ตอนที่ 108.5 การติดต่อครั้งแรก (ครึ่งหลัง)
นาฬิกายามค่ำคืน จันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าได้สาดส่องลงมา เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพมากกว่า 1000 คน ได้มารวมตัวกันกลางลานวงกลมขนาดใหญ่ เพื่อรอเวลาเริ่มการฝึกซ้อม
ถึงแม้จะเป็นช่วงยามค่ำคืน แต่เปลวไฟจากศาสตร์แห่งเทพของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ลุกโชนทั่วลานทุ่งราวกับเป็นช่วงกลางวัน
วันสำหรับการฝึกฝนศาสตร์แห่งเทพร่วมระหว่างเหล่านักบวชติดอาวุธของนครศักดิ์สิทธิ์ เหล่าองครักษ์แห่งจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟและผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงคนอื่นๆ ก็มาได้ถึงแล้ว
แม้ที่ฝึกจะตั้งอยู่ในแถบรกร้างของชานเมืองเมืองหลวง แต่เสียงสั่งการของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลิซาเบทก็ยังดังกึกก้อง
ชุดที่เธอสวมมาในวันนี้มีไว้พร้อมสำหรับการต่อสู้ด้วยคทาซึ่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษในฐานะพระสันตะปาปา
「จากนี้ไป เราจะทำการฝึกครั้งใหญ่โดยจำลองเหตุการณ์ว่ามีวิญญาณร้ายขนาดใหญ่เกิดขึ้น」
เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพมากกว่า 1000 คนได้เข้าร่วมการฝึกพร้อมกับฟาร์มา
เพื่อตอบสนองความต้องการของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการตัวผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงทั้งด้านการโจมตีและป้องกัน ทางราชสำนักและมหาวิหารก็ได้ส่งเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่เก่งกาจมาจนแน่นขนัด นอกจากพวกเหล่านักบวชและข้าราชบริพารที่ผ่านการทดสอบเบื้องต้นมาแล้ว เหล่าชนชั้นสูงที่มั่นใจในพลังของตนก็เข้าร่วมการฝึกซ้อมดังกล่าวเพื่อแสดงทักษะของพวกเขาด้วย
จุดประสงค์ในการฝึกฝนก็คือ เพื่อพัฒนาศาสตร์แห่งเทพของจักรวรรดิและรูปแบบการป้องกันเมืองหลวงด้วยศาสตร์แห่งเทพ
เนื่องจากการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่เรียกกันว่าวิญญาณร้าย การซ้อมรบจึงต้องถูกจัดขึ้นมาเพื่อหาทางรับมือกับพวกมัน
ในช่วงที่จักรพรรดินีไม่อยู่ในเมืองหลวง การก่อตัวของพวกวิญญาณร้ายได้เกิดขึ้นมาภายในเมืองหลวง เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่กว่าจะหาทางเตรียมพร้อมและรับมือกันได้ก็มือสายไปแล้ว จนสุดท้ายพวกเขาก็ต้องอพยพไปยังเมืองใกล้เคียงแทน ซึ่งนั่นเป็นการทำลายความภาคภูมิใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก
ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ได้เกิดผลกระทบกับพวกชนชั้นสูงที่หนีจากเมืองหลวงอย่างไม่คิดจะเหลียวแลคนข้างหลัง พวกเขาได้ถูกขับไล่ออกจากจักรวรรดิ นอกจากนี้ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่อ่อนแอซึ่งเป็นเจ้าของดินแดนก็จะถูกจับตามองต่อไปในอนาคตด้วย พอชนชั้นสูงได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เข้า พวกเขาก็เริ่มหามาตรการในการป้องกันตัวเองอย่างหวาดกลัว จนทำให้หลายคนเริ่มจ้างผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงไว้กับตัวและพยายามฝึกฝนวิชาของตนอย่างเร่งรีบ
แค่ใช้ศาสตร์แห่งเทพได้อย่างเดียวตอนนี้มันไม่เพียงพอแล้ว พวกชนชั้นสูงในปัจจุบันจำเป็นจะต้องมีความสามารถในการปกป้องตระกูล ทรัพย์สินและผู้คนในดินแดนจากพวกวิญญาณร้ายด้วย
จนปัจจุบันพอผ่านพ้นเรื่องวิญญาณร้ายคราวก่อนมาได้ เหล่าช่างผลิตคทาก็ต่างได้กำไรจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากในเมืองหลวง โดยเฉพาะคทาที่เสริมพลังในการร่ายมนตร์ให้กับผู้ใช้ยิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เหล่าสามัญชนก็เริ่มหาซื้อเครื่องรางเพื่อปัดเป่าพวกวิญญาณร้ายกันมากขึ้น บรรยากาศของเมืองหลวงขณะนี้เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
