Otonari asobi The Story Of How A Beautiful Foreign Student Who Lives Next Door Started To Visit My House After I Helped A Lost Little Girl - ตอนที่ 6.5
otonari asobi เล่ม 2 ch6-5 สาวน้อยผมเงินกับสถานรับเลี้ยงเด็ก
ดูจากคำตอบว่า ความลับ ถึงถามคาดคั้นต่อเธอคงไม่ตอบอยู่ดี
“จะว่าไป วันนี้เอมม่าตั้งแต่กลับจากสถานรับเลี้ยงเด็ก เธอเป็นไงบ้างครับ”
ผมเลือกจะเปลี่ยนหัวข้อคุย พอเป็นเรื่องเอมม่า ชาร์ล็อตก็หันกลับมาสบตาคุยตามปกติ
“ตกใจมากเลยค่ะ ที่กลับมาอย่างร่าเริง”
ถือว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายผมใช่เล่นเพราะคิดว่าน้องไม่น่าจะชินกับสถานที่แปลกถิ่น น่าะจะกลับมาแบบหงอยๆ แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้วล่ะ
ดูเหมือนว่าน้องจะได้เพื่อนใหม่แล้วด้วย
“เพื่อนใหม่เอมม่าชื่อแคลร์วใช่มั้ย เห็นว่าตั้งแต่กลับมาบ้านก็พูดถึงเพื่อนคนนี้ไม่หยุดเลย”
“ใช่ค่ะ เป็นเรื่องที่ดีมากเลยที่เอมม่าไปสถานรับเลี้ยงเด็กวันแรกแล้วได้เพื่อน ชั้นดีใจจริงๆ”
ชาร์ล็อตผุดรอยยิ้มราวกับเป็นคุณแม่ผู้อ่อนโยน ดีใจที่เห็นลูกตัวเองมีความสุข ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เหมือนเป็นพี่น้องกันหนักกว่าเดิม
แต่ก็นะ มันมีเรื่องช่องว่างความต่างของอายุด้วย แถมคนที่เลี้ยงเอมม่าตั้งแต่มาญี่ปุ่นก็เป็นชาร์ล็อต จะให้ความรู้สึกเหมือนเธอเป็นแม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“แคลร์เขาเป็นเด็กนิสัยยังไงบ้างล่ะ ฟังจากเอมม่า รู้แค่คำเดียวว่าเธอน่ารักเท่านั้นเอง”
“เป็นปัญหาเรื่องการสื่อสารไม่แข็งของเอมม่าแหละเลยพูดได้แค่ว่าน่ารัก แต่ชั้นคิดว่าคำว่าน่ารักมันสื่อหลายความหมายและน่าจะไปในทางที่ดีนะคะ”
คงเป็นตามที่ชาร์ล็อตคิดนั่นแหละ เด็กที่พูดญี่ปุ่นไม่คล่อง ได้แค่คาวาอี้ก็ถือว่าเยอะแล้วนะ
“แต่ฟังแล้วเธอคงเป็นเด็กที่น่ารักมากเลยนะ”
“งั้นเหรอ แต่ว่าเด็กเล็กทุกคน ไม่ว่าใครก็น่ารักหมดนะ”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เชื่อได้ว่า โตไปเธอต้องเป็นเด็กที่หน้าตาดีสุดๆแน่เลย แถมการกระทำของเธอก็น่ารักด้วยนะ”
“หมายความว่าไงครับ”
“เธอน่ารักขนาดที่ชั้นบอกว่าให้กลับ แต่เอมม่ายังไม่อยากกลับ อยากอยู่กับน้องคนนั้นต่อน่ะสิ”
“โห ทำให้เอมม่าสนิทกับน้องได้ขนาดนี้ต้องยอมจริงๆ”
แต่ว่าก้มีคำถามในหัวผมที่คิดว่าน่าสนใจ
“ว่าไปถ้าเอมม่ายืนกรานแบบนั้น แล้วน้องกลับมาบ้านได้ไงครับ”
“ค่ะ ตอนแรกน้องก็ไม่อยากจะกลับค่ะแต่พอบอกว่า อาโอยางิคุงรออยู่ที่ห้องนะ เธอก็เดินต้อกแต้กมาหาชั้นเลยค่ะ”
ชาร์ล็อตใช้นิ้วชี้ตัวเอง พลางหัวเราะฮะฮะแจ่มใสออกมาหลังกล่าวจบ
“ก็นะ…อืม พูดได้ว่าสมเป็นเอมม่าจริงๆแฮะ”
“เอมม่าถึงขั้นปล่อยมือน้องแคลร์แล้วรีบเดินมาหาเลยนะคะ”
