Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 106
ตอนที่ 106 โรงงานผลิตต่างโลกที่ไม่ใช้สูตรโกง
ในวันเดียวกันกับที่พลเรือเอกฌองออกเรือ ฟาร์มาและกองทัพเรือจักรวรรดิก็ได้ทำการสื่อสารและตอบกลับผ่านรหัสมอร์สเป็นครั้งแรก
โดยรายละเอียดของการใช้รหัสมอร์สนั้นก็เกิดขึ้นมาจาก เจ้าหน้าที่วิทยุที่ทำหน้าที่ในการรับสารของทั้งสองฝ่ายยังเป็นมือใหม่ จึงอาจจะเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการสื่อสารขึ้นมาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องคิดวิธีติดต่อแบบสมัยเก่าเข้ามาช่วยเหลือด้วยเพื่อลดความผิดพลาดฟาร์มาได้ทำการเจาะกระดาษสร้างเป็นจุดเส้นและจุดขึ้นมา ก่อนจะใช้แป้นไฟฟ้าเพื่อทำการส่งสัญญาณเป็นอุปกรณ์แบบกึ่งอัตโนมัติที่สามารถส่งวลีซึ่งเตรียมไว้แบบตายตัว ผ่านกระดาษที่เจาะก่อนหน้านี้ ผลที่ได้ออกมาก็คือว่าปลอดภัยและได้ผลพอสมควร
และนี่คือรายงานที่ได้มาจากเรือ
「16.00 น. พวกเราได้ผ่านช่องแคบกิบเบิล โดยแล่นผ่านด้วยความเร็วสูงสุดจากชายฝั่งของแซงต์เฟลิฟไปทางทิศตะวันตก แรงลมที่พัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้มีกำลัง 3 ความกดอากาศ อยู่ที่ 1013 hF (แฮชเฟลิฟ) อุณหภูมิทั่วไป 25 องศา สภาพกองเรือและผู้โดยสารยังปกติดี 」
ฟาร์มาได้รับข้อความนี้มา
แม้ว่าความไวของคลื่นในการส่งสารจะยังไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ผ่านการประเมินประสิทธิภาพขั้นต่ำของการสื่อสารระยะไกล
นอกจากนี้ ดูแล้วหากพวกเขาไกลจากมาร์เชลไปเรื่อยๆ ความยากในการรับสารน่าจะสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ฟาร์มาก็ได้ทำการบินขึ้นไปเหนือท้องฟ้าของมาร์เชลเพื่อดูสภาพก้อนเมฆก่อนจะนำมันไปแจ้งให้กับกองเรือได้ทราบถึงความเป็นไปได้ของสภาพอากาศ หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะทำแบบวันเว้นวัน
เมื่อเขาร่อนกลับลงมา ฟาร์มาก็ทำการถอดเสื้อโค้ตและถึงเวลาได้พักหายใจเสียที ทางลอตเต้ที่กำลังรออยู่ก็ทักขึ้น
「ท่านฟาร์มาคะ ดูเหมือนผมของท่านจะแข็งไปหมดเลยนะคะ กระทั่งขนตาก็ด้วย」
「อ้อ จริงด้วย」
ลอตเต้ค่อยๆ นำเศษน้ำแข็งออกมาจากผมของฟาร์มาอย่างแข็งขัน
แต่ระยะห่างของทั้งคู่ที่ใกล้เข้ามาขนาดนี้ก็ทำให้ทั้งสองเขินอายไปด้วยเช่นเดียวกัน
「แค่เห็นฉันก็พอจะเอาได้อยู่ แต่ว่าท่านบินขึ้นไปบนท้องฟ้ามาสินะคะ 」
「……ก็สักพักเลย」
ถึงแม้ว่าจะเป็นการบินขึ้นไปเพียงไม่นานนัก แต่อุณหภูมิข้างบนที่สภาพต่ำกว่า -50องศา มันก็เพียงพอจะทำให้ร่างของเขาถูกน้ำแข็งเกาะได้
「ฟุฟุ ว่าแล้วเชียว ตอนที่ฉันบินขึ้นไปกับท่านฟาร์มา ก็ทำเอาผมของฉันแข็งตลอดเลยด้วย」
「มันเป็นเรื่องธรรมดาหากเราผ่านก้อนเมฆน่ะ」
「ก็ขอให้ท่านระวังอย่าเป็นหวัดแล้วกันนะคะ จะว่าไปข้างบนเกิดอะไรขึ้นบ้างเหรอคะ」
「จากที่เห็นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แล้วก็หวังว่าจะมีแดดบ้าง」
「หวังว่าเหรอคะ? หรือก็คือท่านทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดแดดขึ้นใช่ไหมคะ? ท่านทำการใช้วงเวทเหรอคะ? 」
เพราะคำพูดของฟาร์มาไปกระตุ้นความอยากรู้ของลอตเต้เข้า สิ่งที่เขาทำตอนอยู่ด้านบนนั้นก็คือการใช้แรงกดอากาศเข้าช่วยเหลือสถานการณ์ด้านล่าง
ฟาร์มาได้ทำการใช้ความสามารถการสร้างสสารในการสร้างความกดอากาศจากบนท้องฟ้า ทำให้อากาศขยายตัวขึ้นและเกิดความกดอากาศที่สูงขึ้น เพื่อให้กองเรือของพลเรือเอกฌองสามารถเดินทางได้อย่างราบรื่น นี่ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือคลาร่า แต่มันเป็นการช่วยเหลือลูกเรือทุกคน พอฟาร์มาจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ เขาก็แอบกลับมาคิดว่าตัวเองดูแลพวกเขามากเกินไปไหมนะ
「แล้วถ้าทำแบบนั้น มันจะไม่ทำให้บางที่ฝนตกเอาเหรอคะ? 」
「มันก็ทำให้ที่อื่นฝนตกแทนเหมือนที่บอกแหละ แอบรู้สึกอยากขอโทษคนที่ได้รับผลแทนเลย」
เพราะหากมีพื้นที่หนึ่งเกิดความกดอากาศที่สูง อีกพื้นที่หนึ่งก็จะเกิดความกดอากาศที่ต่ำแทน
ลอตเต้เหมือนจะจำความรู้ในส่วนนี้ได้จึงถามฟาร์มา
「คุณคลาร่าจะหลับหรือยังนะ…」
「นั่นสิ」
ฟาร์มาแหงนมองบนท้องฟ้า ก่อนจะภาวนาให้คลาร่าสามารถปรับตัวเข้ากับเรือได้ โดยสิ่งที่เขาให้ไปเผื่อก็คือยาแก้เมา
「ผู้ที่มีอาการเมาเรือก็อาจจะอาเจียนมากกว่าหลายสิบครั้ง ทางที่ดีที่สุดก็คือคงเป็นการสร้างเรือที่ไม่โคลงเคลงขึ้นมาได้แหละนะ」
「ไม่จริงน่า แบบนี้ก็แย่เลย แต่ว่ายาแก้เมาเรือที่ท่านฟาร์มาให้ไปคงจะช่วยได้สินะคะ? อึก จะว่าไปทางฉันก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีด้วยแล้วสิ……」
ลอตเต้เอามือปิดปากของตัวเองไว้ก่อนจะพูด
จากนั้นฟาร์มาก็เอามือไปลูบหลังของลอตเต้
「เดี๋ยว ลอตเต้เกิดอะไรขึ้นเหรอ? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? 」
「ดูเหมือนฉันจะกินมื้อค่ำมากเกินไปหน่อยค่ะ หากเป็นคุณคลาร่าที่อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับฉันตอนนี้ตลอดเวลา แค่คิดก็เจ็บปวดแทนแล้วสิ」
「ก็นึกว่าป่วยอะไรเสียอีก อย่าทำให้สับสนสิ….」
「ขอแค่ออกไปรับลมสักหน่อยก็ดีจะดีขึ้นแล้วค่ะ」
จากนั้นทั้งสองก็ปืนระเบียงขึ้นไปบนหลังคา
แล้วก็ใช้ผ้าห่มผืนเดียวกันห่มร่างพวกตนไว้ก่อนจะนั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนสองต่อสอง
「ว้าว ดาวคืนนี้สวยจังเลยนะคะ นี่ต้องเป็นเพราะท่านฟาร์มาช่วยปัดเป่าเมฆออกไปให้แน่ๆ เลยค่ะ」
「เดี๋ยวนะ ผมนึกได้แล้วว่ามีอะไรดีๆ ให้คุณดูด้วย」
ว่าแล้วฟาร์มาก็หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่เขาสะพายอยู่
「นี่คือกล้องโทรทรรศน์น่ะ」
「เอ๋ ท่านทำขึ้นมาเองเหรอคะ? 」
「อื้ม ถึงจะแค่บังเอิญก็เถอะ…」
มันทำมาจากก้นของแก้วที่ถูกเจาะออกไปและสร้างเลนส์รวมขึ้นมาจากแว่นที่ใช้ในการอ่านหนังสือ การสร้างอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสายตาและการมองเห็น ตั้งแต่กล้องถ่ายรูปไปจนถึงกล้องจุลทรรศน์ ทั้งหมดที่ผ่านมาก็ถือเป็นงานอดิเรกส่วนตัวของเขาเองทั้งสิ้น
「บนดวงจันทร์มันมีลวดลายด้วยเหรอคะเนี่ย?!」
ทุกอย่างที่เห็นผ่านกล้อง ช่างแตกต่างกับการมองด้วยตาเปล่า ดวงจันทร์ของโลกใบนี้ก็มีหลุมอุกกาบาตไม่ต่างกับโลกเดิม สำหรับตัวลอตเต้แล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์ที่สุดพิเศษของวันเลย จากนั้นทั้งสองก็ได้เพลิดเพลินกับการดูดาวไปอีกสักพัก โดยร่างของทั้งสองยังคลอเคลียติดกันไม่ห่างไปไหน
