ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 618 - 3 พานพบ
เยวี่ยหยาเอ๋อร์น้ำตานองหน้า กุหลาบที่มีอยู่เต็มไปหมดนั้นถูกนางปาจนหมด ถึงกระนั้นนางกลับไม่คิดจะหยุดยั้ง หยิบดอกไม้ขึ้นมากิ่งหนึ่ง ถอนออกไปอย่างแรงโดยไม่แม้แต่จะดู
เสียงปังทึบๆ ช่อบุปผานั้นกระแทกลงบนหน้าอกกว้างของเขาโดยไม่เบี่ยงเบนแม้แต่น้อย
เยวี่ยหยาเอ๋อร์สั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางไม่เงยหน้าขึ้น ทว่าน้ำตาดั่งสายพิรุณภายในชั่วพริบตา
“ข้า…จะตี…เจ้า…” นางพูดพึมพำกับตนเอง ดอกไม้กระแทกหน้าอกคนที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผู้นั้น ทว่ากลับแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึก
“อ๊า!” กลีบดอกไม้ปลิวว่อนดั่งสายฝน อวี้เจียใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย มุดเข้าสู่อ้อมออกเขา รัวกำปั้นดั่งรัวกลอง ทุบหน้าอกเขาอย่างหนักหน่วง
นางเปล่งเสียงร่ำไห้ดังลั่น ความโศกศัลย์พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า ราวกับนกขมิ้นร่ำไห้จนกระอักโลหิต น้ำตาไหลรินใส่หน้าอกเขาเป็นสาย
“ข้าจะถล่มบรรพชนท่านปู่มันสิบแปดรุ่น เหตุใดชาวทูเจวี๋ยถึงต้องรบกับพวกเราด้วย?!” เหล่าหูเช็ดหางตาแดงก่ำอย่างแรง กล่าวด้วยความเดือดดาล “มิเช่นนั้นน้องหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากเพียงใด!”
ตู้ซิวหยวนถอนหายใจหนักๆ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “จะว่าอย่างไรดีล่ะ หากปราศจากการรบ อวี้เจียกับแม่ทัพหลินชาตินี้ก็จะไม่มีวันได้พบกัน! เจ้าว่ารบหรือไม่รบดี?”
คำถามนี้ช่างยากจะตัดสินเสียจริง หูปู้กุยหัวเราะแล้วตอบว่า “สนใจมันทำไม พวกเราดูแค่ผลลัพธ์ก็พอ! เพียงแต่ปัญหาตรงหน้านี้ถือว่ายากแก้ไข แม่ทัพหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์กอดกันกลมแล้ว แล้วการเจรจานี้จะทำเช่นไร?!”
คนทั้งหลายต่างใช้สายตาแอบมองร่างสวีจื่อฉิงที่อยู่ด้านข้าง หากบอกว่าเหตุการณ์นี้ผู้ที่มีความรู้สึกสลับซับซ้อนมากที่สุดก็น่าจะเป็นกุนซือสวีแล้ว
คุณหนูสวีส่ายศีรษะด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ควรเจรจาเช่นไรก็เจรจาเช่นนั้น นี่เพิ่งจะเริ่มต้น! อวี้เจียเป็นข่านดาบทองที่ทำให้ชาวทูเจวี๋ยศิโรราบได้ ไหนเลยจะยอมสยบง่ายดายเยี่ยงนี้?!”
ราวกับต้องการพิสูจน์คำพูดของนาง นางกำนัลทูเจวี๋ยนางหนึ่งเดินตัดผ่านทุ่งบุปผา ค้อมกายแล้วคุกเข่าข้างกายอวี้เจียพร้อมเอื้อนเอ่ยเบาๆ “ทูลท่านข่านใหญ่ ท่านราชครูสั่งให้ข้ามากราบทูล ใต้เท้าอ๋องซ้ายมาถึงแล้ว การเจรจากับต้าหัวกำลังจะเริ่ม ขอเชิญท่านข่านใหญ่เสด็จเพคะ!”
อวี้เจียอืมเบาๆ เงยหน้าขึ้นจากหน้าอกเขาพร้อมรีบเช็ดน้ำตา มองเขาอย่างเลื่อนลอย
ใช่แล้ว ควรถึงช่วงเจรจากันแล้ว! หลินหว่านหรงรีบเช็ดหางตาพร้อมยิ้มให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์เล็กน้อย เขาฉีกปากยิ้ม น่าเกลียดยิ่งกว่าวานรเสียอีก
มองดูคราบน้ำตากระจ่างใสบนใบหน้าเขา อวี้เจียแววตาอ่อนโยน แนบใบหน้าลงบนหน้าอกเขาโดยไม่รู้ตัว นางกำนัลนางนั้นคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่กล้าเงยหน้า
มีเงาร่างงดงามร่างหนึ่งเดินตัดผ่านดงบุปผาเข้ามาอีกเงาหนึ่ง โค้งคำนับแล้วคุกเข่าข้างกายอวี้เจีย “ทูลท่านข่านใหญ่ ท่านอ๋องซ้ายมาถึงแล้ว การเจรจากับต้าหัวกำลังจะเริ่ม ท่านราชครูขอเชิญท่านข่านใหญ่เสด็จเพคะ!”
