ตอนที่ 107 คณะสำรวจเทียบท่า
ในที่สุดฟาร์มาก็ได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวงจักรวรรดิได้เสียที หลังจากต้องผ่านพ้นคืนวันอันยุ่งเหยิงที่มาร์เชล
นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนได้แล้วตั้งแต่บรูโนเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์เพื่อเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์
ในช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมานี้ของมหาวิทยาลัย เนื้องอกในสมองของนาตาลีก็ไม่ได้กลับมาเป็นซ้ำแต่อย่างใด เอเลนกับปาลเล่ก็ได้วางมวยกันเล็กน้อยตามปกติ ลอตเต้ก็ได้รับค่าคอมมิชชั่นในการวาดภาพเหมือนของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ชีวมวลแหล่งใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นมาแล้วที่มาร์ลภายหลังหนึ่งสัปดาห์ที่แผนการถูกอนุมัติ
แล้วก็ผ่านมาสี่วันแล้วตั้งแต่ทีโอดอร์หมดสภาพไป
ผ่านมาสามวันทางปาลเล่ก็เริ่มร่ายมนตร์แบบไร้ร่ายได้บ้างแล้ว
และวันนี้ก็เป็นวันที่ฟาร์มาได้กลับมาทำงานที่ร้านขายยาตามปกติ
「ท่านฟาร์มาคะ ดูเหมือนโทรเลขจะส่งมาถึงแล้วค่ะ」
ลอตเต้ที่ปกติจะเป็นผู้ที่ทำการแลกเปลี่ยนรับสารข้อมูลจากนกพิราบสื่อสาร ได้นำแผ่นบันทึกโทรเลขส่งมาให้เขา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม แต่พอการมาถึงของเทคโนโลยีการสื่อสารถูกพัฒนาขึ้น ระบบการสื่อสารไร้สายภายในเมืองหลวงก็กำเนิดขึ้นมา ซึ่งร้านขายยาต่างโลกก็เป็นหนึ่งในจุดที่ได้ผลดีจากเทคโนโลยีดังกล่าว นอกจากนี้ทันทีที่มีการลงทะเบียนระบบสื่อสารไร้สายภายในสถาบันเทคโนโลยีจักรวรรดิ ระบบการสื่อสารไร้สายก็ได้ถูกติดตั้งขึ้นภายในเมืองหลวงจักรวรรดิและเมืองใกล้เคียงทันที แน่นอนว่าก็มีประเทศอื่นที่ต้องการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ด้วย พวกเขาจึงได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับทางจักรวรรดิ
ตัวฟาร์มาที่เป็นคนคิดค้นเทคโนโลยีดังกล่าวในโลกนี้ไม่อยากจะมีปัญหากับการแทรงแซงระหว่างประเทศนักจึงยกแบรนเทคโนโลยีดังกล่าวให้เป็นของทางจักรวรรดิไปเลย
ตอนนี้โทรเลขที่ฟาร์มาได้มานั้นเป็นการส่งสารระหว่างมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิกับทางร้านขายยาต่างโลก
ห้องรับโทรเลขดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้นมาจากการปรับปรุงพื่นที่ส่วนหนึ่งภายในชั้นสามของร้านขายยาเพื่อให้เพียงพอต่อการจัดวางอุปกรณ์
ในช่วงเวลาทำการของทั้งสองฝั่งก็จะมีพนักงานเฉพาะที่ทำการรับผิดชอบส่งและรับสารด้วย
แน่นอนว่าเพราะการมาของเทคโนโลยีนี้จึงทำให้ร้านขายยาต่างโลก จำเป็นต้องเลิกจ้างเหล่านกพิราบ
โดยพวกเขาได้ทำการปล่อยพวกมันกลับไปยังสถานเลี้ยงนกพิราบตามเดิม และในช่วงกลางวันพวกมันที่ไม่มีงานทำก็จะถูกปล่อยเข้าป่าเพื่อให้หาอาหารกินกันเองอย่างมีความสุข ทางทอมที่เป็นผู้ประสานงานก็ลดความถี่ที่ต้องวิ่งไปมาระหว่างร้านขายยากับมหาวิทยาลัยลง
แน่นอนว่านั่นไม่ได้ทำให้เขาอยู่ในจุดที่จะตกงานได้ เพราะเขายังจำเป็นต้องเดินทางไปติดต่อกับ ที่พักส่วนตัวของผู้ป่วย ร้านขายยาอื่น และแพทย์โอสถ
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่เรื่องดี เพราะการมาของเทคโนโลยีดังกล่าวมันทำให้ฟาร์มาต้องเพิ่มภาระงานของตนมากขึ้นด้วย
เพราะเทคโนโลยีนี้สามารถส่งข้อมูลได้เร็ว การพิจารณาปรึกษาเกี่ยวกับใบสั่งยาก็ถูกส่งมาให้ฟาร์มาตรวจสอบแบบไม่จบสิ้น
นอกจากนี้ก็มีความยุ่งยากเรื่องที่ทีโอดอร์บ่นว่า “ผมอยากจะส่งแผนภาพและสูตรทางปฏิกิริยาเคมี แต่จดหมายหรือนกพิราบสื่อสารมันช้าจริงๆ ครับ” ฟาร์มาก็เลยจำเป็นต้องคิดหาทางให้เขา โดยก็ได้มาอยู่สองวิธี
อย่างแรกก็คือการสร้างเส้นตารางพิกัดระบุข้อมูลจำเพาะทางตัวเลขและส่งไป
แต่เพราะการส่งข้อมูลก็จำเป็นต้องดูเรื่องของพลังงานและพลังคนที่ต้องใช้ด้วย การบีบอัดข้อมูลที่จะส่งสารมาก็จำเป็นต้องทำ ทางช่างเทคนิควิทยุก็ต้องพลอยรับงานหนักในการแปลสารด้วยอย่างวิธีRLE (Run Length Encoding)
ซึ่งเป็นการแปลงสีขาวและดำให้การเป็นตัวเลขอย่าง 0 กับ 1 หากจะให้ยกตัวอย่างก็ประมาณว่า ขาว-ขาว-ขาว-ขาว-ดำ-ดำ-ขาว-ขาว ก็จะแปลงเป็นเลขได้ 00001100 ซึ่งพอทำการบีบอัดข้อมูลก็จะกลายเป็น 422
พอทำแบบนี้ข้อมูลที่จะทำการส่งสารมาได้ก็จะเพิ่มขึ้น แต่ก็อย่างที่ว่าเมื่อมีข้อมูลที่ต้องแปลงมากขึ้น ความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ในการแปลสารก็สูงขึ้นด้วย
ดังนั้นฟาร์มาจึงพยายามคิดว่ามันพอจะมีวิธีในการแปลสารอัตโนมัติไหม
จนสุดท้ายก็ไปจบที่การสร้างคอมพิวเตอร์ แต่ภาระที่ฟาร์มามีในตอนนี้มันยุ่งเกินกว่าที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมาได้
มาตรการชั่วคราวที่ฟาร์มาหาได้ในตอนนี้ก็คงเป็นการติดอิเล็กโทรดไว้ที่ปลายลูกตุ้มและใช้การเคลื่อนไหวของมันผ่านแผ่นผิวทองแดงในการอ่านสารแทนก่อนจะส่งไปยังปลายทางหรือที่เรียกกันว่า แพนเทเลกราฟ แทนก่อนจะนำมันไปลงทะเบียนกับทางสถาบันเทคโนโลยี
และก็ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกที่เทคโนโลยีดังกล่าวมันทำให้โลกใบนี้เริ่มเกิดไอเดียทางการส่งสารผ่านภาพ
เพราะนักประดิษฐ์ผู้หนึ่งได้คิดถึงการส่งรูปภาพหรือแผนภาพขึ้น ก่อนจะมองว่าหากพวกเขาให้มันอ่านผ่านการหมุนของกระบอกสูบน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ลูกตุ้ม เครื่องรับสารก็จะทำการซิงโครไนซ์ความเร็วในการของกระบอกหมุนและเคลื่อนเข็มเพื่อสร้างภาพที่ต้องการรับได้ง่ายกว่า
