ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 593 - 1 ข่านทูเจวี๋ย
ท้องฟ้าสีครามกระจ่างใสราวกับถูกสายน้ำสะอาดบริสุทธิ์ชำระล้าง ปุยเมฆขาวประหนึ่งกำลังลอยล่องกระจัดกระจายอยู่ในห้วงจักรวาล แสงตะวันสีทองกรีดผ่านท้องนภาอันไพศาลราวกับลูกธนูอันคมกริบ สาดส่องลงบนทุ่งหญ้าสีเขียวมรกต หยาดน้ำค้างที่ยังไม่ได้ระเหยไปที่ใดกลิ้งวนอยู่บนต้นไม้ใบหญ้าด้วยความอาวรณ์ เปล่งประกายระยิบระยับวับวาว
หญ้าเขียว เมฆาขาว นภาคราม ทุ่งหญ้าอาลาซ่านราวกับเป็นสตรีผู้สะอาดบริสุทธิ์นางหนึ่งซึ่งกำลังอ้าอ้อมอกอันงดงามของนางให้แก่ทุกคน
บนทุ่งหญ้าม้ารวมตัวกันนับหมื่น เสียงคนอึกทึกคึกคัก กระโจมสีขาวประหนึ่งบุปผาน้อยที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ ปรากฏให้เห็นตรงหน้าทีละหลังๆ ธงหลากสีจำนวนนับไม่ถ้วนโบกสะบัดพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมบริสุทธิ์ยามโพล้เพล้ อาชาทูเจวี๋ยนับพันนับหมื่นเดินออกหากินบนทุ่งหญ้าอย่างสบายอารมณ์ แผงคอลู่ไหวไปตามสายลม สีดำ สีเหลือง สีขาว ราวกับขุนเขาเคลื่อนไหวได้ซึ่งทอดตัวเรียงรายเชื่อมต่อกันบนทุ่งหญ้า เหล่านายทหารม้าที่อยู่บนหลังม้าต่างสวมชุดชนเผ่านอกด่านตัวใหม่เอี่ยม กระโดดยืนกระเด้งกระดอนอยู่บนหลังม้าตามใจชอบ การเคลื่อนไหวที่มีความยากสารพัดอย่างปรากฏออกมาไม่รู้จักจบสิ้น ก่อให้เกิดเสียงปรบมือกึกก้องรุนแรงจากคนในชนเผ่าที่มุงดูอยู่รายรอบ
ผู้ที่ได้รับความนิยมชมชอบมากที่สุดย่อมเป็นเหล่าผู้กล้าที่บนศีรษะสวมผ้าคลุมหน้าเหล่านั้น คนเหล่านี้ถึงจะเป็นบุคลากรชั้นยอดที่จะเข้าร่วมเทศกาลชิงแพะ รูปร่างของพวกมันต่างกำยำที่สุด แข็งแรงที่สุด ควบม้าเร็วที่สุด แม้จะมองไม่เห็นรูปโฉม ถึงกระนั้นกลับสัมผัสได้ถึงความมั่นใจและความหยิ่งผยองที่ต้องการแสดงฝีมือออกมาให้เห็นอย่างรุนแรงภายในจิตใจพวกมันได้
ชาวทูเจวี๋ยโห่ร้องสนุกสนานอย่างเต็มที่ ส่งมอบคำชมเชยและการปรบมือของพวกมันให้เหล่าผู้กล้าลึกลับเหล่านี้อย่างเต็มที่
สาวงามชาวทูเจวี๋ยที่แต่ละดินแดนส่งมาเข้าร่วมการเลือกคู่สวมชุดเทศกาลอันหรูหราอลังการและงดงามมากที่สุดต่างค่อยๆ มารวมตัวกันตรงกึ่งกลางทุ่งหญ้าโดยมีผู้อาวุโสประจำตระกูลเป็นผู้นำพา บริเวณนั้นใช้ท่อนซุงขนาดยักษ์ก่อเป็นปะรำพิธียาวขนาดมหึมา สูงราวสองจั้ง ทอดตัวยาวออกไปหลายลี้
เบื้องหน้าปะรำพิธียาวมีเวทีสูงตั้งอยู่หลายสิบแห่ง บนแต่ละเวทีมีเชือกยาวห้อยลงมา บริเวณปลายเชือกแขวนตะขอเหล็กขนาดมหึมา สิ่งเหล่านี้ต่างนำมาใช้แขวน เมื่อเชือกเส้นนั้นถูกตัดขาด ร่างแพะร่วงลงพื้น งานเทศกาลแข่งขันชิงแพะก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
สาวน้อยทูเจวี๋ยที่มาเลือกคู่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกนางรวมตัวอยู่กึ่งกลางทุ่งหญ้า หลุดพ้นจากตระกูลของตน ต่างขี่อยู่บนอาชาสีขาวรูปร่างสูงใหญ่ ควบม้าห้อตะบึงอย่างมีความสุข