วันต่อมา อดัมก็ได้นำทางฟาร์มา ปาลเล่และบลานช์ไปยังทุ่งสมุนไพรของมาร์เชลเพื่อตรวจสอบสภาพโดยรอบ ทางบลานช์ที่ตามมาได้ก็ขอให้ฟาร์มาที่มีตารางงานแน่น ซึ่งกำลังเยี่ยมเยียนเหล่าเกษตรและพ่อค้าสมุนไพรหยุดพักสักหน่อย
「นี่ หนูขอเวลากินของว่าสักพักไม่ได้เหรอคะ」
「ไปกันต่ออีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวก็ถึงเวลาพักแล้วด้วย」
「ถ้าเธอเบื่อก็กลับไปรอที่คฤหาสน์ก่อนสิ」
「หนูกลับคนเดียวได้ที่ไหนกันคะ」
ฟาร์มาพยายามปลอบเธอ ส่วนปาลเล่ก็ตอบรับด้วยคำพูดที่เย็นชา จนทำให้บลานช์หายใจไม่ค่อยทั่วท้อง
「ไว้พวกเราค่อยกลับมาตรวจสอบพรุ่งนี้กับมะรืนนี้ก็ได้นี่คะ ไม่เห็นจะต้องรีบขนาดนี้เลย」
「ไม่ได้หรอก เพราะพี่ต้องกลับเมืองหลวงเร็วๆ นี้ด้วย ไม่งั้นเอเลนคงรับภาระหนักแย่」
「มู่ー」
บลานช์ทำแก้มป่อง บางทีอาจจะเป็นเพราะชื่อของเอเลน เลยทำให้เธอยอมอดทนลดความเห็นแก่ตัวลงบ้าง
ในขณะที่ฟาร์มาออกมานอกเมืองหลวง เอเลนและแพทย์โอสถคนอื่นก็ต้องรับภาระในส่วนของเขาแทน
ปัจจุบันมีเพียงร้านขายยาต่างโลกแห่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจ่ายยาพิเศษ ซึ่งจำเป็นต้องได้ใบสั่งยาเฉพาะเท่านั้นถึงจะทำการซื้อยาดังกล่าวได้
ก็จริงอยู้ว่าที่มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิก็เริ่มมีการศึกษาเรียนรู้ถึงการใช้ยาแผนปัจจุบันขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ใช่ว่าความรู้พวกนั้นจะสามารถนำมาปรับใช้กับภาคสนามได้ในทันที จึงทำให้มีเพียงร้านขายยาต่างโลกเท่านั้นที่จ่ายยาเหล่านี้ได้ตามเหมาะสม
หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็มีเพียงแค่ฟาร์มาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถพิจารณาตรวจสอบใบสั่งยาได้อย่างเหมาะสมที่สุด
เอ็มเมอริคกับปาลเล่ถึงจะมีความรู้เกี่ยวกับยาแผนปัจจุบันพอสมควรแล้ว แต่ประสบการณ์จริงพวกเขาก็ยังขาดไปบ้าง ส่วนเอเลนถึงจะมีประสบการณ์หน้างานเยอะ แต่ความเข้าใจในด้านเภสัชวิทยาและเคมีฟิสิกส์ก็ยังขาดไปอยู่บ้าง
ก็หมายความว่า จนกว่าเหล่านักเรียนจากสาขาโอสถศาสตร์ของมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิจะจบการศึกษาและทำการสอบเอาใบประกอบแพทย์โอสถ ความสามารถในการจ่ายยาให้ครอบคลุมไปทั่วโลกก็ยังต้องหยุดอยู่ในวงแคบไปก่อน
「ว่าแต่ทำไมท่านพี่เล็กต้องรีบกลับเมืองหลวงด้วยล่ะคะ? 」
「มีเรื่องของผู้ใหญ่ที่พี่จำเป็นต้องจัดการน่ะ」
「ถึงหนูจะเป็นเด็ก แต่ท่านพี่ก็ไม่ได้ต่างกับหนูนักหรอกค่ะ แล้วท่านพี่ไม่ไว้ใจอาจารย์เอเลนเหรอคะ」
「ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจ แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะต้องทำงานทั้งหมดนั้นคนเดียวต่างหาก」
เอเลนสามารถใช้ดวงตาวินิจฉัยได้ จึงทำให้ทักษะในการวินิจฉัยโรคของเธอดีขึ้นมาบ้าง จนทำให้ฟาร์มาไม่จำเป็นต้องปิดร้านขายยาแม้เขาจะไม่อยู่ที่เมืองหลวง แต่ข้อจำกัดในการรักษาโรคของเอเลนนั้นก็ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมดเสียหน่อย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องรีบกลับไปเมืองหลวง
「ที่จริงบลานช์ ก็ควรจะไปรายงานผลการตรวจสอบส่วนตัวของน้องให้กับเอเลนรู้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? 」
「อึก..เข้าใจแล้วค่ะ」
บลานช์มักจะติดตามเอเลน ซึ่งเป็นอาจารย์ของเธออยู่เสมอ แต่คราวนี้เอเลนมอบการบ้านให้เธอไปทำการตรวจสอบพื้นที่พร้อมกับฟาร์มา และศึกษาข้อมูลจากพวกเกษตรกรไร่สมุนไพร พร้อมกับตรวจสอบการเติบโตของสมุนไพร
สิ่งที่บลานช์เรียนอยู่ในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากที่เธอตรวจสอบสมุนไพรทั้งหมดเสร็จและบันทึกมันลงในสมุดภาพของเธอแล้ว งานของเธอก็หมดแล้ว ดูท่าเอเลนจะให้เวลาเธอเยอะเกินไปสำหรับการทำรายงาน ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็เลยอยากจะเพิ่มงานให้กับเธอสักหน่อย
「จริงสิ บลานช์ ช่วยทำให้ฝนตกที่ทุ่งนี้หน่อย หากพื้นที่นี้ชุ่มชื้นกว่านี้น่าจะดี」
「เข้าใจแล้วค่ะ “สายฝนーจงตกー”」
「หา! ไอ้บทร่ายเมื่อกี้มันอะไรน่ะ นี่ตั้งใจจะใช้มนตร์จริงไหมเนี่ย? 」
ปาลเล่พุ่งเข้าหาบลานช์ที่กำลังคือคทาอยู่ด้วยความรวดเร็ว
คทาแห่งเทพของบลานช์ ได้ดึงหยดน้ำออกมาจากชั้นบรรยากาศตามความประสงค์ของเธอ และทำให้เกิดฝนตกขึ้นมาระดับหนึ่ง ถึงบทร่ายมันจะแปลกๆ ไปบ้าง แต่ผลลัพธ์ก็ตรงกับที่ฟาร์มาต้องการ
「ฝนกำลังตก! นี่มันทำให้ฝนตกได้จริงเหรอ!」
กรามของปาลเล่แทบจะร่วงออกมาเมื่อเห็นว่ามันได้ผล ทางฟาร์มาก็อธิบาย
「มันไม่สำคัญหรอกครับว่าจะร่ายแบบไหน ขอแค่ผลที่ออกมามันตรงตามภาพที่ผู้ร่ายต้องการก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วครับ ผมก็เคยบอกท่านพี่ไปแล้วไงว่าอย่าไปสนใจบทร่ายอะไรมันนักเลย」
「นี่เอาจริงเหรอเนี่ย…แล้วถ้ามันเกิดหลุดการควบคุมขึ้นมาล่ะจะทำยังไง」
「อันที่จริง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะครับท่านพี่ หากเราฝึกฝนมันมากพอ กระทั่งการไร้ร่ายก็ด้วย」
นี่คือความลับของโลกอันใหม่ที่อยู่ๆ ก็ถูกเปิดเผยออกมาแบบง่ายๆ
「ถามจริง! ไอ้แบบนี้ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพไม่โกรธกันตายเลยหรือไง! นายจะบอกว่าการฝึกร่ายมนตร์มันไร้ประโยชน์งั้นสินะ…แล้วไอ้ฉันที่ฝึกมันแทบตายทุกวันนี่เพื่ออะไรกัน…ให้ตายสิ ไม่เคยคิดจะฝึกใช้มนตร์แบบไร้ร่ายมาก่อนซะด้วย」
「หากมองในจุดที่มนุษย์สามารถร่ายมนตร์เป็นภาษาประเทศตัวเองได้ การจะร่ายมนตร์ออกมาในรูปแบบที่ตนเข้าใจหรือคลุมเครือไปบ้างก็คงไม่แปลกหรอกครับ」
พอฟาร์มาพูดออกมาแบบนั้น ปาลเล่ก็รู้สึกเหมือนมันพอให้มีเหตุและผลที่ยากจะคัดค้าน
「เรื่องบ้าบอแบบนี้ก็มารู้เอาได้ง่ายๆ เหมือนกันสินะ」
「แต่อย่างน้อยการร่าย ข้อดีของมันก็คือผู้ใช้สามารถควบคุมมันได้ง่ายกว่านะครับ」
「เอาเป็นว่าถอยไปห่างๆหน่อย ไหนๆ ก็รู้แล้วงั้นฉันจะลองใช้มนตร์แบบไร้ร่ายดูสักหน่อยละกัน」
ปาลเล่หยิบคทาของตัวเองออกมาก่อนตั้งท่าต่อสู้ ท่าทางจะอารมณ์ดีแบบแปลกๆ
「” …………” ไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย!」
「ก็บอกแล้วไงครับว่าของแบบนี้มันต้องฝึก」
ฟาร์มาวางมือบนหลังของปาลเล่โดยไม่สนใจคำเตือนของปาลเล่ ก่อนจะทำการเปิดใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุวารีผ่านมือของปาลเล่ จนทำให้เกิดกระแสน้ำวนขึ้นมารอบๆ ตัวเขา
「หา?!」
「ถ้าหากฝึกแล้ว มันก็จะได้ประมาณนี้แหละครับ」
