๆ ที่เห็นภาพพวกนั้นก็เริ่มดูแล้วตอบคำถามของคลาร่า
ทางคลาร่าก็ค่อยๆ จดบันทึกข้อมูลและจำคำศัพท์พวกนั้น
จากนั้นพอผ่านไปสักพัก คลาร่าก็เริ่มวาดรูปปืนขึ้นมา พอพวกเด็กๆ เห็นก็เอียงศีรษะ
「นิอิเนะ? 」
จากนั้นคลาร่าก็ลองวาดภาพรถม้าดู แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาตอบว่า 「นิอิเนะ? 」
พอเห็นแบบนั้นคลาร่าก็ทำการยืนยันโดยวาดภาพของสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จัก เพื่อต้องการคำตอบว่านิอิเนะกลับมา
ถึงตอนนี้คลาร่าจะเป็นชนชั้นสูงแล้ว แต่อดีตเธอก็เติบโตมาในฐานะของสามัญชนคนหนึ่งที่ถูกทอดทิ้ง จนถึงตอนที่ฟาร์มามาเจอเธอและเปิดชีพจรแห่งเทพให้กับเธอ ในอดีตมีหลายครั้งที่เธอต้องซื้อผักกับพวกพ่อค้าชาวต่างชาติที่มารวมตัวกันในงานเทศกาลสินค้าแซงต์เฟลิฟ แต่ก็อย่างที่ว่ากำแพงภาษามันขวางกั้นไม่ให้พวกเธอคุยกันรู้เรื่อง ดังนั้นเพื่อที่จะเข้าใจภาษาของอีกฝ่าย ก็จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร 「นิอิเนะ」 คำดังกล่าวก็น่าจะเป็นประโยคคำถามสำหรับอีกฝ่ายว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คืออะไร ที่เหลือก็อยู่ที่ความพยายามของคลาร่าแล้วว่าจะเรียนรู้ได้ขนาดไหน จากนั้นคลาร่าก็ยิ้มออกมาก่อนจะชี้ไปยังตัวเอง แล้วพูดขึ้นมาว่า 「คลาร่า!」
จากนั้นเธอก็ชี้นิ้วไปยังหนึ่งในเด็กพวกนั้นแล้วพูดว่า
「นิอิเนะ? 」
พวกเด็กๆ ก็ดูประหลาดใจก่อนจะตอบกลับ
「มาริโป」
เด็กชายที่คลาร่าชี้ถามตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม
นั่นน่าจะเป็นชื่อของเขา คลาร่าเริ่มบันทึกมันเอาไว้ในหัว นี่คือการแนะนำตัวครั้งแรกของพวกเธอ ก่อนที่หลังจากนั้นพวกเธอจะเริ่มแลกเปลี่ยนบทสนทนากันเรื่อยๆ
ไม่นานนัก ดูเหมือนว่าการพูดคุยของคลาร่ากับพวกเด็กๆ จะเริ่มดังจนเกินไป พวกผู้ใหญ่เลยทนไม่ไหวและเรียกตัวพวกเด็กๆ ออกมา พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างนอกนั้น แต่ละคนก็ถือทั้งอาวุธปืน คทาแห่งเทพและหมวกกะลาสีเรือที่พวกพลเรือเอกฌองสวมกันอยู่ พอเห็นแบบนั้นคลาร่าก็ตกใจมาก เพราะคทาก็เหมือนกับชีวิตของชนชั้นสูงการที่พวกเขาถูกยึดคทาเอาไว้ก็ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้ว
(พลเรือเอกฌองกับคนอื่นๆ จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ…หรือเราจะเป็นเพียงคนเดียวที่ยังปลอดภัยกัน)
คลาร่าไม่อยากจะคิดภาพต่อจากนี้เลย แถมเธอก็ใช่ว่าจะปลอดภัยไปตลอด
เหตุผลที่ตอนนี้เธอยังรอดมาได้ก็เป็นเพราะเธอปล่อยมือจากคทาของเธอทันทีที่เด็กสาวคนนั้นโจมตีเข้ามา ส่วนเหตุผลที่เธอทำแบบนั้นก็เป็นเพราะคำทำนายที่โผล่เข้ามาในหัวของเธอบอกว่า เด็กสาวคนนั้นกำลังจะโจมตีศัตรูทุกคนที่ถืออาวุธเอาไว้ในมือ
มันอาจจะเป็นพรป้องกันของเทพผู้พิทักษ์ไม่ก็สัญชาตญาณของเธอเองก็ได้
แต่ในตอนนั้นนอกจากตัวเธอเองแล้วก็ไม่มีใครทำตามที่เธอบอกเลย
ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรที่ระหว่างการต่อสู้ ใครจะอยากลดอาวุธของตัวเองลง
(ทั้งที่เราก็มากับกองเรือ เราควรจะป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแท้ๆ )
แต่มากังวลสถานการณ์ของพวกเขาเอาตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากนี้ถึงชีวิตของพวกพลเรือเอกฌองจะยังตกอยู่ในอันตรายแต่ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นอย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้กลายเป็นโครงกระดูกไปเสียก่อน
ถึงพวกเขาจะไม่ปลอดภัย แต่ก็ไม่ถึงกับตาย
แต่กลับกัน ทางคลาร่านั้นไม่รู้เลยว่าชะตากรรมของตนจะเป็นเช่นไร
อาจจะเป็นไปได้ว่าเธอคนเดียวที่ถูกฆ่าตายก็ได้
คลาร่าทำการเช็ดน้ำตาแล้วค่อยๆ เรียบร้อยคำพูดที่พวกเด็กๆ สอนเธอมา
「นั่นสินะ…ถึงเราจะไม่รู้ แต่เทพผู้พิทักษ์ย่อมรับรู้ทุกสิ่ง」
คลาร่าเริ่มใช้พลังแห่งเทพเขียนสัญลักษณ์ขึ้นมาบนพื้นเป็นคำว่า ใช่ กับ ไม่ ส่วนบริเวณรอบๆ ก็จะเป็นตัวอักษรต่างๆ ที่ใช้สำหรับการทำนาย
มันถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในศาสตร์แห่งเทพผู้พิทักษ์
การทำนายที่คล้ายกับผีถ้วยแก้วชนิดหนึ่งซึ่งเคยเป็นที่นิยมกันในหมู่ชนชั้นสูงที่นัดพบเจอกันในซาลอน กระทั่งในหมู่ชนชั้นสูงของจักรวรรดิก็เคยใช้มันเช่นเดียวกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการอัญเชิญเจตจำนงแห่งเทพผู้พิทักษ์มายังที่แห่งนั้น หากเป็นญี่ปุ่นก็เรียกได้ว่ามันคือต้นแบบของคกคุริซัง สิ่งที่ชนชั้นสูงเล่นกันในซาลอนนั้นมันเป็นเพียงเกมทางจิตวิทยา แต่สำหรับคลาร่าที่มีเทพแห่งการเดินทางเป็นเทพผู้พิทักษ์แล้ว การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในนั้นจะแตกต่างออกไป แถมเธอก็เคยลองทำดูหลายครั้งแล้วด้วย แต่มันมักจะได้ผลเฉพาะช่วงที่เธอกำลังเดินทางไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
หลังจากที่เธอวาดวงเวทซึ่งเป็นศาสตร์แห่งเทพผู้พิทักษ์เสร็จ ก็เริ่มทำสมาธิ
「ท่านเทพผู้พิทักษ์ ได้โปรดจุติลง」
จากนั้นนิ้วมือของคลาร่าก็เริ่มขยับขึ้นมาเอง
(ยินดีต้อนรับท่านเทพผู้พิทักษ์ ตัวเราขอถามท่าน พลเรือเอกฌองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? )
“ใช่”
พอเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายถึงขีดสุด คลาร่าก็เริ่มหาทางให้กำลังใจตัวเองโดยการตรวจสอบว่าเธออยู่ในที่แห่งนี้อย่างโดดเดี่ยวหรือไม่
(ตอนนี้เขาอยู่ใกล้ๆ นี้หรือไม่)
“ใช่”
(เขายังปลอดภัยดีหรือไม่)
“ไม่”
「ปลอดภัยดีก็โล่ง…อ่ะไม่เหรอ」
แย่แล้ว นั่นคือสิ่งที่คลาร่าคิด บางทีเขาอาจจะกำลังบาดเจ็บหนักอยู่ก็ได้
(หากไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยเร็วจะตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่)
“ใช่”
ถึงจะเป็นคลาร่าแต่เธอก็ไม่คิดหรอกว่าเธอจะสามารถเอาตัวรอดออกจากที่นี่และช่วยทุกคนไว้ได้ ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงทำความรู้จักกับศัตรูให้มากขึ้น
