ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 605 - 1 วังหลังของข่านใหญ่
เมื่อคิดเช่นนี้ก็ทั้งตกใจทั้งจั๊กจี้ ทั้งวูบทั้งวาบ เมื่อมองข้างกายอีกครา กระโจมผ้าม่านสีชมพู ผ้าห่มที่เรียบลื่นดุจแพรไหม ผ้าม่านงามพลิ้วไสว กลิ่นหอมจางๆ กระชากวิญญาณ ทุกแห่งต่างวาบหวาม ราวกับตกอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน เมื่อล้มตัวนอนลงไปแล้วก็ไม่อยากลุกขึ้นมาอีก
“อ๊า…อ๊า…” ไหนเลยจะอยู่บนเสลี่ยงได้อีก เขารีบเลิกผ้าม่านพร้อมยื่นหน้าออกไป พยายามโบกมือให้หูปู้กุยอย่างเอาเป็นเอาตาย
ก็แค่นั่งเสลี่ยงเองไม่ใช่เหรอ เหตุใดแม่ทัพหลินถึงขวัญอ่อนขึ้นมาได้? เหล่าหูเห็นแล้วก็งุนงงสงสัย แต่แม่ทัพหลินกันมีปากแต่พูดไม่ได้อีก เมื่อเห็นความร้อนใจที่มีอยู่เต็มใบหน้าของเขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี
เสลี่ยงโยกคลอนแช่มช้า เข้าใกล้พระราชวังทูเจวี๋ยโดยไม่รู้ตัว ประตูใหญ่สีชาดนั้นอยู่แค่ตรงหน้า ทหารรักษาการณ์สองนายเฝ้าด้วยความระมัดระวังอยู่สองข้าง ตรวจสอบทุกดินแดนที่เข้าวังหลวง
ขนาดของพระราชวังทูเจวี๋ยยังใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้เล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับวังหลวงของต้าหัว พื้นที่ยังไม่ถึงหนึ่งส่วนเสียด้วยซ้ำ ความประณีตและความยิ่งใหญ่สลับซับซ้อนของสิ่งปลูกสร้างก็ยิ่งราวกับเมฆาและดินโคลน
มาตรฐานสิ่งปลูกสร้างชาวทูเจวี๋ยหยุดอยู่แค่ระดับเอาอิฐหินมาก่อกันง่ายๆ เท่านั้น แม้แต่ภายในภายในวังหลวงซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของพวกมันก็ยังปราศจากข้อยกเว้น กำแพงวังต่างก่อด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ งานหยาบกระด้างไม่น่าดูชม มีทางสายหนึ่งซึ่งปูด้วยเศษหินเชื่อมตรงไปยังประตูหลักหน้ากำแพงเมือง
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยชนเผ่านอกด่านกับพิณม้าจากด้านในเบาๆ มีเสียงหัวเราะเริงร่าของชาวทูเจวี๋ยลอยออกมาเป็นระยะ ทั้งยังระคนด้วยกลิ่นหอมของสุรานมม้าอันเข้มข้นอีกด้วย เหมือนว่าตำแหน่งของพระตำหนักใหญ่ซึ่งจัดงานเลี้ยงอยู่ไม่ไกลจากประตู
และนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์โดยอ้อมถึงความเล็กคับแคบ การก่อสร้างอย่างง่ายๆ และหยาบกระด้างของพระราชวังทูเจวี๋ย เมื่อเทียบกับสามพระตำหนักหกหมู่เรือนและตำหนักข้างจำนวนนับไม่ถ้วนของต้าหัว พระราชวังทูเจวี๋ยเล็กกระจ้อยร่อยจนแทบจะเมินไปได้เลย แม้แต่ที่ว่าการในเจียงหนานก็ยังดีกว่ามาก
ทหารรักษาการณ์ประจำประตูวังเมื่อเห็นเสลี่ยงนั้นเข้ามาใกล้ก็รีบรั้งสีหน้าอันดุร้ายกลับทันที ใช้มือแตะอดก้มศีรษะด้วยความเคารพนบนอบ สาวน้อยทูเจวี๋ยไม่มองพวกมันแม้แต่แวบเดียว เดินตัดผ่านประตูวังเข้าไป เหล่าหูซึ่งตามอยู่ข้างหลังพวกนางก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย ทหารรักษาการณ์รั้งม้าของพวกเขาไว้ เพียงตรวจตราดาบทื่อที่ห้อยอยู่บนร่างเขาเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็โบกมือแล้วปล่อยพวกเขาเข้าไป
