Parallel World Pharmacy - ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 120
ตอนที่ 120 ชมเมืองหลวงจักรวรรดิ
เมื่อทุกคนทานอาหารกันเสร็จแล้ว ฟาร์มาก็ชักชวนให้ทุกคนเดินทางกันต่อ ทางเมเลเน่ก็หยิบเอากระเป๋าสตางค์ของเธอออกมา ดูเหมือนว่าจะเป็นของที่เธอซื้อตอนมาจักรวรรดิ
ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็แอบตกใจ ส่วนทางเมเลเน่เหมือนจะทำท่าภูมิใจแบบแปลกๆ
「ฉันพอรู้อยู่แล้วว่าการมาร้านแบบนี้มันต้องมีค่าใช้จ่าย ว่าแต่เท่าไหร่ล่ะ? เห็นแบบนี้ฉันก็ถามพวกลูกเรือเกี่ยวกับวัฒนธรรมของจักรวรรดิมาพอสมควรนะ กระเป๋านี่ก็ซื้อมาจากมาร์เชลด้วย」
「เอ่อ…」
ถึงเธอทำท่าเหมือนอยากจะออกให้ แต่ฟาร์มาก็ไม่อาจยอมรับได้
「วันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับดังนั้นควรเป็นทางผมที่ดูแลพวกคุณครับ ฝากให้ทางผมจัดการดีกว่า」
「งั้นขอรับน้ำใจของนายไว้แล้วกัน ไว้คราวหน้าหากมาฝั่งพวกฉันบ้างจะดูแลให้เป็นอย่างดีเอง」
「จะตั้งตารอเลยครับ」
「กินไปซะเยอะจนแน่นไปหมดเลย」
ทันทีที่เมเลเน่เดินออกไปนอกร้าน เธอก็เริ่มงอตัวและยืดเส้นสายราวกับจะออกกำลังหลังทานอาหาร
พวกผู้ติดตามที่เหลือของเธอก็เหมือนจะทำตามเพราะไม่อาจดูเฉยๆ ได้
「อย่าพยายามออกกำลังหลังทานอาหารเสร็จสิครับ หากทำแบบนั้นอาจจะเกิดอาการปวดท้องได้นะครับ」
ฟาร์มากับคลาร่าเริ่มหนักใจเมื่อเห็นการกระทำของพวกเธอนิดหน่อย
「หากอิ่มมันจะรู้สึกง่วง เพราะงั้นมันก็ต้องเคลื่อนไหวกันสักหน่อยสิ」
นอกจากเมเลเน่แล้ว พวกคนของเผ่าไมราก้าไม่ได้ใช้วิญญาณในการแปลภาษา พวกเขาจึงไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาจักรวรรดิได้ สุดท้ายเมเลเน่ก็เลยต้องเป็นตัวกลางในการแปลให้พวกเขาอีกที
「ถ้างั้น เราไปเดินเล่นกันที่เขตของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลิซาเบทดีไหมครับ? 」
「ก็ดี เอลิซาเบทที่ว่า คือยัยผู้หญิงจอมจุ้นคนนั้นสินะ」
คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นถึงกับหันมามองด้วยความตกใจ
「โฮ่ ดูเหมือนหล่อนจะเป็นคนใหญ่คนโตที่สุดในทวีปจริงๆ แฮะ」
คลาร่าที่ได้ยินแบบนี้ก็เริ่มตระหนกและรู้สึกไม่สบายใจกับท่าทางของเมเลเน่เพราะกลัวว่าคนอื่นแถวนี้จะไม่พอใจเอา
ฟาร์มาเองก็แอบคิดว่าระหว่างเมเลเน่กับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ใครจะอาการหนักกว่ากันนะ แต่ก็เก็บเอาไว้ในใจไม่พูดออกไป
เมเลเน่กับกลุ่มของเธอนั้นค่อนข้างจะดึงดูดสายตาคนในเมืองหลวงพอสมควร แต่พอพวกเขาเห็นว่าเธอมากับฟาร์มาก็เลยโล่งใจไปส่วนหนึ่งและพยายามไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรมาก ดูเหมือนว่าภาพลักษณ์ของฟาร์มาในฐานะเจ้าของร้านขายยาต่างโลกกับแพทย์โอสถหลวงจะช่วยรับประกันได้ระดับหนึ่ง
จากนั้นพวกเขาก็เดินไปตามเมืองเพื่อดูสภาพการใช้ชีวิตของชาวเมือง จนถึงพระราชวัง
「ที่นี่คือวังที่จักรพรรดินีเอลิซาเบทอาศัยอยู่ครับ จะเห็นได้ว่ามีสวนและตำหนักขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละจุดก็มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมที่งดงามรวมไปถึงการตกแต่งภายในที่ประณีต จากผลงานของช่างฝีมือกว่า 50000 ชีวิตตลอดหลายทศวรรษตามคำสั่งของจักรพรรดิองค์ก่อนๆ จะเห็นได้ว่าตัวอาการและการจัดสวนจะมีสไตล์เป็นรูปแบบเดียวกัน ส่วนการตกแต่งภายในนั้น…..」
ฟาร์มารับหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ไปในตัว เนื่องจากเขาเองก็ทำงานอยู่ที่วังตั้งแต่โลกเก่าเมื่อมีงานเลี้ยงเขาก็มักจะเป็นคนคอยรับรองแขกที่มาในญี่ปุ่นอยู่แล้ว พอมาโลกนี้เขาก็คอยอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวังให้แขกในฐานะแพทย์โอสถหลวงด้วย
「อาคารแบบนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นงั้นเหรอ? ฉันขอไปดูจากบนท้องฟ้าได้ไหม? 」
จากนั้นเมเลเน่ก็เริ่มทำการอัญเชิญนกออกมาจากรูปวาด ฟาร์มาจึงรีบเข้าไปหยุดเธอทันที
「อย่าบินเด็ดขาดเลยนะครับ ไม่งั้นคนในเมืองได้วุ่นวายกันแน่」
「อะไรกัน นายก็ยังทำได้เลยนี่ แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้」
เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่! แต่มันก็ไม่ได้โจ่งแจ้งขนาดนี้เพราะตอนฟาร์มาบินเขามักจะซ่อนตัวอยู่ตามเมฆ จึงทำให้คนในจักรวรรดิมองไม่เห็นเขา
「ตอนผมบินผมไม่ให้ใครเห็นสักหน่อย! อย่างน้อยหากจะบินทั้งทีก็ควรมีความรับผิดชอบหน่อยสิ สามัญสำนึกน่ะครับ สามัญสำนึก!」
แล้วฟาร์มาก็ต้องมาปวดหัวกับความไม่สนสิ่งใดของเมเลเน่ต่อ
เนื่องจากคนที่สัญจรไปมา ต่างเปิดทางให้กับพวกเขา การเดินทางในจุดแออัดจึงค่อนข้างราบรื่น ท้ายที่สุดก็เลยไปยังจุดที่นัดพบกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ง่ายดาย ส่วนทางคลาร่าเองก็มีสิทธิ์ในการเข้าออกวังอยู่แล้วจึงตามมาด้วยได้สบาย
「แต่คนปกติเขาบินกันไม่ได้สักหน่อยค่ะ เล่นเอาเสียความมั่นใจไปเลย….」
ส่วนคลาร่าก็ยังคงมืดมนเช่นเดิม
เพราะในบรรดาคนที่มาในกลุ่มนี้ทั้งหมด เหมือนจะมีแค่คลาร่าคนเดียวที่ไม่สามารถบินไปบนท้องฟ้าได้
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้เชิญเมเลเน่กับคนอื่นๆ มายังที่พักลับซึ่งซ่อนอยู่ในวังอีกที แถมเป็นของที่สร้างขึ้นมาใหม่ๆ ด้วย
โดยเป้าหมายคือใช้เป็นที่รับแขก
แต่สุดท้ายผู้ติดตามของเมเลเน่ก็แยกย้ายไปชมวังแทน ดังนั้นจึงเหลือเมเลเน่คนเดียวที่เข้าพบเอลิซาเบท
(ในที่สุดก็จะได้เห็นที่พักของฝ่าบาทซึ่งแอบสร้างไว้สักที)
ฟาร์มาที่เห็นภาพตรงหน้าก็ชวนให้นึกถึงอาคารบนโลกของเขาด้วยความคิดถึง มันช่างคล้ายกับเปอตี ตรีเอนอนที่พระนางมารี อ็องตัวเนตชื่นชอบ
ตรงกันข้ามกับการตกแต่งภายในสไตล์โรโกโกที่ดูหรูหรา ตรงตำหนักนี้มีทะเลสาบเทียมที่ชวนให้นึกถึงธรรมชาติและสามารถเพลิดเพลินไปกับวิถีแห่งชนบทได้อย่างสบายใจ
แล้วก็มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งดูจากลักษณะนิสัยแล้วช่างไม่เหมาะกับบรรยากาศของสถานที่ที่แสนงดงามนี้จริงๆ คอยอยู่
「กว่าจะมาถึงได้นะ เมเลเน่」
พอจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แสดงรอยยิ้มที่เป็นมิตรออกไป เมเลเน่กลับแสดงสีหน้าบูดบึ้งออกมาแทน
「ก็ต้องแบกหน้ามาให้เธอเห็นสักหน่อยนี่นะ ว่าแต่อยู่บ้านหลังใหญ่พอตัวเลยนี่!」
พอเห็นว่าเมเลเน่แสดงท่าทีที่ไม่ได้เคารพเลยสักนิด มหาดเล็กของเอลิซาเบทก็เลยแอบตกใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไหม
「ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เรื่องขบขันของเพื่อนคุยกันน่ะ เจ้าไปรอข้างนอกเถอะ」
จักรพรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์คงรู้ว่าหากให้เขาอยู่ตรงนี้ต่อคงได้วุ่ยวายจริงๆ แน่จึงสั่งให้เขาออกไปเสียก่อน
「จำไม่เห็นได้ว่าพวกเราเคยนับเป็นเพื่อนกันด้วยนะ」
「อย่าจริงจังนักเลยน่า ที่นี่ก็เป็นบ้านของเราเองไม่สิ ไม่ใช่แค่บ้านแต่เป็นศูนย์กลางของอำนาจบริหารแห่งจักรวรรดิ เลยเชียวนะเอ้อ ด้วยสถานที่เพียงเท่านี้แต่กลับมีอำนาจล้นฟ้า เป็นไงเล่า」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์มองออกไปยังลานกว้างและวางมือบนเอวของตัวเองด้วยความมั่นใจ
เมเลเน่ก็แอบอึ้งกับท่าทางของเธอพอสมควร
「ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าเธอไม่คิดจะแบ่งปันอำนาจและความมั่งคั่งนี้ให้กับคนรอบตัวบ้างเลยหรือไงนะ หากพวกเราสามารถกระจายความมั่งคั่งเหล่านี้ไปยังคนในประเทศอย่างเท่าเทียมกันแล้ว หากเธอเป็นอะไรไปขึ้นมาความเดือดร้อนของคนข้างหลังก็จะน้อยลงไปด้วย ลองคิดถึงเรื่องการกระจายความมั่งคั่งบ้างเถอะ」