จากนั้นก็พัฒนาต่อเป็นการคิดค้นระบบหลอดโฟโตมัลติพลายเออร์เอามาปรับใช้เพิ่มเติม ซึ่งมันได้ถูกลงทะเบียนไว้กับทางสถาบันก่อนหน้านี้ โดยการปรับความเข้มของแสงเพื่อใช้ในการรับส่งสัญญาณ และเครื่องรับก็จะแปลงความเข้มของสัญญาณเป็นลึกบางของหมึกที่ต้องใช้ในการลงภาพ
แน่นอนว่าการคิดค้นพวกนี้ยังห่างไกลจากเทคโนโลยีการสร้างภาพยนตร์ แต่ฟาร์มาก็มองว่าด้วยความเร็วและไอเดียของผู้คนในตอนนี้มันก็คงไม่ไกลมากแล้ว
เทคโนโลยีการส่งสารยังคงถูกผู้คนพยายามคิดค้นและลงทะเบียนกับสถาบันเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนทางฟาร์มาที่จนตอนนี้ก็ยังไม่เปิดเผยชื่อของตัวเองเอาไว้ แต่สำหรับนักประดิษฐ์คนอื่นที่นำความรู้ไปต่อยอดแล้วพวกเขาต่างก็ลงทะเบียนกันด้วยชื่อจริงและบางคนก็ตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อทำการลงทะเบียนก็มี
หากจดสิทธิบัตรด้วยชื่อจริง ผู้คิดค้นก็จะได้ทั้งรางวัลและค่าตอบแทนจากสถาบันเทคโนโลยี พูดง่ายๆ ก็คือตอนนี้สังคมเริ่มเกิดการแข่งขันเพื่อคิดค้นเทคโนโลยีมากขึ้น นักประดิษฐ์และนักวิชาการก็เริ่มมีการประชุมกันเพื่อต่อยอดความรู้ บางคนก็เริ่มต้นธุรกิจขึ้นมาโดยการก่อตั้งบริษัทสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
พนักงานของทางสถาบันเทคโนโลยีก็มีงานให้ทำไม่เว้นวัน จำนวนคนที่เข้ามาเพื่อลงทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ของตนก็มากขึ้น
จนในที่สุดความสำเร็จในการรวมตัวกันของนักประดิษฐ์ก็ทำให้ วิทยาลัยช่างจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟซึ่งเคยเป็นสถาบันให้ความรู้อาชีวศึกษาสำหรับอุตสาหกรรม เปลี่ยนเป็นสถาบันเทคโนโลยีจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ซึ่งเป็นการบูรณาการกันระหว่างภาครัฐและเอกชนที่มุ่งเน้นในการสร้างเทคโนโลยี ทั้งการสื่อสารโทรคมนาคมและสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ อีกมากมาย ถึงเนื้องานภายในสถาบันจะเป็นเหมือนกันแข่งขันกันสร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมา แต่สุดท้ายสิ่งที่พวกเขาทำก็เป็นการยกระดับของเทคโนโลยีในจักรวรรดิทั้งสิ้น
จากที่ฟาร์มาได้ยินมา เหมือนว่าจะมีการเปิดสาขาวิชาใหม่ในฤดูใบไม้ผลิหน้าด้วย ซึ่งทางจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็อนุมัติแล้ว
ตัวฟาร์มาก็มองว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน
เพราะเขารู้สึกสนใจว่าการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร จะเหมือนหรือแตกต่างจากโลกของเขาในยุคหนึ่งไหม
อันที่จริง ตัวฟาร์มาซึ่งมักเดินทางมายังสถาบันเทคโนโลยีก็เริ่มถูกจับตามองจากพวกนักประดิษฐ์ของจักรวรรดิแล้วเหมือนกัน ไม่นานมานี้เขาก็ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยพวกนักประดิษฐ์หลังจากเดินออกมา ก่อนจะเริ่มตั้งคำถามกับเขาเกี่ยวกับเรื่องที่พวกตนสงสัย ด้วยเหตุนี้เองฟาร์มาเลยจำเป็นต้องให้เซดริกเป็นตัวแทนในการไปลงทะเบียนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาจากเขาแทน
ด้วยเหตุนี้เองช่วงหลังๆ เซดริกที่ได้เดินทางไปแทนฟาร์มาก็เริ่มสังเกตเห็นว่าการลงทะเบียนเทคโนโลยีบางอย่างเหมือนจะมีลักษณะที่แปลกไป ด้วยความสามารถทางด้านกฎหมายของเขา เขาจึงเข้าแจ้งกับสถาบันถึงข้อกำหนดการลงทะเบียนและเงื่อนไขที่จำเป็น เพื่อกันไม่ให้มีการสร้างสิ่งที่ไร้ศีลธรรมเข้ามาด้วย
จากนั้นทางสถาบันจึงมีการประกาศออกมาว่า 「สิ่งประดิษฐ์ที่จะเข้ามาลงทะเบียนกับทางสถาบันเทคโนโลยีนั้นจะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่ และหากถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่เหมาะสม ผู้คนหรือบริษัทที่เข้ามาลงทะเบียนจำถูกลงโทษอย่างหนัก」
ฟาร์มายังคงติดต่อกับทีโอดอร์เพื่อส่งคำแนะนำในการวิจัยให้กับเขา โดยที่ยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการเดินทางของฌอง แล้วระหว่างนี้เองฟาร์มาก็ยังทราบมาว่าหลังจากที่เขากลัวว่าจะมีใครตายจากการทำงานหนักจึงได้พยายามจัดการเรื่องตารางการทำงาน ทีโอดอร์จึงได้ทำการสร้างห้องวิจัยที่บ้านของตนแทน เพื่อที่ตนจะได้ทำงานต่อแม้ไม่ได้อยู่ที่โรงงาน จนทำให้ฟาร์มารู้สึกปวดหัวไม่หายว่าจะทำยังไงกับเขาดี
แน่นอนว่าทางเอ็มเมอริคที่ทำงานอยู่ในห้องปฏิบัติการฟาร์มาก็คอยจับตามองอยู่ แต่ผลที่ได้ก็ทำให้เขาสบายใจเพราะเอ็มเมอริคยังทำงานอยู่ภายในกรอบเวลา นอกจากนี้เขาก็สามารถทุ่มเทให้กับงานวิจัยได้มากขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากความสำเร็จในคราวก่อน เขาไม่จำเป็นต้องพยายามทำหน้าที่ในฐานะแพทย์โอสถเพื่อเลี้ยงชีพอีกต่อไป
「นี่คุณทีโอดอร์ไปทำงานทั้งๆ ที่ไข้ขึ้นสูงอีกแล้วเหรอเนี่ย」
ฟาร์มารู้สึกท้อแท้กับการกระทำของทีโอดอร์จริงๆ เซเลสที่ทำงานบริการลูกค้ากับจดประวัติการใช้ยาของคนไข้เสร็จก็เหมือนจะคิดถึงเรื่องน้องชายของเธอที่ป่วยอยู่
เนื่องจากการโจมตีของพวกวิญญาณร้ายในครั้งก่อน ทำให้ตอนนี้เซเลสได้ย้ายบ้านเข้ามาอยู่ใกล้กับร้านขายยาต่างโลกมากขึ้น จึงทำให้บางครั้งพวกลูกๆ ของเธอก็มักจะมาเล่นแถวร้านขายยาด้วย
「ก็เข้าใจอยู่นะคะว่าน้องชายเจอเส้นทางใหม่ของนักเล่นแร่แปรธาตุแล้วจนทำให้รู้สึกตื่นเต้น แต่เขารู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองไม่ควรจะออกไปทำงานอีกในสถานการณ์แบบนี้ เดี๋ยวก็ได้แพร่เชื้อใส่คนอื่นเข้าหรอก」
