ตอนที่ 100 คำสารภาพก่อนการสอบ
วันที่ 5 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1148
ณ ห้องบรรยายของมหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ
“วันนี้ผมจะมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการสอบภาคฤดูหนาวนะครับ”
ฟาร์มายืนอยู่บนแท่นบรรยายพร้อมกับให้คำแนะนำในการสอบร่วมกับอาจารย์ท่านอื่น
เนื่องจากนี่เป็นหลักสูตรการสอนใหม่ พอเขามองไปยังหน้าของพวกนักเรียนชั้นปี 1 ทุกสาขาก็เห็นให้ได้ว่าพวกเขาค่อนข้างกังวล ก่อนที่เขียนตารางสอบไว้บนกระดาน
“เนื่องจากพวกคุณเป็นนักเรียนหลักสูตรใหม่ผมก็จะทำการชี้แจงดังนี้นะครับ การสอบจะใช้เวลาทั้งหมด 1 สัปดาห์ หัวข้อและขอบเขตการสอบเป็นไปตามที่ผมเขียนไว้นี้ครับ โดยเราจะใช้การสอบเป็นแบบฝนลงยังตัวเลือกที่คิดว่าเหมาะสม ความยากในระดับสูงพอสมควรเลย”
ห้องบรรยายเกิดเสียงลุกฮือขึ้นเมื่อได้ยินฟาร์มาบอกว่าข้อสอบรอบนี้ยาก อีกทั้งยังมีการนำข้อสอบแบบตัวเลือกมาช่วยอำนวยความสะดวกในการตรวจให้คะแนน เพราะสามารถนำแผ่นตัวเลือกที่ถูกมาวางซ้อนเพื่อตรวจได้เลย
“จากนี้ไปก็ขอให้ตั้งใจศึกษาให้มากกว่านี้นะครับ ดูเหมือนว่าหลายคนอาจจะไม่พอใจกันบ้าง แต่ผมขอบอกเลยว่าหากพวกคุณยังมีความเข้าใจในเนื้อหาการเรียนเท่าเดิม เกินกว่าครึ่งของชั้นปีคงได้ซ้ำชั้นแน่ครับ”
จากนั้นฟาร์มาก็แจกจ่ายเอกสารสรุปเนื้อหาเพื่อช่วยเหล่านักเรียนเพิ่ม
“เนื่องจากเนื้อหาที่ผมออกข้อสอบเป็นภาควิชาบังคับ หากพวกคุณสอบตก ก็จะถือว่าซ้ำชั้นในทันที นอกจากนี้ถึงพวกคุณจะสอบผ่านในภาควิชาบังคับ แต่สอบตก 1ใน3 ขอภาควิชาที่ลงเรียน ก็จะถือว่าซ้ำชั้นเช่นเดียวกัน ขอให้ตั้งใจเพื่อไม่ให้เสียเวลาเพิ่มไปอีกหนึ่งปีนะครับ”
“เกินครึ่งมีโอกาสซ้ำชั้น…เอาจริงดิ”
“นอกจากสาขาวิจัยยาก็โดนกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?”
“ก็มันเป็นวิชาบังคับนี่นา จะสาขาไหนก็ไม่รอดหรอก”
“….ฉันไม่ได้อยากจะซ้ำชั้นอีกปีนะ ถึงค่าเรียนจะฟรีก็จริง แต่ค่าครองชีพก็อีกส่วนนะ”
พวกนักเรียนปีหนึ่งตัวสั่นเพราะไม่รู้ควรจะทำเช่นไรดีกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น
เพราะหลักสูตรที่เปิดในปีนี้เป็นหลักสูตรใหม่ ข้อสอบของปีที่ผ่านๆ มาจึงไม่มีประโยชน์ เนื่องจากในอดีตพวกรุ่นพี่ของวิทยาลัยยานั้นจะคอยช่วยเหลือรุ่นน้องในเรื่องข้อสอบและมันก็ไม่ได้ยากด้วย แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“คงไม่ต้องบอกนะครับว่าหากมีการโกงข้อสอบเกิดขึ้น พวกคุณก็จะต้องซ้ำชั้นในทันทีโดยไม่ถูกตรวจให้คะแนน”
หลายคนรู้สึกสูญเสียกำลังใจในการเรียนไปในทันทีเพราะความยากในการสอบครั้งนี้มันสูงจริงๆ
ถึงจะมีการซ้ำชั้นเกิดขึ้นจริง แต่ค่าเล่าเรียนของพวกเขาก็ยังฟรี ไม่เหมือนกับมหาวิทยาลัยแพทย์หรือเภสัชในญี่ปุ่น แล้วก็จะไม่มีการไล่นักเรียนออกด้วยแม้จะซ้ำชั้นกี่หนก็ตาม รายจ่ายส่วนมากก็คงจะไม่กระทบกับตัวนักเรียนนัก แต่ในแง่ของกำลังใจที่เสียเวลาไปถึง 1 ปี กับความคาดหวังของตระกูลพวกเขา และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือศักดิ์ศรีของพวกเขาเองที่ไม่สามารถตามการสอนของศาสตราจารย์ที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งได้ทัน
“มีคำถามอะไรเพิ่มเต็มไหมครับ?”