เอลิซาเบทที่ได้ฟังแบบนั้นก็เหมือนจะชื่นชอบคำพูดของเมเลเน่พอสมควร
จากนั้นพวกเธอก็ไปนั่งกันที่โต๊ะแล้วเริ่มเลือกหาเครื่องดื่มเพื่อดับกระหาย
「จะคุยกันทั้งแบบนี้ก็ยังไงอยู่ อยากจะดื่มอะไรหน่อยไหม? 」
「ก็เอาสิ」
แล้วน้ำผลไม้คั้นสดก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
จากนั้นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มคุยเกี่ยวกับแนวคิดให้เมเลเน่ฟัง
「เจ้ารู้เกี่ยวกับงานโครงการสาธารณะขนาดใหญ่บ้างหรือไม่? แค่งานก่อสร้างพระราชวังก็สามารถสร้างงานและค่าตอบแทนให้กับช่างฝีมือที่กำลังมองหางานในเมืองหลวงจักรวรรดิได้เป็นจำนวนมากแล้ว และพวกเขาก็ได้รับเงินทองมากมายไปเลี้ยงดูครอบครัวลูกๆ ของเขา แล้วเด็กพวกนั้นก็จะกลายมาเป็นแรงงานที่สืบทอดทักษะจากพ่อแม่ของตน ก่อนจะส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้เติบโตต่อเนื่องด้วย ข้ามองว่านี่ก็เป็นหนึ่งในรูปแบบการกระจายความมั่งคั่งที่ยั่งยืนออกนะ」
「ฉันไม่ค่อยเข้าใจแนวคิดนี้หรอก เพราะในเผ่าของฉันแต่ละคนไม่มีอาชีพถูกกำหนดตายตัว」
เมเลเน่ส่ายหัวไปมาเหมือนไม่ค่อยเข้าใจตามประสาเด็ก ก่อนจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นและพูด 「ถึงอาจจะดูเหมือนคนแก่สอนเด็กไปบ้างก็เถอะ」
「แต่ทางเจ้าเองก็มีอาณาจักรที่เริ่มเติบโตนับจากนี้ต่อไป เมื่อหมู่บ้านชนเผ่าเริ่มขยายตัว มันก็จะกลายเป็นเมือง และหากยิ่งใหญ่ขึ้นก็จะกลายเป็นประเทศ เมื่อถึงเวลานั้นผู้คนก็จะเริ่มมีการแบ่งบทบาทและอำนาจในแต่ละท้องที่มากยิ่งขึ้น การปกครองนับจากนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ」
「หื้ม」
แม้เมเลเน่จะยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่เธอก็พยายามตั้งใจรับฟัง
「หากเจ้าต้องการในคะแนนนิยม นโยบายที่ดีที่สุดก็คือประชานิยม เพียงแค่กระจายความมั่งคั่งและส่งเสริมการบริโภคให้กับผู้คนก็จบแล้ว อย่างไรก็ตามอาณาจักรเช่นนั้นไม่สามารถคงอยู่ไปได้นานนักและคงจบลงที่รุ่นเจ้านี่แหละ เพื่อให้มั่นใจว่าอาณาจักรของเจ้าจะอยู่ไปได้อีกร้อยอีกพันปี เจ้าจะต้องสร้างแผนผังวงจรให้ประชาชนของเจ้าสามารถใช้ชีวิตพึ่งพาตัวเองได้ผ่านระบบที่เจ้าวางเอาไว้ นอกจากนี้การแสดงความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและกองกำลังของประเทศก็จะสามารถช่วยลดความขัดแย้งต่างๆ ได้อีกมาก นับตั้งแต่เราขึ้นครองบัลลังก์ จักรวรรดิแห่งนี้เองก็ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับผู้รุกรานทั้งภายในและภายนอกมาก่อนเลย」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้เริ่มแสดงแนวคิดทางการเมืองของเธอภายใต้ระบบจักรวรรดินิยมให้ฟัง
「แค่ใช้กำลังรักษาอำนาจไว้ก็พอแล้วนี่? 」
「นั่นมันก็จริง แต่ตำแหน่งจักรพรรดิของเรานั้นไม่ได้มาจากการสืบสายเลือด ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นไว้ตั้งแต่แรก ผู้คนต่างเฝ้ามองการกระทำของเราเสมอขณะที่เราอยู่บนบัลลังก์ เราต้องตระหนักไว้เสมอว่าคมดาบที่เรียกว่าเสียงของประชาชนนั้นสำคัญมากแค่ไหนด้วย หากอำนาจแห่งจักรพรรดิอ่อนแอลงเมื่อไหร่ พวกสิงโตหนุ่มก็พร้อมจะแย่งชิงบัลลังก์นี้ได้เสมอ แล้วประชาชนที่ไม่พอใจกับการใช้กำลังก็ย่อมสนับสนุนพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นการท้าทายชิงบัลลังก์นั้นหากมีการลอบสังหารเกิดขึ้นก็ไม่ถูกนับว่าเป็นอาชญากรรมเสียด้วย ดังนั้นหากผู้ใดปรารถนาจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหลังสละบัลลังก์ ก็ไม่ควรจะเข้าไปฝักใฝ่การปกครองแบบเผด็จการ แนวทางที่ดีที่สุดคือการรักษาสมดุลอำนาจและครองใจประชาชนไว้ให้ได้」