กราบทูลด่วนต่อเนื่องสองครั้ง อวี้เจียถอนหายใจเบาๆ ลุกยืนอย่างแช่มช้า มองเขาอย่างหมดแรง หมุนกายแล้วเดินจากไปอย่างเร็วรี่ นางกำนัลทั้งสองรีบตามอยู่ข้างหลังนาง
เด็กคนนี้ กลับหนีเร็วเสียจริงนะ! เขาส่ายหน้าด้วยความจนใจ ยิ้มขื่นคราหนึ่ง ถึงกระนั้นกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังสวบสาบ อวี้เจียผู้นั้นกลับวิ่งห้อตะบึงกลับมาอีก
เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ถลึงตาใส่เขาด้วยความเดือดดาล เก็บช่อบุปผาที่เหลืออยู่บนพื้นขึ้นมาช่อหนึ่งแล้วหวดใส่หลังเขาอย่างรุนแรงสองครั้ง จากนั้นก็แค่นเสียงลมหายใจเบาๆ พร้อมหมุนกายแล้ววิ่งจากไป
สองครั้งนี้ของจริง ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย หลินหว่านหรงเจ็บจนต้องแยกเขี้ยว นังหนูคนนี้หักใจลงมือได้จริงๆ นะ! เขาพ่นลมหายใจยาว ทว่ากลับรู้สึกประหลาดใจ ดวงหน้างดงามซึ่งทั้งยินดีทั้งตำหนิ เต็มไปด้วยน้ำตาดั่งดอกหลีต้องฝนพรำของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กลับฝังรากลึกอย่าง ไม่อาจลบเลือนไปตลอดกาล
“อวี้เจียตีจริงๆ?” ตู้ซิวหยวนเอ่ยด้วยความสงสัย “เมื่อครู่ยังกอดแม่ทัพหลินร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่เลย เหตุใดเพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนแปลงแล้ว?”
“นี่ยังไม่ง่ายดายอีกหรือ น้องหลินกอดผู้อื่นอยู่ตั้งครึ่งค่อนวันแต่ไม่พูดไม่จาสักคำเดียว ช่วงเวลาล้ำค่าเยี่ยงนี้ถูกเขาทำให้เสียเปล่าจนหมดสิ้น แล้วจะไม่ให้ผู้อื่นโมโหได้อย่างไร” เหล่าหูส่ายหน้าส่ายหัวพูดวิเคราะห์ “อีกอย่างนะ วันนั้นเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนเขาขวางรถม้าขอให้เขาจุมพิตคราหนึ่ง แต่กลับถูกเขาปฏิเสธอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย! สำหรับสตรีผู้อ่อนแอนางหนึ่ง นี่ถือเป็นการลบหลู่มากเพียงใด? เมื่อเอาหลายเรื่องนี้มารวมกัน ฮิฮิ ตามความเห็นข้า ข่านใหญ่หวดเขาสองครา นั่นถือว่าเห็นใจเขาแล้ว!”
มีเหตุผล เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของเหล่าหู กลับไม่เสียทีที่ตีแล้วจริงๆ!
“ใจของสตรี ดั่งงมเข็มในมหาสมุทร!” หูปู้กุยรู้สึกทอดถอนใจอย่างรุนแรง คนทั้งหลายได้ยินแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง มีแค่คุณหนูสวีที่แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ
หลินหว่านหรงเดินย้อนกลับมาอย่างแช่มช้า สีหน้าแปลกประหลาด ไม่เหมือนร้องไห้และไม่เหมือนหัวเราะ ตู้ซิวหยวนรีบเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ ราชทูตชนเผ่านอกด่านส่งสารมาแล้ว การเจรจาใกล้จะเริ่ม พวกเราจะไปเลยหรือไม่ขอรับ?”
แม่ทัพหลินผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจัง คุณหนูสวีกลับจับแขนเสื้อเขาไว้แล้วพูดว่า “รอเดี๋ยว ให้ข้าดูแผลเจ้าก่อน!”
“ดูแผลข้า?” เขากล่าวพลางหัวเราะร่วน “เมื่อวานไม่ใช่เพิ่งดูไปหรือ? ตอนเช้าก็หายแล้ว!”
สวีจื่อฉิงกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ไม่ใช่แผลเก่า เป็นสองครั้งเมื่อครู่ ที่เด็กอวี้เจียคนนี้ตี!”
