ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 592 มอบดอกกุหลาบให้ท่าน
คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ สตรีผู้เฉลียวฉลาดและสูงส่งอย่างอวี้เจียนี้ นับตั้งแต่ช่วงเสี้ยววินาทีที่นางเข้าใกล้พวกเขาก็น่าจะคาดการณ์ถึงจุดจบเมื่อยามพ่ายแพ้ได้แล้ว หรือไม่ก็นางมีความมั่นใจเปี่ยมล้นต่อเสน่ห์ของตนเองจนไม่เคยคิดถึงเรื่องความพ่ายแพ้มาก่อน
สุดท้ายการละเล่นย่อมมีผลแพ้และชนะ เมื่อแพ้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน สิ่งนี้คือหลักการแห่งฟ้าดิน กับอวี้เจียเป็นเช่นนี้ กับหลินหว่านหรงก็เป็นเช่นนี้ ลองคิดดูแล้วภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน หากแผนการของเยวี่ยหยาเอ๋อร์สำเร็จลุล่วง หลินซานผู้มีชื่อเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งต้าหัวกลายเป็นขุนนางที่ยอมสยบอยู่ใต้ชายกระโปรงสตรีทูเจวี๋ย นั่นจะเป็นการหมิ่นเกียรติต้าหัวมากเพียงใด? ไม่มีผู้ใดจินตนาการออกได้
เมื่อมองจากมุมนี้ อวี้เจียซึ่งเป็นผู้ก่อความวุ่นวายพ่ายแพ้ต่อแผนการร้ายที่นางเพียรพยายามวางแผนด้วยตัวเอง ก็เหมือนเป็นโชคชะตาที่สวรรค์ได้กำหนดไว้แล้ว ไม่มีค่าให้เห็นใจแม้แต่น้อย
เพียงแต่เรื่องราวบนโลกนี้ไม่เคยแบ่งแยกถูกผิดดีเลวโดยสมบูรณ์อย่างง่ายดายเช่นนั้นมาก่อน ทั้งสองคนอยู่ในสถานะของชนชาติที่เป็นศัตรูกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหายร่วมชาติและบรรพชน การเสแสร้งหลอกลวง แสดงละครตลอดเวลา ลอบใช้แผนการ ประชันสติปัญญาและความกล้าหาญ หากว่ากันจริงๆ แล้วจะมีใครกล้าพูดว่าพวกเขาทำผิดบ้าง?
หนิงอวี่ซีเข้าใจความรู้สึกของเขามากที่สุด นางอิงแอบอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบงัน พวกเขาสองคนมือและใจเชื่อมประสาน และมีเพียงความอุ่นใจเล็กๆ ถึงทำให้พวกเขาสัมผัสถึงความอบอุ่นทางร่างกายได้ ค่ำคืนนี้นอนพลิกตัวกลับไปกลับมา ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ จวบจนฟ้าใกล้สางถึงได้งีบหลับไปด้วยอาการสะลึมสะลือ
“พี่เกา ไปพาอวี้เจียมา” ใช้น้ำสะอาดชำระล้างใบหน้า น้ำในทะเลสาบอันเย็นเฉียบทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ หวนคืนสู่ความมีชีวิตชีวาถึงแม้ภายในดวงตายังเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงเข้ม ถามว่าสมองกลับสงบเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบมิได้
เกาฉิวมองเขาด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้านี้หากน้องหลินต้องการกระเซ้าเย้าแหย่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ไม่ต้องใช้ให้คนใครพามา เดินตรงไปไม่กี่ก้าวก็ถึง ใช้ฝีปากเล่นลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ มีความสุขสนุกสนานจะแย่ แต่เหตุใดวันนี้กลับกลายเป็นมีพิธีรีตอง? นี่ก็ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยนี่นา
เขาคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงทำได้เพียงถ่ายทอดคำสั่งลงไป
ไอหมอกยามเช้าลอยวนอยู่เหนือต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี เปล่งประกายสีรุ้ง หลินหว่านหรงมองดูหยาดน้ำค้างที่เปล่งประกายนั้นทีละหยดๆ ด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึก
เสียงฝีเท้าแช่มช้าและชดช้อยดังแว่วเข้ามา คล้ายยินดีปรีดาทั้งคล้ายหนักอึ้ง หลินหว่านหรงเงยหน้า เห็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ มือทั้งสองข้างของนางถูกมัดอยู่ข้างหลัง เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ยังไม่เอ่ยวาจาก็แย้มยิ้มออกมาเสียก่อน ระหว่างซ่อมเชือกที่มัดอย่างแน่นหนานั้นกลับเสียบดอกไม้ป่าเป็นพุ่มหนา แกว่งไกวไปมาเบาๆ ตามการโยกย้ายของนาง สีแดง สีเหลืองบ้าง สีขาว หลากสีสันสดใส งดงามน่าดูยิ่งนัก
“ไปเอาดอกไม้พวกนี้มาจากที่ใด?!” หลินหว่านหรงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม
“ข้าเด็ดตอนตื่นนอนเมื่อเช้า เป็นอย่างไร งามใช่หรือไม่?!” อวี้เจียหัวเราะเบาๆ มองเขาอย่างได้ใจหลายครั้ง ความสุขที่มีอยู่ในดวงตานั้น กลับเหมือนเขาต่างหากที่เป็นเชลย
เห็นผีแล้วจริงๆ! สองมือของนางถูกมัด แล้วจะไปเด็ดดอกไม้จากที่ไหน หรือว่าจะใช้ปาก…พอพูดถึงปาก เขาก็รีบกวาดสายตาไปที่มุมปากของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ริมฝีปากสีแดงสดของสาวน้อยทูเจวี๋ยเปื้อนดินเล็กน้อย มีบางจุดที่ยังมีคราบโลหิตไหลซึมออกมาอีกด้วย
หลินหว่านหรงตะลึงงันเล็กน้อย อวี้เจียหัวเราะออกมาในทันที “เจ้าคนนี้ช่างใจแคบเสียจริง ข้าพูดตั้งแต่แรกแล้ว วิธีการเดียวกัน ข้าไม่มีวันใช้เป็นครั้งที่สองเด็ดขาด แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังมัดมือมัดเท้าข้าอยู่อีก”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ หัวเราะแล้วเดินเข้าไปหา “นับแต่โบราณมา คนที่ใช้ปากเด็ดดอกไม้ก็มีเจ้าคนแรก แม้ข้าจะได้รับสมญานามว่าบุรุษจอมเด็ดบุปผาก็ตาม แต่กับน้องสาวเช่นเจ้า ข้ายังต้องรู้สึกนับถือ”
ระหว่างที่เขาพูดมือก็ปรากฏแสงวูบวาบ ดาบโค้งตัดเชือกขาดไปแล้ว เชือกปอร่วงหล่นลงพื้น ถือว่าปล่อยอวี้เจียให้เป็นอิสระแล้ว
อวี้เจียเหยียดเอวคอดกิ่วออกไปจนสุด แค่นเสียงแล้วพูดว่า “ยังจะมาพูดอีก นี่ต้องโทษเจ้า ตรงนี้ ยังมีตรงนี้อีก ถูกดอกไม้ทิ่มแทงจนถลอกหมดแล้ว หลินซาน ชาวต้าหัวอย่างพวกเจ้าเน้นเรื่องรักหยกถนอมบุปผา แล้วเหตุใดพอเป็นตัวเจ้ากลับไม่เห็นแม้แต่น้อย?”