(คนที่โจมตีพวกเราเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพใช่หรือไม่ อย่างหญิงสาวที่ชื่อว่าเมเลเน่)
“ไม่”
(ถ้าอย่างงั้น หากไม่ใช่ศาสตร์แห่งเทพแล้วพลังพวกนั้นคืออะไรกัน? )
นิ้วของคลาร่าค่อยๆ ไหลไปตามกระดาน เพราะมันไม่ใช่คำตอบแค่เพียงว่าใช่หรือไม่
“ผู้ใช้ศาสตร์แห่งวิญญาณ”
「แบบนี้นี่เอง……」
หากเป็นแบบนี้เธอก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ได้ สิ่งที่เธอเห็นมันไม่ใช่พวกวิญญาณร้าย แต่เป็นเทคนิคในการใช้วิญญาณเข้าสู้ มันเป็นมนตร์ที่อัญเชิญนกออกมาจากผืนดิน เรียกมอนสเตอร์ประหลาดออกมาจากพืช อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งต่างๆ ไปมาได้อย่างผิดปกติ
บางทีมันอาจจะคล้ายกับศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ แต่ของดังกล่าวในทวีปของพวกเธอมันคือเรื่องต้องห้ามที่ทางศาสนจักรควบคุมเอาไว้อยู่ ดังนั้นจึงไม่มีเทคนิคพิเศษอะไรที่ตกเหลือมาถึงปัจจุบัน แตกต่างจากสิ่งที่เธอเห็นในตอนนี้
(ในหมู่พวกเขาทุกคน เมเลเน่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดใช่หรือไม่)
“ใช่”
พอมาถึงตรงนี้ พลังแห่งเทพของคลาร่าก็ได้หมดลง เธอไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพอะไรได้อีกแล้ว เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรอให้พลังของเธอฟื้นขึ้นในวันพรุ่งนี้
ที่เธอเลือกแบบนี้ก็เพราะศัตรูของเธอไม่ใช่คนที่เธอจะโค่นได้ด้วยศาสตร์แห่งเทพ
แต่หากจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สถานการณ์ก็คงไม่มีทางเปลี่ยน ดังนั้นคลาร่าจึงต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
เพราะถ้าไม่รีบ พลเรือเอกฌองกับคนอื่นๆ คงตกอยู่ในอันตรายกว่าเดิม
「เมเลเน่!」
คลาร่าตัดสินใจตะโกนออกมา
เมเลเน่หันกลับมาด้วยความประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้คลาร่าได้วาดรูปของเมเลเน่และถามพวกเด็กๆ ว่าเธอคือใครจนได้ทราบชื่อ ต้องขอบคุณความกล้าและฝีมือในการวาดของตัวเองจริงๆ
ฝ่ายตรงข้ามมีความสามารถในการฆ่าเธอได้ในทีเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีหากจะยั่วยุเธอ แต่คลาร่าก็ต้องข่มใจตัวเองเอาไว้เพื่อหาทางทำอะไรสักอย่าง
「อิเฮโตะ…มานิ」
คลาร่าพูดขณะเอามือลูบท้องของเธอไปด้วย เหมือนกับจะบอกว่าตนหิวแล้ว เมเลเน่ถึงจะทำท่าทางสงสัยออกมา แต่เธอก็หันไปคุยกับเพื่อนของเธอ แล้วไม่นานนักก็มีมันฝรั่งอบ ปลาย่างและน้ำดื่มส่งมาให้เธอ
「ยาร่ายยาร่าย」
มันแปลว่าขอบคุณ
คลาร่าพยายามใช้คำศัพท์ที่เธอเรียนรู้มาไม่กี่คำอย่างเต็มที่
ทางเมเลเน่ก็เหมือนจะฟังเธออย่างตั้งใจ
「คาตานะมานานา」
ปลาเป็นของดี เธอน่าจะพูดประมาณนั้น โดยอยากจะสื่อว่าขอให้ทานให้อร่อย ถึงจะไม่รู้ว่ามันอร่อยจริงตามที่บอกไหมก็เถอะ ส่วนปลาที่ว่ามีเหมือนจะมีลักษณะเฉพาะตัวมากเหมือนกัน ให้เทียบกับเซฟที่ทางจักรวรรดิปรุงแล้ว คงต้องบอกว่ามีรสจัดมากกว่าที่คิด จนออกไปทางเผ็ดร้อน เครื่องเทศที่โรยเอาไว้ก็เหมือนจะเป็นของที่คลาร่าไม่รู้จักด้วย
