OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF - ตอนที่ 55 ฟานฮูหยิงผู้ลึกลับ
OPEN A CLINIC TO CULTIVATE MYSELF
บทที่ 55 ฟานฮูหยิงผู้ลึกลับ
บ้านของดิงยี่เป็นบ้านในสวนที่แยกจากกันซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเขตทหาร บ้านหลังนี้ดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่กลับเก็บซ่อนความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์เอาไว้มากมายกว่า 100 ปี การที่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้แสดงว่าต้องเป็นคนที่ทําคุณประโยชน์ให้กับชาติอย่างมากมาก่อน
เมื่อหนิงเถาติดตามเฉียงเฮาไปที่บ้านของดิงยี่ เขาพบว่าเขาไม่ใช่แพทย์คนเดียวที่ได้รับเชิญจากตระกูลดัง มีหมอคนอื่นอยู่ที่นี่และพวกเขาทุกคนต่างก็มีที่นั่งพิเศษของตัวเองพร้อมป้ายชื่อบนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าพวกเขา ชื่อบนป้ายชื่อต่างก็มีน้ําหนักมาก บางคนมีชื่อเสียงและเป็นแพทย์ทหารผ่านศึกที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการแพทย์แผนจีน หรือไม่พวกเขาบางคนเป็นตัวแทนในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั่วประเทศ หนิงเถามักจะได้อ่านบทความมืออาชีพที่ตีพิมพ์โดยคนเหล่านี้ในวารสารทางการแพทย์ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อเหล่านี้
นอกจากนี้ยังมีคนจากลัทธิเต๋ชื่อชิงซึ่ง
มันควรเป็นชื่อของลัทธิเต๋ของชายคนนั้นมากกว่าที่จะเป็นชื่อของตัวเอง
หนึ่งเถารู้สึกแปลกใจที่เห็นสิ่งเช่นกัน แต่ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าในฐานะของผู้เฒ่าดงยี่ การที่เขามีอิทธิพลต่อทั้งทางด้านการทหารและการเมือง เมื่อเขาได้ป่วยลงจึงมีคนที่เคยเป็นหนี้บุญคุณหรือต้องการทําให้อีกฝ่ายเป็นหนี้บุญต่างก็รีบส่งทีมแพทย์ที่ดีที่สุดมายังครอบครัวดงทันที
ซึ่งการมาของเขาเองก็ไม่ได้แตกต่างจากแพทย์เหล่านี้เช่นกัน เขามาเพราะเจียงเฮาได้ขอร้องเขาให้มา และเขาก็คิดว่าการทําแบบนี้เป็นการตอบแทนความมีน้ําใจของเธอที่มีตอนเขา แน่นอนว่าสถานะของเจียงเฮาคงไม่สามารถหาที่นั่งพร้อมป้ายชื่อให้เขาได้ ดังนั้นในตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่าจะนั่งที่ไหน
เจียงเฮาเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกเหมือนกัน เธอดึงหนิงเถาไปยังมุมที่ไม่โดดเด่นและพยายามชวนคุยในเรื่องอื่นว่า “นายเห็นไหม? มีนักบวชจากลัทธิเต๋ามาด้วยคนหนึ่ง! ฉันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถทางด้านการแพทย์จริงไหมด้วยซ้ํา?”
“อย่าพูดแบบนั้น” หนิงเถาได้กระซิบตอบกลับว่า “มีทักษะทางการแพทย์ในลัทธิเต๋าจริงๆ ในฐานะที่เป็นศาสนาประจําชาติของเรา ลัทธิเต๋ามีศิลปะแห่งการใช้เวทมนตร์, ความเป็นอมตะ, และอื่น ๆ พวกเขาล้วนแต่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น”
เจียงเฮามองหนิงเถาาด้วยตาแปลกๆและถามว่า “ในฐานะนักศึกษาแพทย์ของมหาวิทยาลัยแพทย์ ฉันไม่คิดว่านายจะเชื่อเรื่องพวกนี้?”
“ใช่! ฉันเชื่อพวกมันและจะทําไม?” หนิงเถาเลือกตอบกลับอย่างสบายๆ
เขาจะไม่เชื่อในลัทธิเต๋ได้ยังไงก็ในเมื่อเขาเองก็เป็นผู้ฝึกตนและยังได้รักษาปีศาจมาเมื่อเร็วๆนี้อีกด้วย? แต่เขาไม่รู้ว่านักบวชเต๋าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณในห้องนั่งเล่นที่หลับตาตลอดเวลานั้นได้รู้เรื่องเกี่ยวกับยา การใช้เวทมนตร์ การเป็นอมตะ ยาอมตะอะไรพวกนั้นไหม?