สาวงามอยู่รวมกับม้าขาว กลายเป็นจุดเด่นซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดบนทุ่งหญ้าทันที ผู้กล้าจากแต่ละตระกูล ที่กำลังควบม้าอยู่ ไม่ว่าจะเข้าร่วมการชิงแพะหรือไม่ สายตาของทุกคนล้วนรวมศูนย์อยู่ ณ ที่แห่งนี้
เฉกเช่นเมฆาขาวอันงดงามซึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างแช่มช้าอยู่บนทุ่งหญ้า เสียงเพลงอันสดใสของเหล่าดรุณีลอยล่องอยู่บนท้องนภากระจ่าง ดึงดูดเสียงผิวปากและโห่ร้องยินดีจำนวนนับไม่ถ้วน
มีผู้กล้าทูเจวี๋ยซึ่งทนความเปล่าเปลี่ยวไม่ไหวขี่ม้าพุ่งเข้าไปหาตั้งแต่แรก ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกน้ำสะอาดสาดใส่ร่าง นี่คือการเตือนต่อผู้รุกล้ำเขตแดนของชนเผ่านอกด่าน
เมื่อเห็นเหล่าผู้กล้าซึ่งร่างกายเปียกปอน ยืนนิ่งราวกับไก่ไม้เหล่านั้น รอบด้านก็บังเกิดเสียงโห่ร้องผิวปากขึ้นมาทันที เสียงหัวเราะยวนเย้าของเหล่าดรุณีดังขึ้นเป็นระยะไม่ขาดสาย
การเข้าร่วมเทศกาลแข่งขันชิงแพะ ข้อดีที่สุดก็คือขอเพียงเจ้าปิดบังใบหน้าก็จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าเป็นใคร ชาวทูเจวี๋ยใช้วิธีการเช่นนี้ก็เพื่อการต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ไม่ว่าดินแดนจะแข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นราชนิกุลผู้รากมากดีหรือชาวบ้านคนเลี้ยงสัตว์สามัญชน ขอเพียงเจ้ามีความสามารถก็จงแสดงออกอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อจบเรื่องแล้วจะถูกแก้แค้น ด้วยสภาพเช่นนี้การแข่งขันชิงแพะจึงยิ่งน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน อีกทั้งจะได้เลือกผู้กล้าที่แท้จริงได้อีกด้วย
ส่วนการจำแนกแต่ละดินแดนของแต่ละตระกูลนั้นจะใช้ธงเป็นสัญลักษณ์ อย่างบรรดาธงไป๋หลิง ธงอินทรี ธงพยัคฆ์ที่ได้เห็นวันนั้น ที่จริงแล้วก็คือสัญลักษณ์ของแต่ละตระกูลที่แตกต่างกัน ตระกูลใหญ่น้อยบนทุ่งหญ้ามีนับร้อย มีธงแปลกประหลาดสารพัดสารพัน เหมือนกำลังจัดนิทรรศการนานาชาติอย่างไรอย่างนั้น
ณ หัวมุมสุดชายขอบทุ่งหญ้า มีเงาร่างหลายสิบร่างที่รวมตัวกันอย่างหลวมๆ กลุ่มหนึ่ง บนศีรษะต่างใช้ผ้าดำปิดบังใบหน้า เหลือเพียงดวงตาทั้งสองข้างที่โผล่ออกมาด้านนอก แสดงว่าคนเหล่านี้ต่างเป็นผู้กล้าที่เข้าร่วมการชิงแพะ บนธงของพวกเขาคือสัตว์ป่าดุร้ายซึ่งกำลังแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ สีหน้าท่าทางดุร้าย พ่นไฟออกจากปากตัวหนึ่ง
“เหล่าหู เจ้าธงที่เจ้าเลือกให้พวกเรานี้มันคืออะไรกันแน่ เหตุใดข้าดูอยู่ตั้งนานก็ดูไม่ออก” หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่สวมผ้าปิดหน้าคนหนึ่งเหลียวมองรอบด้านด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจทางนี้ถึงเอ่ยปากถามออกมาเบาๆ
