(One Useless Rebirth) เกิดใหม่อีกครั้งอย่างไร้ [Yaoi] - ตอนที่ 3
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อาคารบริหารโล่งเปล่าร้างผู้คน เหอไป๋เดินไปที่สำนักงานของซวีอิ๋นหลง เส้นทางที่อยู่ในความทรงจำของเขา เมื่อเห็นประตูเปิดอยู่แล้ว เขาจึงยื่นหน้าเข้าไป
“ยื่นหน้าเข้ามาทำไม ทำไมไม่เข้ามาข้างในล่ะ” ชายชราหน้าตาเคร่งเครียด นั่งอยู่หลังโต๊ะข้างหน้าต่าง เขาถอดแว่นตาแล้ววางรูปถ่ายที่เพิ่งพิจารณาลง แล้วโบกมือเรียก “เข้ามาข้างในแล้วนั่งตรงนี้สิ”
เขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน มุมปากของเหอไป๋ยกขึ้นยิ้มให้เขาอย่างประจบประแจง เขาเดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับแสดงลักยิ้มที่มุมซ้ายของแก้ม แล้วกล่าวทักทายขึ้น “อรุณสวัสดิ์ครับศาสตราจารย์ ทานอาหารเช้าหรือยังครับ”
ซวีอิ๋นหลงยกเปลือกตาขึ้นเพื่อมองเขาอีกครั้ง เขาขับภาพที่อยู่ในมือไว้แน่น “อย่าพยายามทำตัวเป็นนักศึกษาดีเด่นอยู่เลย ฉันเห็นอีเมลที่เธอส่งมาเมื่อวานแล้ว การบ้านด้านการถ่ายภาพของเธอที่ทำใหม่ ทำได้ดีทีเดียว” รอยยิ้มบนใบหน้าของเหอไป๋กว้างขึ้น
“ตอนนี้คุณควรอธิบายกับผมมาดี ๆ เห็นกันอยู่ว่าความสามารถในการถ่ายภาพของคุณดีขึ้นมาก มันเป็นเพราะอะไรกัน แล้วก่อนหน้านี้ทำไมไม่ทำดี ๆ ตั้งแต่แรก ธีมของผลงานก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะองค์ประกอบแสงเอย เงาเอย มันแตกต่างไปจากเดิม”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหอไป๋แข็งขึ้น นี่น่ะเหรอคือสิ่งที่ศาสตราจารย์เรียกพบเขา
“คุณไม่สามารถอธิบายได้ในตอนนี้งั้นเหรอ? ไม่ไปไร ค่อย ๆ คิดหาข้อแก้ตัวก็ได้ ผมไม่ได้เร่งอะไร”
“…”
เหอไป๋ที่อายุสิบสามปี มีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักถอนหายใจกับสิ่งที่ผัวผวนของชีวิตตนเอง เขาพยายามจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ –เขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าเมื่อเขาได้ศูนย์สำหรับผลงานชิ้นนี้ และตัวเลขที่ว่างเปล่าในสมุดบัญชีธนาคารของตนเอง ใบหน้าของเขาก้มลงและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเขา
“ผมขอโทษครับ ผมทั้งจนและเงอะงะ”
ซวีอิ๋นหลงเอนหลังพิงเก้าอี้และเฝ้าดูเขาแสดงฉากตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ
“ตอนที่ผมถ่ายภาพผลงานชิ้นนี้สภาพอากาศไม่ค่อยดี กล้องที่ผมยืมมาก็มีปัญหา… ใช่ครับว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่ดีสำหรับจะเอามาแก้ตัว ผมผิดไปแล้วครับศาสตราจารย์ ที่ผมทำให้คุณผิดหวัง”
หลังจากเหอไป๋พูดจบ ศาสตราจารย์ก็ก้มศีรษะลง มองดูเด็กน้อยน่าเวทนา ที่พร้อมจะยอมถูกดุจากผู้ปกครองก็ไม่ปราณ