ในขณะที่หนิงเถามองไปที่นักบวชลัทธิเต๋เฒ่าอยู่นั้นเอง นักบวชลัทธิเต๋เองก็ได้ลืมตาขึ้นและหันไปมองเขาเช่นกัน ดวงตาของเขาพิเศษมากราวกับว่าเขาสามารถมองผ่านทุกสิ่งได้ และแม้แต่วิญญาณของผู้คน
หนิงเถาไม่สามารถทําอะไรได้ไปชั่วขณะหนึ่ง เขาสงสัยว่า “นักบวชลัทธิเต๋เฒ่านั้นมีสายตาแปลกๆ หรือว่าเขาเองก็เป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน?”
ในขณะที่หนิงเต่ากําลังคิดอะไรอยู่นั้น นักบวชลัทธิเต๋าก็ได้ปิดตาของเขาอีกครั้ง ราวกับว่าแสงที่แหลมตมที่เพิ่งพุ่งผ่านดวงตาของเขานั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
จากนั้นชายสามคนได้เดินออกมาจากทางเดินที่ด้านหนึ่งของห้องนั่งเล่น และในท่ามกลางพวกเขาเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ เขามีหน้าเหลี่ยมและร่างกายที่แข็งแรงและเดินตัวตรงตลอดเวลา นั้นทําให้คนอื่นสามารถบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นทหาร
ชายหนุ่มคนนี้คือดึงค่อยี่
ดึงค่อยี่ได้เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับหมอผิวขาวและชายหนุ่มในชุดผ้าลินินแบบจีน ชายหนุ่มยังอยู่ในวัยสามสิบต้นๆเหมือนกัน เขาสวมแว่นขอบดําและผิวของเขาเป็นสีขาว เขาได้รับการขัดเกลาในลักษณะที่ดูดีและให้ความรู้สึกว่าเป็นคนดีมากคนหนึ่ง
หมอผิวขาวได้พูดคุยกับชายคนนี้ในชุดเครื่องแต่งกายจีนในขณะที่พวกเขาเดิน จากนั้นชายในชุดจีนก็จะแปลคําพูดของหมอผิวขาวให้กับดึงค่อยี่ฟังอีกที่หนึ่ง
ดึงค่อยี่ได้หยุดอยู่กลางห้องนั่งเล่นด้วยรูปลักษณ์ที่น่ากลัว เขาไม่ได้สังเกตเห็นเจียงเฮาหรีอว่าหนิงเถาที่ยืนหลบอยู่ตรงมุมห้อง
พวกหมอที่รออยู่ในห้องนั่งเล่นเองก็ได้ลุกขึ้นและเดินไปที่ดึงค่อยี่ทันที ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รอให้อีกฝ่ายตัดสินใจทําอะไรซักอย่าง
“ไปดูกันเถอะ” เจียงเฮาที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้นมาเช่นกัน
หนิงเถาได้พยักหน้าและเดินไปกับเจียงเฮาโดยไม่พูดอะไรออกมา
ในขณะนั้นเองชายในชุดจีนก็ได้แปลคําพูดของหมอผิวขาวขึ้นว่า “ดร. ฌอนพูดว่านายผู้เฒ่าต้องถูกนําตัวส่งโรงพยาบาลเวลลิงตันทันที เขายังบอกอีกว่าโรคที่ท่านเป็นนั้นไม่มีวิธีรักษาในประเทศนี้ แต่ถ้าคุณส่งนายผู้เฒ่าไปยังโรงพยาบาลเวลลิงตัน โดยทีมแพทย์ที่สุดยอดที่สุดในโลกและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าที่สุด ไม่แน่ว่าโรคนี้อาจจะรักษาได้ที่นั้น”
ดึงค่อยี่ที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ขมวดคิ้วออกมา ก่อนที่จะพูดว่า “ ฮูหยิ่ง! คุณก็รู้จักอารมณ์ของพ่อฉันดีคนหนึ่ง เขาไม่มีทางยอมไปรักษาแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ในสมัยก่อนพ่อเป็นผู้บัญชาการต่อสู้กับกองบัญชาการสหประชาชาติที่เรียกว่าสงครามคาบสมุทร เขาไม่ชอบพวกตะวันตกมากนัก ถ้าเขารู้ว่าฉันส่งเขาไปอังกฤษเพื่อทําการรักษาแน่นอนว่าเขาต้องลึกขึ้นมาด่าฉันอย่างแน่นอน “