“ม่า แต่ว่าไปปล่อยมือน้องเแคลร์เลย อนาคตพวกเด็กๆคงไม่เกิดปัญหาอะไรหรอกนะ”
“อืม พูดยากนะคะ สำหรับเอมม่า เวลาเธอทำอะไร เธอไม่รู้ด้วยสิว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี”
ไม่แปลกนะ ก็ความเอาแต่ใจของน้องก็ระดับศูนย์กลางจักรวาลย่อมๆเลย
คุณชาร์ล็อตเองก็คงรู้ดีในเรื่องนี้ ผมคิดว่าเธอควรจะเตือนน้องเขาบ้าง แต่พอคิดอีกที ก็รู้แหละว่า น้องเอมม่าอ้อนและเล่าเรื่องให้ฟังกันสองคน มันก็เป็นสายสัมพันธ์ที่ดี ถ้าไปตำหนิเลย น้องอาจจะไม่อยากอ้อนหรือเล่าเรื่องให้ฟังอีกก็ได้ อย่าดีกว่า
ยังไงเรื่องนี้ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อย่าขยายความให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ พูดในสิ่งที่คิดตอนนี้อาจจะดีกว่า ไม่งั้นคุณชาร์ล็อตอาจจะไม่สบายใจก็ได้
“ต่อจากนี้ผมคิดว่าเอมม่าคงจะได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆมากขึ้น และในบรรดาเรื่องที่เรียน ก็มีเรื่องที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป อนาคตเธอคงเข้าใจได้แหละครับ”
“ถึงจะพูดแบบนั้น..แต่ว่าก่อนที่เธอจะเข้าใจ บางทีเธออาจจะไปทำอะไรผิดพลาดใหญ่โตก็ได้ ชั้นกลัวเรื่องนี้ด้วยค่ะ”
ไม่แปลกที่ชาร์ล็อตจะคิดแบบนี้ แต่ผมก็มองว่าถ้าคนรอบข้างช่วยกันสังเกต เรื่องราวคงไม่ขยายใหญ่โตได้อยู่แล้ว
“ถ้าเอมม่าจังโตกว่านี้เรื่องราวอาจจะใหญ่โตก็ได้ แต่ว่าตอนนี้เธอยังเป็นแค่เด็กตัวน้อยนะครับ ผมว่ายังไม่ต้องกังวลเกินเหตุก็ได้ และถ้าอนาคตจะเกิดเรื่องจริง เดี๋ยวก็ใช้สายสัมพันธ์มิตรภาพแก้ไขปัญหาได้เองแหละครับ”
“อาโอยางิคุง..”
น้ำเสียงชาร์ล็อตสลดลง ใบหน้าซีดเผือดมองมาที่ผม
“…ขอโทษครับ ผมพูดจาเวอร์ไปแหละ”
อุตส่าคิดว่าจะไม่พูดสิ่งที่คิดในใจ แต่สุดท้ายก็ดันพล่ามออกไปซะหมด ผลคือชาร์ล็อตเขาเลยกังวลเลยนี่ไง
ต้องหาวิธีคลี่คลายสถานการณ์ก่อนละ
“ม่า อย่าใส่ใจมากเกินเลยครับ ถ้าเป็นเอมม่าล่ะก็ ผมคิดว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าแน่ และถ้าวันหนึ่งสมมติว่ามีปัญหาเกิดขึ้นจริง พวกเราก็แค่ยื่นมือช่วยเหลือเธอก็จบแล้วครับ”
ชาร์ล็อตฟังจบทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกมา เพียงแค่ส่งยิ้มให้ผม
“นั่นสินะคะ สุดท้าย มีแค่พวกเราที่สามารถทำอะไรได้เพื่อเอมม่า นอกจากนี้ การเชื่อมั่นในตัวเด็กคนนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญด้วยสินะคะ”
“อืม ใช่ครับ ผมคิดว่าแค่เฝ้าดูช่วงเวลานั้นก่อนเกิดปัญหาก็พอ ผมขอโทษด้วยนะครับ ทั้งที่อุตส่าเปิดหัวคุยกันเรื่องสนุกแต่ผมวกกลับเข้ามาพาเครียดแทน”
“ไม่เลยค่ะ ไม่เลย กลับกันเลยค่ะ ดีซะอีกที่อาโอยางิคุงคิดจริงจังเกี่ยวกับเอมม่าต่างหาก””