ซวีอิ๋นหลงหยุดรอสักพัก แต่ไม่ได้ยินเสียงเขาพูดต่อ เขามองไปที่เด็กหนุ่ม ก่อนจะถามขึ้น “คุณพูดจบหรือยัง”
เหอไป๋เงยหน้าขึ้นกระพริบตาสองสามครั้ง จากนั้นก็เสไปมองดอกไม้พลาสติกในแจกัน แล้วถามอย่างระมัดระวัง
“ถ้าอย่างนั้นผม…จะขอแก้ตัวอีกครั้งได้ไหมครับ”
บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย
ซวีอิ๋นหลงสวมแว่นตา แล้วก้มศรีษะลง หยิบภาพที่เขาเก็บไว้ในอ้อมแขนออกมา เขาพลิกดูและเปิดปากพูด
“อืม มันก็พอจะมีทางเป็นไปได้ที่ฉันจะปรับเกรดให้เธอ”
ดวงตาของเหอไป๋เริ่มเป็นประกายขึ้น
“ถ่ายภาพอีกสองชุดแล้วเอามาส่งให้ฉัน” ซวีอิ๋นหลงหยิบรูปหนึ่งจากมือของเขาออกมา และวางไว้ตรงหน้าเขา เขาเคาะมันเบา ๆ และพูดว่า
“เอารูปประมาณนี้ 5 ภาพของทุกเซต และฉันต้องการทั้งหมด 10 ภาพ สำหรับ 2 เซต ส่งมาที่อีเมลของฉันภายในสุดสัปดาห์หน้า”
เหอไป๋ก้มศีรษะลงเพื่อดูภาพ จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
เต๋อชูเหอ!
นี่ไม่ใช่รูปที่เขาถ่ายตอนกดชัตเตอร์เมื่อวานโดยไม่ได้ตั้งใจใช่ไหมฒ มันมาลงเอยที่การบ้านของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ภาพนี้ถ่ายได้ดีจริง ๆ เป็นภาพมุมเสยจากด้านล่าง องค์ประกอบหลักเอนตัวลงด้านล่างพร้อมกับแสดงอาทิตย์ในแนวทแยงที่ให้ความสว่าง และความหล่อของนายแบบที่สะท้อนอยู่ในเลนส์กล้อง…ทำให้ภาพมันสมบูรณ์แบบจริง ๆ!
“เธอรู้ไหม ทำไมภาพนี้ถึงเป็นภาพที่ดี”
เขาถูกเรียก ทำให้คืนสติจากการจมอยู่ในความคิดของตนเอง
“เป็นเพราะ…องค์ประกอบใช่ไหมครับ”
ซวีอิ๋นหลงมองไปที่เขาอีกครั้ง พร้อมกับส่ายหน้าและกางรูปถ่ายที่เหลือ ที่เขาเก็บไว้ใต้อ้อมแขน เขาวางทั้งหมดไว้ตรงหน้าแล้วชี้ไปที่รูปแต่ละใบ
“นี่คือรูปถ่ายในการบ้านเรื่องการแต่งหน้า โดยมีธีมคือผู้คน เห็นไหมว่าเธอถ่ายรูปเด็กผู้ชาย รูปเด็กผู้หญิง รูปคู่รักสูงวัย รูปคนเร่รอน และชายหนุ่มคนนี้ หากดูภาพถ่ายเหล่านี้ มุมมองด้านองค์ประกอบของเด็กชายตัวเล็ก ๆ ถูกถ่ายออกมาได้ดีที่สุด จากวิธีปรับความคมชัดของแสงและเงาภาพคนเร่รอนได้รับคะแนนเต็ม หากพูดถึงแนวความคิดภาพคนคู่รักสูงวัยทำให้เราเกิดไอเดีย สรุปง่าย ๆ รูปชายหนุ่มคนนี้เป็นภาพที่แย่ที่สุดในทางเทคนิค”
แน่นอนว่าภาพที่เขาสุ่มถ่ายมานั้นไม่มีเทคนิคอะไร กระนั้นเหอไป๋ก็พยายามอย่างหนักที่จะแสดงออกอย่างจริงจัง
“ผมขอให้ศาสตราจารย์ซวีบอกผมได้ไหมครับว่าทำถึงเป็นเช่นนี้” ก่อนที่เขาจะกลับมาเกิดใหม่ เขาประสบความสำเร็จอยู่บ้างในด้านการถ่ายภาพ แต่เขาเชี่ยวชาญในการถ่ายภาพทิวทัศน์ ไม่ใช่การถ่ายภาพบุคคล ในทางตรงกันข้ามกับซวีอิ๋นหลง ก่อนที่เขาจะมาเป็นศาสตราจารย์ เขาเคยเป็นนักข่าวและช่างภาพสารคดีที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น เขาถนัดการถ่ายภาพที่จับความสุข ความโกรธ ความเศร้า และความสุขของผู้คนที่เขาทำงานด้วย สไตล์ของเขากลายเป็นแนวของตัวเองและเขามีความสุขกับตำแหน่งสูงสุดในโลกแห่งการถ่ายภาพ