「แต่ทางผมไม่ว่าจะพยายามบอกไปสักกี่ครั้งก็เหมือนไม่ยอมฟังเลยนี่สิ」
「ฟุฟุ อันที่จริงเมื่อก่อนฉันก็ป่วยบ่อยเหมือนกันนะคะ แต่พอมาทำงานอยู่ที่ร้านขายยานี้ อาการป่วยหรือหวังก็ไม่เคยถามหาอีกเลย」
ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดีว่ามันคือความสามารถติดตัวของฟาร์มาอย่าง อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ ฟาร์มาก็ได้แค่ยิ้มรับ
「จะว่าไป เมื่อนานมาแล้ว น้องชายของฉันก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทดลองนะคะ พอลองไปตามหาดูก็พบว่า เขานอนหมดสติอยู่ในห้องปิดตาย พร้อมกับหม้อที่ห้อยเหนือกองไฟเป็นเวลาสองวันได้」
「ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะพิษจากคาร์บอนมอนอกไซด์ที่อัดแน่นภายในห้องทำให้เป็นแบบนั้นนะครับ」
「คิดแล้วก็น่าขำดีนะคะ ที่เขาเกือบต้องมาตายเพราะเรื่องนี้」
「เอาจริงๆ มันก็ฟังดูขำไม่ออกเท่าไหร่นะครับ」
ฟาร์มาแสดงสีหน้าจริงจังแทน
สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คงมีแต่ภาวนาให้นักเล่นแร่แปรธาตุที่ทีโอดอร์พามาจะช่วยเข้าไปห้ามเขาได้บ้าง
ในตอนนี้ทางโรงงานก็ได้นักเล่นแร่แปรธาตุที่เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพวารีในการสกัดยาเพื่อสร้างยาโดยไม่ต้องผ่านความร้อน แต่มันก็ใช่ว่าจะทำได้ในทุกกระบวนการแบบนั้น จึงทำให้ยังจำเป็นต้องใช้ไฟในการทำงาน แต่พอเป็นแบบนี้อุบัติเหตุก็ย่อมตามมาด้วย แน่นอนว่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุไฟย่อมมีความทนทานต่อเปลวเพลิง แต่อุปกรณ์กับสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ นี่สิที่ถูกเผาจนเหี้ยนไปแทน
(ขนาดยุคของเราก็ยังเคยเกิดเรื่องการระเบิดในห้องปฏิบัติการหรืออุปกรณ์การทดลองจนเป็นเรื่องปกติเลยนี่เนอะ)
อันที่จริงพักนี้ก็มีข่าวการระเบิดเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยจนเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์เหมือนกัน
ฟาร์มาก็กังวลหรอกนะว่าอาจจะเกิดขึ้นเรื่องร้ายแรงขึ้น เขาละอยากให้ทุกคนระวังกันมากกว่านี้หน่อย
จึงเป็นสาเหตุที่ฟาร์มาพยายามบอกพวกนักวิจัยให้ส่งข้อมูลการทดลองผ่านโทรเลขมาให้เขาตรวจสอบด้วยก็ได้ แต่สุดท้ายมันก็ใช่จะคลายความกังวลของเขาได้หมด
「เห็นทีคงต้องเพิ่มคลาสสอนความปลอดภัยเกี่ยวกับเคมีอินทรีย์และอนินทรีย์ เป็นวิชาเฉพาะอีกคลาสซะแล้วสิ」
「ถ้างั้น ทำไมเราไม่ลองสร้างชุดป้องกันไฟหรือการระเบิดขึ้นมาด้วยเลยล่ะคะ? 」
รีเบคก้าถามเสนอไป
「นั่นสินะครับ ถ้าทำแบบนั้นก็คงจะช่วยได้มากขึ้นด้วย ไว้เดี๋ยวทางผมก็จะลองปรับปรุงแว่นตานิรภัยด้วยเลยแล้วกัน」
ฟาร์มาตัดสินใจตอบรับข้อเสนอทันที
「จะว่าไปรีเบคก้าจัง ช่วงนี้ผิวดูเหลืองๆ ไปหน่อยหรือเปล่า ก็ไม่อยากจะทำให้กลัวหรอกนะ แต่ตับของเธอจะเป็นอะไรไหมน่ะ? 」
เซเลสถามรีเบคก้าเพราะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลง
ท่าทางเธอจะคิดว่ารีเบคก้าอาจจะป่วยเป็นโรคดีซ่านก็ได้ แต่สำหรับฟาร์มาไม่มองว่าเป็นแบบนั้น เขาก็เลยได้แต่แนะนำ
「จะว่าไปพักนี้คุณได้กินผักสีเขียวหรือเหลือง ไม่ก็ผลไม้รสเปลี้ยวมากเกินไปหรือเปล่าครับ? 」
「ว-ว้ายคือว่า! พักนี้ก็กินอาหารเสริม พวกส้มเยอะอยู่หรอกค่ะ!」
ใบหน้าของรีเบคก้าเปลี่ยนไปเป็นสีแดง
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา รีเบคก้าได้ใช้เวลาช่วงกลางคืนในการเตรียมสอบเพื่อเป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่ง จึงทำให้เธอนอนไม่พอ ดังนั้นรีเบคก้าจึงหาสารอาหารเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกายเพื่อทำให้เธอสามารถอ่านหนังสือต่อได้
สาเหตุก็มาจากปีนี้แผนกเตรียมสอบแพทย์โอสถขั้นหนึ่งได้เพิ่มระดับความยากของการสอบมากกว่าเดิม
「หากพยายามเรียนรู้ให้มาก ผมเชื่อว่าสุดท้ายคุณจะต้องทำได้แน่ครับ」
「เป็นท่านก็พูดได้สิคะ」
แล้วทั้งสองก็หัวเราะออกมา ทางเอเลนที่เดินออกมาจากห้องให้คำปรึกษาก็ส่งสายตามาให้กับฟาร์มา ตัวฟาร์มาที่เห็นก็ดูเหมือนจะรู้ว่าเธออยากจะคุยเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรให้คนอื่นได้ยิน เขาจึงเดินเข้าไปภายในห้องแล้วปิดม่านเพื่อพูดคุยกับเอเลน
「มีอะไรหรือเปล่า」
「นี่ฟาร์มาคุง ฉันมีเรื่องสงสัยน่ะ ตอนนายใช้พลังของดวงตาแล้วพอผ่านไปสักพัก นายมีอาการที่ทำให้ประสาทการมองเห็นตัวเองหายไปสักระยะหนึ่งไหม? 」
「ไม่เคยเลยนะ」
「อันที่จริงฉันลองพยายามเพิ่มระยะเวลาในการใช้มันดูเพื่อฝึกน่ะ แต่พอผ่านไปสักพัก ระหว่างที่ฉันใช้พลังตาของฉันก็รู้สึกพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่งเลย」
「รู้สึกเจ็บไหม? 」
「ก็ไม่นะ..แต่จะว่ายังไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนดวงตามันอ่อนล้าน่าจะเข้าใจง่ายกว่า」
「งั้นก็แปลว่าคุณฝืนใช้มันมากเกินไปจริงๆ นั่นแหละ」
ฟาร์มาเลยแนะนำว่าไม่ควรใช้ดวงตาวินิจฉัยทุกวันน่าจะดีกว่า
ทุกครั้งที่เอเลนพยายามใช้ดวงตาวินิจฉัย พลังแห่งเทพที่เธอต้องใช้กับมันนั้นก็กินไปเยอะพอสมควร ทำให้ขีดจำกัดในการตรวจสอบอาการของคนไข้จนจบงานได้จริงๆ ก็อยู่ที่ราวๆ สองคน
「เลี่ยงการใช้มันได้ก็น่าจะดีนะ ถ้ามันสร้างภาระให้ร่างกายคุณขนาดนั้น」