ถึงจะไม่ถูกปากคลาร่านัก แต่เธอก็ต้องฝืนแสดงท่าทีที่เป็นมิตรออกมา โดยการพยายามออกรสชมวัฒนธรรมอาหารของอีกฝ่ายและเริ่มสำรวจภูมิหลังของพวกเขา
「มาริโป!」
เมเลเน่เรียกมาริโปมา ก่อนที่พวกเขาจะคุยอะไรกันบางอย่าง จากนั้นมาริโปก็มายืนอยู่ตรงหน้าคลาร่า จากที่เห็นเมเลเน่อาจจะอยากให้มาริโปที่คุยกับคลาร่ามานานที่สุดเป็นล่ามให้
จากนั้นเมเลเน่ก็ยืนคทาแห่งเทพออก ส่วนมาริโปก็เป็นคนถาม
「นิอิเนะ? 」
「คทาแห่งเทพ」
คลาร่าตอบ
「มาเนะ? 」
「มันทำงานด้วยพลังแห่งเทพ」
มาเนะ ความหมายว่า ทำงานอย่างไร เธอมองว่าพวกเขาคงต้องการรู้วิธีใช้งานมัน คลาร่าก็เลยยื่นมาไปทางเมเลเน่เหมือนจะลองใช้คทาให้ดู แต่ทางเมเลเน่ก็ยึดคทากลับไป ดูท่าเธอจะยังระวังตัวโดยคิดว่าคลาร่าอาจจะใช้มันเป็นอาวุธก็ได้
「นิอิเนะ? 」
「ปืน」
「มาเนะ? 」
「……นันน่ะ」
หากเธอสอนพวกเขาใช้อาวุธปืน พวกเขาอาจจะใช้มันลองยิงเธอก็ได้ นอกจากนี้เพื่อนๆ ของเธออาจจะถูกยิงด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่อาจสอนพวกเขาได้และตอบกลับไปว่า นันน่ะ (ไม่รู้) เพื่อเลี่ยงคำถาม เมเลเน่ก็เหมือนจะไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่ก็เริ่มวาดวงเวทอะไรสักอย่างที่คล้ายกับหน้ามนุษย์ จากนั้นก็วางมือลงไปที่ที่วงเวทและปล่อยมือขึ้น
จากนั้นวิญญาณของมนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากผืนดิน คลาร่าที่เห็นก็ต้องตกใจและผงะถอยไป เธอคิดว่าเธอกำลังจะถูกฆ่าแล้วแน่ๆ ทว่าเมเลเน่ก็เริ่มพูดกับคลาร่า ในจังหวะเดียวกันวิญญาณดังกล่าวก็เริ่มขยับปากของตนเหมือนกับที่เมเลเน่พูด
『เธอได้ยินเสียงของฉันไหม』
วิญญาณนั้นทำหน้าที่แปลคำพูดของเมเลเน่ให้คลาร่าฟัง
แบบนี้เองสินะ คลาร่าเหมือนนึกอะไรออก
เพราะจิตวิญญาณคือมวลแห่งความนึกคิด การสื่อสารของพวกเขาจึงอยู่เหนือภาษาทั่วไป
เมเลเน่เริ่มใช้การแปลภาษาผ่านวิญญาณทันทีที่เห็นว่าล่ามอย่างเมลิโปไม่สามารถช่วยเธอได้ ทำให้เห็นว่าเมเลเน่ไม่ใช่แค่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งวิญญาณธรรมดา เธอคือคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
「ค่ะ ฉันได้ยินที่คุณพูด!」
วิญญาณก็ได้เริ่มแปลคำพูดของคลาร่าแล้วถ่ายทอดมันให้กับเมเลเน่ นี่คือการสื่อสารข้ามกำแพงภาษาด้วยศาสตร์แห่งวิญญาณ
『เดิมทีพวกเราก็อยากจะต้อนรับพวกเธอหรอกนะ จึงได้เฝ้าดูอย่างอดทนว่าพวกเธอจะทำอะไรกับผืนดินแห่งนี้บ้าง แต่สุดท้ายการกระทำของพวกเธอก็คือการรุกล้ำอาณาเขตของพวกเรา และรบกวนการหลับใหลของเหล่าบรรพบุรุษ โดยการใช้ศาสตร์แห่งความมืดในการขับไล่พวกเขา』
ศาสตร์แห่งความมืดที่ว่าน่าจะเป็นศาสตร์แห่งเทพในที่แห่งนี้
สำหรับคนพวกนี้ ศาสตร์แห่งเทพดูเหมือนจะไม่ใช่ของที่น่าพึงประสงค์นัก