นักเรียนทุกคนในคลาสต่างนิ่งเงียบ บานคนก็หนีซีดด้วยเหตุผลบางอย่าง
จะมีก็แต่เอ็มเมอริค ที่นั่งอยู่ตรงแถวหน้าของคลาสซึ่งไม่แสดงความกังวลใดๆ ออกมา
“เอ่อ…ทำไมทุกคนทำหน้ามืดมนกันขนาดนั้นล่ะครับ แต่ทางคุณเบาเออร์นี่ยังดูสบายดีนะครับเนี่ย เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็เข้ามาถามได้เลยนะครับ หากถามระหว่างคลาสกลัวจะไม่เข้าใจ ก็เข้ามาถามเป็นการส่วนตัวได้เลยนะครับ ผมจะช่วยตอบให้เป็นรายคนเลย ดังนั้นไม่ต้องอายที่จะเข้ามาถามครับ”
ฟาร์มาแอบเสียใจที่ตนอาจจะไปกดดันพวกเด็กๆ มากเกินไป ก่อนจะใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนในการเสนอความช่วยเหลือกับพวกเขา
แต่ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้เหล่านักเรียนต้องซ้ำชั้น และเขาก็ไม่อยากจะให้นักเรียนหมดกำลังใจจนเลิกเรียนไปกลางคันด้วย
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่อาจจะทำให้ข้อสอบมันมีความง่ายมากเกินไปได้จริงๆ เป้าหมายของเขาก็คือนักเรียนทุกคนต้องมีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์เพื่อให้ก้าวไปสู้เนื้อหาที่ลึกกว่านั้นได้
◆
“ข้อสอบของศาสตราจารย์เดอ เมดิซิสนี่ชวนปวดหัวจริง อย่างแรกเลยคือข้อสอบมันจะไม่โหดไปหน่อยเหรอ?”
“ได้ยินมาว่าข้อสอบของเขาโหดกว่าของศาสตราจารย์เดอ เมดิซิสคนพ่ออีกนะ”
“แนวข้อสอบก็ไม่รู้จะเจออะไรมากไปกว่านั้นไหม สงสัยคงต้องพึ่งนักทำนายแล้วไหมเนี่ย”
“การใช้นักทำนายมันก็เป็นการโกงไม่ใช่หรือไง”
“ก็นั่นสิเน้อ……”
เอ็มเมอริค โจเซฟีน และสเตฟานนี่ บาร์เบทนักเรียนสามัญชนในสาขาแนวทางการปฏิบัติการที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญของเหล่านักเรียนภายในโรงอาหาร
พอเอ็มเมอริคได้ยินแบบนั้น
“ทำไมทุกคนถึงต้องปวดหัวกับเรื่องสอบกันล่ะ แต่ก็น่าเสียดายจริงๆ ที่มีแค่เรื่องในคลาสกับตอนฝึกภาคปฏิบัติ”
จากมุมมองของเอ็มเมอริคที่สมัครใจใช้เวลาอยู่ภายในห้องทดลองของฟาร์มาทั้งวันทั้งคืนเพื่อวิจัยสิ่งที่ฟาร์มามอบหมายให้แล้ว ด้วยความรู้ที่เขามีก็คงช่วยไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจและพูดเหมือนพวกนิสัยเสีย
สเตฟานนี่ที่ได้ยินก็พูดออกมาเพื่อปกป้องพวกนักเรียนทั่วไป
“เนื่องจากคลาสของศาสตราจารย์เดอ เมดิซิสเป็นวิชาที่ยากที่สุดเลยนะ มันแตกต่างกับศาสตร์แพทย์โอสถที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง เวลาที่ต้องใช้ในการท่องจำก็เยอะ ไหนจะบทนำเกี่ยวกับยาเบื้องต้น ชีววิทยาการแพทย์และโอสถศาสตร์ คณิตศาสตร์ภาคประยุกต์ เคมีกายภาพ เคมีอินทรีย์ แถมไอ้ที่ว่ามาก็เป็นวิชาบังคับทั้งหมด ไม่มีอะไรเป็นวิชาเลือกเลย! จากมุมฉันแบบนี้ก็ไม่แปลกเลยนะที่โอกาสในการจบออกไปมันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทั้งที่ศาสตราจารย์เดอ เมดิซิสบอกเองแท้ๆ ว่าอยากจะเพิ่มนักเรียนที่จบไปได้ แต่ฉันว่าไอ้แบบนี้น่าจะตรงข้ามนะ”
“หือ? มันมีตรงไหนยากกัน จากมุมฉันแล้วฉันว่ามันใช้ความรู้ไม่ถึง 1ใน10ที่ฉันมีเลยนะ ตอนทำควิสที่ผ่านมาก็ดูธรรมดามากเลยด้วย”