การมีช่างภาพระดับปรมาจารย์รุ่นพี่ยืนอยู่ตรงหน้า เขายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก
ซวีอิ๋นหลงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ในใจ เขาหันกลับไปหยิบชุดรูปถ่ายออกมาจากลิ้นชัก และกางออกบนรูปภาพชุดเดิม
นี่คือภาพที่เธอสำหรับการบ้านสัปดาห์นี้ ธีมคือ “ทิวทัศน์” ตอนแรกที่ฉันเห็นภาพถ่ายชุดนี้ ฉันรู้สึกทึ่งจริง ๆ ทักษะและเทคนิค องค์ประกองคอนทราสต์ แนวคิด…มันสมบูรณ์แบบจากทุกมุม ความรู้สึกเมื่อมองภาพดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้แทบจะในทันที เหอไป๋ แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าฝีมือของเธอคีบหน้าอย่างกะทันหันนี่มาจากไหน แต่จากภาพถ่ายชุดนี้ ดูแล้วเธอจะมีสไตล์ของตัวเองอยู่แล้ว เทคนิคของเธอก็สมบูรณ์แล้ว ฉันไม่มีอะไรจะสอนเธอในแง่นี้อีกแล้วไ
“ศาสตราจารย์ครับ…” เหอไป๋รู้สึกตัว
“เพราะงั้น ฉันจึงตัดสินใจให้การบ้านเธอแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ธีมของเธอคือ “คน” ฉันจะสนับสนุนอุปกรณ์ให้กับเธอเอง และทุก ๆ สัปดาห์ ฉันหวังว่าเธอจะส่งรูปถ่ายสองชุด ซึ่งฉันจะให้คะแนนด้วยตัวเอง”
“…ฮะ?”
ซวีอิ๋นหลงขมวดคิ้ว “อะไรกัน ฉันช่วยเธอแล้วนะ ยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
การช่วยเหลือของช่างภาพมือฉมัง โอกาสที่นักศึกษาที่เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพฝันถึง เพราะเงินก็ไม่สามารถซื้อได้ เขาเป็นเพียงนักศึกษาจากแผนกวารสารศาสตร์ที่มีผลการเรียนในชั้นเรียนถ่ายภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเขาได้รับโอกาสนี้จากไหน? อีกทั้งอุปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนอีก… นี่เป็นเหมือนกับพายที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าก็ว่าได้!…
“เปล่าฮะ ผมพอใจครับ” เขาวางมือบนโต๊ะด้วยความตื่นเต้น มุมริมฝีปากของเขายิ้มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะบีบลักยิ้มที่แก้มซ้าย แล้วพูดว่า “ขอบคุณฮะศาสตราจารย์ ผมจะตั้งใจให้ถึงที่สุดครับ”
อุปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานเอกชน เท่ากับ เขาไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากมหาวิทยาลัย เท่ากับ เขาสามารถประหยัดเงินได้อีก เท่ากับ เขาสามารถประหยัดค่าเล่าเรียน เท่ากับ เขาสามารถกินเนื้อได้
ศาสตราจารย์ซวีเหมือนพ่อพระมาโปรดเสียจริง!