ระหว่างที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์เอ่ยวาจาก็เช็ดริมฝีปากสีแดงชาดเบาๆ จากนั้นก็ประชิดเข้าไปเบื้องหน้าเขา ให้เขามองดู กลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้าจมูก นั่นเป็นกลิ่นน้ำหอมอันคุ้นเคย อวี้เจียคล้ายปราศจากความระแวดระวังต่อเขาแม้แต่น้อย ร่างกายอยู่ชิดเขายิ่งนัก คล้ายต้องกายแนบติดกับเขา
บนริมฝีปากสีแดงอันอ่อนนุ่มมีโลหิตซึมออกมาสองหยด เมื่ออยู่กับฟันงามขาวสะอาดของนางต่างขับเด่นซึ่งกันและกัน ดูงดงามยิ่งนัก หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมเก็บช่อดอกไม้ซึ่งหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา“ดอกกุหลาบเดิมทีก็มีหนาม แต่เจ้ากลับเก็บดอกกุหลาบโดยเฉพาะ ไม่ทิ่มแทงเจ้าแล้วจะทิ่มแทงผู้ใด?!”
“มีหนามแล้วจะทำไม?!” อวี้เจียแค่นเสียง เด็ดกลีบกุหลาบขาวมากลีบหนึ่งแล้วคาบอยู่ที่ปาก “เจ้าเห็นแค่มันมีหนาม แต่กลับไม่รู้จักความอ่อนโยนของมัน…เจ้าดู ห้ามเลือดได้แล้ว?!”
บนกลีบกุหลาบขาวเปื้อนคราบเลือดจางๆ บาดแผลที่อยู่บนริมฝีปากของสาวน้อยปราศจากเลือดซึมออกมาอีก ปิดสนิทกลายเป็นรอยขนาดเล็ก ดูช่างน่าอัศจรรย์เป็นล้นพ้น
“กุหลาบก็ห้ามเลือดได้?!” หลินหว่านหรงเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ หากเอ่ยถึงวิชาแพทย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าอวี้เจียเขาก็ช่างเหมือนเด็กน้อยในโรงเรียนอนุบาลเสียจริง
“อืม” อวี้เจียนำกลีบดอกกุหลาบขาวกลีบนั้นใส่มือเขา “เจ้าลองดูก็รู้แล้ว”
“อย่าเลยดีกว่า ข้า…ข้าเห็นเลือดแล้วหน้ามืด!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ รีบโบกมือปฏิเสธทันที
“เจ้าเห็นเลือดแล้วหน้ามืด แต่ข้าเห็นเจ้าแล้วหน้ามืด!” อวี้เจียแค่นเสียง แย่งช่อดอกไม้ที่มีน้ำหยดช่อนั้นกลับมาจากมือเขา จากนั้นจึงนำมาใกล้จมูกแล้วสูดดมลึกๆ คราหนึ่ง นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในทุ่งหญ้าของเรา ดอกไม้นี้เรียกว่าอีลี่ซา เมื่อแปลเป็นต้าหัวก็หมายถึงบุปผารักยืนยง มันบานช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ปกติยากจะพบเห็นยิ่งนัก ตามตำนานของทูเจวี๋ยเรา ผู้ที่เด็ดอีลี่ซาได้หมื่นดอกก็จะได้รับความสุขไปชั่วชีวิต หลินซาน เจ้าเชื่อเรื่องพวกนี้หรือไม่”
หลินหว่านหรงเกาหัวแกรกๆ “น่าจะเชื่อกระมัง อีลี่ซาเป็นหลักฐานของความสุข เพียงแต่ที่ต้าหัวของเราทุกคนชอบเรียกมันว่าดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบนี้มีความหมายมากมาย สีที่ต่างกันก็มีความหมายต่างกัน”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวระคนหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้ข้ารู้ คำวิจารณ์อันเหนือชั้นของเจ้าข้าได้ยินมาตั้งนานแล้ว ที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้ก็คือน้ำหอมกุหลาบที่เจ้าทำขึ้นมา รีบดมดูสิ…”