“นั่นสิเน้อ เอ็มเมอริคคุงผู้ชาญฉลาด…อย่างนายคงได้คะแนนเต็มโดยไม่ต้องเข้าคลาสเรียนด้วยซ้ำมั้ง”
สเตฟานี่ยักไหล่ให้เอ็มเมอริคที่เป็นแพทย์โอสถขั้นหนึ่งอยู่แล้ว แถมยังมีผลการเรียนดีที่สุดในสาขาซึ่งแสดงความเย็นชาต่อพวกนักเรียนที่อยู่ริมเหว เนื่องจากเขาสามารถตอบคำถามของฟาร์มาในตำราได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็ไม่แปลกหากเขาจะได้คะแนนเต็ม แต่นั่นมันก็สร้างความไม่พอใจให้กับนักเรียนคนอื่นด้วยเช่นกัน
“นักเรียนทุกคนไม่ได้เหมือนกับนายนะ ถึงนายจะเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดและไม่ชอบใจที่ทำไมคนอื่นถึงตามเนื้อหาไม่ทันเหมือนตัวเอง แต่ระดับความเข้าใจของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะ”
โจเซฟีนแนะนำเอ็มเมอริคด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
จากมุมของเหล่าศาสตราจารย์ ชื่อของโซเซฟีนนั้นก็คือเป็นบุคคลที่มากความสามารถคนหนึ่ง จะเป็นรองก็แค่เอ็มเมอริคที่อยู่สาขาโอสถศาสตร์ เดิมทีเธอก็มีความรู้ในด้านของสัตวแพทยศาสตร์ เธอจึงสามารถทำความเข้าใจในเรื่องของโอสถวิทยาที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของมนุษย์ได้ไม่ยากนัก
ส่วนทางสเตฟานี่ซึ่งเป็นนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษก็ต้องถูกพลังของทั้งสองกดดันเข้า
“เอาเป็นว่า ถ้าไม่รอดก็คงต้องซ้ำชั้นกันอีกปี มันน่ารำคาญออกนี่ถ้าต้องมาเห็นคนที่มีความรู้แบบครึ่งๆ กลางๆ เลื่อนชั้นมาได้ แค่เข้าเรียนกับทำรายงานแล้วผ่านมันจะไปมีประโยชน์อะไรใช่ไหมล่ะ”
“อย่าลืมสิว่ามีนักเรียนบางคนขาดเรียนเพราะไม่สบายด้วย”
“จะว่าไปปีนี้ไข้หวัดระบาดนี่เนอะ จะมีคนขาดบ้างก็ช่วยไม่ได้”
สเตฟานี่ยังคงปกป้องพวกนักเรียนคนอื่น ส่วนโจเซฟีนก็ได้แต่ปลอบเอ็มเมอริคที่ฉุนเฉียว
“ก็ได้แต่หวังว่าช่วงสอบมันจะจบลงเร็วๆนะ เสียงดังเอะอะกันซะยกใหญ่ งั้นฉันขอกลับไปที่ห้องทดลองก่อนแล้วกัน”
“จ้าๆ เข้าใจแล้ว”
ขณะที่เอ็มเมอริคกำลังจะลุกออกจากที่นั่งของเขา สาวๆ กลุ่มหนึ่งก็ได้เข้ามาล้อมเขาเอาไว้
“นี่ พวกเราไม่ไหวแล้ว เอ็มเมอริคคุง ขอยืมสมุดจดนายหน่อยสิ! จะให้ดีก็มาติวให้พวกเราที!”
“หนวกหูน่า ฉันไม่ให้ยืมหรอกนะ แล้วก็ถ้าจะติวก็ไปติวกันคนเดียวเถอะ!”
“เอ๋ หรือว่าจริงๆ แล้วนายก็ไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนกัน!”
เอ็มเมอริคถูกรุกมากกว่าเดิม
ฟาร์มากับเอเลนที่เห็นเอ็มเมอริคกำลังโดนรุกอยู่จากระยะไกล
“คุณเอ็มเมอริคถูกล้อมอีกแล้วสิ ทำไมพวกเขาถึงไม่มาถามผมโดยตรงกันเลยนะ…”
“อาร่า ฟาร์มาคุงอยากถูกล้อมด้วยสาวๆ เหมือนกันเหรอเนี่ย?”
“ที่ผมต้องการก็คือสอนพวกนักเรียนที่ยังไม่เข้าใจในเนื้อหา ผมไม่เกี่ยงหรอกว่าจะเป็นเพศไหน”
ทั้งที่คิดว่าฟาร์มาก็น่าจะอยากได้รับความสนใจจากผู้หญิงบ้าง แต่คำตอบกลับดูธรรมดาจนผิดคาด
“จากที่ฉันได้ยินมา พวกนักเรียนบอกว่าจะไปหาฟาร์มาคุงเป็นการส่วนตัวเพื่อถามน่ะเป็นเรื่องยากมากเลยนะ”
“ผมไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นสักหน่อย แถมตั้งใจจะให้คำแนะนำดีๆด้วย”
“ฟุฟุ น่าเสียดายจังเน้อ ว่าแต่ข้อสอบนายทำเสร็จหรือยังล่ะ?”