“อืม”ความตื่นเต้นที่เว่อร์วังของเขา สำหรับซวีอิ๋นหลง เขาเพียงแต่พยักหน้าอย่างสงวนท่าทีและชี้ไปที่กระเป๋ากล้องที่ตู้ใกล้ประตู เขาโบกมือไล่ พร้อมกับกล่าวว่า
“โอเค นำกล้องไปด้วยแล้วไปทำการบ้านมาซะ จำไว้ว่ารูปถ่ายห้ารูปสำหรับแต่ละชุด สองชุดคือสิงรูปนะ ถ้าฉันไม่พอใจ ฉันจะสั่งให้ทำซ่อมอีก เธอไปได้แล้ว”
เหอไป่ผงกศีรษะอย่างมีความสุขพร้อมกับหยิบกระเป๋ากล้องจากนั้นก็จากไป
ซวีอิ๋นหลงรอกระทั่งเขาจากไปจึงถอดแว่นสายตาออก เขาเก็บรูปถ่ายที่กระจัดกระจายบนโต๊ะทำงานอย่างระมัดระวังและรอยยิ้มบางเบาปรากฎบนใบหน้าที่จรงิจังและเข้มงวดของเขา เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดโทรหาเพื่อนเก่า
“เฮ้ เหลาเจียง ฉันเจอต้นกล้าที่มีความสามารถเข้าแล้วล่ะ…”
เหอไป๋นั่งยอง ๆ ที่ปลายถนนที่มีผู้คนมากมายเดินไปมา เขาหยิบกล้องขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว
จากการเดินทางไปที่สำนักงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาได้ข้อสรุปเพียงสามข้อคือ หนึ่งคะแนนของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง สองงานถ่ายภาพประจำสัปดาห์ของเขาได้เปลี่ยนเป็นสองชุดแทนที่จะเป็นชุดเดียว อีกทั้งธีม “คน” ก็เป็นหัวข้อที่เขาอ่อนที่สุดด้วย และสาม ศาตราจารย์ซวียังทิ้งปัญหาไว้ให้เขาและไม่ได้บอกคำตอบกับเขา เมื่อเขาจำได้ว่าโทรไปถามว่าเขาหมายถึงอะไร สิ่งที่เขาได้รับความความลึกซึ้งและลึกลับ “หาวิธีที่จะเข้าใจมันด้วยตัวเธอเอง”
เขาช่างมีคำพูดสำหรับการต่อรองจริง ๆ สุดท้ายแล้วภาพของเต๋อชูเหอที่จะต้องทำให้ดีกว่านี้ได้ยังไง
เขาเช็ดหน้า ยกกล้องขึ้นและเล็งกล้องไปยังฝูงชน
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาสหารเก่าขงอเหอไป๋ในวัยแรกรุ่นก็ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับชีวิตมหาวิทยาลัย เขาจำไม่ได้แม้กระทั่งงานพาร์ทไทม์ที่ทำอยู่ ณ ตอนนี้คืองานอะไร เขายกโทรศัพท์มือถือเปิดค้นเบอร์เพื่อโทรไปลาออกจากงานพาร์ทไทม์นั้น
ในวันเสาร์ที่เขาออกมาจากห้องทำงานของศาสตราจารย์ด้วยใบหน้ากังวลและขมขื่น เขานั่งรถบัสเพื่อออกจากมหาวิทยาลัยพร้อมกับถือกล้องไว้ในอ้อมแขน
ทักษะทางเทคนิคของเขาอยู่ในระดับที่ดีก็ว่า แต่เขาไม่สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของภาพเหล่านั้นออกมาได้ จึงต้องทำงานซ่อมใหม่อีกครั้ง นี่คือผลการประเมินจากศาสตราจารย์ซวี หลังจากดูงานที่เขาไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา
เขาไม่สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณออกมาได้…เขาขมวดคิ้วจ้องไปที่รูปของเต๋อชูเหอ บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาตนแทบจะตาถลน
จริงอยู่ว่าศาสตราจารย์ไม่ได้หมายความว่าภาพนี้มีจิตวิญญาณของเต๋อชูเหอ เขาไม่เพียงแต่หล่อเหลามากกว่าคนทั่วไป ขายาวกว่าปกติและคางที่ดูเข้าที แม้แต่มือ หรือแผงขาตาที่ยาวนั่น ต่างดูดีกว่าคนทั่ว ๆ อย่างมาก…
แต่ว่าดวงตาของเต๋อชูเหอในภาพดูไม่มีอารมณ์ แม้ว่าดวงตาจะดูอ่อนโยน แต่ดูเฉยเมยเมื่อจ้องมองผู้อื่น เขาเป็นคนที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัวมากมาย… ความขัดแย้งงั้นเหรอ?