「………การเป็นจักรพรรดิของประเทศนี้ดูยุ่งยากกว่าที่คิดนะ ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าพอรู้แบบนี้แล้วมีใครยังอยากจะเป็นกันอีกไหม」
แบบนี้เองสินะ ฟาร์มาเริ่มตามบทสนทนาไปด้วย
จะว่าไปฟาร์มาก็ไม่เคยคุยกับเมเลเน่เรื่องปรัชญาการเมืองมาก่อน อาจจะเพราะส่วนหนึ่งมันไม่ใช่งานหรือหน้าที่ที่เขาต้องสนใจ
「จะว่าไปทางเจ้าเองพอรับตำแหน่งผู้นำมาก็จะถูกคำสาปสลักเอาไว้บนตัวด้วยนี่ ท่าทางบทบาทหน้าที่ที่เจ้าได้รับมาคงจะสาหัสจริงๆ แถมอายุเหมือนจะไม่ยืนด้วยใช่หรือไม่? 」
「นั่นสินะ แต่ฉันก็ฝากเรื่องนั้นทั้งหมดไว้กับฟาร์มาแล้วนี่สิ」
ฟาร์มาถึงกับผงะเมื่อได้ยินชื่อของตนถูกเอ่ยขึ้น
「คำสาปแห่งปาติกากาก็หายไปแล้ว ร่างกายของฉันก็สบายตัวขึ้นเยอะ หลับก็เต็มอิ่ม รากเหง้าแห่งความว่างเปล่าก็เสียไปแล้ว ชะตาที่อาจจะอายุไม่ยืดก็หายไปด้วย จากนี้ก็คงได้ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ขึ้นบ้างแหละ」
น้ำเสียงที่เธอใช้นั้นไม่ได้มีความอาฆาตอยู่เหมือนกับที่เขาพบเธอในตอนแรก
คงจะต้องพูดว่าปัญหาที่ชวนให้เธอหนักใจมานานมันได้รับการแก้ไขหมดแล้ว คมเขี้ยวที่เธอเคยมีก็เลยหายไปด้วย
ฟาร์มาก็เลยมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้เล็กน้อย
แต่ฟาร์มาก็เห็นด้วยตรงที่หากมีใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาภาระที่ตนแบกอยู่ได้ก็คงจะดี
พอเริ่มมีการพูดคุยที่เสียงดังขึ้นหลุยส์ซึ่งอยู่ห้องข้างๆ ก็แอบจ้องมองมาทางพวกฟาร์มา
จังหวะก็กำลังดี ฟาร์มาก็เลยออกไปต้อนรับหลุยส์ให้เข้ามาภายในนี้ด้วย
「อ้าว มีแขกมางั้นหรือ? นางผู้นี้คือใครกันท่านแม่? 」
หลุยส์เดินเข้ามาพร้อมกับแกว่งไม้บิลเลียดไปด้วย
「แขกน่ะ」
「แม่? เดี๋ยวก่อนนะ! นี่เธอมีลูกกับเขาด้วยเหรอ!」
เมเลเน่ถึงกับตกใจก่อนจะชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างเอลิซาเบทกับหลุยส์
「ก็ใช่น่ะสิ ทำไมหรือ? 」
จากนั้นเมเลเน่ก็พูดราวกับคนไม่ได้สติ
「นี่เธอเอาจริงเหรอ เป็นผู้นำแต่มีลูกเนี่ยนะ!」
「แล้วมันแปลกตรงไหนกัน? 」
ท่าทางเมเลเน่จะเจอเคาเจอร์ช็อคไปแล้วหนึ่งดอก
「ก็หากผู้นำมีลูก ลูกของพวกเขาก็จะกลายเป็นเป้าสังหารของเผ่าอื่นนี่นา」
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่มีคู่ครองมาจนถึงทุกวันนี้ เมเลเน่บอก
「การสืบทอดบัลลังก์จักรวรรดิไม่ได้มาด้วยสายเลือด หลุยส์ไม่เป็นไรหรอก」
หลังจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์บอกแบบนี้ไป ฟาร์มาก็เริ่มนึกถึงประวัติศาสตร์ของโลกเขา จะว่าไปก็เกิดเรื่องอย่างการลอบสังหารทายาทผู้นำอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เพราะการสืบทอดอำนาจในโลกเขามันผ่านสายเลือด
(พวกทายาทของราชวงศ์มักจะถูกลอบสังหารหรือวางยาพิษบ่อยครั้ง อย่างลูกของประธานาธิบดีหลายประเทศก็ตกเป็นเป้าเรียกค่าไถ่บ่อยๆ ด้วย)
「แบบนี้นี่เอง แบบระบบที่ยอดเยี่ยมจนน่าประหลาดใจจริงๆ 」
เมเลเน่แสดงสีหน้าราวกับกินแมลงขมเขาไปในปากขณะพูดชม
「แต่เราก็ไม่ได้คิดว่ามันคือระบบที่ดีที่สุดหรอก แต่เมื่อพิจารณาถึงผู้คนในประเทศแล้วระบบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก ทว่าสุดท้ายการจะมายืนอยู่ตำแหน่งนี้ได้ก็ต้องเป็นผู้ทรงอำนาจทั้งทางกองกำลังและอาวุธ หากเราไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาของประชาในยามศึกได้ พวกเขาก็พร้อมจะผลักไสเราไปอยู่ดี」
「นั่นสินะ เพราะพวกผู้นำส่วนมากก็มักจะกลัวโดนกบฏกันนี่นา」
「เพราะแบบนั้นเราก็เลยไม่สามารถเผยจุดอ่อนให้ใครเห็นได้ไง」