“เสร็จตั้งแต่ตอนที่อยู่นครศักดิ์สิทธิ์แล้ว เตรียมตัวไว้ให้ดีเลยก็แล้วกัน”
เนื่องจากนครศักดิ์สิทธิ์นั้นมีแหล่งข้อมูลทางการแพทย์และเภสัชกรรมอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งฟาร์มาสามารถหามันได้จากอินเทอร์เน็ต ก่อนที่เขาจะเสริมส่วนที่ขาดไปให้เหมาะสม จึงไม่ใช่เรื่องยากหากฟาร์มาจะสร้างข้อสอบที่ยากระดับนั้นได้
“เดี๋ยวนะ นี่นายไปทำอะไรที่นครศักดิ์สิทธิ์กันล่ะ หรือจะเป็นภารกิจในฐานะแพทย์โอสถหลวงตามคำสั่งของจักรพรรดินีเอลิซาเบทกัน? จะว่าไปท่านอาจารย์ก็บอกจะเดินทางไปที่นครศักดิ์สิทธิ์สักพักหนึ่งเลยนี่นา”
“ผมก็ไปทำงานกับพ่อของผมนั่นแหละ ถึงจะบอกรายละเอียดไม่ได้ก็เถอะ อันที่จริงผมว่าคุณไม่ควรมาแอบสืบข้อมูลของพวกแพทย์โอสถหลวงนะ”
ฟาร์มาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เขาไปสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่อยากให้เอเลนต้องกังวล
เขาได้ใช้คทาแห่งเทพโอสถเดินทางไปมาระหว่างนครศักดิ์สิทธิ์และจักรวรรดิตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนทางบรูโนตอนนี้ยังคงอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากตัวโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สมบูรณ์
ด้วยความกังวลที่ว่าการสร้างโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ความทรงจำชาติก่อนของเขาหายไป เขาจึงได้ทำการบันทึกเหตุการณ์สำคัญเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ก็จะเหลือเพียงแค่ความทรงจำที่เป็นภาพเท่านั้นที่จะหายไป
ส่วนความรู้เรื่องยาและเภสัชถึงจะหายไป เขาก็ยังสามารถใช้แหล่งอ้างอิงอย่างอินเทอร์เน็ตภายในนครศักดิ์สิทธิ์มาช่วยได้ ดังนั้นก็เหลือแค่เรื่องส่วนตัวของเขาเท่านั้นที่จำเป็นต้องบันทึกไว้
แถมเขาก็ไม่สามารถทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้เหมือนเมื่อก่อน
เนื่องจากต้องดูแลสภาพร่างกายของบรูโนด้วย เขาจึงตัดสินใจที่จะทำการทดลองเพียงวันละหน
นอกจากนั้นเขาต้องไม่แอบไปทำมันคนเดียวด้วย
เอเลนที่เห็นแบบนั้นก็จ้องไปที่ฟาร์มา
ตอนนี้เธอไม่ได้สวมแว่นตาแล้ว แถมดวงตาของเธอก็ดูโตกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด ฟาร์มาสัมผัสถึงอารมณ์จากดวงตาของเธอได้อย่างชัดเจน
“ถึงพักนี้จะไม่ได้เจอนายบ่อย แต่หลังจากนายกลับมาจากนครศักดิ์สิทธิ์ สภาพร่างกายของนายดูโทรมลงนะ นี่นายแอบไปทำเรื่องอันตรายมาอีกแล้วใช่ไหม? “
“……ผมก็แค่เหนื่อยจากการที่ต้องบินไปมาน่ะ”
“แถมผมนายก็สั้นลงด้วย นี่นายใช้มันเป็นสื่อกลางสินะ? “
“……เอ่อคือ..”
