OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF - ตอนที่ 19 โรคจิตที่บริจาคเงินห้าล้านหยวน
บทที่ 19 โรคจิตที่บริจาคเงินห้าล้านหยวน
เมื่อตกเย็นในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ซันไชน์
ก๊อกก๊อก!
มีคนมาเคาะประตูเหล็กที่เป็นสนิมสองทีละได้หยุดลง
ซูหยาซึ่งกำลังซักเสื้อผ้าของเด็กๆอยู่ได้พูดขึ้นว่า “เสี่ยวหยู! เธอไปเปิดประตูทีสิ”
“ฮึ!” หลี่เสี่ยวหยูจับตามองที่พี่ซูหยาแล้วพูดว่า “ไม่! ทำไมพี่ไม่เปิดประตูเองล่ะ”
ซูหยาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ตอบกลับไปว่า “เธอไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังซักผ้าอยู่? ถ้าฉันไปเปิดแล้วใครจะมาซักผ้าพวกนี้กัน? “
หลี่เสี่ยวหยูเงยหน้าของเธอขึ้นแล้วพูดว่า “หนูซักแทนเอง! “
“มันอาจจะเป็นลุงหนิงก็ได้นะ? เขาอาจจะเอาขนมมาให้เธอ” ซูหยายังคงไม่ยอมแพ้
“โกหก! หนูไม่เชื่อที่พี่พูดหรอก คุณลุงหนิงจะไม่กลับมาแล้ว!” หลี่เสี่ยวหยูรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางถูกหลอกด้วยเรื่องเล็กๆนี้
ซูหยาจ้องที่หลี่เสี่ยวหยูที่ไม่ยอมไป ดังนั้นเธอจึงเป็นคนไปเปิดประตูเอง เมื่อประตูเหล็กเปิดออกใบหน้าที่ยิ้มแย้มและหล่อเหลาก็ปรากฏขึ้นมา เธอที่เห็นแบบนั้นก็ต้องตัวแข็งตัวครู่หนึ่ง “หมอหนิง นาย … “
“ทำไมเธอถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้นกัน?”
ซูหยาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลับมาจริงๆ มันเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยคิดมาก่อน ดังนั้นตอนนี้เธอจึงทำตัวไม่ถูก “พวกเรารอนายมาตลอดบ่าย แต่จนแล้วจนรอดนายก็ไม่กลับมา ดังนั้นพวกเราจึงคิดว่านายจะไม่กลับมาแล้ว”
“ฉันทำตามคำสัญญาเสมอ เธอไม่ต้องกังวลไป” หนิงเถาพูดออกมาอย่างมั่นคง
ซูหยาที่ได้ฟังแบบนั้นก็รีบพูดว่า “เข้ามาสิ”
เมื่อซูหยากำลังจะปิดประตูทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งเข้ามาที่ประตูเหล็ก ใบหน้าของเขาสกปรกและบนตัวเขาก็ยังส่งกลิ่นเหม็นออกมาด้วย เธอได้ขมวดคิ้วทันทีและถามว่า “คุณเป็นใคร?”
“นี่คือเจียงหยีหลง” หนิงเถาแนะนำขึ้นมา
เจียงหยีหลงยิ้มอย่างร่าเริงและพูดว่า “คุณต้องเป็นนางสาวซูหยา? คุณช่วยแจ้งหมายเลขบัญชีธนาคารของคุณให้ฉันได้ไหม? ฉันจะโอนเงินให้คุณทันที”
ซูหยาจ้องที่เจียงหยีหลงด้วยสีหน้างงงวย เธอไม่รู้จักเจียงหยีหลงซึ่งเป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมือง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งรัฐบาลและมาเฟียในฟื้นที่ ในสายตาของเธอเจียงหยีหลงเป็นเพียงขอทานซึ่งกำลังป่วยเป็นโรคจิตและถูกหนิงเถาหยิบขึ้นมา
เจียงหยีหลงรู้สึกกระวนกระวายจึงได้พูดเชิงขอร้องว่า “มิสซูหยา ที่ผมพูดนั้นเป็นเรื่องจริงจังมาก คุณกรุณาแจ้งหมายเลขบัญชีธนาคารของคุณให้ผมได้ไหม? ผมต้องการบริจาคห้าล้านหยวนให้แก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของซันไชน์นี้จริงๆ!”