จู่ ๆ รถบัสสาธารณะที่เขานั่งก็เบรกกะทันหันอย่างแรง เขาจับเบาะด้านหลังไว้เพื่อทรงตัว ขณะที่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ขอโทษที มีลูกหมาวิ่งออกมากลางถนนกะทันหันน่ะซี่” คนขับรถร่างท้วมวัยกลางคนกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงประหม่า ผู้โดยสารหยุดบ่นหลังจากได้ฟังเหตุผลของเขาและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไร
รถบัสค่อย ๆ เคลื่อนตัวอีกครั้ง
เหอไป๋นั่งในตำแหน่งที่เขาสามารถมองเห็นใบหน้าด้านข้างของคนขับได้จากกระจกมองหลัง เขามองไปที่ชายคนนั้นดวงตาเหี่ยวย่น แต่อบอุ่นและอ่อนโยน เขายกกล้องขึ้นโดยใช้รีเฟล็กซ์โดยไม่คำนึงถึงองค์ประกอบแสงหรือเงาแล้วกดชัตเตอร์ลง
แชะ!
เขาหายใจเข้าลึก ๆ เก็บกล้องกลับเข้าไปในกระเป๋าและลุกขึ้นไปยืนใกล้ประตูทางด้านหลัง หลังจากรถบัสจะเข้าจอดที่ป้ายถัดไป แล้วลงจากรถที่ป้ายนั้น
..เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น
“เต๋อ ชูเหอ คุณ!”
โลกช่างกลมเสียจริง แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมผ้าปิดจมูกและหมวดปิดบังมาครึ่งหน้า แต่เหอไป๋ยังจำรูปร่างที่แตกต่างจากคนอื่นของเขาได้เป็นอย่างดี ก็เขานั่งดูรูปชายคนนี้มีหลายวันแล้ว ทั้งก่อนและหลังการเกิดใหม่ของเขา
เต๋อชูเหอถือถุงช้อปปิ้งขณะเดินผ่านชานชาลารถบัสหยุดก้าวและหันไปมองทางเขา
ดวงตาของพวกเขาทั้งคู่สบกัน และหยุดนิ่งเป็นเวลาสองวินาที ก่อนที่พวกเขาจะถูกบรรดาแฟนคลับวิ่งตาม พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อนักแสดงหนุ่มไปด้วย
คนกลุ่มหนึ่งวิ่งตาม อีกสองคนซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็ก ๆ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครตามแล้ว ทั้งคู่จึงหยุดวิ่งเพื่อหายใจเข้าลึก ๆ
“น่าตื่นเต้นจริง ๆ หะ…” เหอไป๋ปาดเหงื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัว
“ไม่ใช่ว่าคุณถ่ายละคนไปแค่สองเรื่องไม่ใช่เหรอ? แม้ว่าอีกหน่อยจะกลายเป็นราชาจอเงินก็เถอะ แต่ไม่คิดว่าจะมีแฟนคลับเยอะขนาดนี้ แค่เรียกชื่อคุณกลางถนน คนก็วิ่งแห่กันมาถึงขนาดนี้..”
เต๋อชูเหอเงยหน้าขึ้นพิงหลังกับกำแพง ถอดผ้าปิดจมูกออก เพื่อให้หายใจได้คงที่ เขาก้มศีรษะหยิบน้ำแร่ขวดหนึ่งจากถุงขายของชำแล้วพูดว่า “อะนี่”
เสียงลมหายใจที่ลึกและต่ำของเขาหลังจากวิ่งนั้นเซ็กซี่น่าดู
เหอไป๋ลูบที่หูของตนเอง เหลือบมองไปที่นิ้วยาวที่ถือขาดน้ำและกล่าวขอบคุณ
“ฉันเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ได้ไม่ถึงสองวัน” เต๋อชูเหอยืนตัวตรง ทันใดนั้นเขาก้เปิดปากพูด
เหอไป๋มองเขาด้วยความสับสน
“คุณทำงานเก่งมาก”
“ครับ?”