「นายน่ะ หลังจากนี้มาฝึกไร้ร่ายกับฉันซะดีๆ 」
「ถ้ามีเวลานะครับ」
ฟาร์มาที่ได้เดินทางเข้าไปยังหอตำราต้องห้ามของนครศักดิ์สิทธิ์และศึกษาเกี่ยวกับภาพรวมของศาสตร์แห่งเทพ ก็เริ่มคิดได้ว่าการร่ายมนตร์นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อควบคุมศาสตร์แห่งเทพให้ง่ายขึ้น
เพราะการร่ายจะทำให้แนวคิดออกมาเป็นรูปธรรมได้ดีกว่า ซึ่งยังช่วยให้การใช้ศาสตร์แห่งเทพปลอดภัยขึ้นด้วย
นอกจากนี้ก็ทำให้สามารถอธิบายและใช้งานมนตร์ที่มีความซับซ้อนสูงได้จากการร่าย
หากมันล้มเหลว ก็จะไม่สามารถใช้มนตร์ได้ นอกจากนี้อาจจะทำให้มนตร์หลุดการควบคุมได้ด้วย สุดท้ายแล้วก็มีโอกาสที่มนตร์จะออกมาอยู่ดีถึงจะคิดเรื่องอื่นไปด้วย
ดังนั้นการร่ายจึงเหมือนเป็นการจำกัดภาพที่ต้องโฟกัส
จนเกิดเป็นข้อจำกัดที่ว่าศาสตร์แห่งเทพจะไม่สามารถใช้ได้หากไม่มีบทร่าย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่จำเป็นต้องมีบทร่ายก็สามารถใช้ได้
ถึงแม้การใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงจะมีความซับซ้อนและยากหากต้องใช้การไร้ร่าย แต่หากทำมันได้สำเร็จความเป็นไปได้อีกมากมายก็จะเปิดออกมาด้วย
เพราะพื้นฐานของโลกใบนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริงทั้งหมดแต่แรก
ผู้ดูแลสุสานต่างหากคือผู้จัดเตรียมทุกสิ่ง สร้างระเบียบต่างๆ ขึ้นมาบนโลกนี้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบทร่ายหรือเปล่าเทพ
รวมไปถึงลักษณะที่มาจริงๆ ของศาสตร์แห่งเทพด้วย
ฟาร์มาเก็บงำเรื่องพวกนี้เอาไว้ภายในใจ
เพราะหากความจริงทั้งหมดกระจายออกไป เขาเกรงว่าตัวละครทั้งหมดบนโลกใบนี้ “จะหลุดออกจากบท” และถูกทำให้หายไปด้วยตัวตนที่สูงกว่า
「จะว่าไป ท่านพี่เล็กคะ ทั้งที่ร้านขายยาของท่านพี่ก็ไม่ได้ขายของพวกสมุนไพรอะไรมากเลยแท้ๆ แต่ทำไมท่านพี่ถึงสนใจสมุนไพรจังเลยคะ หรือว่าเกิดเปลี่ยนใจอยากจะใช้ขึ้นมาบ้างแล้ว? 」
「เพราะตอนนี้ยาที่ขายในร้านขายยาต่างโลก มันเป็นสิ่งที่ยากในการผลิตภายในโรงงานหรือห้องทดลองน่ะสิ มันจำเป็นต้องใช้ทั้งเวลาและเงินเยอะเลยด้วย」
「อื้อ งั้นเหรอคะ」
อันที่จริง สารประกอบตัวยาทั้งหมดเขาสร้างมันขึ้นมาผ่านการสร้างสสาร แต่บลานช์ที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้ ฟาร์มาก็ปล่อยให้เธอพยักหน้าตามไป
「ดังนั้น หากเราหันมาพึ่งพาธรรมชาติบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร」
「หรือก็คือทั้งนายและศาสตราจารย์แคสเปอร์กำลังพยายามจะสร้างยาต้านแบคทีเรียไม่ก็มะเร็งเหมือนกับตอนแอคติโนมัยทีสิทสินะ」
「ครับ นอกจากนี้ผมก็มองว่าทรัพยากรทางธรรมชาติที่พวกเรามีอยู่มันสร้างความเป็นไปได้ ได้อีกเยอะเลย」
เพื่อจะส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน แทนที่จะพึ่งพาความสามารถในการสร้างสสารของฟาร์มา ฟาร์มาอยากจะให้อุตสาหกรรมยาสามารถพัฒนาต่อไปได้โดยใช้ของที่มีบนโลกใบนี้ นี่คือความต้องการสูงสุดของเขา
อาจจะกล่าวได้ว่าการสร้างโรงงานผลิตที่มาร์เชลขึ้นมา ก็เพื่อผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนดังกล่าวนั่นเอง ปาลเล่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจเจตนาของฟาร์มาเช่นกัน
「ก็แปลว่านายอยากจะใช้วัตถุดิบพวกนี้ในการสังเคราะห์ยาในอนาคตสินะ」
「อื้อーไม่เข้าใจเลยสักนิด」
「งั้นเธอก็ตั้งใจเรียนแสดงท่าทางเหมือนอยากจะเรียนรู้ให้มากกว่านี้หน่อยสิ ยัยน้องโง่คนนี้นี่!」
「โอ๊ยๆ! มาทำกันได้นะคะ! ครั้งนี้หนูไม่ยกโทษให้แน่!」
「โฮ่ เดี๋ยวนี้กล้าขนาดนี้เชียวนะ เอาสิชักคทาของเธอออกมา」
「หนูไม่ยอมจนกว่าท่านพี่จะขอโทษหนูแน่―!」
ปาลเล่และบลานช์กำลังเถียงกันไปมา จนสุดท้ายเหมือนจะกลายเป็นการต่อสู้กันระหว่างสองพี่น้องเขาซะแล้ว ช่วงที่ผ่านมาบลานช์ก็ได้ฝึกฝนและพัฒนาศาสตร์แห่งเทพจนเก่งขึ้นมาพอสมควรด้วย หากปาลเล่ประมาทก็อาจจะจบไม่สวยนัก ดังนั้นฟาร์มาจึงต้องเข้ามาแทรกกลางระหว่างพวกเขา
「ทั้งสองคนหยุดเถียงกันได้แล้ว ดูตรงนั้นสิบลานช์ นั่นคือลานเพาะพืชแห่งใหม่ซึ่งพวกเขากำลังจะทดลองปลูกบีตอยู่ ลองไปดูกันเถอะ」
「บีต…ท่านพี่หมายถึงน้ำตาลเหรอคะ? 」
「ใช่แล้ว น้ำตาล」
บีตรูท หรือชูการ์บีต เป็นพืชที่ปลูกในพื้นที่ที่มีอากาศค่อนข้างเย็น โดยสามารถผลิตน้ำตาลออกมาได้จากการสกัดส่วนรากของมัน ในจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟก็นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย แต่จุดศูนย์กลางของการผลิตก็ต้องที่มาร์เชลนี่แหละ
「แต่น้ำตาลมันไม่ใช่ของทำยานี่คะ」
บลานช์ทำหน้าสงสัย
「ก็จริงอยู่ว่าพี่ตั้งใจจะเอาไปทำน้ำตาล แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นยาได้ด้วยนะ」
「มันเอาไปทำยาได้ด้วยเหรอคะ? 」
「แน่นอนสิ เพราะปกติแล้วเราจะนำรากของมันมาทำน้ำตาลใช่ไหมล่ะ แต่ใบของมันสามารถเอาไปทำยาได้ด้วยนะรู้ไหม」
สิ่งที่ฟาร์มาต้องการในครั้งนี้ก็คือการพยายามดัดแปลงพันธุกรรมของพืชเพื่อใช้ในการผลิตยาด้วย ซึ่งปลายทางของมันก็ไม่ได้มีแค่เพื่อวัตถุประสงค์ทางเภสัชกรรมเท่านั้น แต่มันยังช่วยทำให้ทุกส่วนของพืชสามารถนำมาใช้งานทางเกษตรกรรมได้สูงสุดอีกด้วย
「แล้วน้ำตาลมันจะไม่ไปผสมกับยาเข้าเหรอคะ?!」
「หากเราใช้เฉพาะส่วนลำต้นที่เหนือพื้นขึ้นไปก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ」
「หรือก็คือถ้าหากตัดส่วนบนของบีตรูทออกไปเท่านั้น มันก็ยังสามารถใช้ไปทำยาได้นั่นเองค่ะ คุณหนู」
ชาวนาสาวที่กำลังดูแลพืชอยู่ด้านหลังของพวกเธอ ได้เข้ามาอธิบายให้บลานช์ฟัง
ฟาร์มแห่งนี้อยู่ใกล้กับคฤหาสน์เดอ เมดิซิสของมาร์เชล ซึ่งฟาร์มทั้งหมดในพื้นที่ได้ทำสัญญาการซื้อขายกับร้านขายยาต่างโลกทั้งสิ้น นอกจากนี้จำนวนของเกษตรกรที่เข้าร่วมกับทางร้านก็ยังมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ตรงส่วนนี้ก็มาจากอดัมที่ยื่นข้อเสนอผลกำไรอย่างเหมาะสมด้วยนั่นเอง
บีตรูทนั้นเป็นพืชที่ได้รับการอนุมัติให้มีการตัดต่อทางพันธุกรรมภายในประเทศญี่ปุ่น แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นความสามารถในด้านพันธุวิศวกรรมของฟาร์มาคนเดียว มันก็ไม่ได้เพียงพอจะทำให้ลำต้นด้านบนของมันกลายเป็นยาได้อย่างสมบูรณ์ มันจำเป็นต้องผ่านวิธีการพิเศษอีกมากเพื่อให้ได้ยามา
ตรงจุดนี้มันก็จะตกเป็นหน้าที่ของโรงงานผลิตมาร์เชลที่มีหน้าที่กลั่นตัวยาออกมาจากใบหลังการเก็บเกี่ยว