“หืม…สรุปคือนายแอบไปทำอะไรมากันแน่? “
หลังจากที่เอเลนตรวจสอบฟาร์มาด้วยดวงตาวินิจฉัย เธอก็รู้ได้ถึงสภาพร่างกายของฟาร์มา ก่อนจะพูดออกมาด้วยความกังวล
เพราะเรื่องที่เธอพูดมันดันตรงกับเรื่องที่ฟาร์มาไปทำมาจริงๆ เขาเลยไม่อาจจะปิดบังได้โดยง่าย
“จะว่าไป…เอเลนคุมสอบศาสตร์แห่งเทพภาคปฏิบัติช่วงบ่ายไม่ใช่เหรอ”
ฟาร์มาเลยเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแทน
เพราะในช่วงบ่ายเอเลนก็มีหน้าที่ในการคุมสอบภาคปฏิบัติที่แสนวุ่นวายเหมือนกัน
“ก็ตามนั้นแหละ เป็นการคุมสอบครั้งแรกของฉันด้วย! น่าตื่นเต้นชะมัด”
“เอเลนกำลังหายจากอาการป่วย ดังนั้นอย่าไปทำให้แผลเปิดเข้าล่ะ”
“เข้าใจแล้วน่า แถมฉันก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนดูหรอก”
“อันที่จริงผมก็อยากเห็นเหมือนกันนะ”
ฟาร์มาก็เลยตามเอเลนไปที่สนามสอบเพื่อจะหลีกเลี่ยงการคุยเรื่องนี้ต่อ ทางเอเลนก็ยอมว่าตามโดยง่ายและเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับฝึกก่อนจะไปรวมตัวกับนักเรียนที่ลานประลองศาสตร์แห่งเทพ
“เอาละ พวกเธอเตรียมร่างกายกันมาพร้อมแล้วใช่ไหม หากมีใครสภาพร่างกายหรือจิตใจไม่ไหว ฉันจะเว้นไว้ให้แล้วส่งไปพัก ว่าไงล่ะ”
เอเลนทำการตรวจสอบสภาพของผู้เข้าสอบ ก่อนจะถือมาตราวัดพลังแห่งเทพเพื่อทำการตรวจสอบผลของนักเรียนแต่ละคน
การสอบในครั้งนี้จะเป็นการประเมินศาสตร์แห่งเทพตามธาตุของนักเรียนแต่ละคน โดยมีคะแนนเต็มอยู่ที่ 100 คะแนน ฟาร์มาที่ตามมาด้วยก็เหมือนจะได้รับหน้าที่ในเรียกตัวนักเรียนเพื่อประเมินคะแนนตามความยากของมนตร์และเทคนิคที่พวกเขาใช้อย่างเป็นกลาง
หลังเสร็จการสอบเอเลนที่ถือสมุดจดบันทึกเอาไว้ก็เริ่มประกาศผล
“เหนื่อยกันหน่อยนะทุกคน เอาละทีนี้เราก็มาประกาศผลสอบกันเลย อันดับ 1 เอ็มเมอริค เบาเออร์ 99 คะแนน”
“อันดับ 2 อเล็กซานเดอร์ เบอโทราน 88 คะแนน”
“อันดับ 3 เอ็มมานูเอล พูสโลว 79 คะแนน”
“อันดับ 4 โจเซฟีน บาริเออร์ 78 คะแนน……”
เอเลนค่อยๆ ประกาศชื่อตามลำดับที่ได้จนถึงอันดับที่ 21
ผู้ถือครองตำแหน่งสูงสุดในการสอบครั้งนี้ก็ยังคงเป็นเอ็มเมอริคไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะวิชาในห้องเรียน หรือภาคปฏิบัติ
หลังจากฟังผลสอบ ฟาร์มาก็ได้ยินทั้งเสียงยินดีและโศกเศร้าของนักเรียน
“……เอาน่า…ความล้มเหลวก็เป็นก้าวหนึ่งของความสำเร็จ”
นักเรียนที่ถูกกาเครื่องหมายสีแดงบนชื่อต่างก็หน้าซีด
“ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นการสิ้นสุดการประกาศผลสอบแล้วนะ ใครมีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรก็ถามมาได้เลย”
เอ็มเมอริคเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้นถามเอเลน
“อาจารย์บอนฟัวครับ ผมมีข้อสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ได้คะแนนเต็ม ส่วนตัวผมมั่นใจว่า ทักษะของผมถือว่าสมบูรณ์แบบเลยนะครับ”
“อ๋อ ถ้าเป็นเรื่องนั้นเพราะนายร่ายมนตร์แบบตัดบทน่ะสิ หากนายไม่ร่ายมันให้ชัดถ้อยชัดคำครบทุกบทร่าย สุดท้ายมันอาจจะออกมาเป็นมนตร์ที่ผิดประเภทก็ได้นะ”
“เดี๋ยวนะครับ ผมว่าผมก็ไม่ได้ตัดบทร่ายนะครับ ภาษาที่ผมใช้ร่ายก็เป็นภาษาของจักรวรรดิด้วย ดังนั้นผมว่าน่าจะเป็นสำเนียงมากกว่าครับ ถ้าหากผมได้ร่ายด้วยภาษาบ้านเกิดล่ะก็คงไม่เป็นแบบนี้แน่”
เอ็มเมอริคที่ชอบในความสมบูรณ์แบบก็มีช่วงเวลาลำบากเหมือนกันสินะ