เพิ่งเข้าประตูมาก็ได้ยินอึกทึกและเสียงหัวเราะเบิกบานลอยเข้ามาจากที่ไกลๆ เป็นระยะ ห่างจากประตูหลักไปไม่ถึงสองสามร้อยจั้งคือพระตำหนักขนาดมหึมาซึ่งสว่างเจิดจ้าหลังหนึ่ง
โครงสร้างของพระตำหนักหลังนั้นสร้างจากไม้แท้ทั้งหลัง ทั้งสูงทั้งกว้างใหญ่ ระเบียงทางเดินและชายคาทอดยาว ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนัก บนคานประตูของพระตำหนักใหญ่ต่างใช้ไม้แท้แกะฉลุลวดลาย ติดทับด้วยกระดาษหนังวัวที่โปร่งแสง มีแสงสีเหลืองทอดลอดออกมาให้เห็นรำไร
การปลูกสร้างพระราชวังแห่งนี้วิจิตรงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการ บังเกิดข้อเปรียบเทียบกับบ้านหินที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆ รอบด้านอย่างชัดเจน หลินหว่านหรงมองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าต้องมีช่างฝีมือผู้มีความสามารถชาวต้าหัวช่วยชาวทูเจวี๋ยออกแบบแน่นอน
สองข้างของประตูหลักพระตำหนักใหญ่ต่างแขวนประดับหัวหมาป่าสีทองขนาดยักษ์ซึ่งกำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน ท่าทางดุร้าย เสียงหัวเราะสนุกสนานกับกลิ่นของสุราอาหารเข้มข้นลอยออกมาจากพระตำหนัก เสียงอึกทึกคึกคักดังไม่ขาดสาย
เมื่อเห็นทหารม้าใบ้เลิกผ้าม่านมองในพระตำหนักไม่หยุด ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ สาวน้อยทูเจวี๋ยนางหนึ่งจึงหัวเราะพร้อมทำท่าทางภาษามือ “ที่นั่นก็คือสถานที่ที่ท่านข่านใหญ่ทรงออกว่าราชการสะสางราชกิจต่างๆ งานเลี้ยงในคืนนี้ก็จัดขึ้นที่นั่น ท่านดูสิ งานเลี้ยงเริ่มกันแล้ว ผู้กล้า ท่านมาสายเกินไปแล้วนะ!”
ออกว่าราชการกับพระราชทานงานเลี้ยงต่างใช้สถานที่เดียวกัน นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับต้าหัว ชาวทูเจวี๋ยยังไม่ได้เรียนรู้บรรดาพิธีการอันสลับซับซ้อนต่างๆ ของต้าหัว และพวกมันก็ไม่สนใจด้วย
ชนเผ่านอกด่านหลายคนกรูเข้ามา พาพวกของหูปู้กุยเดินไปทางพระตำหนักใหญ่ที่กำลังจัดงานเลี้ยงด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
ขณะที่หลินหว่านหรงกำลังรู้สึกทอดถอนใจอยู่นั้น เสลี่ยงกลับเลี้ยวผิดเปลี่ยนทิศ ไม่ติดตามพวกหูปู้กุย แต่กลับเลียบทางเดินด้านข้างไป หลบหลีพระตำหนัก ไปด้านหลังอย่างรีบร้อน
“อ๊า…อ๊า…” เจ้าใบ้ตกใจจนหน้าถอดสี รีบโบกมือขอความช่วยเหลือ หูปู้กุยรับรู้ทันที พุ่งปราดมาขวางหน้าสาวน้อย “นี่จะทำอะไร พวกเจ้าจะพาผู้กล้าของพวกเราไปที่ใด?!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยหัวเราะแล้วตอบว่า “ผู้กล้าใบ้คือผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า และยิ่งเป็นแขกผู้สูงส่งมากที่สุดของท่านข่านใหญ่ เขาย่อมได้รับการปรนนิบัติที่ดีที่สุด พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครรังแกเขาหรอก!”