ก็จริงอยู่ว่ามูลค่าของมันสูงในฐานะยาและเสี่ยงที่จะโดนขโมย แต่กรณีนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
เพราะว่าหากไม่ใช่วิธีกลั่นสูตรพิเศษ สิ่งที่ออกมาก็จะเหลือเพียงน้ำตาลเท่านั้น
เกษตรกรที่สามารถขายมันเป็นวัตถุดิบสำหรับทำน้ำตาล หากพวกเขาสามารถขายส่วนใบที่พวกเขาควรจะทิ้งไปแล้วด้วยได้มีหรือพวกเขาจะปฏิเสธ เพราะมันคือกำไรที่มากขึ้นกว่าเดิม ก็จริงอยู่ว่า มีชาวพื้นเมืองที่กินใบของมันไปทั้งแบบนั้นเลย แต่ผลที่ได้ก็ใช่จะดีอะไรนัก มันจึงไม่เป็นที่นิยมกันในจักรวรรดิ สุดท้ายพอผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน พวกเกษตรก็เลยตัดสินใจเพิ่มจำนวนการเพาะปลูกขึ้นอย่างขันแข็ง แต่ทางบลานช์ก็เหมือนจะสงสัยไม่หาย
「แล้วท่านพี่จะเอาใบของมันไปทำอะไรเหรอคะ? 」
「มันสามารถเอาไปทำเป็นวัคซีนแก้ไวรัสตับอักเสบบีกับไข้หวัดใหญ่ได้น่ะ」
「ทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอคะ!」
「แต่ก็ยังเป็นแค่แผนนะ ไม่รู้ว่าจะได้ผลจริงไหม」
วีคซีนนั้นสามารถผลิตออกมาได้ในหลายวิธีการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเพาะเลี้ยงเซลล์ เพาะไข่ไก่ ยีสต์และอื่นๆ
แต่การจะเพาะไข่ไก่ก็ต้องใช้เวลากว่า 1 ปี การเพาะเลี้ยงเซลล์ของสัตว์ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงและเวลาที่นาน นอกจากนี้ถึงจะใช้ยีสต์ที่เป็นเชื้อราซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงนัก แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการดูแล แม้ฟาร์มาอยากจะลงพื้นที่ด้วยตัวเอง แต่เพราะความสามารถติดตัวอย่าง อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถทำลายแบคทีเรียออกไปเสียหมดก็เป็นปัญหา
กระทั่งแอคติโนมันทีสีท ฟาร์มาก็ไม่สามารถเพาะมันขึ้นมาเองได้ จึงต้องมอบความไว้วางใจให้กับศาสตราจารย์แคสเปอร์แทน
ฟาร์มาก็เลยได้ไอเดียในการหาพืชทางการเกษตรมาทำยาขึ้น
หากเป็นวิธีนี้ฟาร์มาก็จะสามารถมีส่วนร่วมได้โดยไม่ต้องกังวลว่าผลของพวกมันจะถูกพลังของเขาชำระล้างออกไป
「แล้วเรื่องการจัดการกับพืชอย่างอื่นที่ปะปนเข้ามาระหว่างเก็บเกี่ยวล่ะ」
「ผมสร้างลักษณะพิเศษของพวกมันซึ่งสามารถแยกออกได้ทันทีจากรูปร่างของใบครับ หากมีพวกมันปะปนมาก็จะเห็นได้ทันที」
「วางแผนได้สมบูรณ์แบบเลยนี่」
「จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้ครับ ถึงไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แต่เดี๋ยวผมจะพิจารณาเผื่อไว้แล้วกัน」
「ได้แบบนั้นก็ดี」
จากนั้นพวกเขาก็เดินทางเข้าไปยังภายในโรงงานมาร์เชล
การผลิตภายในโรงงานก็กำลังสร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบ
ผู้จัดการภายในโรงงานอย่างเคียร่า อดีตนักบวชสายเยียวยา ทีโอดอร์ บิลลาร์ด ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลโรงงาน ก็ออกมาต้อนรับฟาร์มา
「ไม่เจอกันนานเลยนะครับ คุณเคียร่า คุณทีโอดอร์」
โรงงานผลิตถูกแบ่งไว้หลาย ส่วนด้วยกัน นี่ก็เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่จะป้อนยาไปยังร้านขายยาทั่วจักรวรรดิ ซึ่งมีจุดหมายสูงสุดที่จ่ายยาไปยังทั่วโลก
ทีโอดอร์นั้นเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนแรก
ทีโอดอร์นักเล่นแร่แปรธาตุซึ่งมีชื่อเสียงจากโนวารูต น้องชายของเซเลส บิลลาร์ด ซึ่งเป็นแพทย์โอสถประจำร้านขายยาต่างโลก ซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุไฟ ก่อนที่เขาจะพบกับฟาร์มเขาได้ประสบความสำเร็จในการกลั่นโลหะขึ้นมาด้วยศาสตร์แห่งเทพ ซึ่งเป็นผลมาจากการสังเคราะห์กรดซัลฟิวริกและกรดไนตริก แม้ความบริสุทธิ์จะต่ำไปบ้าง
ทีโอดอร์นั้นสามารถเรียนข้ามชั้นขึ้นมาได้ด้วยพรสวรรค์ของเขาล้วนๆ จนกลายเป็นประธานนักเรียน ที่เหนือกว่าปาลเล่เสียอีก มันสมองที่สุดยอดและศาสตร์แห่งเทพที่ยอดเยี่ยม จะมีข้อเสียก็เพียงเขามีปัญหาเรื่องการมองเห็นและไวต่อแสง
ตอนที่ฟาร์มาพบกับเขาครั้งแรก ตอนสัมภาษณ์เข้างาน เขาสวมฮู้ดที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ รูปลักษณ์ที่แสดงออกมาก็ไม่เหมือนใคร แต่เมื่อฟาร์มาสังเกตเห็นอาการของเขา จึงได้ทำแว่นกันแดดให้เป็นของขวัญ ซึ่งนั่นมันก็สามารถแก้ปัญหาให้กับเขาได้จริงๆ จนสวมมันไว้เป็นประจำ
จากนั้นฟาร์มาก็ถามฟีโอดอร์ที่กำลังสวมแว่นกันแดดอยู่
「ระบบการผลิตมีความคืบหน้าจากครั้งก่อนขนาดไหนครับ? 」
「ก็เรียกได้ว่าสุดๆ ไปเลยครับ ท่านเจ้าของร้าน」
ผิวสีแทนและแว่นกันแดดที่สวมมันทำให้รู้สึกถึงความดิบเถื่อนหน่อยๆ
ความรู้ของฟาร์มาได้ช่วยเสริมองค์ความรู้และประสบการณ์ภาคสนามได้เป็นอย่างดี สภาพของเขาตอนนี้จึงอยู่ในจุดที่ดีเยี่ยม
「ตอนนี้ ผมกำลังทำการเลือกส่วนที่ช่วยในการรักษาความปลอดภัยของตัวทำละลายและสารตั้งต้นครับ จากคำแนะนำของท่านมันช่วยทำให้ผมได้เข้าใจถึงคำตอบของการสังเคราะห์ที่ติดอยู่ภายในหัวมานานมากแล้ว ขอบพระคุณมากจริงๆ ครับ」
「ก็อย่าหักโหมมากเกินไปนะครับ ถ้าเป็นไปได้ก็ใช้รูปแบบการสังเคราะห์จากศาสตร์แห่งเทพด้วย จะช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้อีกเยอะเลย」
「แต่การสังเคราะห์โดยปราศจากการใช้ศาสตร์แห่งเทพมันน่าสนใจกว่านะครับ」
「ก็สมกับเป็นนักวิชาการเลยนะครับ การใช้จิ๊กซอว์ส่วนเล็กๆ ค่อยๆ ต่อขึ้นมาเป็นภาพใหญ่มันก็น่าสนุกจริงๆ นั่นแหละ」
สิ่งแรกที่ฟาร์มาสั่งให้พวกเขาผลิตขึ้นมาก็คือเอทานอล
นอกจากจะใช้กันอย่างแพร่หลายในฐานะสารฆ่าเชื้อโรคแล้ว มันยังสามารถใช้ในการเป็นตัวทำละลายสารอินทรีย์ได้อีกด้วย ซึ่งแหล่งกำเนิดของมันก็ได้มาจากการรวบรวมชีวมวลอย่าง ฟางข้าวสาลี เศษไม้ วีชพืชและขยะต่างๆ ที่ผ่านการหมักและกลั่นซ้ำๆ เมื่อทำให้มันบริสุทธิ์แล้ว เพนเทนก็จะถูกเติมลงในอะซี’โอโพรพเพื่อเพิ่มความบริสุทธิ์ของมันเข้าไปอีก
ซึ่งจากที่เห็นผลลัพธ์ก็ดูเหมือนจะไม่ยากเย็นนัก
ต่อมาก็จะเป็นเมทานอลซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวทำละลายสารอินทรีย์ที่สำคัญเช่นเดียวกัน โดยมันสามารถเอาไปใช้เป็นสารประกอบฟอร์มาลินได้อีกด้วย ทีโอดอร์จึงต้องไปทำการซื้อวัสดุมาเพื่อสร้างถ่าน และใช้มันในการสร้างน้ำส้มควันไม้หรือกรดไพโรลิกเนียส แต่การเผาไหม้ดังกล่าวนั้นมันก็เป็นพิษกับร่างกายเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันความปลอดภัย
และจากเอทานอลที่มีอยู่ เป้าหมายถัดไปของเขาก็คือการผลิตไดเอทิลอีเทอร์ซึ่งผ่านกระบวนการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ซึ่งไดเอทิลอีเทอร์มีคุณค่าสูงในวงการอุตสาหกรรมในฐานะตัวทำละลายสารอินทรีย์ และยาสลบสำหรับการผ่าตัดอีกด้วย เนื่องจากมันมีความไวต่อไฟจึงจำเป็นต้องควบคุมการผลิตโดยเลี่ยงการเกิดประกายไฟให้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงหากตั้งใจจะใช้ไดเอทิลอีเทอร์เป็นเชื้อเพลิงมันก็ทำได้อยู่ ทีโอดอร์คิดแล้วก็อดขำไม่ได้ระหว่างที่เขากำลังศึกษาในการคิดจะนำมันไปใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงจริงๆ
「จากคำแนะนำที่ท่านให้มา ในที่สุดพวกเราก็สามารถสังเคราะห์แอมโมเนียขึ้นมาได้แล้วครับ」
วิธีของแฟรงก์ คาโรได้ผลสินะ)
ฟาร์มาคิด…แอมโมเนียนั้นสามารถใช้เป็นตัวทำปฏิกิริยาของไนโตรเจนเหลวสำหรับการสังเคราะห์สารอินทรีย์ได้
「ยังไงก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ การความสำเร็จครั้งนี้ จากนี้ไปพวกเราก็จะเริ่มก้าวหน้ากันต่ออย่างมั่นคงแล้ว」
「เพราะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเพิ่มความร้อนเพื่อสร้างคาร์ไบด์จากปูนขาวและคาร์บอน หากผมไม่จ้างผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุไฟระดับสูงมาเพิ่มก็ไม่น่าจะไหวครับ」
「เพราะความร้อนที่มันต้องการก็มากถึง 2000 องศาเลยนี่ครับ หากได้ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพเข้ามาช่วยก็น่าจะแก้ปัญหาส่วนนี้ได้ดี หากจำเป็นก็ลองไปขอความร่วมมือจากทางคนของคุณเมโลดี้ดูได้นะครับ」
(หากเป็นวิธีนี้คงจะประหยัดพลังงานมากกว่าวิธีอย่างกระบวนการฮาเบอร์หรือเบิร์กแลนด์ อายด์ซึ่งมีความยุ่งยากมากกว่า)
「จะว่าไปผมก็มีเรื่องอยากจะถามด้วย สารประกอบพวกนี้ตอนเผาไหม้มันมีกลิ่นเหมือนกับเกลือภูเขาไฟในเขตมาร์เชลตอนถูกทำให้ร้อนเลยนะครับ」
「เกลือภูเขาไฟเหรอครับ? 」
(น่าจะมาจาก แอมโมเนียมคลอไรด์ นี่พวกเขาเคยลองเผามันดูแล้วเหรอ? )
การสังเคราะห์แอมโมเนียนั้นมันก็มีอยู่หลายวิธีการด้วยกัน ไม่ว่าวิธีการใดก็สามารถได้สารแอมโมเนียมาทั้งสิ้น แต่ความแตกต่างของมันนั้นจะอยู่ตรงที่ความบริสุทธิ์ของแอมโมเนียแและต้นทุนในการสังเคราะห์ เพื่อจะให้มันสามารถใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตได้เป็นจำนวนมาก พวกเขาก็คงจำเป็นต้องตรวจสอบและหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
「ยังไงเดี๋ยว พวกเราจะให้ท่านทดสอบความบริสุทธิ์ของมันดูนะครับ」
「หากมีตัวอย่างก็เอามาให้ดูได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะลองตรวจสอบดูด้วยศาสตร์แห่งเทพเอง」
「งั้นก็ช่วยจัดการเรื่องเบนซินที่ใช้เป็นตัวกลางในการทำปฏิกิริยาด้วยเลยแล้วกันนะครับ!」
「จะว่าไป….นี่คุณทำงานล่วงเวลาใช่ไหมครับ」
「ตั้งแต่วันก่อนก็ยังไม่ได้นอนเลยครับ!」
「งั้นก็รบกวนไปนอนก่อนเถอะครับ」
ฟาร์มาบ่นกับทีโอดอร์ที่เหมือนอยากจะอวดว่าตนทำงานหามรุ่งหามค่ำขนาดไหน
「หากเรานอนไม่พอมันจะเป็นอะไรเหรอครับ? 」
「ก็จะตายเพราะทำงานหนักไงครับ」
「ไม่จริงน่า!」
ฟาร์มาพยายามจะโน้มน้าวใจของทีโอดอร์แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี
(ให้ตายสิ ถ้าเขาเรียนรู้จากพี่สาวอย่างคุณเซเลสที่กลับบ้านตรงเวลาตลอดก็คงดี พี่น้องสองคนนี้มันขั้วตรงข้ามกันจริงๆ )
「คุณเคียร่าครับ ยังไงก็ช่วยจัดการตารางการทำงานของคุณทีโอดอร์ให้เหมาะสมด้วยนะครับ นอกจากนี้ก็ช่วยหานักเล่นแร่แปรธาตุเข้ามาเพิ่มด้วย」
「รับทราบแล้วค่ะ」
「แต่ว่า ผมอยากทำงานอยู่นี่นา」
「ไม่ได้ครับ ตั้งแต่วันนี้ไป ชั่วโมงการทำงานสูงสุดของคุณจะอยู่ที่ 10 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น」
「แค่นั้นจะไปพออะไรครับ นี่มันมากเกินไปแล้ว! คอยดูเถอะเดี๋ยวผมจะแอบย่องเข้ามาก็ได้!」
「เป็นไปได้ก็อย่าทำแบบนั้นเลยครับ!」
ฟาร์มาบังคับให้ทีโอดอร์ที่พยายามจะฝืนทำงานต่อขึ้นรถม้ากลับบ้านไป ระหว่างที่มองรถม้าจากไป เคียร่าก็พูดออกมาในสภาพเหงื่อตกว่า 「การทำงานมากเกินไปก็ทำให้แย่ได้สินะคะ」
(ของพวกนี้หากไม่เคยตายเพราะมันมาก่อนก็คงไม่รู้หรอก ที่ผ่านมาเพราะวัยของเรายังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ร่างกายเลยยังไม่เป็นไรเฉยๆ เท่านั้นเอง)
ยาคุทานิที่ตายจากการทำงานหนักเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ได้ดี
「ส่วนเรื่องพืชชนิดอื่นที่นำมาใช้ เดี๋ยวค่อยรายงานต่อกันทีหลังนะครับ วันนี้เวลาผมไม่เหลือมากด้วย ดังนั้นเอาเป็นเรื่องปัญหาหลักในโรงงานตอนนี้มีอะไรบ้างครับ? 」
「ถ้าเป็นเรื่องนั้นตอนนี้เรามีชีวมวลไม่เพียงพอค่ะ」
「งั้นเหรอครับ ก็แปลว่าจำนวนของเกษตรกรที่มาขายฟางให้กับทางเราไม่ค่อยมีสินะครับ จะให้ไปดึงมาจากเขตอื่นก็มีปัญหาเรื่องค่าขนส่งด้วยสิ」
หากต้นทุนการผลิตสูงเกินไป งบก็จะขาดดุลและไม่เกิดประโยชน์อะไรในระยะยาว
ถึงตอนนี้จะยังไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะเงินทุนที่ยังมีเหลืออยู่ แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เป็นปัญหาเรื้อรังต่อไปได้
หื้ม…ทั้งฟาร์มาและเคียร่ายืนคิดกันด้วยความกังวล
ทางปาลเล่ที่ยืนฟังอยู่ด้วยกัน ก็พูดออกมาแบบสบายๆ
「งั้นเราก็ไปถางไม้ในป่าแถวนี้มาใช้ให้หมดก็สิ้นเรื่องนี่」
「การทำลายสภาพแวดล้อมจะนำพามาสู่หายนะในเขตแดนนั้นครับ นอกจากนี้ถึงจะตัดไม้ไป แต่พอไม้หมดแล้วจะทำยังไงต่อล่ะครับ」
ข้อเสนอของปาลเล่ถูกปัดตกไป เพราะเขาจำเป็นต้องคำนึงถึงความยั่งยืนในการผลิตเป็นอย่างแรก นอกจากนี้การแก้ปัญหาดังกล่าวมันก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขต้นเหตุของปัญหาเลย
「งั้นเดี๋ยวผมจะไปทำการบ้านเรื่องนี้สักหน่อยแล้วกัน」
「ไม่นะคะ อย่าฝืนเลยค่ะแค่นี้ท่านก็ยุ่งมากพอแล้ว น่าอายจริงๆ ถ้าหากพวกเราสามารถจัดหาวัตถุดิบต่างๆ โดยไม่ต้องรบกวนท่านฟาร์มาได้ก็คงดี….แย่จริงๆ ที่พวกเราขาดความสามารถขนาดนี้…」
เคียร่าไหล่ตกและพูดออกมาด้วยความหดหู่ใจ
จากที่เธอได้ยินมา ปัจจุบันฟาร์มาต้องวิ่งวุ่นทำงานอยู่หลายที่เลย
แม้จะปิดบังไปยังไงคนอื่นก็คงรู้อยู่ดี….ฟาร์มาเข้าใจและตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรโดยไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น
「ไม่ได้เป็นการรบกวนเลยครับ นอกจากนี้หากมีปัญหาอะไรก็เชิญเอามาปรึกษาผมได้เลย มันไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับ นอกจากนี้ถึงผมจะไม่ว่างแต่อย่างน้อยก็ไม่ทำงานหนักเท่าคุณทีโอดอร์หรอกครับ」