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยิ้มออกมาแล้วหัวเราะเบาๆ เหมือนพยายามปกปิดความหนักอึ้งของสิ่งที่เธอแบกไว้
「สีผมของเจ้าเราไม่เคยเห็นมาก่อนเลยแปลกจัง ว่าแต่มาเล่นบิลเลียดกันไหม
? 」
หลุยส์ที่ยื่นนิ่งมาได้สักพักก็ดันชวนเมเลเน่เล่นบิลเลียดแบบไม่สนบรรยากาศอะไรเลย
โนอาห์ที่อยู่ด้านหลังก็พยายามจะดึงหลุยส์ออกจากห้องไป ก่อนจะบ่นไปด้วยว่า ทรงอ่านบรรยากาศหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ แต่ทางเมเลเน่กลับเอียงคอประหลาดใจเพราะสิ่งที่หลุยส์พูดออกมาวิญญาณของเธอแปลมันไม่ออก
「สิ่งที่เรียกว่าบิลเลียดคืออะไรกัน ฉันแปลไม่ออก」
「มันเป็นการแข่งขันที่ใช้ไม้กับลูกบอลในการหาว่าใครคือผู้ที่จะแทงลูกบอลได้แม่นยำกว่ากันน่ะ」
หลุยส์ยังคงอธิบายต่อไปในขณะที่เขาถูกโนอาห์พยายามลากตัวออกไป
ความกล้าหาญของหลุยส์ที่ยังสามารถชวนเล่นได้ในบรรยากาศแบบนี้ช่างน่าประทับใจจริงๆ
「เอาล่ะ องค์ชายเดี๋ยวกระหม่อมว่าเราไปข้างนอกกันดีกว่า! เดี๋ยวกระหม่อมจะเป็นเพื่อนเล่นให้พระองค์เอง」
โนอาห์พยายามอย่างสุดชีวิต แต่หลุยส์ก็พยายามจะดิ้นให้หลุด
「น่าสนใจดีนี่ ฉันเอาด้วย!」
「เอ๋? 」
ฟาร์มากับโนอาห์มองหน้ากันราวกับเจอเรื่องเกินคาด
แล้วทางเอลิซาเบทก็ยื่นไม้บิลเลียดให้เมเลเน่
「นี่ไม้โปรดเราเลยนะ」
จากนั้นไม่นานเมเลเน่ที่เข้าท้าทายองค์ชายก็ได้พ่ายแพ้ ทางฟาร์มาก็ทำได้เพียงยืนดูด้วยความอึดอัดใจ
「น่าเสียดายนะ แต่ผมว่าเราหยุดก่อนดีกว่าไหม」
หลังจากพ่ายแพ้ไป 3 เกมติด ฟาร์มาก็ขอให้เมเลเน่ยอมแพ้คราวนี้ไปก่อน
「ทุกคนกลับมาแล้วด้วย เดี๋ยวเราต้องไปกันต่อนะ」
บรรดาผู้ติดตามของเมเลเน่ก็กลับมากันแล้ว ก่อนจะมองดูเมเลเน่เล่นบิลเลียดอย่างสนใจ
「นายกำลังพูดะไรกัน! มันต้องสู้จนกว่าชนะสิ!」
「แต่จะให้องค์ชายเล่นบิลเลียดยาวมากกว่า 3 ชั่วโมงมันก็คงจะ…」
หลังจากพ่ายแพ้ไปอีกเกม หลุยส์ก็เริ่มบ่นว่าฝั่งเมเลเน่อ่อนแอเกินไปจนเกมน่าเบื่อแล้วเลิกเล่น
「ไว้ครั้งหน้า ฉันจะตบนายให้จมดินเลยคอยดู!」
เมเลเน่บ่นออกมา แต่เหมือนทางหลุยส์จะไม่ได้ใส่ใจอะไร
「คือว่า อยากเอาโต๊ะเล่นกลับไปด้วยไหม? 」
ฟาร์มาเสมอชุดเล่นบิลเลียดให้เมเลเน่ชุดหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นของขวัญก็คงไม่ผิดนัก
「ยังไงองค์ชายก็เกมบิลเลียดมาก มือใหม่คงทำอะไรไม่ได้หรอก」
หลุยส์เกลียดการฝึกศาสตร์แห่งเทพ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะกลายมาเป็นจักรพรรดิได้ ขนาดจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ยังบอกเองเลยว่า เปล่าประโยชน์ที่จะฝึกฝนเขาซึ่งขาดทั้งแรงจูงใจและความสามารถด้านศาสตร์แห่งเทพ
เมื่อพูดถึงศาสตร์แห่งเทพหลุยส์อาจจะดูสิ้นหวัง แต่หากมองไปยังการเล่นบิลเลียดที่เขาฝึกฝนกับอาจารย์สอนอย่างแข็งขันแล้ว ฟาร์มามองว่าอนาคตในวงการนี้ของเขาคงสดใส
「ฟาร์มานายเคยเอาชนะเด็กนี่ได้ไหม? 」
「หากเป็นตอนนี้ก็ไม่แล้ว ยังไงการฝึกฝนอย่างเป็นประจำก็สำคัญนี่นา」
สำหรับฟาร์มาบิลเลียดคือความบันเทิงที่เล่นเอาสนุก แต่พักหลังๆ ถึงจะเอาจริงก็ไม่สามารถเอาชนะหลุยส์ได้แล้ว
「เป็นเด็กที่น่าทึ่งจริงๆ 」
「ผมว่าเธอน่าทึ่งมากกว่าอีกนะที่ขี่ของแบบนั้นได้」
ขณะนี้เมเลเน่ได้ออกมาเยี่ยมชมสวนภายในวังแทน โดยมีพาหนะที่ยืมมาจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
ระหว่างที่ฟาร์มาพูด เมเลเน่ก็ลูบแผงคอของสัตว์ตนนั้นไปด้วย
「สงสัยว่ามันเป็นสัตว์แบบไหนก็เลยอยากลองขี่ดูเฉยๆ เท่านั้นเอง」
ใช่แล้วมันคือสิงโต
ฟาร์มา คลาร่ากับคนของเผ่าไมราก้าปฏิเสธการขี่สิงโตและเลือกเดินไปแทน
แต่กลับกันเมเลเน่ได้ใช้วิญญาณสื่อสารกับสิงโต ผลลัพธ์คือสิงโตเหมือนจะฟังคำสั่งของเธอมากกว่าเอลิซาเบทเสียอีก
(ดูสิงโตจะเชื่องมากกว่าเจ้าจริงๆ ของมันเสียอีก)