และการฝึกในครั้งนี้ผู้ดำเนินการหลักก็คือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นการฝึกจำลองการสู้จริงกับพวกวิญญาณร้าย
บัดนี้บาเรียศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกกางเอาไว้โดยรอบบริเวณเพื่อกำจัดพวกวิญญาณร้ายที่จะหลุดออกไปด้านนอก
โดยในส่วนท้ายของการฝึกฝนฟาร์มามีหน้าที่ในการชำระล้างผืนดิน คลายบาเรียและทำให้อาวุธต้องสาปสงบลง
เอเลนที่ได้ฟังการสรุปคร่าวๆ จากทางจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็กระซิบถามกับฟาร์มา
「ฟาร์มาคุงได้รับการยอมรับเป็นเทพผู้พิทักษ์ของนครจักรศักดิ์สิทธิ์แท้ แต่ทำไมถึงต้องมาหลบซ่อนตัวในจักรวรรดิกันนะ แบบนี้มีหวังคนที่รู้จักนายแค่ในฐานะแพทย์โอสถหลวงคงได้สงสัยกันแน่ว่าทำไม นายถึงได้รับผิดชอบแนวหน้าของแนวรบ ทั้งที่หน้าที่ดังกล่าวควรจะเป็นของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแท้ๆ 」
「……ทำไมถึงคิดงั้นกันล่ะ? 」
ฟาร์มามองเอเลนที่เหมือนอยากจะบ่นออกมา
「ก็ฉันไม่เข้าใจจริงๆ นี่นา」
「ทั้งหมดก็เพื่อทำให้ร้านขายยาของเรายังสงบสุขไง」
「งั้นเหรอ….ก็นั่นสินะ ถ้าเกิดร้านขายยาหรือมหาวิทยาลัยกลายเป็นเทวสถานขึ้นมาก็จะยุ่งยากไปอีก」
「เราต้องเลี่ยงไม่ให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกไม่สบายใจตอนมาที่ร้านนะ」
เอเลนก็พอจะเข้าใจได้จากคำอธิบายของฟาร์มา
ตอนนี้ตัวตนในจักรวรรดิของฟาร์มายังถูกปกปิดเอาไว้อยู่ แต่ถ้าเกิดจักรพรรดินีเผยตัวตนของเขาขึ้นมา งานคนงอกออกมาอีกไม่หยุดแน่
เพราะเป็นเรื่องจริงที่ว่าหากข้อมูลดังกล่าวถูกเผยต่อสาธารณะไม่มีทางที่ผู้ป่วยและลูกค้าของฟาร์มาจะเข้ามาเฉยๆ เพิ่อรับบริการได้อีก นอกจากนี้คนที่เข้ามาก็คงมากขึ้นจนเกินรับมือได้ ผู้ป่วยทุกที่บนโลกที่หาหนทางการรักษาที่ดีที่สุดก็จะโหมเข้ามาที่ร้านจนทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการดูแล ถึงแม้ว่านักเรียนจากมหาวิทยาลัยแพทย์จะเริ่มถูกผลิตขึ้นมาแล้ว แต่มันก็คงจะสายเกินไปเพราะระบบการแพทย์ของจักรวรรดิคงได้ล่มสลายก่อนพวกเขาเรียนจบแน่ๆ
ฟาร์มาตกลงที่จะเข้าไปยังนครศักดิ์สิทธิ์และรับตำแหน่งเทพผู้พิทักษ์มาก็เพื่อช่วยให้เอลิซาเบทได้เป็นพระสันตะปาปา นอกจากนี้ก็เพื่อหาหนทางในการปลดปล่อยคำสาปในตัวของเธอ ถึงแม้ว่าสุดท้ายมันจะช่วยโลกใบนี้เอาไว้ได้ แต่การกระทำของเขาก็ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย
「หื้ม แต่ฉันคิดว่าเรื่องนี้คงไม่หลุดออกไปง่ายๆ หรอก」
「ทำไมล่ะ」
「ก็เพราะคนที่ทำแบบนั้น คงได้ถูกฝ่าบาทสั่งเก็บแน่น่ะสิ」
「นึกแล้วก็สยอง!」
นครจักรศักดิ์สิทธิ์ได้ปกปิดตัวตนที่แท้จริงของฟาร์มาเอาไว้อย่างเคร่งครัด กระทั่งฝังของจักรวรรดิเอง จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็สั่งให้ทุกคนที่รู้ความลับของฟาร์มาเขียนคำปฏิญาณและลงนามด้วยเลือดเอาไว้ด้วย
ผู้ที่ฝ่าฝืนคำมั่นสัญญาจะถูกลงโทษโดยตรงจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวหรืออะไร ข่าวลือทำนองนี้ก็เลยพลอยหายไปด้วย
「ฟาร์มา ต่อไปเจ้าต้องมาเป็นคนอธิบายต่อ」
「พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท」
ขณะที่ฟาร์มากำลังคุยกับเอเลน จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ชี้มาทางเขา
ฟาร์มากระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเดินไปข้างหน้าบริเวณศูนย์กลางของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ
「นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งนะครับ ที่ผมได้รับหน้าที่รับผิดชอบในการฝึกครั้งนี้ แพทย์โอสถหลวง ฟาร์มา เดอ เมดิซิสครับ」