ดูจากท่าทางก็รู้ว่าแย่แล้ว เจ้าใบ้ชี้มือชี้ไม้ ร้องอ๊าๆ เสียงดัง แทบจะกระโดดลงมาจากเสลี่ยง
สาวน้อยหันหน้ากลับมา ใช้มือส่งภาษาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ผู้กล้า ท่านไม่ต้องกลัว ท่านข่านใหญ่คือผู้ปกครองแห่งยุค ตรัสแล้วไม่คืนคำ พระองค์ต้องดีต่อท่านแน่นอน! ขอเพียงท่านยอมพระองค์ก็จะมียศถาบรรดาศักดิ์รอคอยท่านไม่รู้จักจบสิ้น!”
หา?! เหล่าหูตาค้างไปแล้ว ให้แม่ทัพหลินยอมอวี้เจีย นี่มันหมายความว่าอะไร?!
เจ้าใบ้ฟังแล้วก๊อกสั่นขวัญหาย ขนลุกชันทั้งร่าง จบแล้วจบแล้ว ดูจากท่าทาง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ต้องร่วมอภิรมย์กับข้าแน่นอน! เสียตัวน่ะเรื่องเล็ก แต่เสียชื่อเสียงน่ะเรื่องใหญ่! หรือว่าต้องเสียสละชื่อเสียงของข้าเพื่อบ้านเมืองกับราษฎร?! สวรรค์ ทำไมเราถึงต้องเจอเรื่องโหดร้ายไร้มนุษยธรรมแบบนี้ด้วย!
ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้นสายตาก็เหลือบมองเล็กน้อย เห็นว่าบนท้องฟ้าอันห่างไกลนอกเมืองมีพลุอันเจิดจ้าคลี่บานดอกหนึ่ง แม้จะเงียบงัน ถึงกระนั้นกลับงดงามเจิดจ้าเด่นสะดุดตายิ่งนัก! เหล่าหูสีหน้าตื่นตะลึง รีบส่งสายตาให้แม่ทัพหลิน ผู้สำเร็จการใหญ่ ไม่ยึดติดกับเรื่องปลีกย่อย เชื่อว่าด้วยความสามารถของท่านแม่ทัพจะต้องสยบอวี้เจียได้แน่! ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เพื่อต้าหัว คงต้องขอให้ท่านเสียสละบ้างแล้วล่ะ!!
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หูปู้กุยหัวเราะฮ่าฮ่า ใช้มือเดียวแตะอก กล่าวด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “ข่านใหญ่บังเกิดความชื่นชอบถือเป็นเรื่องมหามงคลของเยวี่ยซื่อเรา อ้อ เขายังอายอยู่บ้าง ช่างเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์เสียจริง! ขอทั้งสองจงรีบพาผู้กล้าไปเถอะ เวลาอันดีงามไม่รอใครนะ!”
เจ้าบ้าร้องอ๊าๆ เสียงดัง ดิ้นรนขัดขืน สาวน้อยทูเจวี๋ยหัวเราะคิกคักพลางโบกมือ ผ้าม่านสีชมพูถูกปล่อยลง เสลี่ยงไปยังราชวังอย่างเร็วรี่ดั่งโผบิน พวกหูปู้กุยต่างสบตากัน เชิดหน้าแอ่นอก สาวเท้ายาวๆ เดินไปยังพระตำหนักกลางของชาวทูเจวี๋ยหลังนั้น
เจ้าเหล่าหูคนนี้ขายข้าแบบนี้เลยหรือ? ช่างไร้คุณธรรมมารดามันเสียจริง!! แม่ทัพหลินปล่อยผ้าม่านลงอย่างเดือดดาล เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตีอกชกหัวด้วยความเคียดแค้นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด เบื้องหน้าพลันผุดดวงหน้าอันงดงาม ผิวพรรณเรียบลื่นของอวี้เจีย ทุกรอยยิ้มทุกการขมวดคิ้วต่างเต็มไปด้วยความน่าสงสัย
“หยุด!” ขณะที่ใจกำลังคันยุบยิบราวกับมีแมวข่วน ทันใดนั้นก็ได้ยินบุรุษผู้หนึ่งใช้ตวาดเสียงดังด้วยภาษาชนเผ่านอกด่าน เสลี่ยงหยุดทันที
เมื่อเห็นผู้ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าผู้นั้น สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองต่างสบตากัน ยอบกายแสดงการคารวะพร้อมเอ่ยว่า “คารวะใต้เท้าอ๋องขวา!”