“สองทีนี้ก็เรียกแผลด้วย?” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง คุณหนูสวีกลับไม่ถามไถ่ ปลดเสื้อตัวบนเขาโดยไม่สนใจผู้ใด เสื้อเกราะผ้าไหมเสียหายจากลูกเกาทัณฑ์ไปแล้ว เขาไม่ได้สวมอีก แผ่นหลังจึงมีรอยบวมสองเส้นอย่างชัดเจน
สวีจื่อฉิงแค้นจนกัดฟันกรอด รีบหยิบยาทาออกมาจากถุงใส่สมบัติของตนแล้วทาให้เขา เอ่ยอย่างหงุดหงิดออกมาว่า “สตรีชนเผ่านอกด่านผู้นี้เหตุใดถึงลงมือโหดเ**้ยมเยี่ยงนี้! เจ้าเองก็เหลือเกิน ปล่อยให้นางตีอย่างโหดเ**้ยมโดยไม่ส่งเสียงสักแอะเดียวได้อย่างไร?!”
คุณหนูสวีบอกว่าตีอย่างโหดเ**้ยม อย่างนั้นก็ถือว่าตีอย่างโหดเ**้ยม! หลินหว่านหรงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร โดนสองทีนี้ ตอนเจรจาค่อยเอาคืนเป็นเท่าตัวก็ได้แล้ว”
“หรือว่าถ้าไม่โดนสองทีนี้ ตอนเจรจาก็จะไม่เอาคืนแล้ว?” คุณหนูสวีดวงตาผุดประกายน้ำตา มือที่กดนวดอดลงน้ำหนักเพิ่มอีกไม่ได้ “หากเป็นผู้อื่นตีเจ้า เจ้าจะทนเช่นนี้อีกหรือ…ข้าว่าเจ้าเห็นใจนางชัดๆ!”
ผู้หญิงพอหึงแล้วก็ไร้เหตุผล แม่ทัพหลินเจ็บจนแยกเขี้ยว ทว่ากลับไม่กล้าเปิดโปง
“ใจของสตรี ดั่งงมเข็มในมหาสมุทร!” เมื่อเห็นสภาพอันน่าอนาถของน้องหลิน ครานี้แม้แต่เหล่าหูก็ยังอดส่ายหน้าทอดถอนใจไม่ได้
ผ้าโปร่งพลิ้วไหว เบื้องหน้าปะรำที่อยู่ข้างทุ่งหญ้านั้นมีชาวทูเจวี๋ยสิบกว่าคนยืนรอคอยอย่างสงบนิ่งแล้ว หลินหว่านหรงเยื้องย่างเข้าไปอย่างแช่มช้า ลู่ตงจ้านเข้ามารับหน้าพร้อมประสานมือคารวะ “ใต้เท้าหลิน พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว!”
“ใช่แล้วล่ะ พี่ลู่” หลินหว่านหรงยิ้มแย้ม “วันนี้อากาศไม่เลว ดูท่าว่าจะดีกว่าสองวันก่อนมากนัก!”
เจ้ายังมีหน้าเอ่ยถึงสองวันก่อนอีก? ลู่ตงจ้านแอบเหลือบมองข่านใหญ่ผู้เงียบงันคราหนึ่ง รู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจเสียจริง!
“เจ้าคือหลินซานที่หักขาถูสั่วจั่ว?! ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มีความสามารถอันใดกัน?” ชนเผ่านอกด่านรูปร่างกำยำล่ำสันคนหนึ่งเดินออกมา ตวาดราวกับเทพผู้ดุร้าย
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “ผู้น้อยก็คือหลินซาน! หรือว่าท่านก็คืออ๋องซ้ายปาเต๋อหลู่? อืม หน้าตามีเอกลักษณ์มาก เหมือนถูกปืนใหญ่ยิงใส่ที่อู่หยวนเลย!”
พวกหูปู้กุยต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ปาเต๋อหลู่เต้นผางเป็นเจ้าเข้า ต้องการโผเข้ามาระหว่างที่สนทนากัน
“พอแล้ว!” เสียตวาดเจื้อยแจ้วแจ่มชัดดังขึ้น อ๋องซ้ายรั้งมือกลับไปอย่างเดือดดาล ไม่กล้าอุกอาจ
หลินหว่านหรงหันหน้ากลับมา มองดวงหน้าอันงามพิลาสนั้นของนางอย่างเงียบงัน จอนผมขาวนั้นทิ่มแทงหัวใจเขาราวกับเข็มเงิน
อวี้เจียจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น กุมสองมือแน่น แม้แต่ร่างกายก็ยังยังสั่นเทา
เงียบสนิท
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทั้งสองคนแทบขยับริมฝีปากพร้อมกัน
“แม่ทัพหลิน…”
“ข่านใหญ่…”
เสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา แต่กลับเหมือนดาบแทงร่าง หลินหว่านหรงจมูกร้าวระบม อวี้เจียเบือนหน้าไปอย่างหมดแรง น้ำตากระจ่างใสสองสายไหลรินอย่างเงียบงัน