“หมอหนิง! นายไปรับคนป่วยโรคจิตนี้มาจากที่ไหนนี่? นายคงไม่ลืมว่านี้คือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ใช่โรงพยาบาลโรคจิต? ฉันคิดว่านายน่าจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาล” ซูหยาได้พูดออกมา
หนิงเถาทำเพียงยิ้มและไม่พูดอะไรเลย
เจียงหยีหลงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ลงทุนถึงกับคุกเข่าต่อหน้าซูหยา “มิสซู! ได้โปรดให้หมายเลขบัญชีธนาคารของคุณกับผม ผมต้องการบริจาคเงินห้าล้านหยวนให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้จริงๆ “
“คุณเป็นคนบ้า” ซูหยาพูดออกมาราวกับว่าเธอแน่ใจอย่างนั้น
หนิงเถาไม่สามารถทำตัวสบายๆได้อีกแล้ว เขาจึงได้อธิบายว่า“ เธอไม่รู้จักเขาดังนั้นเธอจึงคิดว่าการกระทำของเขานั้นแปลกใช้ไหม? แต่ฉันจะบอกว่าพื้นที่ทั้งหมดของหมู่บ้านนี้รวมไปถึงสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ต่างก็เป็นของชายที่คุกเขาอยู่ตรงหน้าของเธอ ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นชื่อถือได้ “
“อะไรนะ?” ซูหยาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ตัวแข็งไปทันที เธอจะไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้เด็ดขาดถ้าเป็นคนอื่นพูด แต่นี้เป็นหมอหนิง คนที่รักษาผู้อำนวยการโจวให้หายได้
เจียงหยีหลงเริ่มร้องไห้ออกมา “มาดาม! ผมขอร้องคุณ ได้โปรดแจ้งหมายเลขบัญชีธนาคารของคุณ … “
ซูหยายังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช้ความจริง เธอยังคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่และยังเป็นฝันที่ดีมาก
“เจียงหยีหลง! คุณไม่ควรจะเรียกเธอแบบนั้น เธออายุน้อยกว่าลูกคุณเสียอีก!” หนิงเถาพูดห้ามออกมาเบาๆ
ก่อนที่เจียงหยีหลงจะแก้ไขคำอยู่นั้นเอง ทางด้านซูหยาก็ได้เหยียบเท้าของหนิงเถาและพูดว่า “นายไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันเลย”
หนิงเถาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพราะการกระทำของเธอนั้นไม่ได้แรงมากมายอะไร มันคล้ายกับการโหยกล้อมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะนำมันมาใส่ใจเลย!