ในบรรดาดินแดนที่เข้าร่วมการชิงแพะ กลุ่มนี้น่าจะมีขนาดเล็กที่สุดแล้ว มีน้อยนิดราวสิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนตำแหน่งที่พวกเขาเลือกก็ห่างไกลมากที่สุด อยู่ห่างจากกึ่งกลางทุ่งหญ้าหลายลี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นดินแดนขนาดเล็กที่ปราศจากกำลัง
เหล่าหูที่อยู่ด้านข้างอธิบาย “เจ้านี่ชาวทูเจวี๋ยเรียกว่าถู่ซีฉือ เป็นสัตว์ป่าดุร้ายซึ่งเจริญเติบโตอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างกึ่งกลางทางใต้ของทุ่งหญ้ากับทะเลทราย กินม้าป่ากับอูฐเป็นอาหารโดยเฉพาะ แม้แต่สิงโตกับเสือดาวก็ยังต้องกลัวพวกมันอยู่บ้าง ท่านแม่ทัพหลินบอกว่าเจ้าสิ่งนี้คล้ายกับกิเลนของต้าหัวเรามาก ส่วนที่พวกเราปลอมตัวอยู่ตอนนี้ก็คือหนึ่งในดินแดนขนาดเล็กของเถี่ยเล่อเก่าตระกูลซึ่งถูกล้างบางไปแล้ว ชื่อว่าเยวี่ยซื่อ ตำแหน่งของเจ้าเยวี่ยซื่อนี้อยู่ใกล้กับถู่ซีฉือพอดี ดังนั้นจึงเลือกมันมาเป็นสัญลักษณ์ธงของพวกเรา”
เมื่อพูดเช่นนี้เหล่าเกาจึงเข้าใจแล้ว เขาหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง เห็นว่าบนม้าที่อยู่กึ่งกลางขบวนมีคนผู้หนึ่งกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด สงบนิ่งอย่างน่าประหลาด
ขณะนี้กำลังอยู่บนทุ่งหญ้า ชนเผ่านอกด่านมีอยู่เต็มไปหมด ไม่มีผู้ใดสนใจดินแดนอ่อนแอขนาดเล็กเช่นนี้แม้แต่น้อย หลินหว่านหรงค่อนข้างพอใจต่อสถานการณ์เช่นนี้ ดินแดนบนทุ่งหญ้าแม้จะมีมากมาย สภาพในตอนนี้ก็สับสนวุ่นวาย ทว่าทหารม้าจำนวนหนึ่งหมื่นนายซึ่งปักหลักเฝ้าอยู่นอกเมืองกับชนเผ่านอกด่านที่รักษาเมืองกลับแทบปราศจากความเคลื่อนไหว เรื่องนี้ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้ามาก หากพวกมันไม่ขยับ แล้วศึกนี้จะสู้อย่างไร?
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด บนเวทีสูงที่อยู่กึ่งกลางทุ่งหญ้าก็ค่อยๆ อึกทึกคึกคัก แต่คนที่อยากเห็นกลับไม่เจอ ปราศจากอ๋องขวาถูสั่วจั่ว และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงข่านทูเจวี๋ย
หลินหว่านหรงชี้ไปที่เวทีสูงนั้น ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “พี่เกา ราชนิกุลและผู้สูงศักดิ์ชาวทูเจวี๋ยมีแค่นี้เองหรือ? ยังไม่พอให้เหล่าเกาใช้ดาบฟันในคราวเดียวเลยนะ”
หูปู้กุยหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “ที่ไหนกันล่ะขอรับ นี่ก็ยังไม่ได้เริ่มเลย งานเทศกาลชิงแพะของแต่ละปีจะเป็นเทศกาลที่คึกคักมากที่สุดของทูเจวี๋ย ไม่เพียงราชนิกุลและผู้สูงศักดิ์ทุกคนจะต้องมาถึงที่ แม้แต่ข่านทูเจวี๋ยเองก็มาชมอยู่เป็นประจำ ดูจากขนาดในปีนี้แล้ว ต่อให้ข่านทูเจวี๋ยไม่มา แต่ถูสั่วจั่วก็ต้องมาขอรับ”
ขณะที่กำลังเอ่ยวาจาก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังกึกก้องมาแต่ไกล ทหารม้าอันเ**้ยมหาญนับพันเหยียย่ำทุ่งหญ้าเข้ามา ซึ่งก็คือทหารม้าทูเจวี๋ยที่ปักหลักเฝ้าอยู่นอกเมืองนั่นเอง
