ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 594 - 1 คนแปลกหน้ากับท่านข่าน
ม่านสีเหลือง ปักหัวหมาป่าสีทอง มีม้าเหงื่อโลหิตสายเลือดบริสุทธิ์สิบหกตัวเป็นม้าลาก ผู้ทำเรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ นอกจากเข่อข่านของชาวทูเจวี๋ยแล้วยังจะมีใครได้อีก?!
ทหารชั้นยอดชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับหมื่นนายหยุดอยู่กลางทุ่งหญ้า ไม่ย่างก้าวฝีเท้า คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ รอบด้านต่างเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของชนเผ่านอกด่านกับเสียงหายใจดังฟืดฟาดไม่หยุดของม้าศึกเท่านั้น สายตาของชาวทูเจวี๋ยทุกคนต่างจ้องมองไปยังม่านกระโจมที่อยู่สูงนั้น ไม่กล้าคลาดสายตาไปแม้แต่ช่วงเสี้ยววินาที ดวงตาเต็มไปด้วยความเทิดทูน
“พี่หู ต้าหัวไม่เคยมีใครเห็นเข่อข่านของทูเจวี๋ยจริงๆ หรือ” หลินหว่านหรงเอ่ยถามเสียงทุ้มหนัก
หูปู้กุยส่งเสียงอืม ผงกศีรษะเบาๆ “ต้าหัวรบพุ่งกับทูเจวี๋ยมานานหลายปี ระหว่างนั้นเคยมีราชทูตชนเผ่านอกด่านมาเป็นทูตเยือนต้าหัวอยู่หลายคน พวกมันหยิ่งยโสไร้มารยาท กระทำแต่เรื่องเลวร้ายไม่รู้จักยำเกรง กลับคิดเพ้อเจ้อ อาศัยว่ามีกำลังทหารมากกว่ากลับมาขอแบ่งดินแดน เงินและเสบียงกับราชวงศ์ของเรา ทำให้ราชสำนักเราโมโหเดือดดาลยิ่งนัก ถูกต้องเราไล่กลับไปหลายครั้ง ส่วนข่านผีเจียของพวกมันขึ้นครองราชย์มายี่สิบกว่าปี เหตุการณ์เช่นนี้ก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ชายแดนของสองแว่นแคว้นรบพุ่งกันไม่หยุด และถูกยึดเอาไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยความกริ้วไฉนเลยฝ่าบาทจะส่งราชทูตไปทูเจวี๋ยเพื่อเข้าพบข่านของพวกมันได้? ส่วนเค่อจือเอ่อร์เมืองหลวงของชนเผ่านอกด่านก็อยู่ลึกถึงใจกลางทุ่งหญ้า ห่างจากต้าหัวหลายพันลี้ นอกจากจะมีพ่อค้าต้าหัวกลุ่มสองกลุ่มที่ขวัญกล้าสักหน่อย เสี่ยงตายเข้าไปทำการค้าเป็นบางครั้งแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เคยเห็น ต่อให้มีพ่อค้าต้าหัวมาถึงจริง ด้วยความสัมพันธ์ของสองแว่นแคว้น พวกมันก็ทำได้แค่แอบหาเงินเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แล้วจะมีผู้ใดเคยเห็นหน้าข่านผีเจียได้เล่าขอรับ!”
นี่กลับเป็นเรื่องจริง ด้วยนิสัยรักหน้าตาของราชนิกุลต้าหัว จะมีใครบ้างหลังจากถูกลบหลู่สารพัดสารพันแล้วยังจะมาเยี่ยมคารวะเข่อข่านผู้ป่าเถื่อนคนหนึ่งได้อีกเล่า
หลินหว่านหรงคิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พูดเช่นนี้แล้ว เจ้าข่านผีเจียนั่นอย่างน้อยก็ต้องอายุสี่ห้าสิบปีแล้วสิ?!”
“เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ ครั้งแรกที่ข้าลงสนามรบ เคยทันตอนที่มันยกทัพออกรถด้วยตัวเอง ได้ยินว่าตอนนั้นมันเพิ่งอายุสามสิบปี เพียงแต่น่าเสียดายที่ศึกครานั้นพวกเราพ่ายแพ้ย่อยยับ โฉมหน้าของข่านของชนเผ่านอกด่านคนนี้ยังไม่ได้เห็น ก็ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับไปแล้วขอรับ” หูปู้กุยส่ายหน้าด้วยความละอายใจ
เหล่าหูเข้ากองทัพมายี่สิบกว่าปีแล้ว ส่วนอายุขัยของชาวทูเจวี๋ยก็ไม่ได้ยืนยาว เมื่อคำนวณเช่นนี้เจ้าข่านผีเจียนั่นตอนนี้ก็คงต้องแก่ชราภาพมากแล้ว หลินหว่านหรงดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ พูดขึ้นมาทันที “พี่หู ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าที่ยังดำรงตำแหน่งตอนนี้ยังเป็นข่านผีเจียอยู่?”