「เรื่องนั้นพวกเราไม่ได้ตั้งใจค่ะ…นอกจากนี้พวกเราก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกคุณอยู่กันที่นี่」
『พวกเขาพยายามขับไล่เหล่าวิญญาณบรรพบุรุษที่หลับใหลอย่างสงบในที่แห่งนี้ เมื่อ 40 วันก่อนวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ซึ่งปกป้องผืนแผ่นดินนี้ก็สลายไปเพราะศาสตร์แห่งความมืดนั่น วิญญาณที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ดวงก็แสดงความโกรธออกมา ฉันเชื่อว่าทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของพวกเธอที่ทำให้พวกเขาหายไป』
(40 วันก่อน พลังแห่งความมืดงั้นเหรอ? ก็แปลว่าสิ่งนั้นได้ทำการทำลายวิญญาณที่เมเลเน่หวงแหนไปสินะ? )
แต่เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันมาจากไหน คลาร่าทำได้เพียงคร่ำครวญ
ก็จริงว่าพวกนักบวชที่มากับพลเรือเอกฌองนั้นมีความสามารถสูงในการขับไล่พวกวิญญาณร้าย
แต่หากเป็นเมื่อ 40 วันก่อนเรือของพวกเธอยังไม่แล่นด้วยซ้ำ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเธอจะข้ามทวีปมาเพื่อจัดการกับพวกมันด้วยศาสตร์แห่งเทพก่อนหน้านี้
「ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลยค่ะ อีกทั้งนั่นไม่น่าจะใช่ฝีมือของพวกเราแน่ เพราะพวกเราพึ่งจะเดินทางมาถึงที่นี่ได้เพียงแค่ 10 วัน นอกจากนี้สิ่งที่พวกเราพยายามกำจัดก็มีเพียงแค่วิญญาณร้าย….」
『ที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณร้ายจริงๆอยู่หรอก』
เมเลเน่ประกาศกร้าวออกมาอย่างชัดเจน ถึงนั่นจะเป็นวิญญาณร้ายสำหรับคลาร่าแต่มันไม่ใช่สำหรับเมเลเน่
「พวกคุณคงให้ความสำคัญกับดวงวิญญาณเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเราที่เชื่อในเหล่าเทพผู้พิทักษ์ซึ่งมอบพลังจากสรวงสวรรค์มาให้กับพวกเรา พวกคุณก็คงได้รับพรจากดวงวิญญาณที่อาศัยอยู่บนดินแดนนี้สินะคะ …. ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ไม่ได้รู้ถึงวิถีชีวิตของพวกคุณมาก่อนเลย」
ในทวีปของคลาร่านั้น คนที่ตายไปแล้วยังวนเวียนอยู่บนโลกก็มีเพียงแค่วิญญาณร้ายเท่านั้น
แต่สำหรับคนในทวีปนี้เหมือนจะไม่คิดเช่นนั้น
จงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับจิตวิญญาณและเคารพบูชาจิตวิญญาณ นี่น่าจะอธิบายถึงความเชื่อของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
「แล้วพวกวิญญาณร้ายไม่ได้โจมตีมนุษย์ของทวีปนี้เลยเหรอคะ? 」
『ตราบใดที่วิญญาณบรรพบุรุษยังคงอยู่ในที่แห่งนี้ พวกนั้นก็ไม่มีทางจะปรากฏออกมาได้ แต่ตอนนี้วิญญาณบรรพบุรุษได้ตายลงไปแล้ว』
「แล้วทำไมคุณถึงช่วยฉันไว้กันคะ? 」
『เพราะปฏิกิริยาของเธอต่างจากคนอื่น เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เล็งอาวุธมาที่พวกเรา』
「นี่เห็นได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ……」
ภายในความมืดแบบนั้น ทำให้คลาร่ารู้ได้ทันทีว่าเมเลเน่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ไกลออกไปได้อย่างชัดเจน
『ทำไมเธอถึงยอมปลอยคทาของเธอล่ะ? 』