“จ้าจ้า ถ้าไม่พอใจกับผลที่ได้เดี๋ยวค่อยมาสอบแก้กันทีหลัง ไว้เดี๋ยวจะฉันบอกอีกทีก็แล้วกัน”
“งั้นก็หมายความว่าผู้ที่สอบไม่ผ่าน ก็สามารถมาขอสอบซ่อมได้เหรอครับ? “
“เฉพาะครั้งนี้นะ เอาเป็นว่า ขอให้ทุกคนโชคดีกับการสอบวิชาอื่นล่ะ”
เอเลนผ่อนปรนกับพวกนักเรียนอย่างคาดไม่ถึง
วิชาฝึกภาคปฏิบัติของเอเลนนั้นไม่ใช่วิชาภาคบังคับ เธอจึงผ่อนปรนให้บ้าง แถมมันไม่ได้ส่งผลต่อการเลื่อนตำแหน่งของเธอด้วยหากมีพวกนักเรียนผ่านน้อย นอกจากนี้พวกนักเรียนที่เป็นสามัญชนก็ได้มีการโอนหน่วยกิตวิชานี้ไปเป็นการทดสอบการใช้แรงกาย อย่างการวิ่งมาราธอนแทน แน่นอนว่าไม่มีใครสอบตก
“ถ้างั้นเป็นไปได้ไหมครับว่าพวกเราจะทำการใช้หน่วยกิตของภาควิชาพลศึกษาแทน พวกผมจะไปได้วิ่งมาราธอนกัน? “
“อันที่จริงก็ไม่ได้สำคัญหรอกนะว่าเป็นการฝึกศาสตร์แห่งเทพหรือการฝึกร่างกายทั่วไป ตราบใดที่ทำตามแบบทดสอบที่วิชานั้นมอบให้ได้ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
มีนักเรียนซึ่งเป็นชนชั้นสูงที่ไม่ผ่านการทดสอบศาสตร์แห่งเทพได้ขอเลือกไปสอบแบบเดียวกับสามัญชนแทน เอเลนก็รับคำขอของพวกเขาไว้โดยไม่บ่นอะไร
หลังจากวุ่นวายกับการเตรียมสอบมาหลายวัน ฟาร์มาก็พบว่าตำแหน่งของเอกสารบนโต๊ะเขานั้นเปลี่ยนไป ที่เขารู้ก็เพราะเขามีระเบียบในการจัดวางของอยู่แล้ว
(เห มีคนมายุ่งกับโต๊ะของเรา)
“คุณโซอี้ครับ คุณได้ย้ายเอกสารบนโต๊ะผมหรือเปล่า? “
“ไม่เลยนะคะ ฉันไม่ได้แตะต้องอะไรนอกจากเอาเอกสารไปใส่ไว้ในกล่องนั่นค่ะ”
หลังจากถามโซอี้เสร็จ ก็ได้ความว่าไม่มีใครเข้ามาหาเขาในห้องนี้หรือเข้ามายุ่งกับโต๊ะของเขาเลย
ฟาร์มาที่เห็นความผิดปกติก็ทำการตรวจสอบ ข้อสอบที่เขาเก็บไว้
(กระดาษข้อสอบหายไปหนึ่งแผ่น โดนเข้าแล้วสินะ)
หากมันถูกขโมยไปจริง เขาก็จำเป็นต้องสร้างข้อสอบใหม่ขึ้นมา เพื่อให้การสอบนั้นเท่าเทียมกัน นี่คือสิ่งที่ฟาร์มาไม่สามารถปล่อยไปได้
(เห็นทีต้องรีบจัดการแล้ว)
ฟาร์มาทำการตรวจสอบบริเวณโดยรอบเพื่อยืนยันว่าเขาคิดผิดหรือไม่
แต่หลังจากยืนยันผลที่ได้ เขาก็ต้องถอนหายใจ
(เป็นเธอคนนั้นเองสินะ ช่วยไม่ได้.…)
ในคลาสเรียนรอบหน้า ฟาร์มาคงจะรู้สึกแย่พอสมควรหากต้องเจอกับคนที่ขโมยข้อสอบไป
แต่ฟาร์มาก็ไม่ได้คิดจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในคลาส
ในตอนท้ายของการบรรยายเขาได้ทำการแจกเอกสารแผ่นหนาให้พวกนักเรียนด้วย
“ตรงนี้เป็นชุดข้อสอบจำลองนะครับ สามารถเอาไปฝึกทำกันได้”
ฟาร์มาใช้เวลาในการสร้างข้อสอบนานพอสมควร แต่เขาก็ยอมปล่อยมันไปโดยไม่เสียดายอะไร
ขณะที่เขาแจกชุดข้อสอบจำลองให้พวกนักเรียน
เขาก็พบว่าในหมู่นักเรียนนั้น มีคนที่เคลื่อนไหวผิดธรรมชาติไป
(เธอคนนั้น เหมือนจะชื่อ นาตาลี บลอนเดล)
ฟาร์มาได้เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเธออย่างใกล้ชิด แต่ก็เหมือนกับเธอรู้ว่าฟาร์มากำลังจ้องเธออยู่จึงมีท่าทีเปลี่ยนไป
หลังจากที่เขายืนยันพฤติกรรมของเธอก็ผิดแปลกไป รวมเข้ากับการวิเคราะห์ร่องรอยที่หลงเหลือในห้องเขา เขาก็มั่นใจ
“คุณบลอนเดล จบคลาสเดี๋ยวมาคุยกับผมหน่อยนะครับ”
“เอ่อ…ค่ะ..…”
สุดท้ายฟาร์มาก็เรียกเธอมาคุย
บลอนเดลถูกเรียกตัวให้ไปพบฟาร์มาที่เรือนกระจกของสวนสมุนไพร จากนั้นฟาร์มาก็เชิญเธอไปนั่งที่ม้านั่งด้านใน
“รู้หรือเปล่าครับ ว่าผมเรียกคุณมาทำไม?”