ฟาร์มาแอบประทับใจในความกล้าหาญของเมเลเน่ที่เข้าเผชิญหน้ากับสิงโตอย่างไม่ลังเล สำหรับเมเลเน่แล้วดูเธอจะถูกใจกับสิ่งที่เจอมากกว่ากลัวเสียอีก
「ได้เห็นของดีเข้าแล้วสิ โดยเฉพาะสิ่งนี้」
เมเลเน่หยุดสิงโตเมื่อเดินมาถึงหน้าน้ำพุขนาดใหญ่
「น้ำพุเหรอ」
มันคือน้ำพุขนาดใหญ่ภายในวังที่ควรค่าแก่การชื่นชมจริงๆ
โดยรอบๆ น้ำพุนั้นก็จะมีรูปปั้นคล้ายกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย
「ถ้าคุณชอบ ก็นี่เลย」
ฟาร์มาได้ซื้อพวกโปสต์การ์ดของสถานที่มีชื่อเสียงภายในวังกับภาพของเอลิซาเบทไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเขาจึงมอบของพวกนี้ให้กับเมเลเน่และคนของเธอ
ดูจะเหมาะกับการเก็บไว้เป็นของฝากคนอีกทวีปแถมใช้ตกแต่งห้องได้ด้วย
「ขอบใจ ฉันชอบมันมากจริงๆ 」
ดูท่าพวกเธอจะชอบมันจริงๆ
「ว่าแต่ ทำไมน้ำมันถึงไหลจากที่ต่ำไปสูงได้กัน? มันเป็นมนตร์ชนิดไหนหรือเปล่า? 」
「มันเป็นปรากฏการณ์เฉยๆ น่ะ โดยใช้ประโยชน์จากกลไกที่น้ำไหลจากที่สูงไปยังที่ต่ำ แรงดันน้ำที่ถูกปล่อยมายังจุดนี้จะใช้ความสูงที่แตกต่างกันของน้ำพุกับอ่างเก็บน้ำ จนทำให้น้ำมันพุ่งขึ้นมาแบบนี้ไง」
「อื้ม….ถ้าทางฉันอยากจะทำบ้างคงต้องพึ่งพลังของวิญญาณแทน」
ฟาร์มาก็เลยให้คำแนะนำกับเมเลเน่ไป เผื่อเธออยากจะไปลองสร้างเองบ้างขณะชื่นชมความงดงามของสวนในวัง
「นอกจากนี้อย่าเรียกวิญญาณขึ้นมาที่ดินแดนแห่งนี้นะครับ เพราะแถวนี้มีพวกตัวอันตรายอยู่เยอะ」
พูดถึงภูมิหลังของบริเวณนี้ก็มีเรื่องอย่างสถาปนิกฆ่าตัวตายในน้ำพุเพราะมาทำงานสาย แน่นอนว่าฟาร์มาไม่เคยพบเขามาก่อน แต่จากที่ได้ยินคนเล่ากันเหมือนเขาจะมีรูปร่างหน้าตาประหลาดนิดหน่อย
「ฉันไม่มีความผูกพันหรือพันธะกับดินแดนแห่งนี้ คงไม่สามารถเรียกวิญญาณบรรพบุรุษมาได้อยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าฉันจะลืมกราบไหวเคารพพวกเขา และส่งคำขอบคุณไปให้พวกเขาหรอกนะ เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกฉันควรเป็นและควรทำ」
(อย่าพูดให้ชวนนึกถึงคนญี่ปุ่นได้ไหม…)
ฟาร์มารู้สึกคุ้นเคยกับคำพูดทำนองนี้แปลกๆ
「แต่จากที่นายพูดมา ทวีปนี้มันต้องสาปชัดๆ การที่มีวิญญาณร้ายอยู่มากมาย ไม่ใช่ว่าพวกนายปฏิบัติกับวิญญาณบรรพบุรุษของพวกนายย่ำแย่หรอกนะ」
พอฟาร์มาถูกถามมาแบบนี้ก็พูดอะไรไม่ออก
ก็เป็นเรื่องจริงที่ผู้คนในทวีปนี้เชื่อในเทพผู้พิทักษ์ แต่พวกเขาก็กลัวพวกคนที่ตายแล้วกลายเป็นวิญญาณร้ายด้วย
หลังจากลองมาคิดๆ ดูแล้วมันก็มีความเป็นไปได้ว่าหากผู้คนเคารพในดวงวิญญาณและบูชาพวกเขา จักรวรรดิอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวในวิญญาณร้ายก็ได้
(ไม่สิ คงเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเราเองก็รู้สึกแปลกๆ ว่าวิญญาณของทวีปนี้มันมีอะไรสักอย่าง จะเป็นผลพวงจากเทพผู้พิทักษ์หรือเปล่านะ? )
บางทีการดำรงอยู่ของเทพผู้พิทักษ์อาจจะไปกระตุ้นอะไรบางอย่างของพวกวิญญาณก็ได้ อันที่จริงการที่เขาขับไล่พวกวิญญาณร้ายออกไปจากสถานที่ที่พวกมันอยู่ อาจจะส่งผลร้ายแทน
「คุณสามารถทำให้พวกวิญญาณสงบหรืออะไรทำนองนั้นได้ไหม? 」
「หือ? ก็ทำได้หรอก ถามแบบนี้แปลว่าอยากจะยืมมือสินะ? 」
ฟาร์มาเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์แล้ว
「งั้นเดี๋ยว เราค่อยมาทำข้อตกลงที่เหมาะสมกันอีกทีแล้วกัน」
「เอาสิ แบบนั้นก็ไม่เลว」
แม้เมเลเน่จะประหลาดใจนิดหน่อยที่ฟาร์มาเป็นฝ่ายขอให้เธอช่วย แต่เธอก็ยอมรับอย่างว่าง่าย
(บางทีเมเลเน่อาจจะเป็นกุญแจในการรับมือกับพวกวิญญาณร้ายเลยก็ได้)
คลาร่าที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็เข้ามากระซิบกับฟาร์มาว่า「ดีจังเลยนะคะ」
◆