ชาร์ล็อตที่เจอคำขอโทษจากผม เธอชูมือมาข้างหน้าสองมือตรงระดับสายตาผม เป็นภาษากายปฏิเสธสิ่งที่ผมพูดด้วยความจริงจังสุดๆ ก่อนที่เธอจะเอามือแตะที่อกต้วเอง
“นอกจากนี้ ชั้นดีใจมากเลยค่ะ ที่อาโอยางิคิดถึงเรื่องของพวกเราสองพี่น้องจริงจังถึงขนาดนี้”
“……”
พอพูดจบ ชาร์ล็อตรู้สึกถึงความร้อนทั่วใบหน้า ส่วนผมเองก็ไม่ต่างกัน
“อ๊ะ…เอ้อ ที่พูดไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งนะคะ”
ชาร์ล็อตเห็นผมหน้าแดงเลยรีบโบกมือทั้งสองด้วยท่าทางปฏิเสธสุดพลัง
โอยยย ทั้งเห็นและฟังคำพูดเธอ จะไม่ให้ผมหน้าแดงต่อก็คงยากนะ
“ม..ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่เข้าใจผิดแน่นอน”
ผมเองก็ยกมือหนึ่งมาเสมอใบหน้า ก่อนจะกล่าวพลางหลบตาเธอ
เจอเธอพูดปฏิเสธจริงจังก็แอบแห้งนิดหนึ่งแหละ แสดงว่าที่จูบกันก่อนหน้าก็คงตรงตามความหมายว่าเธอไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งกับผมจริงๆแหละมััง
“ต..แต่ว่าชั้นซาบซึ้งกับสิ่งที่อาโอยางิคุงทำมาโดยตลอดตั้งแต่วันแรกที่เป็นเพื่อนกับเอมม่าแล้วนะคะ”
“เอ่อ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดซาบซึ้งเลยนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เอมม่าไม่เคยสนิทกับใครนอกจากคนในครอบครัวค่ะ เธออยู่ที่เนิสเซอรี่ประเทศอังกฤษก็ยังไม่สนิทกับใครนะคะ แต่ว่าพอเธอมาญี่ปุ่น น้องถึงเปลี่ยนไปค่ะ จะบอกว่า น้องถึงขั้นว่าปฏิเสธ สะบัดมือทิ้งกับคู่สามีภรรยาคนอื่นที่ลองมาจับมือเอมมานะคะ”
โอ้ ไม่รู้มาก่อนเลย
ปกติตอนอยู่กับผม เธอเป็นเด็กขี้อ้อน เอาหน้าซุกแนบอกผม แ ผมเลยคิดว่าเธอน่าจะเป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายซะอีก
“เพราะฉะนั้น ที่น้องเขาสามารถหาเพื่อนได้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ชั้นคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาโอยางิคุงช่วยเธอค่ะ”
เธอก็ประเมินผมซะสูงเวอร์ตลอดเลย
แต่นั่นแหละ มันเลยเกิดคำถามข้อหนึ่ง
ถ้าบอกว่าเอมม่าแก้ไขเรื่องปัญหาการสื่อสารกับคนอื่นได้ แล้วทำไมตอนเธอกลับมาบ้าน เธอถึงคุยแต่เรื่องของน้องแคลร์คนเดียวล่ะ
สถานรับเลี้ยงเด็กที่พาไปส่งก็ขึ้นชื่อในหมู่ชาวต่างชาติ เธอน่าจะหาเพื่อนคนอื่นได้ด้วยสิ มันควรจะเล่าเรื่องเพื่อนคนอื่นให้ฟังบ้างนะ
แต่ว่าถ้าผมถามออกไป เดี๋ยวคุณชาร์ล็อตก็กังวลอีก ตะกี้ก็เพืิ่งก่อเรื่องไปหยกๆ ผมเลยเก็บคำถามนี้ไว้ในใจดีกว่า
หรือผมอาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป เป็นเพราะว่าแคลร์เขาเด่นที่สุดในหมู่คนรู้จักเอมม่า เธอก็เลยพูดถึงแต่เด็กคนนี้คนเดียวก็ได้
“ผมไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดที่คุณตีค่าหรอกครับ คนที่เปลี่ยนแปลงตัวเองคือเอมม่าที่เติบโตขึ้นต่างหาก”
ชาร์ล็อตฟังคำพูดผมจบ เธอยิ้มพลางส่ายศีรษะ
“……คิดงั้นเหรอคะ”
อะเร๊ะ?