ฟาร์มาคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ขนาดตัวฟาร์มาเองพักหลังมานี้ก็ใช้ดวงตาวินิจฉัยในกรณีที่อยากยืนยันในเรื่องที่สำคัญจริงๆ นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่า”มนุษย์’ ธรรมดาอย่างเอเลนจะสามารถใช้ความสามารถที่เหนือมนุษย์นี้ได้โดยไม่ส่งผลเสียอะไร ฟาร์มาได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเอเลน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอาการอักเสบหรือความผิดปกติใดๆ ในลูกตาของเธอ ทางเอเลนที่ถูกฟาร์มาจ้องแบบนั้นก็เหมือนจะรู้สึกอายขึ้นมา
「น-นี่ อย่าเอาแต่จ้องฉันแบบนี้สิ ฟาร์มาคุงเองก็เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ」
「คนเขาเป็นห่วงแท้ๆ ยังจะเอาแต่ล้อเล่นอีก」
แม้ฟาร์มาจะยังเป็นกังวล แต่เอเลนก็ทำได้แค่หัวเราะออกมา จากนั้นก็ลุกจากที่นั่งแล้วเปิดม่านออก
「ฟุฟุ อย่าคิดมากไปเลยน่า ฉันก็ใช่จะยอมใช้มันจนพลังหมดเสียหน่อย เดี๋ยวขอไปพักสายตาสักหน่อยแล้วกัน ขอบคุณที่รับฟังนะ」
「ถ้ามีอาการแปลกๆ เกิดขึ้นก็รีบบอกให้ผมรู้ด้วยแล้วกัน」
「จ้าๆ ขอบคุณที่เป็นห่วง ก็เนอะถ้าพยายามแบบสุดตัวแล้วเดี๋ยวจะมีปัญหาแบบฟาร์มาคุงเอาได้ด้วยนี่นา」
「คุณเป็นคนสำคัญที่คอยช่วยเหลือผมเสมอมารู้ตัวไว้ด้วย ดังนั้นหากมีอาการพวกนี้อีก ก็ควรหยุดใช้พลังทันทีนะ」
ฟาร์มารู้สึกเป็นห่วงเอเลนจริงๆ มันน่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเธอแน่ๆ
เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมีอาการดังกล่าวจากการใช้พลังพวกนี้มาก่อนเลย
ดังนั้นเขาจึงใช้พลังมองเข้าไปที่ดวงตาของเธอ แล้วก็พบว่ามีแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นมาที่ตาซ้ายของเธอ หากเป็นแสงแบบนี้ก็แปลว่าเป็นอาการที่รักษาให้หายขาดได้
ฟาร์มาจึงลงความเห็นว่านี่น่าจะเป็นอาการตาพร่าชั่วขณะ
*
「นี่คือวันที่ 16 เดือน เมษา ปี 1148 การขึ้นฝั่งครั้งที่สองของทวีปใหม่」
ในจังหวะที่พลเรือเอกฌองเดินทางมาถึงแผ่นดินของทวีปใหม่ ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาจากเหล่าลูกเรือบนดาดฟ้าเรือ
คณะเดินทางที่มีลูกเรือกว่า 200 ชีวิต ได้เดินทางมาถึงทวีปการ์บันแล้ว โดยใช้เวลาทั้งหมด 22 วัน เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่เร็วที่สุดในโลกแล้ว
โดยจุดเทียบท่าในครั้งนี้อยู่บริเวณชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป
บริเวณส่วนลึกเข้าไปของหาดทรายสีขาวเป็นพื้นที่ป่าที่มีพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง
「นี่คือทวีปการ์บันที่ว่าสินะ….เรามาถึงแล้วจริงๆ เหรอ…」
คลาร่าที่มีอาการความดันโลหิตต่ำซึ่งอยู่ในสภาพเหมือนปลาตากแห้ง ก็พยายามเดินตามมาแล้วถามลูกเรือ
「ก็มาถึงแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่อย่าเรียกมันด้วยชื่อนั้นเลย」
「แต่ก็นะชื่อนี้มันก็ติดเรียกกันไปแล้วนี่นา」 ลูกเรืออีกคนตอบ
“แต่พลเรือเอกแกเหมือนจะไม่ชอบเท่าไหร่น่ะ” เหล่าลูกเรือคุยกัน
「เอาเถอะ เดี๋ยวคืนนี้คงต้องส่งโทรเลขไปทางทวีปหลักด้วยว่าเดินทางมาถึงแล้ว ฝั่งนั้นก็คงเป็นห่วงพวกเราเหมือนกัน」
「นั่นสินะ ฝ่าบาทก็คงพอพระทัยอย่างมากแน่ๆ 」
「ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านฌองคาดการไว้เลย ข้าไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าพวกเราจะมาถึงได้เร็วขนาดนี้」
「หากเป็นกองเรือที่ท่านเป็นผู้นำล่ะก็ เจ้าคิดไว้ได้เลยว่าตัวเองกำลังอยู่ในเรือยักษ์ใหญ่ที่ไว้วางใจได้」
ลูกเรือต่างยกย่องการเดินเรือของพลเรือเอก
ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจขนาดนี้
ก็คงต้องย้อนกลับไปในช่วงที่เขายังหนุ่ม เขาสามารถค้นพบเส้นทางที่สั้นที่สุดในการเดินทางจากจักรวรรดิ อินเดี้ยนตะวันออกเป็นครั้งแรก และสร้างชื่อตนในฐานะนักเดินเรือ เขาเป็นนักเดินเรือที่คอยสร้างผลกำไรมหาศาลให้กับจักรวรรดิโดยการบุกเบิกเส้นทางใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอ นอกจากนี้ก็ยังขับไล่เหล่าโจรสลัดอีกด้วย จนทำให้สามารถก่อตั้งบริษัทอินเดี้ยนตะวันออกขึ้นมาได้ อีกทั้งเขายังมีความสามารถในการรบทางน้ำที่สูงมาก
ชื่อเสียงของเขายังไม่จบแค่กับการขับไล่โจรสลัด แต่ยังเป็นตอนที่เขาสามารถหาทางรับมือกับการขับไล่พวกวิญญาณร้ายในท้องทะเลได้ด้วย
ทางพลเรือเอกฌองที่รู้สึกว่ามีปัญหากับการยกย่องตัวเขามากเกินไป ก็ตัดสินใจว่าจะโบ้ยความสำเร็จนั้นให้กับฟาร์มาที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้แทนซะอย่างงั้น
「จะว่าไปการเดินทางรอบนี้ของพวกเราก็แปลกนะ ที่ไม่เจอกับพวกวิญญาณร้ายเลย ขนาดผ่านตรงทะเลปีศาจที่เป็นสุสานเรือแท้ๆ 」
「นั่นสิ เราผ่านตรงนั้นกันมาเฉยๆ เลย ทั้งที่คราวก่อนมีพวกวิญญาณร้ายชุมแท้ๆ แถมยังรู้สึกเหมือนได้พรจากการเดินทางอีก สภาพอากาศที่พวกเราเจอก็ดีผิดหูผิดตา」
「ก็ได้แต่หวังว่าขากลับจะเป็นเหมือนกันนะ……」
พลเรือเอกฌองก็หาวออกมาด้วยความสบายใจหลังลงเรือไป
ทางคลาร่าก็ลงตามมาด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้า ก่อนจะขนสัมภาระลงมาด้วย
ไม่นานนักกองเรือที่เหลือก็ตามมาเป็นลำดับ ก่อนจะเริ่มวางวงเวทไว้บนชายหาดเพื่อความปลอดภัยของคณะเดินทาง นี่ก็เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดกิจกรรมภายในเรือแล้ว คลาร่าที่เหยียบเข้ากับชายหาดก็แสดงสีหน้ามีความสุขออกมาก่อนจะนอนลงกับพื้นหาดและทำท่าเหมือนว่ายน้ำบนผืนทราย
「หุหุ แผ่นดินนี่แหละสุดยอด ทรายพวกนี้!! มันช่างสุดยอด! แค่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาทนกับอาการเมาเรือแล้ว!」