“น่าจะใช่นะขอรับ นอกจากมันจะตายไปแล้ว…” หูปู้กุยพูด จากนั้นก็ตกใจอย่างยิ่งทันที “ท่านแม่ทัพ หรือว่าท่านจะสงสัยว่าข่านทูเจวี๋ยเปลี่ยนคนไปแล้ว?”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข้าคิดมาตลอดว่าเหตุใดเจ้าคังหนิงมาเค่อจือเอ่อร์นานขนาดนี้แล้ว แต่กลับไม่เคยได้พบข่านทูเจวี๋ยเลย? ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของข่านผีเจียที่มีต่อต้าหัว มันไม่มีทางอยู่ดีไม่ว่าดีก็ละทิ้งหมากชั้นดีเช่นนี้ไปแน่ เรื่องนี้ออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง”
แปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ ด้วย หูปู้กุยขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับพูดว่า “ตามที่ข้าน้อยทราบมา ฤดูใบไม้ผลิปีก่อน ตอนที่ทูเจวี๋ยรุกรานครั้งใหญ่ ข่านผีเจียยังเคยมอบรางวัลให้ผู้กล้าแต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่านอยู่เลย ครั้นมาถึงฤดูใบไม้ร่วง การรบกำลังอยู่ในช่วงดุเดือด พวกมันได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่ากลับถอยกลับไป ว่ากันว่าเตรียมเสบียงไม่เพียงพอ ท่านจอมทัพหลี่ก็ประหลาดใจมากเช่นกัน ทั้งยังเคยส่งหน่วยสอดแนมมาสืบข่าวโดยเฉพาะอีกด้วย เพียงแต่นับตั้งแต่ทุ่งหญ้าเป็นต้นไป ชนเผ่านอกด่านขอเพิ่มการระวังป้องกันเป็นชั้นๆ หน่วยสอดแนมวนอยู่ชายขอบทุ่งหญ้าอยู่รอบหนึ่งก็ไม่อาจหาสถานที่ที่จะทะลวงเข้าไปได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องถอยกลับมาขอรับ”
“ปัญหาก็อยู่ตรงนี้” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องราวช่วงนี้ หลินหว่านหรงก็จดจำได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้น ตอนที่เขากับเซียวชิงเสวียนพบกันครั้งแรกที่ริมทะเลสาบเสวียนอู่ สิ่งที่คุยกันก็คือเรื่องนี้
“ชนเผ่านอกด่านรบกับพวกเรามานานกี่ปีแล้ว? พูดได้ว่าพวกมันเตรียมบุกยึดจงหยวนอยู่ตลอดเวลา แล้วเหตุใดถึงทำเรื่องผิดพลาดที่แสนจะเล็กน้อยยิ่งนักอย่างเตรียมการเตรียมหญ้าเสบียงไม่เพียงพอได้ พวกมันทำไมถึงต้องถอยกลับไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วย?”
หูปู้กุยดวงตากระจ่างวูบ พูดด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “หรือจะเป็นอย่างที่ท่านแม่ทัพคาดไว้จริงๆ ฤดูหนาวของปีที่แล้วข่านผีเจียเกิดเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้นชนเผ่านอกด่านจึงไม่อาจไม่ถอยทัพ?! เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราฉวยโอกาสโจมตีย้อนกลับ พวกมันจึงจงใจปิดบังข่าวสารนี้กับโลกภายนอก?! สวรรค์ หากเป็นเช่นนี้จริง ไม่ใช่ว่าต้าหัวเราพบโอกาสอันดียิ่งซึ่งพันปีจะได้พานพบสักครั้งหรอกหรือ?!”
“จะใช่หรือไม่ใช่ อีกประเดี๋ยวก็จะเปิดเผยแล้ว” หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หางตาไปอยู่บนธงหมาป่าสีทองซึ่งกำลังพลิ้วไหวอยู่ไกลๆ ณ สถานที่แห่งนั้นม่านกระโจมสีทองโบกพลิ้วเบาๆ ทหารม้าทูเจวี๋ยเคลื่อนที่อย่างแช่มช้า รถม้าซึ่งบรรทุกข่านทูเจวี๋ยค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ถึงเพิ่งจะมองเห็นอย่างชัดเจน ผู้ที่เป็นผู้นำทหารม้าทูเจวี๋ยก็คือถูสั่วจั่วอ๋องขวาทูเจวี๋ยซึ่งหายตัวไปอย่างกะทันหันเมื่อครู่นั่นเอง มันขี่ม้าเหงื่อโลหิต สวมชุดเกราะทั้งร่าง ดวงตาปราศจากความผิดหวังที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ แววตากระหยิ่มยิ้มย่อง กวาดสายตามองไปทั่วทุกสารทิศ
“ถวายบังคมท่านข่าน!”