「ค่ะ…ยังไงก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ」
พอฟาร์มาออกมาจากโรงงานระหว่างพูดคุยกับเคียร่าไปด้วยนั้นเอง
「ท่านผู้รักษาการช่วยข้าด้วย」
「เมื่อกี้พวกเราไปที่คฤหาสน์ของท่านมา จึงทราบมาว่าท่านอยู่ที่นี่ครับ」
ดูเหมือนว่าชาวบ้านหลายคนจะเข้ามาพบกับอดัม ที่ติดตามฟาร์มามาด้วยเหมือนคนอื่นๆ
พวกเขาเป็นตัวแทนจากหมู่บ้านมาริกน่าซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเขตมาร์เชล พวกเขาบอกว่าตนเดินทางออกมาตั้งแต่ช่วงรุ่งสาง นั่นก็หมายความว่ามันคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่
「แล้วมีเรื่องอะไรกัน? หรือว่าที่นั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น? 」
「ครับ ดังนั้นไปโปรดช่วยฟังคำขอพวกเราด้วย」
「อืมได้สิ งั้นเดี๋ยวเราไปคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวที่คฤหาสน์ก็แล้วกัน」
อดัมให้เชิญคนที่มาขอพบเขาไปยังคฤหาสน์
เนื่องจากฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็มารถม้าคันเดียวกับอดัม ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเดินทางกลับไปด้วยไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
จากนั้นพวกเขาก็เดินทางมาถึงโถงของคฤหาสน์ ฟาร์มาและคนอื่นๆ ก็ได้นั่งร่วมดื่มชาฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทางบลานช์ก็กำลังทานของว่างอยู่และก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว ก็เห็นว่าลอตเต้ไปร่วมวงกับบลานช์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
「คือว่าปีนี้ที่นั่นเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นน่ะครับ」
「จริงสิ จะว่าไปท่านเอิร์ลชิลลอนซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีก็ถูกทางเมืองหลวงมอบหน้าที่ให้ไปประจำการที่นั่นสักพักแล้วนี่นา」
ศาสตร์แห่งเทพนั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่กับการต่อสู้ แต่มันยังสามารถแสดงคุณค่าออกมาได้ผ่านชีวิตประจำวันของชาวบ้านอีกด้วย
ชนชั้นสูงนั้นจะใช้ศาสตร์แห่งเทพธาตุดินในการเพิ่มพืชผลผลิตภายในดินแดน ส่วนธาตุน้ำก็จะดูแลในเรื่องของน้ำฝนและชลประทาน
ซึ่งเขตมาร์เชลนั้นก็มีจะเขตแดนดินอยู่กับเอิร์ลชิลลอนโดยมีเพียงแค่ทะเลสาบกั้นเอาไว้
เอิร์ลชิลลอนนั้นเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่เก่งกาจโดยมีความสามารถในการจัดการกับน้ำและความเป็นอยู่ของชาวบ้านทั้งเขตตนและเขตมาร์เชล เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้พื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งไม่มีการระบายน้ำได้ดีนัก เพื่อการเพาะปลูก จากรายงานที่เขาได้มาดูเหมือนตอนนี้เขาจำเป็นต้องไปประจำการอยู่ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ
(เอิร์ลชิลลอน..ใช่คนที่คลั่งตุ๊กตานั่นหรือเปล่านะ เป็นคนที่รสนิยมหาได้ยากด้วยสิ)
เขาคือคนที่มีอาการของอาร์ไจเรีย ซึ่งฟาร์มาเคยรักษาให้เมื่อหลายปีก่อน
ถึงจะไม่ค่อยเห็นเขาในวังก็เถอะ แต่ก็หวังว่าจะสบายดีอยู่
จากที่ฟาร์มาฟังก็ดูเหมือนว่าท่านเอิร์ลจะคอยช่วยเหลือชาวเมืองมาร์เชลมากพอสมควร
ทำให้เห็นว่าไม่ว่าดินแดนใดก็สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้
และศาสตร์แห่งเทพก็เป็นเครื่องมือที่คอยดูแลชีวิตของผู้คนได้
กับโลกของฟาร์มาที่ประเทศเขากับเพื่อนบ้านมักจะขัดแย้งกันแล้วก็ช่างแตกต่าง
「เนื่องจากท่านผู้แทนดินแดนเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพวารี ซึ่งคุณสมบัติเป็นเชิงบวกจึงไม่สามารถจัดการกับปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นได้ครับ ไร่ของพวกเราจึงถูกน้ำท่วม สำหรับคนที่หากินกับการเพาะปลูกแล้วนี่จึงเป็นการสูญเสียที่หนักหนาจริงๆ 」
「แบบนี้นี่เอง」
「นอกจากนี้ ถึงจะบอกว่าเพราะท่านผู้แทนของท่านชีลลอนเป็นเช่นนั้น แต่สุดท้ายพวกเราก็อยู่คนละเขต การจะไปขอความช่วยเหลือจากทางนั้นหรือกล่าวโทษก็คงจะไม่เหมาะสมด้วย」
「พวกเจ้าทำถูกแล้ว เพราะสุดท้ายนี่ก็คืองานของเขตมาร์เชลและเป็นความผิดพลาดของข้าที่ได้รับมอบหมายมาจากท่านบรูโนเอง」
เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกถูกน้ำท่วมและปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นตั้งแต่ช่วงฤดูหนาว ความเสียหายจากเกลือจึงเพิ่มสูงขึ้นไปด้วยจากเกลือในทะเลสาบน้ำกร่อย
「หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พวกผมคงไม่สามารถปลูกอะไรได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้แน่เลยครับ」
「การแก้ปัญหาขั้นต้น เดี๋ยวทางนี้จะจัดการงดภาษีให้กับเขตนั้นไปก่อนแล้วกัน」
พวกชาวบ้านเขามาขอร้องด้วยความอาลัย
ทางอดัมก็เข้าใจสถานการณ์ดี
「ข้าคงจะพลาดไปจริงๆ ขอโทษด้วยนะที่ต้องให้พวกเจ้าเอาแต่พึ่งพาท่านชิลลอน」
「แค่ท่านช่วยพวกเราก็เป็นพระคุณแล้วครับ ว่าแต่ทางมาร์เชลมีผู้ที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพวารี คุณสมบัติเชิงลบได้อยู่หรือเปล่าครับ」
「น่าเสียดายนะ แต่ลูกน้องที่ข้าดูแลอยู่ก็ไม่มีตรงตามเงื่อนไขด้วยสิ เอาเป็นว่าจนกว่าทางนี้จะจัดหาผู้ที่มีคุณสมบัติเชิงลบได้ ข้าจะให้ยืมพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกที่มีอยู่ก็แล้วกัน ดังนั้นการเพาะปลูกในปีนี้ก็ไปทำตรงที่ที่จัดให้แทนไปก่อน」
「ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ」
「คือว่าถึงจะเป็นคนนอกสำหรับงานนี้ แต่ทำไมเราไม่ลองจัดการมันด้วยกังหันลมสูบน้ำดูล่ะครับ? 」
ฟาร์มาได้เข้ามาแทรกระหว่างการพูดคุยกับพวกชาวบ้าน
「แต่การจะสูบน้ำด้วยกังหันลมขนาดใหญ่ พวกเราก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณในการจ้างคนเยอะเลยนะครับ」
「นอกจากนี้ เราจำเป็นต้องใช้กี่อันกันล่ะ? 」
「ใช่แล้วครับพวกข้าจะไปหางบประมาณมาจากไหนกัน? แล้วหากเริ่มก่อสร้างตอนนี้มันจะเสร็จเอาเมื่อไหร่กันล่ะครับ」
「นอกจากนี้ถึงจะดึงน้ำออกไปได้ แต่เกลือที่เหลือไว้พวกเราจะกำจัดมันได้ยังไงกันล่ะ」
เพราะการลงทุนสำหรับสิ่งปลูกสร้างใหม่จำเป็นต้องดำเนินการโดยชนชั้นสูง ไม่ใช่คนทั่วไปที่อาศัยในดินแดน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สุดท้ายแล้วอดัมก็ต้องไปคนลงทุนให้กับพวกชาวบ้าน พอฟาร์มาได้ยินแบบนี้ก็รู้ตัวว่าเขาคิดน้อยไป
「ก็จริงอยู่ว่าหากเราพยายามปล่อยน้ำจืดลงไปในไร่เรื่อยๆ เกลือก็คงจะออกไปได้หมด แต่เราก็ไม่ได้มีน้ำจืดมากพอจะทำขนาดนั้น」