นางยื่นมือขาวกระจ่างใสประดุจหยกมาเบื้องหน้าหลินหว่านหรง ราวกับเด็กสาวที่ร้อนใจต้องการจะแสดงให้ดู ตรงข้ามกับความสุขุมนุ่มลึกในกาลก่อนโดยสิ้นเชิง
กลิ่นหอมสะอาดจางๆ ลอยเข้าจมูก วันนั้นตอนที่ตรวจค้นเมืองซิงชิ่งก็ได้กลิ่นนี้แล้ว หลินหว่านหรงโบกมือ หัวเราะพร้อมพูดว่า “ขอบใจที่เจ้าอุดหนุนการค้าของข้า หากรู้จักกันเร็วกว่านี้สักหน่อย ข้าต้องลดให้เจ้าหนึ่งจากเก้าสิบเก้าแน่นอน หากจำนวนมาก ลดสองส่วนก็คุยกันได้ นี่เป็นราคามิตรภาพล้วนๆ ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด กับคนอื่นข้าก็ไม่เคยลดราคามาก่อนเลยนะ”
“มิน่าชาวต้าหัวต่างเรียกเจ้าว่าพ่อค้าหน้าเลือด!” อวี้เจียหัวเราะคิกคัก โบกดอกไม้ในมือ ถอนหายใจลึกแล้วเอ่ยว่า “ดอกกุหลาบชื่อนี้มีความหมายลึกซึ้ง ข้าชอบมาก…กุหลาบแดง กุหลาบขาว กุหลาบเหลือง วันนี้ข้าเด็ดมาตั้งเยอะเลยนะ! หลินซาน สตรีต้าหัวของพวกเจ้าชอบดอกไม้ชนิดนี้ด้วยใช่หรือไม่”
“น่าจะใช่กระมัง! ข้าคนนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา วิธีการในการไล่ตามสตรีก็มีไม่มากนัก กับเรื่องพวกนี้ ไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ” เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อย่างนั้นหรือ?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาหลายครั้ง ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคนนี้นี่นะ นอกจากการพูดโกหกจะเป็นเรื่องจริงแล้ว เรื่องอื่นก็ปลอมทั้งสิ้น ตอนอยู่ที่ทะเลแห่งความตาย ข้าตื้นตันใจตั้งหลายครั้ง มาดูตอนนี้สิ ที่แท้ก็ปลอมทั้งนั้น”
“เช่นกันๆ” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง
“ใช่แล้ว เช่นกันๆ นั่นไม่อาจโทษเจ้าได้เช่นกัน เพราะทุกคนต่างปลอมกันทั้งนั้น” อวี้เจียหลุบตาลงเบาๆ เงียบงันอยู่นาน ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา เด็ดกุหลาบขาวมาดอกหนึ่งแล้วนำมาทัดบนเส้นผมที่งดงามประดุจเมฆา เผยฟันขาวให้หลินหว่านหรงเล็กน้อย “หลินซาน ข้างามหรือไม่?!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยผิวขาวกระจ่างใส ดวงตาดั่งวารียามวสันต์ มองเขาอย่างอ่อนโยน ราวกับดอกไม้ที่ผลิบาน เมื่อเทียบกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่รู้จักก่อนหน้านี้ก็ราวกับเป็นคนละคน หลินหว่านหรงผงกศีรษะอย่างเหม่อลอย “งาม! งามจริงๆ”
อวี้เจียเชิดใบหน้าเบาๆ “ขอบใจคำชมของเจ้า แต่ขอให้ครั้งนี้เจ้าไม่ได้ทำตัวจอมปลอม”
หลินหว่านหรงถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา “บางทีเจ้าอาจพูดไม่ผิด ข้าเป็นคนเลวร้ายมากจริงๆ”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มร่าพลางมองเขา “ถือว่าเจ้าพูดความจริงเสียที เข้าใจได้ ต้าหัวของเจ้ามีคำพูดเก่าแก่อยู่ประโยคหนึ่ง นั่นคือทำอะไรห้ามเกินสามครั้ง เจ้าก็ชื่อหลินซานมิใช่หรือ ย่อมเป็นคนที่เลวร้ายมากที่สุดแล้ว!”