เป็นการแนะนำตัวอย่างง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนในที่แห่งนี้จะรู้เหมือนกันหมด ดังนั้นจึงต้องพูดออกมาเป็นปกติ
เพื่อฟาร์มาเริ่มพูด เหล่านักบวชต่างก็เริ่มโค้งคำนับเขาอย่างไม่ควรที่จะทำให้กับแพทย์โอสถหลวงเลยสักนิด
จากนั้นฟาร์มาก็หยิบเอาอาวุธต้องสาปออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตของเขา ทุกสายตาได้จดจ้องไปยังสิ่งนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ
「จากนี้ไป…เราจะสร้างต้นไม้แห่งหายนะขึ้นมา ในขณะที่มันเริ่มแตกหน่อ มันจะทำการดึงดูดเอาวิญญาณร้ายจำนวนมากจากผืนดินขึ้นมาครับ และมันจะเริ่มโจมตีสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่มันเห็นเพื่อลากลงสู่ห้วงนรก ส่วนลำต้นของมันก็จะทำการโจมตีผู้คนราวกับปีศาจร้าย ถึงแม้จะใช้ศาสตร์แห่งเทพพวกคุณก็จะไม่สามารถทำลายล้างมันได้หมดครับ ดังนั้นหากผมเห็นว่ามีใครตกอยู่ในอันตรายผมก็จะรีบเข้าไปช่วยเหลือทันที และหากไม่มั่นใจในศาสตร์การป้องกันก็ขอให้ทุกท่านเลือกโจมตีจากระยะไกลเอาจะดีกว่า จบเพียงเท่านี้ครับ」
ต้นไม้แห่งหายนะคือเมล็ดพันธุ์ต้องคำสาปที่ฟาร์มาได้รับมาจากตระกูล เดอ เมดิซิสและเก็บมันเอาไว้ใกล้ตัวเขาตลอด
ความสามารถของมันคือการดึดดูดเอาพวกวิญญาณร้ายเข้ามาหามันได้ในระยะแคบๆ ซึ่งหากคิดดูแล้วมันก็เหมาะกับการฝึกฝนเป็นอย่างดี
แต่สำคัญที่สุดคือฟาร์มาจะต้องควบคุมมันได้
และจากการทดลองมาหลายครั้งในที่สุดฟาร์มาก็สามารถควบคุมมันได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว
การจะเอาหายนะทางธรรมชาติที่ไม่ทราบที่มา มาใช้เฉยๆ ย่อมเป็นอันตราย หากไม่ผ่านการวิจัยมาเป็นอย่างดีแล้ว
「นอกจากนี้หากดูสภาพแล้วว่าต้นไม้มีท่าทีว่าจะเกินควบคุมไป ผมจะทำการทำลายมันให้เองครับ สุดท้ายแล้วทุกคนได้ดื่มฮาบัลลิเทอร์กันแล้วสินะครับ? 」
ทุกคนที่มาในที่แห่งนี้ได้ดื่มฮาบัลลิเทอร์กันหมดแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้พวกวิญญาณร้ายเข้าสิงได้
ด้วยพลังของฟาร์มา การสร้างฮาบัลลิเทอร์จึงไม่มีค่าใช้จ่ายที่ต้องแลกในการสร้าง แตกต่างจากคนธรรมดาที่ต้องใช้พลังแห่งเทพทั้งชีวิตเป็นเครื่องสังเวย เขาไม่จำเป็นต้องกลัวว่าพลังแห่งเทพของตัวเองจะหมด แถมเขาก็ไม่ถูกสาปด้วย
ฟาร์มาได้ทำการฝังเมล็ดต้องสาปนั้นลงไปในดินและเริ่มประสานมือกันสองข้าง
「เอาละครับ ทุกคนพร้อมกันหรือยัง」
ซาโลม่อนที่รับหน้าที่ในการคุมสายบังคับบัญชาได้ตอบรับคำพูดของฟาร์มา เพราะเขามีหน้าที่ในส่วนการควบคุมของกองกำลังนครศักดิ์สิทธิ์
「นักบวชฝ่ายนครศักดิ์สิทธิ์ ทุกหน่วยพร้อมแล้วครับ」
「ทางเราก็พร้อมแล้วเหมือนกัน」
เอลิซาเบทกอดอกก่อนจะพูดออกมา
「ถ้างั้น」
ฟาร์มาพยักหน้าและหลับตาลง ก่อนจะถ่ายพลังลงไปยังเมล็ดแห่งหายนะ
「จากนี้จะเริ่มแล้วนะครับ ขอให้ทุกคนระวังตัวด้วย」
ฟาร์มาค่อยๆ ถอยออกมาจากวงเวทที่ทำหน้าที่ในการป้องกันเอาไว้
วงเวทที่คลุมพื้นที่นี้เอาไว้ถูกดูแลด้วยคอมพ์และนักบวชคนอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณร้ายหลุดออกไปได้ เพราะหากมันหลุดออกไปปัญหาคนตามมาอีกมากแน่
ไม่นานนักเมล็ดต้นไม้ที่อยู่ใจกลางบาเรียก็เริ่มแตกหน่อ หมอกสีดำเริ่มปกคลุมบริเวณโดยรอบ
นี่คือการปลดปล่อยอาวุธต้องสาปโดยเจตนาและทำการปลดปล่อยพลังแห่งเทพที่กดมันเอาไว้ พออาวุธต้องสาปหลุดการควบคุมมันก็จะถูกวิญญาณร้ายทำให้ปนเปื้อนในทันที มวลอสัณฐานสีดำได้เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อเร่งให้ต้นไม้เติบโต
เอเลนได้นำคทาของตัวเองออกมา ส่วนทางเอ็มเมอริคก็เริ่มถ่ายเทพลังแห่งเทพลงไปยังคทาทั้งสองในมือของเขา