「นอกจากนี้เราจะไปหาช่างสร้างมาจากไหนได้กันล่ะ」
ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่เหนือการควบคุมของพวกชาวบ้านไปเสียหมด
แต่ฟาร์มาก็จำเป็นต้องช่วยหาทางออกให้พวกเขา เพราะตนได้ยื่นมือเข้ามาร่วมวงในเรื่องนี้แล้ว
「ถ้างั้น ขอผมไปดูสถานการณ์หน้างานได้ไหมครับ? 」
นี่ก็เป็นปีที่สี่แล้วตั้งแต่เข้าใช้ชีวิตมาบนโลกใบนี้
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องปรับปรุงเทคโนโลยีให้ทันสมัยขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้สูตรโกงที่มีอยู่
ก็จริงว่าศาสตร์แห่งเทพมันสะดวกกว่าเป็นไหนๆ จึงไม่แปลกอะไรหากคนจะไปใส่ใจกับศาสตร์แห่งเทพมากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งที่ศาสตร์แห่งเทพก็ทำได้ดีกว่า
ฟาร์มาที่เรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพของโลกนี้ก็เข้าใจดี จนตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วเหมือนกันว่าทำไมคุณสมบัติเชิงลบถึงจำเป็นกับโลกใบนี้เหมือนกัน
「ว่าแต่ ท่านมีคุณสมบัติแบบไหนกัน」
「……จะพูดว่ามีคุณสมบัติเชิงลบก็ได้อยู่หรอกครับ」
พวกชาวบ้านต่างตกตะลึง ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น พวกชาวบ้านก็เตรียมตัวจะลากเขาเดินทางไปด้วยทันที
「โถ่ทำไมไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้ล่ะครับ!」
「อ๊ะ เดี๋ยว ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ครับ」
พอฟาร์มาเดินทางมาถึงยังพื้นที่ที่พวกชาวบ้านนำทางมา ก็เห็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่อยู่เบื้องหน้าของเขา นอกจากตัวเขาแล้วก็มีอดัม ปาลเล่และลอตเต้ติดตามฟาร์มาซึ่งคล้ายกับถูกลักพาตัวมาด้วย
「คือว่า ตรงนี้เคยเป็นทุ่งมาก่อนสินะครับ? 」
「ใช่แล้ว แต่ก็อย่างที่เห็นตอนนี้มันกลายเป็นหนองน้ำที่มีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมดแล้ว」
「แย่เลยสินะครับ」
「ว้าว ดูเหมือนทุ่งพรมสีเขียวเลยนะคะ」
ลอตเต้พูดออกมา เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอมันคือพรมตะไคร่น้ำแกมน้ำเงินที่ปกคลุมทั่วทั้งทุ่งไว้อย่างสวยงาม
「เพราะอากาศที่อบอุ่นขึ้นช่วงเดือนมีนาจึงทำให้ปริมาณของพวกมันมากขึ้น ถึงพวกเราจะใช้แรงงานในการกำจัดออกไปแล้ว แต่ความเร็วของพวกมันก็ทำให้พวกเราต้องยอมแพ้ครับ」
「ลำบากกันน่าดูเลยนะครับ」
「แล้วท่านคิดว่าสามารถช่วยได้หรือเปล่าครับ? 」
「ได้สิครับ แต่ว่าถึงจะสามารถจัดการกับน้ำได้ แต่เจ้าของที่เหลืออยู่นี่สิ」
(จะว่าไปโลกใบนี้จะมีผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่สามารถลบตะไคร่ในน้ำออกไปได้หรือเปล่านะ นอกจากนี้มันจะมีวิธีที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตใต้น้ำไหมด้วยเนี่ยสิ……)
เนื่องจากดินตอนนี้อุดมไปด้วยไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและอินทรียวัตถุจึงทำให้ตะไคร่น้ำเติบโตได้ดี
และถึงเขาจะพูดแบบนั้น ฟาร์มาก็ได้ตักเอาน้ำภายในนั้นขึ้นมาเพื่อทำการทดสอบน้ำ
หากเขาสามารถระบุชนิดของตะไคร่น้ำได้ เขาก็จะสามารถสลายมันออกไปได้ทั้งหมดในคราวเดียว
ถัดจากเขาก็มีลอตเต้ที่เหมือนจะว่างจึงใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตะไคร่น้ำและคัดลอกภาพที่เห็นลงในสมุดร่างของเธอ
ทางชาวบ้านก็เหมือนจะยังไม่ค่อยเชื่อกับท่าทางการกระทำอะไรของฟาร์มามากนัก
「พวกตะไคร่น้ำนี่มันเป็นของไม่ดีเหรอคะ」
「นั่นสินะ…ถ้าจะให้พูดหากเป็นจำพวกสาหร่ายนี่ก็เรียกได้ว่ามีประโยชน์นะ」 (ตะไคร่น้ำอยู่ในจำพวกสาหร่ายเซลล์เดียว)
「แต่ว่าท่านฟาร์มาคะ ตะไคร่พวกนี้ก็สวยมากจริงๆ นะคะ มันเหมือนกับภาพวาดเลย」
「ภาพวาดสินะ….จะว่าไปลอตเต้ไม่ลองสร้างงานศิลป์จากตะไคร่น้ำพวกนี้ดูหน่อยเหรอ? 」
ที่ฟาร์มาพูดออกมานั้นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอะไร เพราะมันมีศิลปะที่สร้างขึ้นมาด้วยตะไคร่น้ำอยู่จริงๆ
มันคือการใช้ตะไคร่น้ำที่แผ่ออกไปเหมือนภาพวาดหรือลวดลายบนกระจก ขนาดโลกของเขาเองมันก็ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ดีชาวยุโรปด้วย ซึ่งเป็นการสร้างงานศิลป์ที่ใช้กล่องจุลทรรศน์ส่องดูอีกที
(แต่จะทำอยู่แค่นี้มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรด้วย)
แต่พอฟาร์มาได้มองดูภาพร่างของลอตเต้ดูอีกที เขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะขอหยิบมันขึ้นมาดูให้ชัดๆ ก่อนจะส่องตะไคร่ในกล้องจุลทรรศน์อีกที
(ไอ้นี่มัน)
พอส่องเสร็จเขาก็หันกลับมาก่อนจะถามชาวบ้านที่นี่
「กรุณาขายพวกมันให้ผมด้วยครับ」
「เอ๋」「ไอ้เนี่ยนะ? 」「จะเอาไปทำอะไรกัน」
ลอตเต้และพวกชาวบ้านต่างก็เปิดปากกว้างด้วยความตกใจ กับท่าที่ที่แสดงออกมาอย่างกะทันหันของฟาร์มา
「ไม่ใช่แค่พวกมันกระจุกเดียวนะครับ แต่ผมจะขอทั้งหมดที่มีเลย」
「นี่ท่านหมายความว่ายังไงกัน? 」
「ของแบบนี้ไม่ควรจะปล่อยทิ้งไว้จริงๆ ครับ หากมีสิ่งนี้ละก็พวกเราก็น่าจะสามารถใช้มันเป็นชีวมวลในการผลิตได้ด้วย」
「ดะ-เดี๋ยวนะ นี่มันยังไงกัน?」
ฟาร์มามีปัญหาบางอย่างมาได้สักพักแล้ว นั่นก็คือมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าน้ำมันอยู่บนโลกใบนี้
น้ำมันที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้เมื่อหลายล้านปีก่อน ก็เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของพวกซากต่างๆ ภายใต้เงื่อนไขอุณหภูมิและความดันที่เหมาะสม
และมันก็ไม่เคยถูกขุดเจอเลยบนโลกนี้
แต่มันก็พอจะทำความเข้าใจได้อยู่ เพราะหากมีขึ้นมาจริงๆ นวัตกรรมบนโลกใบนี้ก็คงจะก้าวกระโดดไปไกลแล้ว
เนื่องจากโลกใบนี้ไม่มีน้ำมันอยู่ ฟาร์มาจึงเลิกสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์พลาสติกไปและหันไปพึ่งพาความสามารถโกงของเขาแทน นอกจากนี้เขายังไม่สามารถผลิตยาสังเคราะห์บางชนิดได้อีกด้วย เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถสร้างปิโตรเลียมเจลลี่ที่จำเป็นต้องใช้ไฮโดรคาร์บอนได้
(ในโลกใบนี้ก็ไม่เคยมีประวัติการพูดถึงมันมาก่อนด้วย)
หลักฐานที่ชัดเจนในข้อสรุปเรื่องนี้ก็คือ
โลกใบนี้ยังไม่มีการขุดค้นและสำรวจยังใต้ดินมากนัก
ถึงเขาจะลองตรวจสอบเอกสารภายในนครศักดิ์สิทธิ์ก็พบเพียงแค่ข้อมูลชั้นดินที่สืบย้อนกลับไปยังอดีตได้เพียงแค่พันปีเท่านั้น
ก็หมายความว่ายังไม่มีการขุดค้นหาฟอสซิลจากชั้นที่ลึกกว่านั้น
ด้วยเงื่อนไขที่ว่ามา การใช้ตะไคร่น้ำจึงเหมาะสมสุดๆ!