ที่แท้ชื่อของข้าก็เข้าใจแบบนี้ได้ด้วย จินตนาการของนังหนูนี่ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง
“เจ้าพูดไม่ผิด ข้าเป็นคนเลวมากที่สุดคนนั้นจริงๆ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ส่งดาบทองที่อยู่ในมือให้อวี้เจีย “นี่ คืนให้เจ้า!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด สองมือกำจนแน่น ลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็รับดาบทองมาด้วยอาการสั่นเทา เสียงเช้งดังขึ้นมาเบาๆ ดาบอันคมกริบออกจากฝัก สาวน้อยทูเจวี๋ยจ้องมองดวงหน้างดงามประดุจบุปผาที่สะท้อนอยู่บนตัวดาบนั้น ยืนนิ่งและเหม่อลอย
“ได้ยินว่าถูสั่วจั่วอ๋องขวาทูเจวี๋ยมีดาบเงินอยู่เล่มหนึ่ง…” หลินหว่านหรงเอ่ยปากอย่างแช่มช้า พูดยังไม่ทันจบ อวี้เจียกลับส่ายหน้าพร้อมแย้มยิ้ม นางออกแรงโบกช่อดอกไม้ในมือ “หลินซาน ข้าให้เจ้าสักดอกก็แล้วกันนะ เจ้าชอบสีแดง สีเหลือง หรือว่าสีขาว?” มือเรียวยาวของนางดึงดอกกุหลาบที่อยู่ในมือเล่น เอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง
หลินหว่านหรงรีบโบกมือ “ไม่เอาๆ ข้าคนนี้ชอบเด็ดบุปผาด้วยตัวเอง ไม่เคยต้องให้ผู้อื่นมอบให้”
อวี้เจียแค่นเสียง “ครั้งนี้ต้องเป็นข้อยกเว้น!”
“เพราะอะไร?!” หลินหว่านหรงมองนางด้วยความฉงนสงสัย
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตอบเรียบๆ “ดวงจันทร์มีกลมมีเว้าแหว่ง มีพบมีพรากจาก ข้าไม่รู้เช่นกันว่าวันหลังยังจะจำเจ้าได้อีกหรือไม่! ดอกไม้เล็กๆ ดอกหนึ่ง ถือว่าเป็นที่ระลึกก็แล้วกัน”
ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเกินไปแล้ว! หลินหว่านหรงตะลึงงัน
อวี้เจียมองเขาอยู่หลายครั้ง โบกดอกไม้สีสันสดใสอยู่ตรงหน้าเขา “ว่ามา ดอกไม้ที่งดงามมากมายขนาดนี้ เจ้าต้องการดอกใด?!”
ภายในน้ำเสียงของนางกลับแฝงการห้ามปฏิเสธ หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน จากนั้นจึงหัวเราะพร้อมยื่นมือออกไป “เอาสีเหลืองนี้ก็แล้วกัน ดอกกุหลาบสีเหลืองค่อนข้างเหมาะกับนิสัยของข้า หนามก็น้อยด้วย”
“ในทุ่งหญ้าของพวกเรา อีลี่ซาสีเหลืองมอบให้ผู้อาวุโสเท่านั้น” อวี้เจียเอ่ยด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึก
หลินหว่านหรงรีบหดมือกลับไป “อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เอาเปรียบเจ้าแล้ว เอาสีขาวก็แล้วกัน ค่อนข้างสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกับนิสัยของข้า”
อวี้เจียส่ายหน้า “อีลี่ซาสีขาวมอบให้สตรีที่ตั้งครรภ์ เจ้าอยากได้จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าดอกหนึ่งก็ได้”
กฎเกณฑ์บนทุ่งหญ้าช่างมากมายเสียจริงนะ หลินหว่านหรงหัวเราะแหะๆ แล้วรั้งมือกลับไป “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ…ข้าพูดตั้งแต่แรกแล้ว กุหลาบมีหนามมากนะ! พวกเราเปลี่ยนการรำลึกถึงเป็นอย่างอื่นเถอะ อย่างเช่นการลงนามเอย การกอดกันเอย อะไรพวกนี้…”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ นางหักดอกกุหลาบสีแดงที่งดงามมากที่สุดและมีสีสันสดใสมากที่สุดมาดอกหนึ่ง จากนั้นจึงทัดข้างใบหูหลินหว่านหรงอย่างแช่มช้า หลินหว่านหรงพลันสะดุ้งขึ้นในทันที “ทำอะไรน่ะ นี่มันประเพณีอะไรกัน? ข้าเป็นผู้ชายนะ!”