เจียงเฮาได้โน้มตัวไปที่หูของหนิงเถาก่อนที่จะพูดกระซิบว่า ” ชายคนนั้นในชุดจีนคือฟานหยิง เขาเป็นคนที่มีความสามารถอย่างไม่น่าเชื่อ”
หนิงเถาทําเพียงแค่พยักหน้าให้เธออย่าไม่ใส่ใจ
ฟานฮูหยิงพูดเสริมว่า “ค่อยี่! โรงพยาบาลเวลลิงตันเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในโลก และดร. ฌอนเองก็เป็นแพทย์ชั้นนําในด้านสมองที่โรงพยาบาลเวลลิงตัน ในที่นั้นเขามีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยมากมายที่พร้อมใช้ได้ทันที ถ้าคุณไม่ตัดสินใจในตอนนี้และปล่อยให้เวลาผ่านไป อาการของพ่อของคุณก็อาจจะทรุดลงอีกก็ได้ “
ทันใดนั้นใบหน้าของดึงค่อยี่ก็เต็มไปด้วยความลังเล
“ แพทย์ชาวอังกฤษคนนั้นไม่มีไหวพริบมากเกินไป” แพทย์ชาวจีนคนหนึ่งชื่อหยานซ่งบ่นขึ้น มา “ผมไม่ต้องการที่จะตัดสินใจอะไรแทนคุณค่อยี่หรือนายผู้เฒ่าในเรื่องที่ส่งไปรักษายังอังกฤษ แต่ที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างมากคือเรื่องที่คุณพูดว่าโรงพยาบาลในประเทศของเราไม่สามารถรักษาโรคได้! ผมต้องบอกว่าในเรื่องการแพทย์ประเทศของเรานั้นมีประวัติมานานกว่าพันปี แบบนี้แล้วคุณกล้าวิพากษ์วิจารณ์ทักษะการแพทย์ของเราได้ยังไง? “
” หมอหยาน! มันเป็นผมที่เชิญดร. ฌอนมาที่นี่ เขาเป็นคนตรงไปตรงมาผมต้องขอโทษสําหรับความเข้าใจผิดใดๆที่เกิดขึ้นด้วย หากคุณมีปัญหากับเรื่องนี้เราสามารถพูดคุยกันแบบส่วนตัวได้ในภายหลัง คุณคิดว่ายังไง?” ฟานฮูหยิงได้พูดขึ้นมา
เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาแบบนั้นหยานซ่งก็ไม่มีทางทําอะไรได้อีก เขาทําเพียงนํามือกลับหลัง และพูดออกมาอย่างสุภาพว่า “คุณฟาน! คุณสุภาพมากพอแล้ว สิ่งที่ผมพูดออกไปก็แค่ความคิดเห็นส่วนตัว ไม่มีค่าอะไรให้ต้องใส่ใจไป”
หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของฟานฮูหยิงมากขึ้น เขาเคยอ่านเกี่ยวกับหยานซ่งในวารสารทางการแพทย์และรู้ว่าหยานซ่งเป็นที่รู้จักในนาม “หมอเทพในยุคปัจจุบัน” ซึ่งหมายความว่าทักษะทางการแพทย์ของเขานั้นโดดเด่น อย่างไรก็ตามหยานซ่งกลับมีอาการเกรงใจต่ออีกฝ่ายมากเกินไป เขาถึงกับกลัวที่จะผิดใจกับอีกฝ่ายด้วยซ้ํา เมื่อเห็นแบบนี้แล้วก็อดรู้สึกสงสัย ไม่ได้สรุปแล้วตัวตนอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
เมื่อมาถึงจุดนี้ดึงค่อยี่ก็ได้หันไปหาหยานซ่งและพูดว่า “หมอหยาน! คุณเคยตรวจอาการของพ่อของผมเหมือนกัน? คุณมีคําแนะนําอะไรไหมครับ?”
หยานซ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตอบว่า “ถึงแม้ว่าผมจะเป็นหมอคนแรกที่ได้ตรวจอาการนายท่านผู้เฒ่า แต่ … โปรดยกโทษให้กับความไร้สามารถของผมด้วย ผมไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุของโรคของท่านได้ ผมไม่เคยเห็นโรคแบบนี้มาก่อนในชีวิต”
ดวงตาของดึงค่อยี่ได้พุ่งออกมาจากใบหน้าของหมอทุกคนและจากนั้นเขาก็ถามว่า “พวกคุณเคยตรวจอาการพ่อของผมไปแล้ว ทุกท่านสามารถให้การวินิจฉัยหรือคําแนะนําที่ถูกต้องได้ไหม?”