ไม่ถึงนาที ต้นไม้แห่งหายนะก็มีขนาดใหญ่โตพอที่จะกำเนิดวิญญาณร้ายขึ้นมาอย่างไม่หมดสิ้น
ฟาร์มาได้ทำการเฝ้าดูและปล่อยให้มันทำตามที่ต้องการ
เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ประจักษ์อีกครั้งว่าโลกใบนี้กำลังถูกวิญญาณร้ายเข้ามาเหยียบย่ำอยู่จริงๆ
การต่อสู้ตั้งแต่นี้ไปจะเป็นหน้าที่ของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ ฟาร์มาจะไม่เข้าไปยุ่งการฝึกซ้อมดังกล่าว
ครั้งนี้ ฟาร์มามีหน้าที่เพียงแค่สะสางสถานการณ์หลังการฝึก หากเขาเข้ามาช่วยเหลือสุดท้ายคงไม่อาจจะเรียกว่าการฝึกต่อสู้กับวิญญาณร้ายได้จริงๆ เหตุผลที่เขาเรียกพวกมันออกมาก็เพื่อกระตุ้นให้เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพตื่นตัวและฝึนฝนจนทำให้ตัวเองแกร่งพอจะรับมือกับพวกวิญญาณร้ายในวันที่ฟาร์มาไม่อยู่แล้ว นอกจากนี้อนาคตเขายังต้องฝึกเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพอีกมากเพื่อกระจายความรู้ในการรับมือกับพวกมันให้คนบนโลกมากที่สุด
เหล่าวิญญาณร้ายที่เกิดขึ้นมาเริ่มพวยพุ่งไปรุมทำลายบาเรีย
「เริ่มโจมตีได้!」
「ฝั่งน้ำ ดิน ลม เริ่มการโจมตีได้!」
คำสั่งจากซาโลม่อนที่เป็นผู้ใช้ศาสตร์ธาตุดินดังกึกก้อง
ในการฝึกฝนครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็มีไว้เพื่อการโจมตีแบบประสานธาตุที่เข้ากันได้เป็นระลอก เพื่อไม่ได้เกิดการขัดกันของธาตุอย่างการโจมตีด้วยน้ำและไฟพร้อมกันจนทำให้พลังโจมตีลดลง
มันคือสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ด้วยคำจำนวนน้อย แต่จำนวนมากมันก็อีกเรื่อง
นักบวชของทางศาสนจักรก็เริ่มปลดปล่อยการโจมตีแบบประสานทั้งจากระยะใกล้และไกล
「ฉันจะแสดงผลการฝึกให้ได้เห็นเอง」
ปาลเล่สร้างเสาน้ำแข็งขึ้นมาทีละต้นด้วยอารมณ์ร่า ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนนั้นและเริ่มการโจมตีต้นไม้จากด้านบน
ด้วยศาสตร์แห่งเทพแบบไร้ร่าย ปาลเล่ได้ทะลวงต้นไม้ด้วยเสาน้ำแข็ง จากนั้นเขาก็ตรงไปยังต้นไม้แล้วใช้มือของตนสัมผัสกับลำต้นโดยตรง จากนั้นต้นไม้ก็เริ่มถูกปกคลุมไปด้วยก้อนน้ำแข็งจนทำให้มันหยุดเคลื่อนไหว
ปาลเล่ได้เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
「อะไรกัน?!」
「จากที่เห็นเขาน่าจะใช้ความชื้นที่มีอยู่ในต้นไม้เพื่อแช่แข็งมันจากภายในด้วยนะครับ」
ฟาร์มาวิเคราะห์ บริเวณผิวของต้นไม้ที่เยือกแข็ง ได้มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมอยู่ ซึ่งนั่นเป็นมนตรืของทางศาสนจักร เหล่านักบวชที่เห็นก็ตอบสนองกับสิ่งนั้นทันที
「สัญลักษณ์นั่น…! มันมนตร์ของศาสนจักรนี่!」
「นอกจากนี้ไร้ร่ายงั้นเหรอ เป็นไปได้ด้วยเหรอที่จะทำการจัดการกับต้นไม้นั่น แถมยังเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคทาอีก」
จากนั้นปาลเล่ก็นำคทาที่เขาถือเก็บเอาไว้ที่เอว ก่อนจะจับคริสทัลขึ้นมาไว้ในมือทั้งสองข้าง และยื่นแขนออกไปด้านหน้า
จากนั้นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เริ่มวิ่งไหลผ่านไปตามแขนของเขา ลำแสงที่เหมือนกันบีมก็พุ่งออกมารอบตัวเขาและบดขยี้ต้นไม้ให้หายไปครึ่งหนึ่งด้วยตัวเขาคนเดียว
「ทำการชำระแขนทั้งสองข้างของตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยคทา ก่อนจะขยายพลังทำลายล้างด้วยคริสทัล แล้วปลดปล่อยมันออกมาด้วยมนตร์ไร้ร่ายสินะ」
ฟาร์มาพูดออกมาอย่างใจเย็นให้กับคนที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงเขาจะพูดออกมาอย่างใจเย็น แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฟาร์มาได้เห็นอะไรแบบนี้ เช่นเดียวกับพวกนักบวช
เอเลนก็ตกตะลึงกับเทคนิคการใช้ศาสตร์แห่งเทพของปาลเล่ที่เหนือสามัญสำนึกเช่นเดียวกัน จากนั้นทุกสายตาก็ต้องไปยังฟาร์มาที่อธิบายเรื่องนี้ออกมาให้ฟังเป็นคนแรก
「ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้เป็นคนสอนเขาสักหน่อย」
「จะบอกว่าหมอนั่นคิดขึ้นมาได้เองงั้นเหรอ? 」
「ถ้าจะให้พูดล่ะก็ เขาคงทำการค้นหาความเป็นไปได้ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมบอกไปละมั้ง」
จากที่ฟาร์มาสอนปาลเล่มีเพียงแค่
「หากอยากจะใช้มนตร์ของธาตุอื่นได้ ทางที่ดีควรจะตีความบทร่ายของศาสตร์แห่งเทพที่ตัวเองใช้ได้ในตอนนี้เพื่อสร้างความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นภายในตัวของท่านพี่จะดีกว่านะครับ」
และด้วยคำพูดนั้น ปาลเล่ได้ขังตัวเองเอาไว้ในห้องเพื่อทำการทดลองและตีความศาสตร์แห่งเทพที่ตนทำได้
คทาแห่งเทพสามารถถูกสร้างขึ้นมาได้ด้วยการใช้โลหะหรือไม้
โดยพื้นฐานแล้ว เซลล์พืชและสัตว์จะมีความแตกต่างกันตรงผนังเซลล์ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะใช้ร่างกายของมนุษย์เป็นคทาก็ถือว่าไม่เกินจริงนัก และนั่นคือวิธีที่เขาคิดขึ้นมาได้จากการทดลองส่วนตัว
ก็จริงว่าฟาร์มาสามารถใช้ความสามารถในการสร้างและสลายสสารได้ด้วยมือเปล่า ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งคทาแห่งเทพ ก็นับว่าเป็นความสามารถโกงหรอก
แต่พอได้เห็นปาลเล่ทำแบบนี้ มันก็เหมือนกับตัวฟาร์มาเป็นคทาเดินได้ตั้งแต่แรกแล้วนี่หว่า
นั่นคงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมตราสัญลักษณ์ของเทพโอสถถึงส่องแสงออกมาตอนที่ฟาร์มาใช้ศาสตร์แห่งเทพ
ปาลเล่ก็อาจจะเริ่มมองเห็นความไม่ถูกต้องที่ไม่เป็นระเบียบของโลกใบนี้และเริ่มตั้งคำถามถึงแก่นแท้ของศาสตร์แห่งเทพ
หากเข้าใจได้ถึงความเป็นไปของศาสตร์แห่งเทพก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลอีก แต่หากเกิดความลังเลและสงสัยในมนตร์ของตัวเองการร่ายก็คงจะล้มเหลว
หากคิดว่าตัวเองทำไม่ไหว พลังใจไม่พอการทำเช่นนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพต้องการแสดงให้โลกใบนี้เห็นคือสิ่งที่จิตใจของผู้ใช้สะท้อนออกมา เพื่อกลายเป็นตัวส่งผ่านแทนคทา
ถึงจะเข้าใจหลักการแล้ว แต่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่จะใช้ตัวเองแทนคทาได้ก็คงมีน้อย เพราะความมั่นใจว่าตนจะไม่มีทางล้มเหลวในการร่ายมนตร์มันไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกกันได้ง่าย อย่างที่ปาลเล่ทำ
และที่ปาลเล่สามารถทำมันได้ก็เพราะเขาศรัทธาอย่างแรงกล้าว่าเทพโอสถจะต้องช่วยเหลือเขา สำหรับการอุทิศตนที่เขาทำมาโดยตลอดเป็นแน่
「คำใบ้แค่นี้น่ะเหรอ….นี่ฟาร์มาคุงคงไม่ได้ช่วยหมอนั่นมากไปแน่นะ」
สำหรับที่ฟาร์มาเห็น ดูเหมือนเอเลนจะทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ต่อปาลเล่ไม่ได้
แม้การโจมตีของปาลเล่จะรุนแรงมากก็จริง แต่เขาก็ไม่อาจจะทำลายต้นไม้ที่มีความสามารถในการฟื้นตัวได้เรื่อยๆ ลงได้
「ให้ตายสิ!」
「ว่าแต่เอเลนไม่ลองเข้าไปโจมตีบ้างเหรอ มันเป็นการออกกำลังที่ดีพอตัวเลยนะ」
「ขอมาก็จัดให้!」
เอเลนได้ทำการตรวจสอบต้นไม้ดู และพบกับสิ่งที่เหมือนจะเป็นจุดอ่อนของมัน
มันคือศาสตร์แห่งเทพที่เอเลนได้รับมาจากฟาร์มา สิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำเหมือนกับเธอได้ ตอนแรกฟาร์มาไม่ได้รู้เลยว่าวิธีการดังกล่าวสามารถใช้ตรวจสอบกับพวกวิญญาณร้ายได้ แต่เอเลนคือคนแรกที่ค้นพบมัน
” บุพผาเหมันต์”
เอเลนควบคุมลมหายใจของตัวเองและปล่อยพลังไปยังต้นไม้อย่างแม่นยำ
เพราะเธอคืออาจารย์ที่สอนการใช้ศาสตร์แห่งเทพกับบลานช์ เทคนิคศาสตร์แห่งเทพของเธอก็ย่อมสมบูรณ์ตามไปด้วย
แตกต่างจากปาลเล่และฟาร์มา เธอไม่ได้ละร่ายและปลดปล่อยมนตร์ตามขั้นตอนของมัน พลังที่ปล่อยออกมาก็มีความเสถียรเป็นอย่างมาก
” วายุอนันต์!”