“ฉันไม่ทราบค่ะ”
“ดูเหมือนจะผิดหวังสินะครับที่มันเป็นชุดข้อสอบจำลอง รู้ไหมว่าหากทำแบบนี้กับข้อสอบจริงคุณถูกตัดสิทธิ์ในการสอบได้เลยนะครับ”
พอเขาพูดออกมาตรงๆ นาตาลีตัวสั่นขึ้นมา
“ท-ท่านหมายความว่ายังไงคะ”
“เราตรวจพบ DNA ขอบคุณอยู่ในกองเอกสารครับ จากนี้คงต้องสอนถึงวิธีการระบุตัวตนของบุคคลด้วยซะแล้วสิ เอาเป็นว่าหากอยากเอาชนะอาจารย์ผู้สอนคุณต้องมีความสามารถมากกว่านี้หน่อยนะครับ สรุปแล้วจะยอมรับไหมครับว่าตัวเองทำการโกงข้อสอบ? “
“คึก…..ค่ะ”
“เพราะคุณยังเป็นผู้เยาว์อยู่ เราคงจำเป็นต้องติดต่อกับผู้ปกครองของคุณ แม่ของคุณเป็นแพทย์โอสถหลวง คุณฟร็องซัวส์ เดอ ซาวอยสินะครับ? “
ฟาร์มาได้อ่านข้อมูลของตัวนักเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่เพราะเธอใช้นามสกุลฝั่งพ่อ เรื่องที่เธอเป็นลูกของแพทย์โอสถหลวง เขาจึงรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง
“ใช่แล้วค่ะ”
“….แต่ครั้งนี้ผมจะยอมปล่อยผ่านแล้วกันนะครับ คราวหน้าก็ขอให้ตั้งใจทำข้อสอบด้วยความซื่อสัตย์ด้วย”
“..ทำไมกันคะ ท่านควรจะเอาไปบอกท่านแม่สิ! นี่มันอะไรกันจะยอมปิดเรื่องนี้ไว้เหรอคะ…ท่านบอกเองไม่ใช่หรือคะว่าหากมีการโกงก็จะต้องซ้ำชั้นทันทีน่ะ”
เธอตอบกลับด้วยสภาพน้ำตาคลอเบ้า
ฟาร์มาตกใจเมื่อเธอพูดแบบนั้นออกมา
“นั่นก็เพราะนี่เป็นเพียงข้อสอบจำลองยังไงล่ะครับ แถมผมก็เคารพคุณฟรองซัวส์และไม่อยากให้เธอที่เป็นเพื่อนร่วมงานต้องเสียใจด้วย”
“ได้โปรดหยุดล้อฉันเล่นเถอะค่ะ! แพทย์โอสถหลวงตอนอายุ 10 ปี เป็นศาสตราจารย์ตอนอายุได้ 12 ปี เป็นแพทย์โอสถหลวงชั้นแนวหน้าที่แซงหน้าพ่อของตนและแม่ของฉันตอนอายุ 13 ปี ทั้งที่เป็นลูกของแพทย์โอสถหลวงเหมือนกันแท้ๆ …ท่านนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ เลยสินะคะ ชีวิตช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
“ไม่สมเหตุสมผลเลยนะครับที่จะมาเปรียบเทียบภูมิหลังของแต่ละคน คุณกับผมก็มีชีวิตที่แตกต่างกันครับ ย่อมไม่มีทางที่พวกเราจะเหมือนกันได้อยู่แล้ว”
ฟาร์มาตอบกลับ
เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดว่าตนเป็นอัจฉริยะอะไร ที่มีก็แค่ความพยายามเท่านั้น
“ผมไม่ได้สนใจเรื่องความสัมพันธ์อะไรในตระกูลคนอื่นหรอกนะครับ ไม่สำคัญด้วยว่าคุณจะเป็นใครมาจากตระกูลไหน สิ่งที่สำคัญตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียวคือ ทำข้อสอบให้ผ่าน”
“…แต่ว่า..ฉันมันไม่มีพรสวรรค์ในฐานะแพทย์โอสถเลยนี่คะ”
อาจจะเป็นเพราะว่าเธอได้เผชิญหน้ากับความเป็นจริงแล้ว บลอนเดลจึงได้แสดงสีหน้าที่เศร้าสร้อยออกมา
“พรสวรรค์สินะ…”
“ฉันไม่ได้รับพลังแห่งเทพมาจากเทพผู้พิทักษ์มากนัก นอกจากนี้ฉันก็มักจะถูกเปรียบเทียบกับพ่อแม่ของตัวเองและคำนินทาต่างๆ นานๆ จนทำให้ท่านแม่อับอาย”
“มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ? “
“ท่านแม่ไม่เคยเล่าเรื่องฉันให้ท่านเหรอคะ? “
“ผมไม่เคยได้ยินชื่อคุณมาก่อนเลยนะครับ เพราะคุณฟรองซัวส์ก็เป็นพวกไม่คุยเรื่องชีวิตส่วนตัวให้ใครฟังด้วยสิ”
เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า ฟรองซัวส์มีลูกสาว
อันที่จริงเธอก็น่าจะรู้ว่าเขากำลังสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่เธอก็ไม่เคยพูดถึงลูกเธอเลย
อันที่จริงการสอบศาสตร์แห่งเทพที่เอเลนดูแลในวันก่อน เธอก็เป็นหนึ่งในผู้ที่สอบไม่ผ่าน