เจียงหยีหลงยกมือขวาขึ้นและตบปากตัวเอง “ผมผิดเอง” เขาพูดต่อ “คุณซูได้โปรดแจ้งหมายเลขบัญชีธนาคารของคุณให้ผมได้ไหม? ผมจะได้เริ่มโอนเงินให้คุณทันที”
ซูหยายังคงไม่แน่ใจว่าจะทำตามที่อีกฝ่ายพูดดีไหม? แต่เมื่อเธอเห็นว่าหนิงเถาพยักหน้าเป็นสิ่งบอกว่าไม่เป็นอะไร เธอจึงได้ยอมมอบเลขบัญชีของตัวเองให้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดในสิ่งแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น ใช้เวลาไม่นานก่อนที่ข้อความแจ้งเตือนเงินได้ดังขึ้น เมื่อเธอเปิดดูข้อความนั้นมันก็มีจำนวนเงินห้าล้านหยวนอยู่จริงๆ และมันยังเป็นความจริงที่ว่าในตอนนี้เธอมีเงินมากพอที่จะทำสิ่งต่างๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้
“หมอหนิง! ฉันได้โอนเงินแล้ว คุณจะเริ่มรักษาฉันตอนไหน? ตอนนี้เลยได้ไหมเพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว… ” เจียงหยีหลงพยายามร้องอ้อนวอนพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มสกปรกๆของตัวเอง
“คุณจะรีบทำไมกัน?” หนิงเถาได้ตอบกลับอย่างเย็นชา “ คุณก็เห็นว่าผมต้องพาคุณตะลอนไปตลอดช่วงบ่ายนี้ ขนาดข้าวเที่ยงและเย็นผมก็ยังไม่ได้กินเลยนี่”
เจียงหยีหลงยังคงคุกเข่าต่อหน้าหนิงเถาและพูดว่า “หมอหนิง! ฉันต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมรักษาให้ฉันตอนนี้ … “
ซูหยาทนไม่ได้ที่จะมองเหตุการณ์นี้ เธอจึงได้ขอร้องแทนอีกฝ่ายว่า “นายก็ช่วยรักษาเขาหน่อยไม่ได้หรือไง? “
“ ก็ฉันหิว” หนิงเถาตอบกลับมาเรียบๆ
“งั้นฉันจะเข้าไปทำก๋วยเตี๋ยวให้นายเอง และเวลานั้นนายก็ไปรักษาให้ชายคนนั้นดีไหม? ฉันคิดว่าอาหารจะเสร็จพอดีเมื่อนายรักษาเขาเสร็จ” จากนั้นซูหยาได้เดินออกไปปล่อยให้หนิงเถาและเจียงหยีหลงอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้จักตัวตนจริงๆของเจียงหยีหลงแต่เมื่อเขาบริจาคเงินให้ถึงห้าล้านหยวน การที่เธอจะช่วยพูดให้อีกฝ่ายก็ดูเป็นการสมควรทำ
“เฮ้อ! คงไม่มีทางเลือกแล้วสินะ ก็รู้อยู่ว่าผลมันจะออกมาแบบนี้ แต่คุณก็ยังเลือกที่จะทำมันอยู่ดี? ก็ได้! คุณเจียงโปรดตามผมมาด้วย” หนิงเถาได้ตำหนิเจียงหยีหลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินนำไปยังบ้านพักด้านหลัง
นั่นคือบ้านที่เขาใช้รักษาผู้อำนวยการโจวหยูเฟิง โจวหยูเฟิงเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนักของเธอและตอนนี้หลับไปแล้ว เธอไม่รู้ว่าเจียงหยีหลงได้มาที่นี่และบริจาคห้าล้านหยวนให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
หนิงเถานำเจียงหยีหลงเข้ามาในห้องและปิดประตู
ห้องมืดสนิท ไม่มีการเปิดไฟแต่อย่างใด
“หมอหนิง! ฉัน … ” ด้วยความรู้สึกผิดเจียงหยีหลงจึงรู้สึกกลัวเรื่องที่จะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
“คุณกลัวไหม?” หนิงเถาถามห้วนๆ
เจียงหยีหลงได้ลงไปคุกเข่าอีกครั้งแล้วพูดว่า “หมอหนิง! ฉันไม่อยากตาย ได้โปรดช่วยฉันด้วย … “
เขาไม่รู้ว่าวันนี้เขาคุกเข่ากี่ครั้งแล้ว แต่มันไม่มีทางเลือกถ้าเขาต้องการจะมีชีวิตต่อไป
หนิงเถาไม่มีความสงสารต่อเจียงหยีหลงอีกต่อไป เขาจึงได้ใช้น้ำเสียงที่เย็นชาพูดขึ้นว่า “นอนลงและหลับตาของคุณด้วย ผมไม่ต้องการเห็นคุณลืมตาขึ้นระหว่างการรักษา ถ้าคุณคิดจะเล่นลูกไม้อะไรละก็? ผมจะหยุดรักษาคุณทันทีเข้าใจไหม?”
เจียงหยีหลงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้นอนและหลับตาลงทันที ในตอนนี้ไม่ว่าหนิงเถาจะบอกอะไรกับเขาเขาก็จะทำตามทั้งหมด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะชี้กิ่งไม้และบอกว่าเป็นนก เขาก็เชื่อว่านั้นคือนกจริงๆ
หนิงเถาเริ่มปรับความคิดของเขาให้สงบ จากนั้นดวงตาและจมูกของเขาก็เข้าสู่ภาวะที่ดีที่สุด เขาเห็นร่างของเจียงหยีหลงนอนอยู่ตรงหน้า หลังจากที่สูดเอาสีสันต่างๆเข้ามาแล้ว อาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาทันที และปัญหาที่อีกฝ่ายเจออยู่ตอนนี้คือแขนซ้าย
บริเวณนั้นได้มีลมหายใจสีดำอยู่เล็กน้อย และนั้นคือพลังงานความชั่วที่เขาได้แทรกไว้ในแขนซ้ายของเจียงหยีหลงด้วยเข็มศักดิ์สิทธิ์ มันจึงเป็นที่แน่นอนว่าทำไมเครื่องมือทางการแพทย์สมัยใหม่ถึงไม่สามารถตรวจจับได้เลย มันจึงมีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้นคือรักษาตามอาการ หรือไม่ก็ตัดแขนส่วนนี้ทิ้งไป
แต่สำหรับเจียงหยีหลงแล้วนั้นรู้ดีว่าควรจะทำยังไง เมื่อต้องการแก้ปัญหานี้มันก็ต้องไปหาคนที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา และคนนั้นก็คือหนิงเถา
หนิงเถานั่งไขว่ห้างถัดจากเจียงหยีหลง ก่อนที่เขาจะใช้วิธีการที่มีอยู่ในคู่มือฝึกตนเบื้องต้นนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาจุดระหว่างคิ้วของเขาก็ได้สั่นเล็กน้อย ก่อนที่จะมีพลังงานความชั่วถูกดูดออกและพุ่งเข้าสู่จุดฝังเข็มศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่พลังงานความชั่วกลับคืนมานั้น หนิงเถารู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างมาก มันเหมือนกับว่าส่วนที่ขาดหายไปก่อนหน้านี้ได้รับการเติมเต็มแล้ว จนกระทั้งเขารู้สึกอยากกระตุ้นอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาจึงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มเดิมพลังภายในเหมือนกับที่คู่มือบอกเอาไว้ในความเงียบ จนกระทั่งพลังทางวิญญาณที่เขาพัฒนาขึ้นนั้นได้กลืนพลังชั่วนี้ลงไป
“คุณสามารถลืมตาได้แล้ว” หนิงเถาลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู โดยไม่สนใจเจียงหยีหลงที่นอนอยู่บนเตียง
เจียงหยีหลงที่ได้ยินเสียงของหนิงเถาที่ว่าสามารถลืมตาได้ เขาก็เริ่มลืมตาขึ้นและถามอย่างหงุดหงิดว่า “หมอหนิง! คุณได้ลงมือรักษาฉันแล้วจริงเหรอ? ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลย?”
หนิงเถามองย้อนกลับไปและพูดเบาๆ “คุณต้องการให้ฉันทำอีกครั้งไหม?”