ถัดจากเอเลนก็เป็นเอ็มเมอริคที่ถือครองธาตุลม เขาไว้คทาทั้งสองร่ายมนตร์ระดับสูงออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงจะทำขนาดนั้นความสามารถในการฟื้นฟูของต้นไม้ก็มากกว่าอยู่ดี
「เอ็มเมอริคคุง!」
「อาจารย์เอเลโอนอร์….เข้าใจแล้วครับ!」
เอ็มเมอริคประสานคทาของตนให้เป็นหนึ่งเดียว
จากนั้นเอ็มเมอริคกับเอเลนก็หายใจเป็นจังหวะเดียวกันและตั้งคทาแห่งเทพขึ้น
” คมมีดวายุเหมันต์!”
มันคือการร่ายประสานที่ทำให้เกิดใบมีดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นจากทางเอเลน ก่อนจะถูกส่งด้วยความเร็วราวกับกระสุนปืนจากสายลมของเอ็มเมอริค พวกมันได้ทำลายกิ่งของต้นไม้ลงเพื่อไม่ให้มันงอกออกมาใหม่ได้
” มหาเทพแห่งความคลุ้มคลั่ง”
จากนั้นทางเอเลนกับเอ็มเมอริคก็เริ่มเคลื่อนไหวไปรอบๆ โดยใช้มนตร์ระดับสูงกว่าเดิม เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพรอบๆ ก็เริ่มโจมตีสนับสนุนพวกเขาด้วย
” ระเบิดสุญญากาศ!”
ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุลมอย่างคล็อดก็เข้าร่วมวงด้วย
มนตร์ของเขาคือการสร้างสุญญากาศขึ้นภายในร่างกายและทำการระเบิดเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิตจากภายในด้วยแรงกระแทกนั้น
「ยังไม่หมดหรอกนะ」
” วายุเชือดเฉือน”
การโจมตีระลอกถัดมาของเขาก็คือลมพายุที่คมกริบราวกับใบมีด มันได้ทำการตัดกิ่งและใบที่งอกขึ้นมาใหม่ทั้งหมด คทาของคล็อดใช้นั้นก็มีลักษณะเหมือนกับดาบที่คมกริบ ไม่ก็มีดผ่าตัดที่ยาว
「หยุดการโจมตีด้วยน้ำ! จากนี้จะเป็นการประสานด้วย ไฟ ลม ดินแทน!」
รอบนี้จะเป็นการประสานกันด้วยธาตุไฟกับธาตุอื่นแทน
「ได้เวลาของเราสักที」
「ฝ่าบาทจะทำการโจมตีแล้ว รีบอพยพออกไปให้ห่างเสีย!」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยกตทาของเธอขึ้น และในจังหวะนั้นเองคำสั่งอพยพก็ดังขึ้นทันที ไม่นานนักก็ได้มีนกฟีนิกซ์พุ่งลงมาจากท้องฟ้าและห่อหุ้มต้นไม้เอาไว้ด้วยเสาเพลิงสีน้ำเงิน
แสงไฟและควันทำให้บริเวณโดยรอบมีทัศนวิสัยที่แคบลง ทางผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุลมจึงได้ทำการปัดเป่าควันออกไป
ทว่าแม้มันจะโดนเผาจนเหี้ยนไปแล้ว ต้นไม้แห่งหายนะมันก็เริ่มงอกขึ้นมาใหม่จากบริเวณรากจนมีรูปร่างใกล้ของเดิม
แม้เหล่าพวกผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุดินที่มีคุณสมบัติเชิงลบจะทำลายผืนดินจนทำให้มันกลายเป็นทรายไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถหยุดการเติบโตของมันได้เลย ต้นไม้ยังคงเรียกวิญญาณร้ายจำนวนมากออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับดูดมันขึ้นมาจากผืนดินได้ตลอดเวลา
「” เขตแดนแห่งแก่นแท้” 」
เมโลดี้ยกคทาของเธอขึ้นและหยุดการแพร่กระจายของพวกวิญญาณร้ายด้วยวงเวทแห่งไฟ พวกวิญญาณร้ายส่งเสียงโหยหวนแห่งความตายออกมาก่อนจะถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเธอก็เริ่มสร้างวงเวทขึ้นมาอีกหลายชั้นด้วยคทาของเธอ
เวลาผ่านไปถึง 1 ชั่วโมงตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มต่อสู้
เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพต่างก็รุกรับกับต้นไม้แห่งหายนะอย่างสุดกำลัง
「หื้ม ชักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ」
ฟาร์มาพยายามหยุดตัวเองไม่ให้เข้าไปแทรกแซง ก่อนจะพยายามช่วยเหลือผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่โดนต้นไม้จัดการ เพื่อพาไปรักษาตัวก่อนจะกลับไปดูอย่างห่างๆ ตอนนี้เขาเริ่มคิดขึ้นมาแล้วบ้างว่า ตนจำเป็นต้องเข้าไปแทรงแซงแล้วหรือยังเนื่องจากพลังแห่งเทพของหลายคนก็เริ่มมีทีท่าว่าจะหมดลงแล้ว