「โฮ่ๆ แม่สาวน้อยคนนี้ ร่าเริงดีจังเลยนะ!」
「แต่พอคิดถึงขากลับ ก็ชักอยากจะอ้วกขึ้นมาแล้วสิ….」
「เอาเถอะน่า อย่างน้อยเธอก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมันนักในวันนี้นะ」
ระหว่างการเดินทางมาที่นี่ ก็มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่พวกเขาแวะตามเกาะที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ แต่เพราะเป็นการเดินทางที่เร่งรีบ พวกเขาจึงได้อยู่บนเกาะแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
และถึงการเดินทางจะใช้เวลาไม่นานก็จริง แต่คลาร่าก็รู้สึกโหยหาแผ่นดินใหญ่อย่างหาไม่ได้
「จากนี้ไปข้าจะขอเตือนพวกเจ้าทุกคนไว้ก่อนนะ」
พลเรือเอกฌองได้ขึ้นไปยืนบนกล่องสินค้าก่อนจะเริ่มพูด
「ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงทราบถึงจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราอยู่แล้ว นั่นคือการสร้างฐานที่มั่นและทำการสำรวจเพื่อทำแผนที่ แต่พวกเราก็ควรจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าหรือวิญญาณร้ายให้ได้มากที่สุด จงต่อสู้ในรณีที่ไม่มีหนทางเลี่ยงแล้วจริงๆ นอกจากนี้พวกเราก็ไม่รู้ด้วยว่าที่แห่งนี้จะมีรังของพวกวิญญาณร้ายอยู่ที่ไหน」
เหล่าลูกเรือก็ฟังกันด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
การเผชิญหน้ากับพวกวิญญาณร้ายเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ถึงพยายามจะหนีไปทางทะเลก็ใช่จะหลบพวกมันพ้น
จากคำทำนายของคลาร่าก็ทำให้ทราบว่า กองเรือของพวกเขาจะไม่ถูกทำลายล้างหรือมีผู้เสียชีวิตอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปลอดภัยกลับไปครบส่วน ทุกคนสามารถอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงตายได้เสมอ
「พวกเราไม่รู้ด้วยว่าทวีปนี้จะมีพวกวิญญาณร้ายแบบไหนรออยู่ อีกทั้งพวกสัตว์ป่าก็ด้วย เอาละ ทีนี้ข้าจะแบ่งพวกเจ้าออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่กลุ่มค้นหาอาหารและทรัพยากรใหม่ๆ กลุ่มสำรวจสร้างวงเวท แล้วก็กลุ่มก่อสร้างฐานที่มั่น ระยะเวลาที่เราสามารถอยู่ได้ คือ 1 เดือนตามเสบียงที่เราเตรียมมา เราจะเดินทางกลับก็ต่อเมื่อเสบียงขึ้นฝั่งหมด มีใครจะถามอะไรไหม? 」
「พลเรือเอกครับ!」
「ว่ายังไง」
พลเรือเอกฌองพูด ในขณะที่ผู้บังคับการเรืออีกคนยกมือถาม
「ทำไมเราถึงไม่หาผลไม้ น้ำหรือสัตว์จากทวีปใหม่กินล่ะครับ หากเราสามารถหาเสบียงเพิ่มได้ผมมั่นใจว่าพวกเราน่าจะสามารถยืดการสำรวจได้นานขึ้นด้วย」
「ไอ้เจ้าบ้า! เจ้าของร้านขายยาต่างโลกบอกกับข้ามาเยอะเลยก่อนจะออกเดินทาง! สิ่งที่พวกเราจะกินได้มีเพียงอาหารที่นำติดมากับเรือด้วยเท่านั้น นอกจากนี้น้ำพวกเราก็จะดื่มจากผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพด้วย จริงสิข้าคงไม่ได้บอกพวกเจ้า แต่ที่แห่งนี้มีเชื้อโรคที่เราไม่รู้จักอีกมาก มันอาจจะปะปนมากับน้ำอาหารหรือ ไอ้โลหะหนักอะไรสักอย่างนี่แหละ เอาเป็นว่าข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะอธิบายได้ยังดีให้เข้าใจง่าย แต่สรุปก็คือไม่ให้กินเข้าใจตรงกันนะ!」
พลเรือเอกฌองก็ไม่ได้เข้าใจคำพูดของฟาร์มาทั้งหมดหรอก แต่เขาก็ได้ออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่ากินอะไรจากพื้นที่นี้เด็ดขาด เขาตัดสินใจว่าควรทำตามที่ฟาร์มาบอกอย่างเคร่งครัด
ถึงจะมีในกรณีที่อาจจะทำให้เสบียงหมดไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดคิด แต่เขาก็ได้รับการสอนเกี่ยวกับเรื่องแยกของที่กินได้หรือไม่ได้ วิธีการกรองน้ำเพื่อดื่มติดตัวมาด้วยแล้ว แต่ยังไงนั่นก็เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ เท่านั้น หากเป็นไปได้โดยพื้นฐานการเลือกไม่กินอะไรจากที่นี่เลยจะดีกว่า
แน่นอนว่าตอนนี้ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่สามารถตรวจจับพิษได้ก็เดินทางมาด้วย แต่ก็ใช่ว่ามันจะวางใจไปได้เสียหมด เพราะพิษที่ทวีปหลักของพวกเขาที่ตรวจสอบกันได้ อาจจะไม่ได้ผลกับทวีปใหม่
นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบทรัพยากรต่างๆ ผ่านการสัมผัสโดยตรง หากไปเจอของหายากหรืออะไรแปลกๆ ให้ถ่ายรูปเก็บไว้เพื่อนนำกลับไปยังทวีปหลักแทน
แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องของพวกระบบนิเวศน์ในพื้นที่ด้วย
แผ่นวงเวทที่ลอตเต้ได้มอบให้กับฌองเป็นของขวัญก็ถูกจัดวางไว้รอบๆ ฐานยาวไปจนถึงบริเวณแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุดจากการสำรวจ ถึงการสำรวจของพวกอัญมณีและทองคำจะน่าสนใจเหมือนกัน แต่การโลภมากจนเกินไปก็อาจจะนำพาไปสู่ความล่มสลายได้
「เอาจริงๆ ถ้าเราเจอของที่ไม่รู้จักแล้วไม่รู้ว่ามีพิษไหม ทำไมเราไม่ลองให้สุนัขที่พามาด้วยกินดูล่ะ อย่างน้อยมันก็น่าจะเห็นได้ว่ามีพิษหรือเปล่า เพราะพวกเราไม่ควรเสียเวลาให้มาก แล้วรีบทำอาณาเขตของเราให้เสร็จก่อนประเทศอื่นจะมาแย่งดีกว่าไหม」
คนที่พูดออกมาก็ไม่ใช่ใครแต่เป็น โนอา เลอ โนทร์ อดีตข้ารับใช้ของจักรพรรดินีซึ่งเป็นกึ่งอัศวินในขณะนั้น ได้แอบขึ้นเรือมาด้วยชื่อปลอมตามคำสั่งลับที่ได้มาจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลิซาเบท
แต่สุดท้ายก็ดันมาความแตกเอาวันที่ 5 ของการเดินทางเพราะคลาร่าดันจำหน้าเขาได้และทักเขาว่าตนเคยเจอกับเขาที่งานเลี้ยงของพวกชนชั้นสูงแห่งหนึ่ง