แล้วก็ถึงช่วงค่ำตามแผน คือมีการจัดงานเลี้ยงที่คฤหาสน์เดอ เมดิซิส
เนื่องจากเป็นโอกาสดีฟาร์มาจึงได้ชวนคนของร้านขายยาต่างโลก โซอี้ โจเซฟีน เอ็มเมอริค และคนอื่นๆ จากมหาวิทยาลัยแพทย์จักรวรรดิมาด้วย
พอเอ็มเมอริคเห็นว่าเมเลเน่กับคนของเธอมีเชื้อชาติที่แตกต่างจากคนของจักรวรรดิอย่างเห็นได้ชัด เขาก็เริ่มเกิดความอยากรู้อยากเห็นจนอยากจะได้DNAของพวกเธอมาวิจัย
「ทนไม่ไหวแล้ว」
「สงบสติลงก่อนเถอะครับ」
พอเห็นว่าเอ็มเมอริคกำลังจะหยิบขวดทดลองออกมา ฟาร์มาก็รีบคว้ามือของเขาทันที
「เรื่องงานวิเคราะห์ของคุณไม่ควรนำมาทำกับแขกของงานเลี้ยงนะครับ」
「นั่นก็จริง แต่ไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่าพวกเขามีบรรบุรุษแบบไหน เหมือนกับพวกเราหรือเปล่า นอกจากนี้สิ่งที่ควบคุมรหัสพันธุกรรมของพวกเขาจะเป็นแบบไหนกัน」
「ไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้ครับ」
「บางทีอาจจะมีสิ่งที่เหมือนกับชีพจรแห่งเทพของพวกเราไหลเวียนอยู่ในร่างกายของพวกเขาด้วยก็ได้นะครับ แค่ผมคิดแค่นี้ก็อยากจะสำรวจมันให้เร็วที่สุดแล้ว คิดดูสิครับหากผมพลาดวันนี้ไปกว่าจะได้เจอพวกเขาอีกก็ตอนไหนไม่รู้ อย่างน้อยขอให้ผมได้เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อในปากของพวกเขาได้ไหมครับ? 」
เอ็มเมอริคถามฟาร์มาด้วยสีหน้าที่จริงจังมาก
มือของเขาก็มีสำลีที่พร้อมเอาไว้เก็บตัวอย่างเซลล์เยื่อบุในช่องปาก แต่ก็โดนฟาร์มายึดไว้ทันที
「พักก่อนครับ พักก่อน! ถึงอยากจะทำขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาครับ นอกจากนี้ก็ควรขอความยินยอมจากอีกฝ่ายก่อนด้วย แถมทางนั้นเป็นผู้เยาว์ยิ่งไปใหญ่เลย」
เรื่องเอกสารการยินยอมบริจาคยีนและตัวอย่างการทดลองที่ฟาร์มาย้ำกับเอ็มเมอริคนั้นเข้มงวดมาก ผู้ที่บริจาคจำเป็นจะต้องเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและยินยอมจริงๆ เท่านั้น
「นั่นคือสิ่งที่พวกเราคุยกันไว้ไม่ใช่หรือไงครับ」
「แต่ใครมันจะไปต้านทานไหวกันครับ ความรู้สึกที่เหมือนเจอรักแรกพบนี่ ศาสตราจารย์ไม่รู้สึกถึงมันเลยเหรอครับ? 」
「เอ๋? ก็แน่สิครับ ใครจะไปเคยรู้สึกแบบนั้นกัน」
ฟาร์มาตกใจจนเกือบจะล้มตัวลงเลยทีเดียว
「อะไรกัน」
จากนั้นฟาร์มาก็มองไปทางลอตเต้ เอเลน โจเซฟีนกับคนอื่นๆ ก็พบว่าพวกผู้หญิงเหมือนจะสนิทกันไวอย่างน่าเหลือเชื่อ
เมเลเน่กับคนอื่นๆ ได้ลองชิมไวน์เป็นครั้งแรกตามคำแนะนำของเอเลน และเหมือนจะเริ่มพูดคุยแบบไม่เกร็งแล้ว
「ดะ เดี๋ยวก่อนะ! เมเลเน่คุณเคยดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนไหม? 」
ฟาร์มาเริ่มกังวลเกี่ยวกับภาวะเป็นพิษแอลกอฮอล์เฉียบพลัน
「ฉันทำพวกไวน์ผลไม้ดื่มกันอยู่แล้ว แต่วิธีการก็ประมาณว่าผสมหลายๆ อย่างเข้าด้วยกันแล้วบ่มมันแหละนะ」
「ไม่ใช่ครั้งแรกของคุณหรอกเหรอครับ? แต่ว่ามันจะดี….」
ผู้เยาว์ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ฟาร์มาอยากจะพูดออกไปเพราะตัวเขาเองก็ปฏิบัติตามหลักนั้นด้วย
「ไวน์ที่ไม่มีอะไรเจือปนเลยนี่รสชาติน่าสนใจริงๆ 」
เมเลเน่ดูจะติดใจเข้าแล้ว
「ฉันจะซื้อกลับไปด้วย」
「เห็นด้วยเลย」
แล้วงานปาร์ตี้ก็ดำเนินต่อไปอย่างคึกคัก ไฮไลน์ของงานก็คงจะเป็นวงออร์เคสตราประจำราชสำนัก
การส่งวงดนตรีประจำราชสำนักที่มีสมาชิกมากที่สุดและมีประสบการณ์มากที่สุดไปยังตระกูลเดอะ เมดิชีเป็นการส่วนตัวถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญกับตระกูลนี้มากแค่ไหน
แม้ผู้ติดตามของเมเลเน่จะไม่เข้าใจภาษาจักรวรรดิจึงไม่สามารถพูดคุยกับคนของทางนี้ได้มากนัก แต่เสียงดนตรีนั้นไร้พรมแดน จนเห็นว่าบางคนก็เริ่มร้องรำทำเพลงเต้นไปกับพวกคนของร้านขายยาผ่านภาษากายแทน