เจียงหยีหลงรีบพูดว่า “ไม่ ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
เสียงของหนิงเถาเริ่มเย็นชามากขึ้น “มือซ้ายของคุณจะหายดีในไม่กี่วัน แต่จำไว้ว่าคุณต้องทำตามสัญญาที่ทำเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง และผมไม่รับประกันว่าผมจะรักษาคุณไหมในครั้งต่อไป”
“ตอนนี้คุณเหลือเวลาทำตามสัญญาเพียงแค่สิบวัน คุณควรจะเริ่มลงมือทำได้แล้ว “
เหงื่อเย็นๆได้ไหลลงมาบนหน้าผากของเจียงหยีหลง โดยไม่รู้ตัวเขาได้นำมือข้างซ้ายที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถขยับได้ขึ้นมาปัดเหงื่อนั้นลง “แขนของฉัน … รักษาหายแล้ว!” เขาถึงกับอุทานออกมา
หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป เขาได้เปิดประตูแล้วเดินออกไป
ดวงจันทร์ที่สดใสได้ปีนขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้แสงสีของมันอาบไปทั่วสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้
ซูหยาได้ออกมาจากห้องครัวพร้อมกับชามก๋วยเตี๋ยวในมือ และเมื่อเธอมาถึงโต๊ะทางข้าวเธอก็ได้พูดขึ้นว่า “หมอหนิง! ก๋วยเตี๋ยวได้แล้ว”
กระเพาะอาหารของหนิงเถาถึงกับร้องประทวงความหิวขึ้นมาทันที เขาถึงกับรีบเดินไปหยิบก๋วยเตี๋ยวจากมือของซูหยามาถือเอาไว้ แต่เมื่อเขากินเข้าไปเพียงหนึ่งคำ เขาก็ได้ขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย
ซูหยาทีเห็นแบบนั้นถามทันทีว่า “ก๋วยเตี๋ยวของฉันรสชาติเป็นยังไงบ้าง”
หนิงเถากลืนก๋วยเตี๋ยวลงไปแล้วพูดว่า “มันเค็มนิดหน่อย”
ซูหยาร้องออกปากแล้วถามว่า “เค็มเหรอ? แต่ฉันรับรองว่าฉันใส่เกลือลงไปนิดหน่อยเท่านั้น? “
หนิงเถาพูดต่อไปเรื่อยๆว่า “ไม่เป็นไร ฉันกินได้แม้ว่ามันจะเค็มนิดหน่อย ฉันไม่มีปัญหาอะไร … “
ก่อนที่เขาจะพูดจบหนิงเถาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการสนทนาของพวกเขา เขามองไปที่ซูหยา
ซูหยาดูเหมือนจะรู้ว่าบางสิ่งผิดปกติเช่นกัน พวกเขาสบตากันก่อนที่จะเป็นเธอที่พูดขึ้นว่า “เอาคืนมาเลย!”
หนิงเถาไม่กล้าปล่อยมือจากชามนั้น เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเขาปล่อยชามนั้นไปแล้วเขาคงจะไม่ได้กลับคืนมาจริงๆ “ไม่ได้! ตอนนี้ฉันหิวจริงๆ”
ในขณะนั้นเองเจียงหยีหลงก็ได้ออกมาจากห้องแล้วพูดว่า “คุณซูหยา! คุณยังมีก๋วยเตี๋ยวอีกไหม? ถ้ามีผมจะขอซักชามได้ไหม?”
ซูหยาพูดออกมาอย่างงุ่มง่ามว่า “ก๋วยเตี๋ยวมีเพียงชามเดียว ฉันไม่รู้ว่าคุณเองก็ต้องการมันด้วยแล้ว!”
เจียงหยีหลงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธหรืออะไรออกมา เขาทำเพียงพูดว่า “งั้นไม่เป็นไร หมอหนิงฉันคงต้องกลับก่อน ถ้าฉันจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วฉันจะติดต่อมาหาอีกครั้ง”
ซูหยาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่เธอจะมองไปยังหนิงเถาที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอย่างไม่สนใจอะไร ใครจะไปคิดว่าคนที่ดูเหมือนคนบ้าอย่างเจียงหยีหลงจะกลายเป็นคนรวยไปได้ และไหนจะเงินบริจาคตั้งห้าล้านหยวนนั้นอีก และไหนจะการแสดงออกที่เกินไประหว่างหนิงเถากับอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญมากขนาดไหน?
หนิงเถารู้ดีว่าซูหยานั้นมีคำถามมากมาย แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ถามเขาก็ไม่คิดจะตอบเช่นกัน ดังนั้นระหว่างทานก๋วยเตี๋ยวอยู่นั้นเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงสายตาของซูหยาตลอดเวลา จนเขาลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ทำไมก๋วยเตี๋ยวถึงเค็ม