「ไอ้เจ้าบ้า นี่เจ้าได้ฟังที่ข้าบอกไหมเนี่ย?! ไอ้ของแบบนี้บางอันมันก็เป็นพิษที่แสดงผลช้านะ หากจะกินจริงๆ ก็ต้องของที่เราปลูกกันเองนี่แหละ แล้วเจ้าคิดจริงเหรอว่าการสำรวจทวีปใหม่มันจะง่ายขนาดนั้น ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นจริง ก็แปลว่าเจ้าดูถูกที่แห่งนี้เกินไปแล้ว!」
「เราควรจะรีบตั้งธงของจักรวรรดิให้เสร็จสิ หากไม่ทำเอาตอนนี้เดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ」
「เจ้าจะรีบไปทำไมนักหนา ยังไงกลุ่มของพวกเราก็เป็นกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีประเทศไหนนอกจากจักรวรรดิของเราที่จะมีเทคโนโลยีเดินเรือได้เร็วขนาดนี้หรอก」
「เรื่องนั้นมันก็ไม่แน่ไม่ใช่เหรือไง」
พลเรือเอกฌองกับโนอาเถียงกันไปมา แต่สุดท้ายก็เป็นโนอาที่ยอมแพ้การปะทะวาจา
ต่อมาพวกลูกเรือก็ได้ทำการขุดดินที่พื้นราบ ก่อนจะตรวจสอบคุณภาพของดินแล้วสร้างวงเวทล้อมทุ่งเอาไว้เพื่อนำของอย่างพวกถั่ว หัวผักกาด แตงโม ส้มแมนดาริน แอปเปิล จากทวีปของพวกเขามาลองปลูกดูที่นี่
「”พรแห่งผืนดิน” 」
ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุดินก็ช่วยเหลือในการเสริมพลังผืนดิน
ในขณะที่พวกเขาปล่อยให้พืชพวกนี้เติบโต พวกเขาก็จะกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองเพื่อที่การเดินทางกลับมาคราวหน้าจะได้รู้ว่าพืชชนิดไหนสามารถเติบโตในถิ่นนี้ได้บ้าง นอกจากนี้พวกเขาก็ต้องนำผลไม้ท้องถิ่นบางส่วนกลับไปตรวจสอบด้วยว่าเป็นอย่างไร
ที่เหลือก็แค่ปล่อยเป็นเรื่องของเวลา
และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่ต้องส่งสารไปยังจักรวรรดิ ข่าวการเทียบท่าของทวีปการ์บันประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เหล่าลูกเรือได้รับคำชื่นชมจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงความยินดีกับการเดินทางครั้งนี้
นอกจากนี้พอตกช่วงกลางคืนพวกลูกเรือทุกคนก็จะกลับไปบนเรือเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาและหลีกเลี่ยงกับวิญญาณร้ายที่อยู่บนผืนดินเท่านั้นด้วย
นอกจากนี้ก็ได้มีการจัดเวรยามเพื่อป้องกันผู้บุกรุกและล็อกห้องทุกห้องในเรือไว้ด้วยวงเวท
ในวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็เริ่มทำการตรวจสอบทวีปนี้กันตั้งแต่เช้าตรู่
ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นหลังจากตรวจสอบ ทั่วทั้งฐานริมฝั่งก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
「ทะเลสาบ! พวกเราเจอทะเลสาบน้ำจืดที่สะอาดมาก!」
กลุ่มสำรวจได้พบเข้ากับทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ไกลจากฝั่งออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร พวกเขากลับมาเพื่อแจ้งข่าว
หากเป็นแบบนี้ในอนาคตพวกเขาก็จะสามารถสร้างหมู่บ้านใกล้แหล่งน้ำดังกล่าวได้
「ถ้าพวกเราค้นพบทะเลสาบแล้วแบบนี้ ก็แปลว่าต้องตั้งชื่อตามผู้ค้นพบด้วยสินะ? 」
สุดท้ายหวยก็ไปออกเป็น ทะเลสาบการ์บัน
「ให้ตายสิ ทำไมต้องเอาชื่อข้าไปติดไว้ด้วยนะ」
「ก็พวกข้าคิดกันออกแต่ชื่อการ์บันนี่นา」
「แต่ก็ไม่ต้องเอาใส่มันทุกอย่างก็ได้ว้อย!」
พลเรือเอกฌองได้แต่คร่ำครวญออกมา แต่จากนั้นเขาก็เริ่มลูบหนวดตัวเองเหมือนคิดอะไรได้
「จะว่าไปพวกเจ้ารู้ได้ยังไงว่ามันเป็นน้ำสะอาด อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าดื่มมันไปกันแล้วน่ะ? 」
「คือว่า พวกเราก็ลองเอาลิ้นแตะๆ ดูน่ะ」
พวกลูกเรือพูดแก้ตัว
「พอดีว่ามีบางคนอยากจะล้างตัวสักหน่อยนะครับ…ว่าแต่การที่ไปว่ายน้ำในทะเลสาบหรือแม่น้ำคงจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ」
「แล้วพวกเจ้าพบสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตรายแถวนั้นไหม? 」
「ก็มีพวกจระเข้นอนอาบแดดกันอยู่หรอกครับ แต่พวกเราก็ใช้บาเรียศักดิ์สิทธิ์เพื่อไล่มันออกไปแล้ว」
หากเจอเข้ากับสัตว์กินเนื้อที่สามารถอาศัยอยู่บริเวณนั้นได้มันก็พอจะอุ่นใจขึ้นมานิดหน่อย
「แล้วของอย่างพวกปลากินคนล่ะ」
「เพราะน้ำมันใสมากจนมองเห็นก้นทะเลสาบได้ พวกเราจึงมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อย่างอื่นนอกจากจระเข้เลยครับ」
ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ตามไปด้วยตอบ
หากลูกเรือที่เป็นเพียงสามัญชนธรรมดาการเผชิญหน้ากับจระเข้ก็อาจจะเป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่หากมีผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพตามไปด้วยแล้ว ก็คงเป็นเรื่องง่ายที่จะรับมือ พลเรือเอกฌองคิด
หื้ม….อาบน้ำสินะ ในนี้มันก็บอกหรอกว่าให้เอาน้ำใส่ในภาชนะที่ต้องการแล้วใส่ยานี่สงไปนิดหน่อย แต่การว่ายน้ำในทะเลสาบหรือแม่น้ำไม่มีเขียนไว้ด้วยสิน้อ
พลเรือเอกฌองเอาแว่นออกมาส่องบันทึก “สิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” ออกมาตรวจสอบ
แพทย์โอสถที่ติดตามมาด้วยอย่าง มาร์โจลีน พอยคาร์ ก็รับฟังถึงเรื่องดังกล่าวด้วย เธอเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของบรูโน ที่ครอบครองคุณสมบัติถึงสองอย่างด้วยกัน นั่นก็คือเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุและแพทย์โอสถขั้นหนึ่ง ซึ่งได้รับการอบรมมาจากฟาร์มาก่อนออกเดินทางตามคำสั่งของบรูโน
「ศาสตราจารย์ฟาร์มา เดอ เมดิซิส กล่าวเอาไว้ว่าเมื่อพวกเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้น้ำในพื้นที่ สิ่งที่เราจำเป็นก็คือการทดสอบคุณภาพน้ำและตรวจสอบจุลวิทยาค่ะ เพราะแค่ศาสตร์แห่งเทพอย่างเดียวอาจจะทำให้มันบริสุทธิ์ได้ไม่หมด ซึ่งเรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งเพื่อให้ได้ผลที่ต้องการ..」