ตะกี้ผมรู้สึกไปเองรึเปล่านะ ทำไมผมเห็นว่าแววตาคุณชาร์ล็อตดูเศร้ามาก แต่เธอรีบปิดซ่อนแววตานั้นไว้
“คุณชาร์ล็อตครับ?”
“คะ!”
ผมเรียกชื่อเธอ ส่วนเธอก็เอียงคอมองหน้าผม
พอเห็นท่าทางน่ารักไร้เดียงสา ผมก็เลยจนคำพูด ขี้โกงนี่หว่า ทำหน้าแบบนี้แล้วใครจะกล้าถามเรื่องแววตานั้นล่ะ
“อืม ไม่มีอะไรครับ”
“งั้นเหรอคะ”
“อ..อืม ว่าไปถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องเอมม่า คุณก็สามารถไปงานเลี้ยงต้อนรับได้แล้วสิครับ”
ผมเปลี่ยนเรื่องถาม หาหัวข้อคุยสนุกๆแทนดีกว่า แถมเรื่องนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันด้วย
“เอ๊ะ.. งานเลี้ยงต้อนรับเหรอคะ แต่ว่า ทุกคนต้องสละเวลามาเพื่อชั้น มันก็รู้สึกแปลกๆน่ะค่ะ”
“ไม่หรอก พวกนั้นดีใจซะมากกว่าที่สละเวลา จำได้มั้ยล่ะว่าพวกนั้นอยากจะพาเธอไปตั้งแต่วันแรกที่คุณย้ายมาด้วยซ้ำ”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ว่าสอบวันสุดท้าย ทุกคนน่าจะเหนื่อย อยากพักมากกว่านะคะ”
“เพราะงั้นผมถึงคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีไงครับ วันนั้นจะได้ประเมินกันจริงๆเลยว่าใครอยากคุย ก็จะต้องบริหารจัดการความรู้สึกตัวเองให้ดี ถ้ากังวลกับเรื่องสอบก็ปล่อยคนพวกนั้นไปได้ และถ้าเพิ่งเจอเรื่องสอบมา ผมคิดว่าพวกนักเรียนสายหน้าม่อคงไม่น่าจะมีกำลังใจมาร่วมงานเยอะก็ได้”
“คิดไปไกลถึงขั้นนั้นเลยเหรอคะ อาโอยางิคุงเป็นคนที่สุดยอดมากเลยนะคะ”
ชาร์ล็อตมีสีหน้าทึ่งกับคำพูดที่ผมกล่าวตะกี้
แต่สำหรับผม มันก็เป็นแค่เรื่องปกติที่ทุกคนน่าจะคิดได้อยู่แล้วนะ
“ขอบคุณทีี่ชมครับ แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้ว้าวอะไรขนาดนั้นนะ ผมก็คิดแบบนักเรียนมอปลายธรรมดาทั่วไปนีี่แหละ”
“งั้นเหรอคะ แต่ว่าพอฟังคำพูดแล้ว เหมือนคุณเป็นผู้ใหญ่ที่มองการณ์ไกลมากกว่านักเรียนมอปลายนะคะ”
ชาร์ล็อตหลบตาผมด้วยสีหน้าเขินอาย หน้าแดงแป้ด กล่าวออกมา
ส่วนผมเหรอ..ช็อคกับคำพูดของคุณชาร์ล็อคนี่แหละ
“เอ๋? นี่เห็นผมดูแก่งั่กขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ทำไมเหรอคะ อาโอยางิคุงก็เป็นแบบนี้ออกจะบ่อยนะคะ”
พอเจอคำพูดชาร็ล็อตซ้ำสอง ช็อหนักกว่าเก่าอีก
“จะว่าไปเมื่อก่อน คุณก็บอกกับผมแบบนี้บ่อยอยู่นี่หว่า”
“เอ๋ ชั้นแค่บอกว่าเธอดูเหมือนผู้ใหญ่นะคะ”
“นั่นแปลว่าเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่น ผมดูโคตรแก่ไงครับ”
“ไม่ใช่ละค่ะ เข้าใจผิดใหญ่แล้ว ที่บอกว่าเป็นผู้ใหญ่ ชั้นสื่อในความหมายที่ดีนะคะ ไม่ได้หมายถึงว่าเธอดูเป็นตาเฒ่าล้าสมัยไม่ทันโลกนะคะ”
ชาร์ล็อตกล่าวด้วยใบหน้าขึงชัง ปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำ
ฮะฮะ ก็หวังว่าเธอจะคิดแบบนั้นจริงๆนะ เพราะเอาจริงๆผมก็ไม่อยากดูแก่ต่อหน้าสาวนี่แหละ
“ม่า ถ้าพูดขนาดนั้นผมก็รับได้ครับ”
“ค่ะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่พูดจานอกเรื่องจนออกจากหัวข้อสนทนาเมื่อครู่”
ชาร์ล็อตรู้สึกได้ว่าเรื่องที่คุยตะกี้มันหลุดจากเมนหลักคือเรื่องงานเลีั้ยงต้อนรับ เธอเลยขอโทษออกมาด้วยใบหน้าแดง ศีรษะค้อมต่ำลง
ให้ตายสิ เป็นคนจริงจังแถมยังน่ารักสุดๆเลย
“ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ พวกเราอยู่กันสองต่อสอง ถ้ามีเรื่องที่อยากทำอะไรก็บอกได้ตลอดครับ”
“เอ๋ อยู่กันสองต่อสอง?”