ไม่มีใครพูด ห้องนั่งเล่นได้ตกสู้ความเงียบสงบโดยสมบรูณ์
หนิงเถาที่ได้ยินแบบนั้นก็ตระหนักว่าแพทย์เหล่านี้ได้ตรวจอาการของดังมาก่อนหน้าแล้ว และมันไม่สามารถหาวิธีรักษาได้ ดังนั้นเมื่อเจียงเฮารู้เรื่องนี้จึงได้พูดถึงเขาให้กับดึงค่อยี่ฟังอีกฝ่าย ที่หมดหวังไปแล้วก็คิดว่าเจียงเฮาต้องการตอบแทนบุญคุณที่พ่อของตัวเองเคยทําจึงได้อนุญาตให้เจียงเฮาพาหมอที่เธอพูดมา
“นักบวชลัทธิเต๋าชิง ทําไมคุณไม่ลองดูล่ะ” อยู่ดีๆฟานฮูหยิงก็ได้พูดขึ้นมา
นักบวชลัทธิเต๋ผู้ซึ่งยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณที่หลับตาตลอดเวลาก็ได้ลืมตาขึ้น ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปยังผู้พูดและพยักหน้า จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปตามทางเดิน เขาไม่ได้พูดอะไรเลยในระหว่างกระบวนการทั้งหมด แต่ตาและท่าทางของเขาทําให้ดูเหมือนว่าทุกคนตกเป็นหนี้เขา
เมื่อความคิดเกิดข้อสงสัย ตาและจมูกของหนิงเถาจึงได้เข้าสู่สถานะของการมองและการดมกลิ่นในผู้ฝึกตนทันที ในสายตาของเขา ลัทธิเต๋าชิงถูกห่อหุ้มด้วยเมฆออร่าที่มีสีสันและออร่าสีขาวเล็กน้อยเหมือนงูที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณว่ายน้ําในออร่าที่มีมาแต่กําเนิดของเขา
หนิงเถาสามารถสรุปอะไรได้มากมายเมื่อเห็นภาพตรงหน้า “ ดูเหมือนว่าลัทธิเต๋ชิงอะไรนั้นจะไม่ใช้นักบวชจริงๆ เพราะพลังงานทางวิญญาณที่ส่งออกมาจากพลังจิตในร่างกายของเขานั้นเป็นอะไรที่ไม่บริสุทธิ์ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องซ่อนความลับอะไรเอาไว้อย่างแน่นอน”
นักบวชลัทธิเต๋ชิงที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ทางเดินในทันใดนั้นก็หันกลับมามองทิศทางของหนิงเถา ตาของเขาแสดงออกมาถึงแหลมคมและรุนแรง
หนิงเถาที่เห็นแบบนั้นก็แสดงร้อยยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น
สักครู่หนึ่งก็ได้มีความสับสนเกิดขึ้นในสายตาของนักบวชลัทธิเต๋าชิง ราวกับว่าเขาไม่แน่ใจในการตัดสิน แต่ในขณะนั้นเขาถอนสายตาออกและเดินไปที่ห้องสุดท้ายของทางเดิน
เจียงเฮามองไปยังหนิงเถาก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “มากับฉัน”
หนิงเถาพยักหน้าและตามเธอไปที่ดึงค่อยี่อยู่ แม้ว่าเขาจะเป็นหมอที่ถูกทอดทิ้งโดยเจ้าภาพ แต่เขาก็ไม่สามารถทําอะไรในเรื่องนี้ และอีกอย่างหนึ่งตอนนี้เขามาถึงบ้านผู้ป่วยแล้ว ยังไงเขาก็ต้องดูอาการของอีกฝ่ายให้ได้
” พี่ชายค่อยี่! ฉันพาหมอหนิงมาที่นี่แล้ว” เจียงเฮาได้แนะนําหนิงเถา
ดึงค่อยี่ที่ได้ยินเสียงของคนรู้จักก็ได้หันมามอง ก่อนที่สายตานั้นจะตกลงไปที่หนิงเถา เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายชัดๆเขาก็ได้ขมวดคิ้วออกมาเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ดูไม่ดี ไหนจะเป็นกล่องยาที่ดูสกปรกที่อีกฝ่ายถืออยู่อีก แต่อันที่เป็นอะไรที่หนักใจที่สุดของเขาคืออีกฝ่ายมีอายุเพียงแค่ 20 ต้นๆเท่านั้น