“ขอท่านข่านกับเทพแห่งทุ่งหญ้าอยู่เคียงกัน!”
ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนกรูไปข้างหน้า ต่างหมอบกราบกรานอยู่กับพื้นด้วยความเคารพและจริงใจ เปล่งเสียงแซ่ซ้องสาธุการดังลั่นอยู่ไกลๆ ขวบวนของเขอข่านเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ทุกแห่งที่ไปถึงทุกคนต่างหมอบกราบกรานอยู่กับพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมอง พวกมันขยับร่างกายไม่หยุดมาจากทิศทางที่ต่างกัน กำลังแสดงการหมอบกราบจากใจจริงต่อเข่อข่าน
นับตั้งแต่สถาปนาแคว้นข่านทูเจวี๋ย การรวมตัวของชนเผ่าและการก่อสร้างเมืองหลวงค่อยๆ ก่อตัวจนมีเป็นระบบจรรยามารยาทและระบบขุนนาง มีลักษณะของจักรวรรดิขั้นต้น ความยิ่งใหญ่นี้ไม่ด้อยกว่าฮ่องเต้ต้าหัวมากนัก
การมาของข่านทูเจวี๋ยแทบจะดึงดูดสายตาของทุกคน ทหารม้าที่ลู่ตงจ้านทิ้งไว้รวมทั้งทหารรักษาเมืองเค่อจือเอ่อร์ออกมาเคลื่อนไหวจนหมดสิ้น คุ้มกันความปลอดภัยของมันอย่างเต็มที่
ภายในกระบวนอันยิ่งใหญ่อลังการนั้น ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็มองไม่เห็นเงาร่างของอวี้เจีย แม้แต่เราสาวน้อยที่มาเลือกคู่ก็ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ที่ใดแล้ว
ขบวนค่อยๆ หยุดอยู่ตรงกึ่งกลางทุ่งหญ้า ปะรำพิธียาวซึ่งสร้างจากท่อนซุงกางคลุมด้วยผ้าม่านโปร่งสีเหลือง ธงหมาป่าสีเหลืองปักอยู่ทั้งสี่ด้าน ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนหันร่างไปทางทิศตะวันออกของทุ่งหญ้า คุ้มกันม้าเหงื่อโลหิตสิบหกตัวอยู่กึ่งกลางอย่างแน่นหนา
ถูสั่วจั่วผู้งามสง่าควบม้าห้อตะบึงเข้าไปกลางฝูงชน ทันใดนั้นก็ใช้บังเ**ยนดึงหัวม้าขึ้น อาชาพ่วงพีตัวนั้นส่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ขาหน้าตะกุยอากาศ หมุนวนร่างกาย หันหน้าตรงไปยังขบวนของเขอข่าน อยู่ห่างราวห้าสิบจั้งได้
อ๋องขวาพลิกตัวลงจากม้า มือซ้ายจับประคองดาบ มือขวาแตะไว้ที่หน้าอกซ้าย คุกเข่าลงข้างเดียว เสียงอันห้าวหาญทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วทุ่งหญ้าภายในชั่วพริบตา “อ๋องขวาถูสั่วจั่วถวายบังคมท่านข่าน ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าอยู่เคียงคู่พระองค์!”
“ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าอยู่เคียงคู่ท่านข่าน!” เหล่าราษฎรทูเจวี๋ยที่อยู่รอบด้านหมอบด้วยความเคารพนบนอบอยู่กับพื้นตั้งแต่แรก แสดงการคารวะต่อเขอข่านอยู่ข้างหลังถูสั่วจั่ว
คำพูดเหล่านี้ย่อมมีหูปู้กุยเป็นผู้แปล หลินหว่านหรงไม่รู้ภาษาทูเจวี๋ยแม้แต่น้อย
อ๋องขวากับชาวทูเจวี๋ยทุกคนต่างคุกเข่าอยู่กับพื้น ทุ่งหญ้าเงียบสงัดดั่งวารี แม้แต่เสียงเข็มตกก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ต่อไปน่าจะเป็นข่านทูเจวี๋ยพูดแล้วกระมัง แล้วเยวี่ยหยาเอ๋อร์เล่า นางไปอยู่ที่ไหนกัน? หลินหว่านหรงใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที กลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างยากจะบรรยายได้ เมื่อหันกลับไปดูอีกครั้ง สีหน้าของทุกคนก็ยังตึงเครียดยิ่งกว่าเขาเสียอีก คิดว่าตอนนี้ความรู้สึกของทุกคนคงเหมือนกันกระมัง
“อ๋องขวา เชื้อพระวงศ์ทุกท่าน ราษฎรทูเจวี๋ยทุกคน รีบลุกขึ้นเถิด” ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงเด็กน้อยเสียงหนึ่งราวกับมาจากสรวงสวรรค์ ดังกระจ่างชัดเสนาะหู กรีดความเงียบสงัดบนทุ่งหญ้า ก้องอยู่ข้างใบหูของทุกคน
นี่คือข่านทูเจวี๋ย?! หลินหว่านหรงเบิกสองตาโพลงด้วยคาวมตกตะลึง เกาฉิวกับหูปู้กุยก็ยิ่งตกใจจนหุบปากไม่ลง ฟังจากเสียงนี้เห็นชัดว่าเป็นเด็กน้อยอายุห้าหกขวบคนหนึ่ง ไหนเลยจะเป็นข่านผีเจียอะไรนั่นได้
“ท่านแม่ทัพ ท่านพูดไว้ไม่มีผิด ทูเจวี๋ยจะต้องเกิดเหตุไม่คาดฝันแน่นอน เมื่อคำนวณจากระยะเวลา น่าจะตั้งแต่ต้นฤดูหนาวปีที่แล้ว ท่านย่ามัน! ข่านผีเจียต้องตายแล้วแน่นอน เจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้ปิดข่าว ปิดบังพวกเรามาตลอด” หูปู้กุยดึงแขนเสื้อเขา ปากสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น
หลินหว่านหรงเงียบงันไม่เอ่ยวาจา เค่อจือเอ่อร์กับเมืองหลวงต้าหัวอยู่กันไกลลิบลับ ไปมาอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน รวมกับชนเผ่านอกด่านที่จงใจปิดข่าว ราษฎรทูเจวี๋ยธรรมดาทั่วไปก็ยากจะรู้ความจริงได้ ต้าหัวถูกปิดบังมาหลายเดือนจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือแผนการอันล้ำลึกของชนเผ่านอกด่าน
หากคาดไม่ผิด ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วข่านผีเจียก็น่าจะล้มป่วยอย่างหนัก สุดท้ายจึงทำให้ชาวทูเจวี๋ยซึ่งกำลังอยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบอย่างยิ่งต้องถอยทัพกลับไปด้วยความจนใจ บางทีการล้มป่วยอย่างหนักของข่านผีเจียก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ทุกสิ่งที่เกิดหลังจากนั้นต่างเป็นสิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี
หาเหตุผลหลอกเพื่อถอยทัพ ป้องกันการรุกคืบและการสืบข่าวของต้าหัว จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนลู่ตงจ้านก็มาต้าหัวเพื่อสู่ขอให้ข่านผีเจียราวกับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงอีก นี่ล้วนเป็นแผนการที่คิดมาอย่างดี
รู้ทั้งรู้ว่าการสู่ขอเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ลู่ตงจ้านก็ยอมทำโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การมาของมันไม่มีอะไรมากกว่าเป้าหมายสองประการ หนึ่งคือใช้การสู่ขอของข่านผีเจียเพื่อสืบว่าต้าหัวรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทูเจวี๋ยหรือไม่ ประการที่สองก็คือสืบข่าวทางการทหารของต้าหัว เพื่อเตรียมตัวออกรบในฤดูใบไม้ผลิของปีนี้
ส่วนการที่ครึ่งปีต่อมาชาวทูเจวี๋ยกล้าบุกเฮ่อหลานซานอย่างใหญ่โตนั้น สิ่งนี้พิสูจน์ได้เรื่องหนึ่ง ความสัมพันธ์ภายในทูเจวี๋ยถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็เป็นพินัยกรรมก่อนจากไปของข่านผีเจีย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต้าหัวก็พลาดโอกาสที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งไปแล้ว ส่วนชาวทูเจวี๋ยในตอนนี้ก็เดินออกจากความสับสนวุ่นวาย แม้ต้าหัวตะรู้ว่าข่านผีเจียเกิดเรื่อง แต่ก็ไม่อาจชดเชยได้อีกต่อไป
ชนเผ่านอกด่านถือว่าวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แต่ละอย่างล้วนคำนวณอย่างดี ส่วนเบื้องหลังของพวกมันจะต้องมีกุนซือที่ฉลาดปราดเปรื่องอยู่แน่ เจ้ากุนซือคนนี้เป็นใครกันแน่นะ?!