“หือ?”
ผมยังงงๆอยู่ว่าอะไรหว่า เพราะจู่ๆคุณชาร์ล็อตก็เบนหน้าหนีจากผม แถมเธอยกสองมือป้องปากกล่าวพึมพำด้วย
“ใช่แล้ว ลืมไปได้ไง บรรยากาศชายหญิงอยู่กันสองต่อสอง เดี๋ยวมันต้องเกิดเรื่องอะไรดีๆขึ้นมาแน่เลย เอมม่าเองก็หลับอยู่ด้วย ถ้าเราเกิดทำอะไรข้ามขั้นศีลธรรมปกติขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกด้วย “
“เอ่อ คือว่า คุณชาร์ล็อคครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
จู่ๆชาร์ล็อตหน้าสีแดงแป้ด เข้มหนักกว่าเก่าอีก เธอกล่าวพึมพำกับตัวเองไม่หยุด ก่อนจะเงยหน้ามองผม
“เอ้อ ได้ยินที่ผมถามตะกี้มั้ยครับ”
“เอ๋ ไม่นะ ไม่ได้ยินเนื้อหาอะไรเลยค่ะ”
อะไรของเธอเนี่ย ผมถามว่าเป็นอะไร ดันตอบมาคนละแบบ ถามวัวตอบควายไปซะแล้ว ผมได้แต่มองอย่างงุนงง แล้วจู่ๆเธอก็มองผมอีกรอบแล้วกล่าวว่า
“เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วนะคะ อ้อ เรื่องงานเลี้ยงต้อนรับเนอะ ก็เอาตามกำหนดการเลยค่ะ”
“อืม ครับ..ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
ผมกล่าวซ้ำไปอีกรอบเพื่อความมั่่นใจ
“แล้วก็ผมบอกอากิระแล้วว่าไม่ให้ฝืนใจชวนหรือพาใครไปนะครับ”
“รบกวนด้วยนะคะ แล้วก็พวกชั้นขอตัวกลับห้องก่อนแล้วนะคะ ขอโทษที่รบกวนเวลาติวหนังสือนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ค่ะ งั้นขอตัวนะคะ”
เธอกล่าวจบ อุ้มเอมม่าที่หลับอยู่กลับห้องตัวเอง
และผมก็กลับมาติวหนังสือเรียนตามปกติ
*****
จบ ch 6-5
แปลให้จบไปเลยหนึ่งตอน 1ชั่วโมงครึ่ง อ่านแล้วจะหลับเหมือนกันนะเนี่ย แต่แปลให้ครบๆแหละ เดี๋ยวอีกสักพักผมคงทำสรุปสั้นๆล่ะมั้ง แล้วแปลแค่เฉพาะตอนที่สำคัญจริง แต่ไว้ทำตอนไหนก็ว่าอีกทีเนอะ
ว่าไปทำไมยอดคนอ่านมันน้อยแบบฮวบฮาบเลยหว่า แปลกใจแฮะ เป็นเพราะไม่สนุกหรือเพราะคนเขียนแปลกากด้วยล่ะมั้ง ก็นะ ทำได้สุดพลังเท่านี้อะคร้าบบบบ ตอนหน้าก็จัดไปชั่วโมงครึ่งอิ่มหนำแน่นอน
อยากอ่านไวกว่าใครนิดหนึ่ง คลิกติดตามเพจผู้แปลได้ตรงนี้เลยจ้า kurakon