“หยดน้ำแห่งห้วงคำนึงในปีก่อน จำแลงเป็นน้ำตารดพฤกษา บุรุษหนุ่มบ้านใดที่ชมวสันต์ หักกุหลาบแดงออกมาดอกหนึ่ง!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์พึมพำกับตนเอง มองเขาด้วยท่าทีเลื่อนลอย ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ช่างน่าเกลียดเสียจริง!”
ผู้ชายทัดดอกไม้ นั่นจะไม่น่าเกลียดได้อีกหรือ? ด้วยความหงุดหงิดโมโหอย่างรุนแรง หลินหว่านหรงจึงดึงดอกกุหลาบแล้วกำลังจะโยนทิ้ง อวี้เจียถอนหายใจบางๆ แล้วพูดว่า “ทูเจวี๋ยกับต้าหัว สุดท้ายแล้วก็เป็นโลกสองโลก ดอกไม้เล็กๆ ดอกหนึ่ง ถือเป็นของที่ระลึกชิ้นสุดท้ายก็แล้วกัน เจ้าจะโยนมันไปก็ได้ เพราะชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้า สิ่งที่คุ้นชินมากที่สุดก็คือการลืมเลือน! แม้แต่หลินซานซึ่งได้รับการขนานนามว่าฉลาดหลักแหลมมากที่สุดในต้าหัวก็ปราศจากข้อยกเว้นเช่นกัน”
นางหยิบถุงน้ำมา จากนั้นก็ดื่มลงไปหลายอึก น้ำทะเลสาบกระจ่างใสไหลออกมาตามมุมปาก ไหลไปตามลำคออันเรียวยาวราวกับหงส์ฟ้าสีขาวจนทำให้อาภรณ์ของนางเปียก ถึงกระนั้นนางกลับไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ชินกับการรำลึกและการถูกรำลึกจริงๆ!” หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า
“ข้าก็ไม่ชิน” อวี้เจียมองเขาด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้น “ก็เหมือนข้าที่ไม่ชินเรียกเจ้าว่าหลินซาน ถึงแม้ข้าจะรู้ทั้งรู้ว่าชื่อภาษาทูเจวี๋ยของเจ้านั้นมันเลวร้ายมากก็ตาม”
ที่แท้นังหนูนี่ก็รู้ตั้งแต่แรกแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง ใบหน้าแดงอย่างยากจะเกิดขึ้น
“หลินซาน พวกเราจะไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้วหรือ?” ลมหายใจของอวี้เจียค่อยๆ กระชั้นถี่ หนังตาหนักอึ้ง นางเหมือนรับรู้อะไรได้ พยายามเอ่ยถามอย่างเต็มที่
หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาว เงียบงันไม่เอ่ยวาจา
ใบหน้าอวี้เจียซับสีแดงอันแสนจะแปลกประหลาด นางเบิกตากว้างมองดูเขา ภายในดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความตื่นตระหนกและความรู้สึกไร้กำลังช่วยเหลือตนเอง
“อัวเหล่ากง!” นางตะโกนเสียงดังโดยใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งร่าง ทว่าเสียงกลับแผ่วเบาราวกับเสียงยุง แม้แต่ตัวนางเองก็แทบจะไม่ได้ยิน
แขนทรงพลังคู่หนึ่งกอดนางไว้อย่างเงียบงัน เมื่อเห็นดวงตาคมกริบเปล่งประกายระยิบยักของโจรต้าหัว นางก็คลี่ยิ้มออกมาทันที
ร่างกายอ่อนยวบ ล้มลงไปอย่างแช่มช้า สองตาอันงดงามค่อยๆ ปิดลง หลับสนิทไปอย่างเงียบงัน……