「เพราะฉันรู้ว่าคุณกำลังเล็งโจมตีคทานี่คะ」
(โชคดีว่าวิญญาณที่เมเลเน่ใช้คงไม่มีพลังรู้อนาคตเหมือนกับเรา และมันก็ไม่สามารถอ่านใจของเราได้)
นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่เธอแสดงความสนใจในตัวของคลาร่าและถามออกมาตรงๆ
『ทำไมเธอถึงรู้ได้ล่ะ? 』
เมเลเน่ถาม ส่วนทางคลาร่าก็ส่ายหน้าไปมา
「ม-มันก็เหมือนกับลางสังหรณ์อะไรทำนองนั้น…ละมั้งคะ」
『ถ้าเกิดว่าเธอโกหก พรุ่งนี้เหล่าสหายของเธอได้ตายแน่』
「ไม่นะคะ! ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย!」
สภาพของคลาร่าในตอนนี้เธอจึงเหมือนกับเชลยศึกที่ถูกจับเป็นตัวประกันเอาไว้อยู่
ถึงจะอยู่ในจุดที่อ่อนไหว แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถฆ่าคลาร่าได้ในตอนนี้เพราะต้องการความสามารถของเธออยู่แน่ๆ
「ก็ได้ค่ะ ฉันจะตอบในเรื่องที่ฉันรู้ให้ฟัง แต่ได้โปรดอย่าทำอะไรพวกเขาเลยนะคะ」
『จะบอกให้รู้ไว้ว่าคนของเธอที่ลงไปในทะเลสาบปิชิกาก้าและกำลังถูกสาปอยู่ ไม่ช้าก็เร็วคำสาปพวกนั้นคงจะฆ่าพวกเขาเอง』
(เอ๋! ก็แปลว่าทะเลสาปนั้นมีอะไรจริงๆ สินะ!)
ถ้าเกิดว่ามีใครลงไปในทะเลสาบ คนเหล่านั้นก็จะถูกคำสาปที่หมายเอาชีวิต มันคือกับดักที่ถูกวางเอาไว้แต่แรกแล้ว
『ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมลงไปในทะเลสาบนั่นนะ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในพลังการทำนายงั้นเหรอ』
「คือว่า ฉันแค่สังหรณ์ใจไม่ดีเกี่ยวกับทะเลสาบนั่นเฉยๆ เอง!」
ดวงตาของเมเลเน่ช่างเฉียบคมเสียจริงๆ
ความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตซึ่งเป็นของเทพแห่งการเดินทางนั้นคือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคลาร่า มันไม่ใช่ของที่จะสอนให้คนอื่นทำตามได้ แต่หากเธอยังพยายามบ่ายเบี่ยงต่อไปแบบนี้ ทั้งคลาร่าและคนอื่นๆ ก็คงจะถูกฆ่าเอาแน่ สถานการณ์ที่เธอเจอตอนนี้ช่างน่าสิ้นหวัง
「อึก….! เข้าใจแล้วค่ะ ความจริงก็คือฉันมีความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตได้ค่ะ ฉันจะยอมทำตามที่คุณบอกเอง ดังนั้นได้โปรดอย่ายุ่งกับคนพวกนั้นเลยนะคะ」
『ตอบได้ดีนี่ เอาเป็นว่าฉันจะปล่อยพวกนั้นไว้บนเกาะร้างและยกโทษให้ก็แล้วกัน ไหนยื่นมาออกมาซิ』
แต่แทนที่จะกดปลายนิ้วลงไปที่มือ เมเลเน่กลับกดปลายนิ้วลงไปที่คอของคลาร่า และรอยคล้ายกับคำสาปบางอย่างก็เกิดขึ้น
『จากนี้ไปเธอคือทาสของฉัน หากคิดขัดขืน ตาย』
(ฮื้อ ไม่เห็นจะเป็นสัญญาที่ดูเท่าเทียมเลยสักนิด!)
คลาร่าร้องไห้ออกมา แต่ก็ไม่อาจจะขัดขืนอะไรได้
แถมเธอก็ไม่สามารถจัดการอะไรกับคำสาปนี้ได้ในขณะที่พลังแห่งเทพของเธอหมดอยู่ด้วย
เธอสูญสิ้นทุกอย่างแล้ว
คลาร่าทรุดตัวลงอย่างสิ้นหวังภายในห้องขัง
——–
Note 1 : เอ้า สรุปได้เรื่องเพราะฟาร์มาล้วนๆ แล้วดันเอา 4 สหายที่พลังเทียบเท่ากองทัพไปลุยด้วยนะรอบนี้
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
MANGA DISCUSSION