การจะจัดการกับต้นไม้แห่งหายนะได้นั้น จำเป็นต้องทำการโจมตีเพื่อทำลายมันให้หมดสิ้นในคราวเดียว ไม่เช่นนั้นมันก็จะงอกใหม่ออกมาเรื่อยๆ
และคงดูไม่จืดแน่หากมันได้แผ่รากไปทั่วผืนดิน ขยายพันธุ์ไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถหยุดได้อีก
「ดูเหมือนจะเกินมือไปแล้วสินะ รากของมันเริ่มหยั่งลึกแล้วด้วยสิ」
「……พ่ะย่ะค่ะ」
หลังจากได้รับคำยินยอมจากเอลิซาเบทแล้ว ฟาร์มาก็บอกว่าประมาณนี้คงดีแล้วเหมือนกัน ก่อนจะเข้าไปในบาเรียที่คอมพ์เป็นผู้ดูแลอยู่
การโจมตีทั้งหมดของต้นไม้ได้ถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นรอบตัวฟาร์มาป้องกันเอาไว้จนไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ ทางฟาร์มาเองก็ไม่ได้สนใจการโจมตีของมันก่อนจะตรงเข้าไปยังลำต้นและใช้ปลายนิ้วสัมผัสมัน
จากนั้นส่วนทีฟาร์มาได้สัมผัส ก็เริ่มสลายตัวกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลามไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ไม่เหลือแม้กระทั่งเศษใบไม้หรือกิ่งก้าน ที่ฟาร์มาทำแบบนี้ก็เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกจับได้ว่าเขาสามารถใช้พลังในการสลายสสารออกไปได้ในทันที แต่สุดท้ายความยอดเยี่ยมในการใช้พลังจัดการกับสิ่งที่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพต้องเหนื่อยหอบมาเป็นชั่วโมงก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี
「เมื่อกี้…มันเกิดอะไรขึ้นกัน」
「เพียงแค่ครู่เดียว…」
บาเรียที่ปกคลุมพื้นที่เอาไว้ถูกปลดออก เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่เหนื่อยล้ากันแล้วก็เริ่ม ล้มแผ่ลงกับพื้น
จากนั้นฟาร์มาก็ขยับมือไปมาตรงขึ้นบนท้องฟ้า ไม่นานนักก็มีละอองฝนโปรยปรายลงมา
ละอองฝนพวกนี้ประกอบไปด้วยพลังแห่งเทพที่สุดยอด เพื่อชดเชยพลังแห่งเทพที่เหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพสูญเสียไป ซึ่งช่วยในการฟื้นฟูร่างกายพวกเขาได้เป็นอย่างดี
「สุดท้าย นายก็จะเอามันทุกตำแหน่งเลยสินะ」
ปาลเล่พูดเหมือนแอบเสียใจก่อนจะหลับตาลง ถึงพลังแห่งเทพของเขาจะเหลือเพียงน้อยนิดแล้ว แต่เขาก็พึงพอใจที่ได้ใช้มัน
「สำหรับเจ้า การกระทำแค่นี้ก็เหมือนกับการสะบัดมือสินะ」
เอลิซาเบทยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ฟาร์มาหยิบเอาเมล็ดแห่งหายนะเข้ากระเป๋า ส่วนทางเอเลนก็หมดแรงจนผล็อยหลับไปนานแล้ว
「ท่านฟาร์มา เดอ เมดิซิส!」
พอสิ้นสุดการฝึกลง ผู้คนก็เริ่มถอนตัวออกจากที่ฝึกไปเรื่อยๆ ไม่นานนัก ผู้ส่งสารจากกองทัพเรือจักรวรรดิ ก็กระโดดลงมาจากม้าศึกแล้ววิ่งมาหาฟาร์มาอย่างเต็มกำลังจนล้มกลิ้งไปมาตรงหน้าเขา
「ขอรายงาน! ดูเหมือนว่าทวีปใหม่จะมีชนพื้นเมืองอยู่ครับ ลักษณะของพวกเขามีเส้นผมสีดำ ซึ่งข้อมูลที่ได้มาจากนกทะเลดูเหมือนพวกเขาจะสามารถทำลายฐานทัพของพวกเราที่ตั้งตรงนั้นได้ในชั่วข้ามคืน」
「ทำไมถึงใช้นกทะเลในการส่งข้อมูลแทนวิทยุล่ะครับ? แล้ววันเวลาที่ส่งมาล่ะครับ」
「ฮ่ะ…จากวันที่ทางนั้นส่งมาคือ 3 วันครับ」
ฟาร์มาตกใจเป็นอย่างมาก
การฝากข้อมูลในระยะไกลโดยใช้นกทะเลมันก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้ทารกออกไปซื้อของ แทนที่จะใช้วิธีนี้ทำไมพวกเขาถึงไม่ใช้โทรเลขส่งมากัน
「แล้วการติดต่ออื่นๆ ไม่มีเข้ามาเลยเหรอครับ? 」