“คุณหาที่อยู่ผมได้เร็วมาก”
“ครับ??”
“อย่าติดตามผมอีกต่อไปเลย ฮวางตู๋เขาเทผมแล้ว ถึงคุณจะมีข่าวเกี่ยวกับผม ก็ขายไม่ได้หรอก”
“…”
เต๋อชูเหอก้มลงมองตรงไปที่เขาและก้าวไปข้างหน้าเพื่อมองเขา ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ
“คุณอายุเท่าไหร่? กลับไปเรียนต่อดีไหม อย่ามาเป็นปาปารัสซี่เลย มันไม่ใช่งานที่ดีหรอก ถ้าคุณอยากเป็นนักข่าว คุณกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยจะดีกว่า ถ้าผมเปิดบริษัทของตัวเองแล้ว คุณก็มาสัมภาษณ์งานกับผมได้ตลอดเวลาเลย” หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบนามบัตรยื่นให้เขา
ร่างกายของเหอไป่แข็งทื่อด้วยความตกใจ
คน ๆ นี้ ดูเหมือนจะแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้
ในช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา เขาไม่เคยให้ความสนใจกับข่าวสารในวงการบันเทิงมากนัก เขารู้จักเต๋อชูเหอ เพราะเขาดังจากละโทรศัพท์และภาพยนตร์คลาสสิกหลายเรื่องออกกาศ และฉายซ้ำในช่วงฤดูร้อน บางครั้งก็เขาเขาให้สัมภาษณ์และแสดงความคิดเห็นผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น
มาตอนนี้เขารู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นมิตรอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเป็นดาราดัง จึงไม่แปลกที่เขามีเพื่อนในวงการบันเทิงมากมายและยังเป็นที่เคารพต่อนักแสดงคนอื่น แต่ใครจะตีแผ่เรื่องราวดี ๆ อย่างจริงจัง ก็ปกติของวงการบันเทิงล่ะนะ ถ้าเจอคนมีเงินที่จะเลี้ยงดูได้ล่ะก็ ส่วนใหญ่ก็มักจะออกจากวงการบันเทิงกันทั้งนั้น
กระทั่งถึงช่วงเวลาที่เขาถ่ายภาพของอีกฝ่าย ขณะที่เขาตกลงมาจากตึกสูง สำหรับอีกฝ่ายแล้ว เขาก็เป็นเพียง นักแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้เพียงเพราะรอยยิ้มเพียงครั้งเดียว ภาพของชายตรงหน้าที่อยู่ในความคิดของเขาก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ” เมื่อเต๋อชูเหอ เห็นว่าเขานิ่ง ไม่ได้หยิบนามบัตรไป เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นและมองลงไปที่เหอไป๋ เพื่อถามว่า “คุณคิดว่าผมจะเปิดบริษัทของตัวเองไม่ได้งั้นเหรอ? ก็ใช่นะ ที่ตอนนี้ ผมถูกปิดกั้นงานในวงการบันเทิง ดูเหมือนจะถึงจุดจบของอาชีพนักแสดงของผมแล้ว…”
เขาใช้น้ำเสียงที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนในดวงตาของเขาที่ไม่เคยฉายให้ใครเห็นมาก่อน ดูเหมือนจะกลับไปสู่ช่วงเวลาที่เขาพบกันครั้งแรก
เหอไป๋ถูกเรียกสติกลับจากความคิดของตนเอง ขมวดคิ้ว เขาลังเลเล็กน้อย กว่าจะลดศีรษะลงเพื่อหยิบบัตรนักศึกษาออกจากกระเป๋า เขายื่นมันออกไปอย่างจริงยัง พร้อมกับพูดว่า “ผมไม่ใช่ปาปารัสซี่ ผมเป็นนักศึกษาปีสอง แผนกสื่อสารมวลชนของมหาวิทยาลัย Q สองครั้งที่เราพบกันมันเป็นเพียงความบังเอิญฮะ แล้วที่สำคัญ อาชีพในวงการของคุณยังไม่สิ้นสุดหรอก ในอนาคตคุณจะได้รับรางวัลมากกว่าสิบรางวัลสำหรับราชาจอเงิน คุณจะสามารถตั้งบริษัทของคุณได้ และประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมบันเทิง มันจะตรงกันข้ามกับคนที่ดูถูกคุณและคุณที่ดูถูกตัวเองอยู่ตอนนี้ คุณเต๋อชูเหอ คูรจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนครับ”