หนิงเถาเองก็สังเกตการแสดงออกของดึงค่อยี่เช่นกัน แต่เขาเลือกที่จะไม่ได้แสดงอะไรบนใบหน้าของเขา เมื่อพิจารณาถึงเสื้อผ้าและอายุของเขา มันเป็นเรื่องปกติสําหรับคนอย่างดึงค่อยี่ที่จะสงสัยเขาตั้งแต่แรกเห็น
ตาของฟานฮูหยิงเองก็ตกหลุมหนิงเถาด้วยเช่นกัน ซึ่งการแสดงออกของเขาแตกต่างจากปฏิกิริยาของดึงค่อยี่ เขากลับแสดงสายตาแปลกๆออกมาแทน
เจียงเฮาเดินเข้าไปไกลดึงค่อยี่พร้อมกับแสดงรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ แล้วพูดว่า ” พี่ชายค่อ! นี่คือหมอหนิงที่ฉันบอกพี่ไง? เขาสามารถรักษาโรคของลุงดึงได้แน่นอน”
” เขาสามารถรักษาโรคของพ่อฉันได้?” ดึงค่อยี่มองไปที่หนิงเถาอย่างประหลาดและพูดว่า “เขายังเด็กมาก … เขารักษาพ่อฉันได้จริงเหรอ?”
“ พี่ไม่รู้ว่าทักษะการแพทย์ของหมอหนิงว่านั้นน่าพึ่งขนาดไหน?!” เจียงเฮาได้พูดต่อว่า “พ่อของฉันที่เป็นอัมพาตด้วยโรคหลอดเลือดสมองมาก่อนและทางโรงพยาบาลไม่สามารถรักษาได้ แต่หมอหนิงกลับรักษาเขาให้หายได้ด้วยเข็มเงินสองสามเล่ม และ …”
“คุณล้อเล่นใช่ไหม?” หยานซ่งรีบพูดขัดจังหวะเจียงเฮาออกมาทันที “เขาจะรักษาอัมพาต ด้วยเข็มเงินเพียงไม่กี่เล่นได้ไง?”
“ไม่ใช่แค่พ่อของฉันเท่านั้น หมอหนิงยังรักษาโรคจิตที่เฉินจุนล้มเหลวในการรักษาอีกด้วย” เจียงเฮาไม่ได้อธิบายเรื่องการใช้เข็มรักษาโรค แต่เธอเลือกที่จะพูดการรักษาครั้งล่าสุดพร้อมกับชื่อของแพทย์ระดับอาวุโสขึ้นมา
“อะไรนะ?” หยานซ่งได้ตอบโต้ราวกับว่าเขาถูกเหยียบเท้า “เขารักษาคนไข้ที่เฉินจุนยังล้มเห ลวในการรักษา?”
จากนั้นเจียงเฮาก็ได้แสดงรอยยิ้มออกมา ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงภูมิใจว่า “ใช้! และเขายังรักษาคนไข้นั้นได้ภายในสามชั่วโมงอีกด้วย”
เมื่อคําเหล่านี้ถูกพูดออกไป ทั้งห้องนั่งเล่นก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที “อะไรนะ! ชายหนุ่มคนนี้มีทักษะด้านการแพทย์จริงเหรอ?”
” ชุมชนการแพทย์ในประเทศเราก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ถ้าเกิดว่ามีหมอปาฏิหาริย์อายุน้อยแบบนี้ปรากฏตัวขึ้นมา ทําไมฉันถึงไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย”
” ฉันคิดว่าเธอคงจะโอ้อวดคนที่พามามากเกินไป มันจะมีวิธีรักษาโรคจิตให้หายขาดได้ยังไงแค่สามชั่วโมง?”
เหล่าแพทย์ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นต่างก็แสดงความคิดเห็นกันเป็นต่างๆนาๆ แต่ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เจียงเฮาพูดขึ้นมา
หยานซ่งมองไปที่หนิงเถาและบอกเขาด้วยน้ําเสียงของผู้อาวุโสว่า “คนหนุ่มสาวต้องยืนด้วยเท้าของตัวเอง เธอมาจากโรงเรียนไหน? หรือครูของเธอคือใคร?”