「หากเราทำการใช้ตะไคร่น้ำใส่ลงไปยังพื้นที่ที่มีความดันสูงก็จะสามารถสร้างน้ำมันดิบขึ้นมาได้ครับ แต่หากเป็นโบไตรโอคอคคัสถึงจะปล่อยไว้มันก็จะสร้างโบตริโอค็อกซีน (C34H58) ขึ้นมาเอง….หากเราสกัดเอาจากตรงนี้ ก็จะสามารถได้น้ำมันมาเหมือนกันครับ」
หากสามารถดึงเอาชีวมวลจากตะไคร่น้ำมาเป็นแหล่งคาร์บอนให้กับโรงงานได้
การพัฒนาอุตสาหกรรมยาก็จะก้าวกระโดด
「คือว่า ชักตามไม่ทันแล้วสิ」
「สรุปก็คือเราสามารถทำยาจากตะไคร่น้ำพวกนี้ได้ครับ」
ดวงตาของฟาร์มาเป็นประกายขึ้น
หากฟาร์มาไปอธิบายให้คนธรรมดาในโลกเดิมของเขาฟังว่าปิโตรเลียมมันสามารถทำเป็นยาได้ ก็คงจะมีคนพูดใส่ว่า”แน่จริงก็ลองยัดมันเข้าไปดูสิ” บ้างแน่ แต่สำหรับคนที่นี่ซึ่งไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับน้ำมันเลยก็คงจะไม่ได้คิดอะไรมากนักเสียนอกจากว่า ไอ้ขยะที่เขาเห็นตรงหน้านี้มันจะกลายเป็นยาได้จริงหรือเปล่า
「เดี๋ยวผมจะเป็นผู้ลงทุนในการขยายพันธุ์ของมันเองครับ ดังนั้นขอให้พวกคุณช่วยปลูกตะไคร่น้ำนี้แทนพืชที่เคยปลูกได้ไหมครับ และขายมันให้กับโรงงานของเรา? 」
「นี่ท่านแน่ใจแล้วหรือ」
「ครับ แล้วผมก็จะซื้อมันในราคาที่สูงกว่าพืชที่พวกคุณเคยผลิตมาทั้งหมดในเขตนี้ด้วย」
「สรุปคือท่านจะบอกว่า ไอ้ตะไคร่น้ำพวกนี้มันทำเงินได้สินะ」
ฟาร์มาขอให้พวกเขาเพิ่มจำนวนมันแทนที่จะกำจัดออกไป
แต่เพราะการกระทำดังกล่าวมันเป็นการทำลายไร่เพาะปลูกดั้งเดิมของพวกเกษตรกร ชีวิตของพวกเขาก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ด้วย ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงต้องการความรู้และความมั่นใจจากฟาร์มามากกว่านี้ นอกจากนี้เขาก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กด้วย แต่ฟาร์มาก็ยิ้มกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
「นอกจากนี้ผมก็น่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องการมันด้วยครับ」
「มันสำคัญกับท่านขนาดนั้นเลยหรือไงกัน」
「แน่นอนครับ นอกจากนี้ถึงพวกคุณจะนำมันไปขายในตลาดก็คงไม่มีใครซื้อหรอกครับ เพราะมีเพียงโรงงานของเราเท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ผลผลิตที่ได้มาจากมันก็จะสามารถนำไปทำเป็นยาและเชื้อเพลิงให้กับพวกเราได้ครับ」
「ก็จริงอยู่ว่านายน้อยเป็นชนชั้นสูงนะ ถึงจะหยาบคายไปบ้าง แต่พวกข้าจะเชื่อคำพูดของเด็กได้จริงๆ เหรอ」
「จริงด้วยสิ ขออภัยที่แนะนำตัวช้าไป ผมมีชื่อว่าฟาร์มา เดอ เมดิซิสครับ」
พอพวกเขาตระหนักได้ว่าเด็กชายตรงหน้าของพวกเขานี้เป็นเจ้าของร้านขายยาต่างโลก ก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้น
「โอ้ ที่แท้ก็คือท่านผู้ก่อตั้งโรงงานนี่เอง!」
「ลูกของท่านผู้นั้น…」
「แล้วก็เป็นแพทย์โอสถหลวงด้วยนี่……」
「ก็จริงอยู่ว่า ข้ารู้จักร้านขายยาต่างโลก แถมเห็นว่ากิจการกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่หากท่านคิดจะขยายกิจการใหญ่โตมากเกินไป แล้วเกิดว่าร้านขายยาล้มละลายขึ้นมาพวกเราจะทำยังไงกันล่ะ? ก็จริงอยู่ว่าพวกเราสามารถทำการค้ากันได้ แต่หากท่านหายไปพวกเราก็จะไม่จบสิ้นเหมือนกันหรือ」
「หากเกิดอะไรขึ้นผมจะหาทางทำอะไรสักอย่างเองครับ นอกจากนี้ตระกูลเดอ เมดิซิสของเราก็ไม่มีทางจะล่มจมได้โดยง่ายหรอก」
「แต่มันก็มีความเป็นไปได้…」
เพื่อช่วยเหลือฟาร์มาที่เอ่ยนามของตระกูลไป ปาลเล่จึงได้พูดเสริมขณะมองไปยังพวกชาวบ้าน
「ขอบอกไว้เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลของพวกเราหรือร้านขายยาต่างโลกหากมันจะล่มสลายไป มันก็คงเป็นตอนที่จักรวรรดิและนครศักดิ์สิทธิ์พินาศแล้วเท่านั้นแหละ นอกจากนี้ร้านขายยาต่างโลกยังเป็นร้านขายยาแห่งเดียวที่ได้รับการรับรองจากทางจักรวรรดิและนครศักดิ์สิทธิ์ด้วย」
「เอ๋…เรื่องพวกนี้มัน ตั้งแต่ตอนไหนกัน」
พอพวกชาวบ้านรู้แล้วว่าเบื้องหลังของคนที่ตนคุยด้วยเป็นเช่นไรก็ไม่มีใครอยากจะกล่าวอะไรอีก
ร้านขายยาต่างโลกไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านขายยาธรรมดาอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของสถาบันทางการแพทย์จักรวรรดิ
ถึงฟาร์มาจะอึดอัดกับการใช้อำนาจนิดหน่อย แต่เขาก็พูดต่อ
「จากนี้เดี๋ยวผมจะทำการร่างสัญญาให้เองครับ พวกคุณจะยอมรับการค้าของพวกเราหรือเปล่า」
แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้าน
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟครับผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code