แต่ดูท่าพวกลูกเรือไม่ค่อยอยากจะฟังที่มาร์โจลีนพูดนัก
「ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ」
「การตรวจสอบคุณภาพน้ำมันใช้เวลานานขนาดนั้น พวกข้าคงรอกันไม่ไหวหรอกนะ นี่ก็จะมืดแล้วด้วยสิ」
「ขนาดที่บ้านเกิดข้า การว่ายน้ำในทะเลสาบหรือแม่น้ำก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ มันจะไปอันตรายอะไรกัน」
「ความน่ากลัวของมันอยู่ตรงที่สารพิษหรือโลหะหนักที่ ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อได้ค่ะ」
สุดท้ายพวกเขาก็ต้องทำตามกฎที่ตั้งไว้ในฐานะลูกเรือของคณะสำรวจ
แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกที่ตึงเครียดของพวกเขาจะยอมรับกันได้เสียทั้งหมด
นั่นทำให้มาร์โจลีนรู้สึกกดดัน
「ย-ยังไงก็ตามเดี๋ยวทางฉันจะรีบตรวจสอบให้นะคะ…ได้โปรดรอกันอีกสักพัก」
「เฮ้อ น่าหงุดหงิดเหมือนกันนะ น้ำก็ดื่มไม่ได้ ทั้งที่น้ำก็มีพวกปลาสีฟ้าสดใสว่ายเต็มไปหมดแท้ๆ! หากมันไม่ปลอดภัยจริงพวกปลาจะอยู่กันได้เหรอ」
「อย่างน้อยก็ขอตรวจสอบคุณภาพทั่วไปของน้ำก่อนเถอะค่ะ」
และแล้วพวกลูกเรือก็เหมือนจะไม่ได้สนใจคำพูดของเธออีกต่อไป หลังจากผ่านไปไม่นานนัก
พวกเขาเริ่มแอบลงไปเล่นน้ำและสาดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน
น้ำที่ดูใสสะอาดจนทำให้แสงอาทิตย์สะท้อนได้อย่างงดงามมันดึงดูดใจของพวกเขามากจริงๆ ทำให้มีอีกหลายคนค่อยๆ ตามกันมาเพื่อชำระร่างกายที่เหนียวเหนอะหนะจากลมทะเลและเหงื่อไคล
ตายแล้ว… มาร์โจลีนพูดออกมาก่อนใบหน้าของเธอจะซีดลง จากนั้นก็มีอีกคนหนึ่งเดินมาอยู่ข้างๆ เธอ
พอเธอหันไปมองก็พบว่า พ่อครัวคนหนึ่งกำลังยิ้มให้กับเธอโดยในมือมีเปลือกหอยสีทองอยู่
「ดูนี่สิครับ มีหอยสวยๆ อยู่ในน้ำเยอะเลย เห็นแล้วน่าอร่อยออกนะครับ」
「นี่จับมันด้วยมือเปล่าเลยเหรอคะ!」
「โถ่ ท่านแพทย์โอสถก็กังวลเกินไปแล้วครับ ถ้าเอามันผ่านความร้อนแล้วก็ไม่เป็นไรหรอก! นอกจากนี้เราจะทอดมันด้วยเครื่องเทศกับน้ำมัน น่าจะอร่อยไม่น้อยเลย」
คลาร่าที่เห็นเหตุการณ์นั้นเขาก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีและพยายามเตือนเขา
「คือว่า จะดีกว่านะถ้าพวกนายไม่แตะต้องมัน….ฉันรู้สึกแย่แปลกๆ กับสิ่งนั้นด้วยสิ ท่านเทพผู้พิทักษ์ก็เหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่างด้วย」
「ท่านก็เป็นกังวลมากไปกับเขาอีกคนแล้วสิ」
「ก็รู้สึกงั้นจริงนี่นา……」
สุดท้ายทางคลาร่าและแพทย์โอสถมาร์โจลีนก็ได้แค่มองหน้ากันด้วยความอ่อนแรง
「มีความรู้สึกแย่กับเรื่องนี้จริงๆ ด้วย…」
「ทางฉันก็พยายามเตือนถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัยแท้ๆ 」
「หากมีเรื่องเกิดขึ้นเพราะสิ่งนี้ละก็….」
「ถ้ามันเกิดโรคติดต่อขึ้นมาจริง ทางเราก็พอมียาจะช่วยหรอกนะคะ แต่ถ้าทุกคนติดโรคกันหมดในคราวเดียวละก็….」
มาร์โจลีนหยิบเอา คู่มือเวชภัณฑ์ฉุกเฉินและสุขอนามัย ออกมาตรวจสอบ
แม้ว่าทั้งสองคนจะกังวลกันมากขนาดไหน แต่ในวันนั้นก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับพวกลูกเรือ
การตรวจสอบคุณภาพน้ำกับเชื้อโรคภายในน้ำคร่าวๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
「ความขุ่น ความเข้มของสีน้ำ แบคทีเรีย ดัชนีไฮโดรเจน โดยรวมแล้วไม่มีปัญหาอะไร หากนำไปใช้ในการเกษตรละก็เหมาะสมเลย」
ถึงแม้จะเป็นน้ำที่ไม่เหมาะกับการดื่มโดยตรงเลย แต่หากนำไปกรองสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
มาร์โจลีนรู้สึกโล่งใจขึ้นกว่าเดิมมาก
วันต่อมาเมื่อยืนยันได้แล้วว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่ไปเล่นน้ำ พวกเขาก็เริ่มพากันไปว่ายน้ำที่นั่นมากยิ่งขึ้น ถึงขนาดว่ามีบางคนแอบเอาปลาในนั้นมาย่างกิน ทางพลเรือเอกฌองที่ทราบก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอให้ใช้ไฟในการย่างอย่างเหมาะสม ข้อระวังที่พยายามรักษากันมาก็จบลงด้วยประการฉะนี้
พอรู้ว่าทะเลสาบดังกล่าวปลอดภัยก็ไม่มีใครบ่นได้อีก
「ปลาสีฟ้าพวกนี้พอเอามาย่างแล้วอร่อยชะมัด หนังก็กรอบดีด้วย」
「ทางฉันขอผ่านแล้วกันนะคะ」
「คุณคลาร่าไม่ลงไปอาบน้ำสักหน่อยเหรอ」
「เดี๋ยวฉันใช้ศาสตร์แห่งเทพช่วยเอาแล้วกันค่ะ」
「คุณคลาร่า เอาเทอร์รีนจระเข้หน่อยไหม」
「ขอผ่านค่ะ」
คลาร่าปฏิเสธทุกอย่างที่ถูกเสนอมา
ถึงอาจจะทำให้เธอถูกมองว่าเป็นพวกไม่เข้าสังคม หยาบคาย แต่ในเมื่อเธอรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เธอเห็นจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้เธอต้องเข้าไปยุ่ง นั่นคือเทคนิคเอาชีวิตรอดของเธอเอง
หนึ่งสัปดาห์หลังจากการสำรวจ พวกเขาก็ได้ทำการขยายเขตปลอดภัยที่สำรวจไปแล้วกว่าหลายกิโลโมตรจากบริเวณเทียบท่า
พวกเขาเจอทั้ง ที่ราบการ์บัน หุบเขาการ์บัน แม่น้ำการ์บัน และสถานที่ต่างๆ ที่ตามด้วยคำว่าการ์บัน
พวกสัตว์ป่าและวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวขึ้นก็ถูกผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพมากฝีมือขับไล่ไปได้
ทางด้านโนอาร์ก็กำลังมองหาจุดทำเลทองที่จะสร้างดินแดนขึ้นมา
การสำรวจยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ แผนที่ก็ค่อยๆ ถูกร่างขึ้นมา และพอการสำรวจทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี พวกลูกเรือก็มีกำลังใจกันเพิ่มขึ้น