พวกที่เก่งเครื่องเพอร์คัชชันก็ยืมกลองทิมปานีจากวงออเคสตรามาเล่น ส่วนทางด้านเมเลเน่ก็มาในแนวร้องแบบอะแคปเปลลา ก่อนจะปรบมือและกระทืบเท้าไปมา จนทำให้เหล่าวงออเคสตราประจำราชสำนักเกิดแรงบัลดาลใจใหม่ขึ้น แล้วเริ่มบรรเลงร่วมทันที
จากนั้นไม่กี่นาที ก็เกิดการผสานเซลชั่นดนตรีข้ามชาติขึ้น ต้องขอบคุณในความสามารถของพวกเขาจริงๆ ที่สามารถด้นสดจนออกมาดีได้ขนาดนี้
「นั่นมันอะไรกันน่ะ ให้ความรู้สึกแปลกใหม่จริงๆ หรือว่ายุคสมัยใหม่กำลังจะเกิดขึ้นกันนะ!」
「ันั่นสิคะ! เป็นเพลงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ!」
เอเลน ลอตเต้ กับคนอื่นๆ ดูจะถูกใจเอามาก
ส่วนทางฟาร์มานั้นไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เพราะเพลงแนวฟิวชั่นนั้นเขาได้พบเจอมันมานานแล้ว แต่สำหรับยุคสมัยนี้ก็นับว่าเป็นการปฏิวัติทางดนตรีได้จริงๆ
「แบบนี้ไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบไปแต่งเพลงใหม่!」
หัวหน้าวงออเคสตราได้คว้าปากกากับกระดาษแล้ววิ่งหายไปที่ไหนสักแห่ง
การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนี่มันดีงามจริงๆ
จากนั้นพวกเขาก็เพลิดเพลินกับบอร์ดเกมและโบว์ลิ่งต่อ
เพื่อแสดงความขอบคุณในการต้อนรับคราวนี้ พวกเมเลเน่ก็เลยใช้วิญญาณเข้าไปในรูปภาพครอบครัวตระกูลเดอ เมดิซิสแล้วทำให้ภาพนั้นเคลื่อนไหวออกมาจากกรอบได้
(ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะสร้างโรงภาพยนตร์ 4DX ขึ้นมาได้จริงๆ เลยแฮะ)
เนื่องจากฟาร์มาเองก็ไม่ได้ดูแอนิเมชั่น 4DX มานานแล้ว เขาจึงปรบมือชื่นชมไปด้วย
「ภาพที่เคลื่อนไหวได้แบบนี้ คงสร้างคลื่นลูกใหญ่ให้จักรวรรดิแน่」
เอเลนแสดงความเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ตื่นตาตรงหน้าเธอ
「อ-เอาอีกค่ะ เอาอีก」
ลอลเต้ที่เป็นจิตรกรหลวงเหมือนจะตื่นเต้นมากกว่าใครเพื่อน
「คิดดูสิ หากรูปของคนที่จากไปหรือคนที่เรารักสามารถเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตอยู่ได้….ผมมั่นใจว่าคงไม่คนจำนวนมากอยากได้มัน」
ฟาร์มามองว่ามันมีความเป็นไปได้ในการใช้งาน
「แล้วบางทีก็อาจจะสร้างภาพคู่รักที่กำลังเล่นซุกซนกันอยู่…..ได้สินะคะ? 」
ดูเหมือนว่ารีเบคก้าจะถูกสับสวิตช์แปลกๆ เข้าเสียแล้ว
เมเลเน่ที่สังเกตว่าคนของจักรวรรดิดูจะตื่นเต้นกันมากด้วยเหตุผลบางอย่างจึงพูดเสริมออกไป
「แต่ภาพวาดพวกนี้จะเคลื่อนไหวไม่ได้หากขาดผู้ใช้พลังนะ」
「ก็นั่นสินะครับ」
ฟาร์มาก็พอจะเดาๆ ได้อยู่แล้ว แต่หากวิจัยต่อไปโรงภาพยนตร์ได้เกิดขึ้นมาแน่
ไม่นานนักฟาร์มาก็พาเมเลเน่ออกมารับลมตรงระเบียงเพื่อให้เธอสร่างเมาลงบ้าง
「หยุดดื่มได้แล้วมั้งครับ」
「ก็มันอร่อยซะขนาดไหน จะให้ทนไหวได้ยังไงกานนน」
เมเลเน่วิ่งเข้าไปโอบฟาร์มาเอาไว้ ราวกับลืมเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นไปหมดแล้ว
(งานเข้าแน่ หากมีคนมาเห็นเอาตอนนี้)
ฟาร์มาไม่ค่อยชอบรับมือกับคนเมานัก
ยิ่งไปกว่านั้นคงเกิดข่าวลือแปลกๆ ขึ้นมาแน่หากปล่อยไว้แบบนี้ ฟาร์มาเลยพยายามจะห้ามเธอ
ทว่าเมเลเล่กลับหลับตา แล้วเริ่มยกริมฝีปากของเธอเข้ามาใกล้ฟาร์มาเรื่อยๆ จนบรรยากาศรอบๆ มันชักจะเกินเลยไปไกล
「ไปจำผมสับสนกับใครหรือเปล่าเนี่ย ไม่ได้แล้วสิ」
ฟาร์มาจึงทำการใช้พลังสลายสสารกำจัดเอธานอลจากร่างของเมเลเน่
「ด-เดี๋ยวเถอะนี่นายทำอะไรน่ะ! คิดจะทำอะไรแปลกๆ กับฉันตอนเมาสินะ!」
「ก็แย่แล้วครับ! ผมกำลังช่วยรักษาคุณอยู่ต่างหาก!」
แม้จะไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด แต่ฟาร์มาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถูกเมเลเน่ที่มีสติกลับมาอีกครั้งโวยวายใส่
———–
Note 1 : ความชิลก่อนความตึงแน่ๆ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code