「ครับ จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ อีกเลย……」
(เดี๋ยวก่อนนะ ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่งตะวันออกมันไม่มีนี่นา แล้วพวกเขามาจากไหนกันล่ะ? )
เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ ฟาร์มาให้ความดูแลเป็นอย่างมาก เขาทั้งเดินทางไปสำรวจหาผู้คนก่อนหน้านี้แล้วด้วย
แต่การสำรวจของฟาร์มามันไม่ใช่การเดินทางสำรวจผ่านป่าและภูเขา
นั่นก็หมายความว่าอาจจะมีบางสิ่งที่เขาพลาดไปจากมุมบนท้องฟ้า
ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็มั่นใจว่าวิธีการค้นหาของเขาค่อนข้างแม่นยำพอสมควรแท้ๆ
เพราะหากเขาทำการสำรวจจากมุมบนท้องฟ้าด้วยดวงตาวินิจฉัย ไม่ว่าจะมีคนซ่อนอยู่ชั้นใต้ดินลึกสักแค่ไหน ฟาร์มาก็สามารถมองเห็นได้ นอกจากนี้หากมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ก็ย่อมมีคนป่วยอยู่ สายตาของฟาร์มาก็จะสามารถแยกระหว่างคนกับสัตว์ได้ด้วย ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นใครเชื้อชาติใน ยังไงฟาร์มาก็ต้องมาเห็น
แล้วทำไมถึงยังมีกลุ่มคนที่ฟาร์มาหาไม่เจอกันล่ะ
(ผมสีดำ….หรือจะเป็นพวกคนของฝั่งตะวันตกที่ถูกส่งมาตรวจสอบฝั่งตะวันออกกันนะ? )
นอกจากนี้ฟาร์มาก็พบรากเส้นผมที่ติดมากับนกทะเล ทำให้เขานึกถึงใบหน้าของมาร์โจลีน
รากผมพวกนี้ประกอบขึ้นมาด้วยเซลล์หลายหมื่นเซลล์
การสกัดและหาข้อมูลจากDNAน่าจะฝากไว้ให้เอ็มเมอริคจัดการ เพราะในปัจจุบันเอ็มเมอริคถือว่าเป็นคนเดียวที่มีทักษะในการทดลองเรื่องพันธุกรรมซึ่งสามารถเทียบเคียงกับฟาร์มาได้ ด้วยข้อมูลจีโนมที่ได้ ก็น่าจะพอระบุได้ว่าเจ้าของเส้นผมเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพหรือไม่ อีกทั้งยังรู้ถึงอาการป่วยที่แทรกซ้อนอีกด้วย มาร์โจลีนกับคนอื่นๆ ก็คงจะเข้าใจเรื่องนี้ดีว่าข้อมูลจีโนมมีประโยชน์ขนาดไหน พวกเธอเลยส่งสิ่งนี้มา นั่นทำให้ฟาร์มาเห็นได้ชัดแล้วว่าเขากำลังเดินมาในทางที่ถูกต้องแล้ว
「เข้าใจแล้วครับ จากนี้ก็ขอให้ช่วยติดต่อสถานีวิทยุที่ใกล้กับทวีปใหม่มากที่สุดเพื่อทำการลองส่งและรับคลื่นวิทยุดูนะครับ」
「ทราบแล้วครับ ส่วนทางท่านคิดจะทำเช่นไรต่อครับ」
「เดี๋ยวผมจะนำเรื่องนี้ไปคุยกับฝ่าบาทและตัดสินใจอีกทีครับ」
ฟาร์มาตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
80-90%จากกรณีที่เป็นไปได้ การเชื่อมต่อของพวกเขาน่าจะหายไปเพราะความผิดปกติจากการจ่ายไฟ
มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาหนักขนาดนั้นได้ถ้าเกิดความผิดปกตินิดหน่อยหรือไฟดับ แต่เรื่องที่ฐานในทวีปใหม่โดนโจมตีนี่สิ แถมยังมีเรื่องคำทำนายของคลาร่าที่บอกว่าจะได้พบกับเขาที่ทวีปใหม่อีกด้วย ฟาร์มาจำสิ่งที่คลาร่าพูดได้เป็นอย่างดี ถึงเธอจะบอกว่าไม่มีใครเสียชีวิตจากการเดินทางครั้งนี้ แต่เธอไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไม่มีผู้บาดเจ็บขั้นรุนแรง
หากใช้คทาของฟาร์มาก็น่าจะเดินทางไปถึงที่นั่นโดยใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ
「นี่ก็ผ่านมาได้ 3 วันแล้วด้วยสิ หากยังขาดการติดต่อแบบนี้ ก็แปลว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ 100% แน่….」
ฟาร์มาที่เห็นท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบตัดสินใจทำการเข้าไปช่วยเหลือในทันที
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟครับผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
MANGA DISCUSSION