คราวนี้เต๋อชูเหอถึงกับตะลึง เขารู้สึกแย่เมือ่ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เขาเบื่อมากที่ต้องรับมือกับแม่เลี้ยงร้าย ๆ และลูก ๆ ของเธอ เขาจึงตัดสินใจถอยทัพก้าวออกมาอยู่เพียงลำพัง เขาคิดที่จะตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพ่อ พร้อมกับสละสิทธิ์ในมรดกและปล่อยให้แม่เลี้ยงปิดกั้นเขาจากงานทุกอย่างเพื่อให้พ่อของเขารู้สึกผิดหวัง
สุดท้ายเขาก็ได้ออกมาอยู่คนเดียว เหมือนว่าแผนการของเขาจะประสบความสำเร็จแต่มันก็เป็นเพียงความสำเร็จในช่วงสั้น ๆ ที่ได้รับอยู่อย่างเงียบสงบและมีอิสระ แต่ความสบายใจที่คิดว่าจะมี ไม่เคยปรากฏขึ้นในเส้นทางแห่งการล่าถอย เขาถูกตัดขาดจากงาน อนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บางครั้งเขาก็สงสัยเช่นกันว่าแผนที่เขาวางไว้นั้นไร้ประโยชน์หรือไม่ นอกจากแม่เลี้ยงและลูก ๆ ของเธอแล้ว ทุกคนที่พบปะกับเขาต่างยกย่องและมีท่าทีอ่อนโยนกับเขา แต่นั่นเป็นเพียงการเผชิญหน้ากันเพื่อผลประโยชน์
เมื่อเขาพบกับปาปารัสซี่ คนนี้เป็นครั้งแรก เขาเชื่อว่านี่คงเป็นกับดักของน้องสาว ลูกติดของแม่เลี้ยงคนใหม่ของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าจะมีอันตรายหากไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายหาอะไรมาแบล็กเมล์เขาได้ เขาจึงหยิบยื่นความปรารถนาดีให้อีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ
เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง ทุกการแสดงของเขาไร้ที่ติ แต่คราวนี้เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าสิ่งที่เขาแสดงอยู่นั่น จะมีผู้ชมตอบรับผลงานของเขามากเพียงใด
“คุณคิดว่าผมจะประสบความสำเร็จจริง ๆ เหรอ”
เขาเอื้อมมือไปหยิบบัตรประจำตัวนักศึกษาที่อีกฝ่ายส่งมาให้ดูข้อมูล เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ทันใดสีหน้าอ่อนโยนของเขาก็แฝงไปด้วยความชั่วร้าย
“คุณเป็นแฟนคลับผมเหรอ?”
เหอไป๋ขยี้ตา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงแสดงสีหน้าอ่อนโยน เขาตกอยู่ในความสับสน ก่อนจะส่ายหัวเพื่อปัดเป่าความสงสัยก่อนหน้านี้เกี่ยวกับสิ่งที่เผลอพูดไป
“ครับ คุณจะประสบความสำเร็จ” คำถามประมาณนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกอึดอัดใจและอับอาย
เต๋อชูเหอมองไปที่คิ้วบาง ๆ ของเขาและลักยิ้มที่ปรากฏทางด้านซ้ายของใบหน้าขณะที่เขาพูด ทันใดนั้นอารมณ์ร้ายของเขาก็ผ่อนคลายขึ้นมาก เขาเก็บบัตรประจำตัวไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะโบกมือให้
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ถ้าชะตาต้องกัน คงได้พบกันอีก”
“หากชะตาต้องกัน… รอเดี๋ยว” เหอไป๋ตะโกนใส่อีกฝ่ายให้หยุด
เขาพิจารณาคำพูดของเขาสักครู่ ก่อนจะถามว่า
“ราชาจอเงิน คุณต้องการให้ผมดูดวงให้คุณไหม?”