“อ๋องขวามาแล้ว!” ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ใกล้กันส่งเสียงโห่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้น เหล่าผู้กล้าเร่งม้าเข้าไปต้อนรับ ส่วนสาวน้อยทูเจวี๋ยเองก็ชะเง้อมองแต่ไกลไม่หยุด ดวงตาเปล่งประกายเทิดทูน
ถูสั่วจั่วนำหน้า ด้านหลังติดตามด้วยชนเผ่านอกด่านซึ่งสวมชุดหรูหราจำนวนยี่สิบสามสิบคน ดูจากการแต่งกายและบารมีแล้วน่าจะเป็นเหล่าขุนนางใหญ่และราชนิกุลที่รั้งอยู่ที่เค่อจือเอ่อร์แน่ ถัดออกไปอีกก็คือทหารม้าทูเจวี๋ยชั้นยอด ดูจากขนาดขบวนแล้วก็มีมากราวสองพันกว่าคนได้ คิดว่ามาคุ้มกันอ๋องขวาและเหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลาย
ถูสั่วจั่วเอวสะพายดาบโค้ง สวมชุดทำศึก ยิ้มแย้มและโบกมือให้ทุกคน ทุ่งหญ้าพลันบังเกิดเสียงโห่ร้องยินดีอย่างกึกก้อง ฝูงชนกรูเข้าไปข้างหน้า หัวหน้าของแต่ละดินแดนแสดงการคารวะทักทายต่ออ๋องขวาและขุนนางใหญ่ทุกคน มือถือสุราชั้นยอดชามใหญ่ ตลอดเส้นทางที่ถูสั่วจั่วกับเหล่าราชนิกุลเดินทางมาต่างดื่มสุราราวกับดื่มน้ำเปล่า ยิ่งทำให้เกิดเสียงโห่ร้องยินดี
“พี่เกา ท่านว่างานชิงแพะวันนี้ถูสั่วจั่วจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่?!” หลินหว่านหรงจ้องมองอยู่นาน จู่ๆ ก็เอ่ยถามหูปู้กุยที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ข่านทูเจวี๋ยไม่ได้มา นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าเสน่ห์ของงานชิงแพะยังไม่เพียงพอ เมื่อขาดการมาถึงของบุคคลสำคัญสูงสุด บุคคลสำคัญที่ว่าก็ย่อมกลายเป็นอ๋องขวาทูเจวี๋ยแล้ว
หากถูสั่วจั่วใช้แค่สถานะของผู้ชมมาดูอยู่ด้านข้าง ทหารม้าทูเจวี๋ยซึ่งเฝ้ารักษาอยู่นอกเมืองก็จะไม่โยกย้าย มีแค่อ๋องขวาลงสนามด้วยตนเองเท่านั้น ชาวทูเจวี๋ยถึงจะเพิ่มการระวังป้องกันงานชิงแพะให้เข้มงวดมากขึ้น ช่วงที่การเฝ้าระวังของพวกมันเกิดความเปลี่ยนแปลง ทหารม้าต้าหัวถึงหาโอกาสเข้าเมืองได้
เหล่าหูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ ดูจากท่าทางของมัน สวมชุดทหารอยู่บนร่าง เหมือนไม่ได้เตรียมตัวลงสนาม เพียงแต่นี่ก็ไม่แน่ ที่สำคัญต้องดูว่าในกลุ่มสตรีที่มาเลือกคู่เหล่านี้จะมีผู้ที่ทำให้มันหวั่นไหวหรือไม่”
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม สีหน้าสงบนิ่งดั่งวารี ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
ผู้ที่ทำให้ถูสั่วจั่วหวั่นไหวคือใคร ทุกคนต่างรู้แจ้งแก่ใจดี อันที่จริงนับตั้งแต่ช่วงเสี้ยวนาทีที่อวี้เจียหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน นี่ก็คือข้อกังขาที่มีอยู่ภายในใจของทุกคนแล้ว แต่แม่ทัพหลินไม่เอ่ยถึงสักคำ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าถามเช่นกัน