“เพราะความเป็นจริงที่ว่าคนที่เกิดมาโดยมีพลังแห่งเทพอยู่เพียงน้อยนิดถึงจะมีเทพผู้พิทักษ์เป็นเทพโอสถ แต่มันก็หมายความว่าฉันไม่ได้รับความรักจากท่านเลยน่ะสิคะ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ไม่ว่าฉันจะพยายามมากสักแค่ไหน ชีวิตของฉันก็ยังคงดูน่าสังเวชเป็นเพียงแค่คนที่ถูกทอดทิ้ง”
ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเหตุผลของเธอ
เพราะเป็นความจริงที่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน แต่ปริมาณพลังแห่งเทพที่มีมาแต่เกิดก็ไม่สามารถเพิ่มขึ้นมาได้
“แต่อย่างน้อยคุณก็มีชีวิตที่ดีกว่า คนที่ไม่มีชีพจรแห่งเทพนะครับ”
เธอพูดอะไรไม่ออก พอฟาร์มาพูดเรื่องนี้
“พลังแห่งเทพที่เรามี ไม่ได้มีไว้ใช้เพื่อตัวเองครับ ผู้ที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ หน้าที่ของพวกเขาก็คือนำพลังนั้นไปช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยนั่นก็คือเหตุผลในการดำรงอยู่ของพวกเราครับ”
“ศาสตราจารย์จะบอกว่า ตัวท่านตั้งใจที่จะใช้พลังเพื่อประโยชน์ของโลกใบนี้กับผู้คนเท่านั้นเหรอคะ? “
“อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำครับ”
ฟาร์มาตอบอย่างไม่ลังเล เขาไม่เคยคิดจะใช้พลังแห่งเทพเพื่อประโยชน์ส่วนตนอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ฟาร์มาต้องการจะบอกในเรื่องนี้ ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น
เนื่องจากเธอดูจะมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง ฟาร์มาจึงพยายามเข้าไปสงบสติอารมณ์ของเธอ
“สุดท้ายแล้วคุณลืมบางสิ่งไปหรือเปล่าครับ เพื่อที่จะเข้าสาขานี้ คุณสามารถผ่านการสอบที่ยากกว่านี้หลายสิบเท่าได้เลยนะครับ นักเรียนที่พวกเราประเมินไว้ว่าไม่สามารถผ่านหลักสูตรการสอนใหม่นี้ได้พวกเราไม่มีทางรับเข้าเรียนมาแต่แรกหรอกครับ”
“…ทะ-ท่านจะพูดอะไรกันแน่คะ”
“ที่ผมจะบอกก็คือคุณมีความสามารถครับ ไว้ลองทำข้อสอบจำลองดูสิครับเพราะข้อสอบที่จะออกก็จะมีแนวทางคล้ายๆ กัน ลองทบทวนสิ่งที่ตัวเองผิดพลาดไป หากไม่เข้าใจก็เข้ามาถามผมได้เสมอ อย่าได้สูญเสียความมั่นใจตัวเองไปเลยครับ คนที่ไม่มีความสามารถในการจบสาขานี้ได้ก็คงไม่มีทางเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนี้ได้ตั้งแต่แรกหรอก ส่วนภาคปฏิบัติคุณก็สามารถโอนหน่วยกิตไปเทียบกับทางวิชาพลทั่วไปก็ได้ครับ”
เธอยังคงอยู่ในสภาพที่ไม่ได้สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณแล้วครับ หากไม่เข้าใจก็กลับมาถามผมได้นะ”
ฟาร์มากำลังจะลุกออกไปจากม้านั่ง เมื่อได้ยินเสียงระฆังดัง เป็นสัญญาณบอกว่าถึงคลาสถัดไป…
แต่บลอนเดลก็ยืนขึ้นตามเขาและร้องไห้ออกมา
“ฉันจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ ช่วงนี้ไม่ว่าจะฉันอ่านหนังสือหนักแค่ไหนก็จำอะไรไม่ได้เลย!”
“หมายความว่ายังไงครับ? “
“ความทรงจำของฉันมันเริ่มจะหายไปเรื่อยๆ แล้วค่ะ ได้โปรดช่วยฉันด้วยเถอะค่ะ!”
ฟาร์มาตกตะลึงจนเบิกตากว้างขึ้น
พอเขาใช้ดวงตาวินิจฉัยก็พบว่ามีแสงสีแดงอยู่ที่หัวของเธอ
ขนาดของมันประมาณ 3 เซนติเมตร
(เนื้องอกในสมองเหรอ)
ความทรงจำที่บอบช้ำของฟาร์มา ในช่วงชีวิตก่อนของเขามันกลับคืนมา
เพราะนั่นคือโรคที่ได้คร่าชีวิตน้องสาวของเขาไปในชาติก่อน
——-
Note 1 : เปิดมาก็เนื้องอกในสมองเลยเหรอ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟครับผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
MANGA DISCUSSION