…จะมีก็เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต่างออกไป
「คำทำนายของเทพผู้พิทักษ์…หมดแล้วจริงเหรอ…」
คลาร่ารู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอไม่สามารถแม้แต่จะหลับพักผ่อนให้ดีได้ด้วยซ้ำ ระหว่างนั้นเธอจึงทำการสวดภาวนาต่อเทพผู้พิทักษ์ของเธอ เพื่อให้ได้คำทำนายมาตามภารกิจที่เธอได้รับ นั่นคือการทำนายดวงชะตาประจำวันของคณะสำรวจให้พลเรือเอกฌองได้ทราบ
โดยผลการทำนายที่ได้ก็บอกมาว่าไม่มีลูกเรือหรือใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรง จนล้มตาย
แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้คลาร่าสบายใจเลย จนคิดวนเวียนไปมา สุดท้ายแพทย์ประจำเรือก็ลงความเห็นว่าเธออาจจะมีอาการเครียด แถมความเครียดดังกล่าวก็ไม่รู้จะต้องหาทางแก้ยังไงดีด้วย
「เห้อ ทำไมรู้สึกเหมือนมันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ เลยล่ะ…อยากจะกลับบ้านแล้วอ่ะ…」
คลาร่ารู้สึกว่ามีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธอ
สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คืออดทนรอกลับไปยังเมืองหลวงโดยสภาพครบส่วน
แต่แล้วในตอนเช้าหลังคลาร่าตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ก็พบว่าพวกลูกเรือที่ขึ้นฝั่งไป กลับมาที่เรือด้วยอาการตื่นตระหนกพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
วงเวทที่สร้างขึ้นภายในฐานบนบกของพวกเขาถูกทำลายจนหมด นอกจากนี้ก็พบร่องรอยผู้บุกรุกเข้ามาภายในเขตฐานของพวกเขา ทำให้วัตถุดิบของใช้ต่างๆ ในนั้นถูกทำลายจนสิ้น
「นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน!」
พลเรือเอกฌองที่หมายจะมาดื่มด่ำกับชายามเช้า ถึงกับอยู่ไม่สุข
「หรือจะเป็นวิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งพอจะทำลายวงเวทปรากฏขึ้นมากันนะ?!」
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้คณะสำรวจตกอยู่ในความโกลาหล แต่พอตรวจสอบให้ดีแล้วกลับพบว่าไม่มีร่องรอยของพวกวิญญาณร้ายเลย สัตว์ป่าขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่ ร่องรอยของการใช้ศาสตร์แห่งเทพก็ไม่ถูกพบเห็น
「หากเป็นพวกวิญญาณร้าย ช่วงกลางวันพวกเราก็คงพอให้มีเวลาพักหายใจบ้าง ช่วยไม่ได้สินะ เอาเป็นว่ามาตั้งวงเวทกันใหม่ให้แข็งแกร่งกว่าเดิมก่อนแล้วกัน นอกจากนี้ของที่เหลือก็ขนขึ้นไปบนเรือแล้วกัน」
พลเรือเอกฌองกล่าวและขอให้พวกนักบวชที่ติดตามมาด้วยสร้างวงเวทขึ้นมาใหม่
「นี่แปลกจริงๆ เลย ทั้งที่มันควรจะเป็นฝีมือของพวกวิญญาณร้ายแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่พบร่องรอยของมันเลยนะ」
นักบวชที่ตามมาเกิดสงสัย
「พลเรือเอกคะ!」
พอการสร้างฐานใหม่ใกล้จะเสร็จแล้ว มาร์โจลีนก็วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยอาการตัวสั่น ก่อนจะเอาอะไรบางอย่างห่อไว้ด้วยผ้ามาให้ดู
「มันคืออะไรหรือ? พอดีอายุมากแล้วสายตามันก็ยาวตามด้วยน่ะ」
「มันคือเส้นผมที่ตกอยู่ภายในฐานของพวกเราค่ะ ลองตรวจสอบดูสิคะ」
「ก็น่าจะเป็นของพวกลูกเรือเราไม่ใช่หรือไง? 」
「ไม่ค่ะ มันเป็นเส้นผมยาวตรงสีดำสนิท ฉันมั่นใจว่าเจ้าของเส้นผมดังกล่าวไม่ได้เป็นหนึ่งในลูกเรือของเราแน่ค่ะ…นอกจากนี้มันก็ไม่ใช่เส้นผมของสัตว์ด้วย..มันคือเส้นผมมนุษย์ค่ะ」
ทุกคนที่ได้ยินถึงกับตัวสั่น
「เห็นไหมฉันบอกแล้วว่าถ้ารอช้า เดี๋ยวได้ถูกประเทศอื่นคาบไปกินก่อนแน่」
โมอาร์วิ่งเข้ามาบ่น แต่ทางมาร์โจลีนก็ส่ายหน้าไปมา
ไม่ใช่ค่ะ…เส้นผมสีดำดังกล่าวไม่ตรงกับลักษณะของคนในทวีปหลัก หรือประเทศใดๆ ในแถบที่พวกตนรู้จักมาก่อนเลย พอเธออธิบายเรื่องพวกนี้ให้ทุกคนฟัง ทุกคนก็เงียบลงกันหมด
「สิ่งเดียวที่เราได้ข้อมูลจากมันก็คือนี่ไม่ใช่ฝีมือของวิญญาณร้าย แต่เป็นมนุษย์ที่อาศัยในทวีปนี้ค่ะ」
คลาร่าและลูกเรือคนอื่นต่างก็สั่นสะท้านกับเรื่องที่คาดไม่ถึง
ทันทีที่ทราบถึงเรื่องนี้ พลเรือเอกฌองก็แจ้งกับพลสื่อสารอย่างรวดเร็ว
「ส่งโทรเลขไปยังจักรวรรดิ และบอกว่ามีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ที่นี่」
「แต่ว่าคลื่นช่วงกลางวันคงจะไม่สามารถส่งได้ทัน..」
「ให้ตายสิ! งั้นก็รีบเอานกทะเลส่งตัวอย่างเส้นผมนี้กลับไปพร้อมจดหมายซะ」
「เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถึงจะใช้นกที่เร็วที่สุด แต่จะให้เดินทางด้วยระยะไกลขนาดนี้มันก็」
「ข้าไม่สนว่ามันจะทำได้ไหม แต่รีบหาทางอะไรสักอย่างซะ! ทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน!」
「น้อมรับบัญชา(Je suis à vas ordres)」
「ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย อย่าลืมเตรียมอาวุธของทุกท่านให้พร้อม กองเรือเตรียมปืนใหญ่ เป้าหมายการเล็งคือชายฝั่ง รีบดำเนินการกันให้เร็วที่สุดนอกจากนี้คงไม่จำเป็นต้องใช้คทากับคู่ต่อสู้ที่เป็นมนุษย์ด้วย」
พลเรือเอกฌองได้วางมือของตนไปยังปืนที่อยู่บริเวณเอวของเขาที่มีเสื้อโค้ตคลุมอยู่อย่างระมัดระวัง
「พวกเราคือกองเรืออันคงกระพันที่เด็กได้ยินยังต้องหยุดร้อง ไม่ว่าจะเป็นการรบบนบกหรือทะเลพวกเราก็ไม่หวั่น!」
——-
Note 1 : ตัวตึงทวีปใหม่มาแล้วแน่ๆ พลังขนาดทำลายวงเวท แถมไม่ทิ้งร่องรอยศาสตร์แห่งเทพ น่าจะเป็นผู้ใช้พลังแบบอื่นไปเลยมั้ง พอนึกถึงแนวชนพื้นเมืองภาพในหัวก็เป็นแนวชาแมนไปเลยแฮะ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟครับผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
MANGA DISCUSSION