เจ้าใบ้รีบเลิกผ้าม่านแล้วแอบมองข้างนอก จริงดังคาด ผู้ที่ขวางอยู่ข้างหน้าก็คืออ๋องขวาทูเจวี๋ยถูสั่วจั่วซึ่งถูกเหล่าหูฟังขาหักไปข้างหนึ่งนั่นเอง!
มันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หยาบๆ ตัวหนึ่ง ถูกชนเผ่านอกด่านสองคนแบกมา หน้ากากเอาออกไปแล้ว แม้จะดามด้วยท่อนไม้แล้วก็ตาม แต่น่องที่ห้อยลงมาของมันก็ยังคงอ่อนปวกเปียก คล้ายแกว่งไกวไปตามลมได้ เหล่าหูลงมือโหดเ**้ยมเพียงใด พอฟันดาบนี้ลงไป กระดูกขาของถูสั่วจั่วก็แหลกละเอียด ไม่อาจยืนได้ตลอดกาล
อ๋องขวาเปลี่ยนชุดแล้ว บริเวณเป้าคล้ายยังไม่ได้พันแผลให้เรียบร้อยดี มีโลหิตซึมออกมาเล็กน้อย ทุกถ้อยคำที่พูดออกมาต่างกระทบกระเทือนอาการบาดเจ็บที่บาดแผลมัน ถูกหลินหว่านหรงใช้มือทิ่มอย่างรุนแรง เบ้าตาทั้งสองของมันบวมช้ำแดงไปหมด ลูกตาปูดโปนออกมาข้างนอก ตาทั้งสองข้างบวมจนเหลือแค่เส้นเล็กๆ เท่านั้น
ผู้กล้าผู้หล่อเหลาและไร้เทียมทานมากที่สุดบนทุ่งหญ้า อ๋องขวาถูสั่วจั่วผู้ได้รับการชื่นชมจากสาวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนกลับตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ ไม่เพียงเสียโฉมขาหัก เกรงว่าแม้แต่การสืบสกุลก็คงมีปัญหา แม่ทัพหลินอดส่ายหน้าทอดถอนใจไม่ได้ เกิดมาหน้าตาหล่อไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่หน้าตาหล่อแล้วยังจะมาเดินไปเดินมาอยู่หน้าข้า นั่นความผิดอย่างมหันต์ของเจ้า
“ผู้ที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงคือใคร?!” ถูสั่วจั่วคล้ายดื่มสุรามา ใบหน้าแดงก่ำ ใช้มือที่ยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีเพียงข้างเดียวชี้กระโจมผ้าม่านสีชมพูนั้นพร้อมเอ่ยถามเสียงดัง
สาวน้อยทั้งสองตอบพร้อมกัน “เรียนท่านอ๋องขวา ท่านนี้คือผู้กล้าเยวี่ยซื่อที่ท่านข่านใหญ่ดาบทองต้องการพบเจ้าค่ะ!”
“เยวี่ยซื่อ?!” ดวงตาที่ลืมไม่ขึ้นของอ๋องขวาสาดประกายเคียดแค้นอย่างรุนแรง มันตะเกียกตะกายยืนขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดพร้อมกระเด้งขาเดียวขึ้น ออกแรงกวัดแกว่งดาบโค้งในมือ ตวาดอย่างบ้าคลั่งออกมา “ให้มันลงมา! ถูสั่วจั่วจะฆ่ามัน! ข้าจะฆ่ามันให้จงได้!!”
เสียงร้องดังสุดแรงเกิดอย่างบ้าคลั่งนั้นช่างบาดหูยิ่งนัก ทหารยามที่อยู่โดยรอบรีบคุ้มกันอยู่รอบเสลี่ยง สาวน้อยผู้หนึ่งรีบกล่าวด้วยโทสะ “ท่านอ๋องขวา ท่านคิดจะทำอะไร? หรือว่าแม้แต่รับสั่งของข่านใหญ่ก็กล้าขัดขืนด้วย?!”
“ใช่แล้วล่ะ ใต้เท้าอ๋องขวา อดทนอดกลั้นสักหน่อยเถอะขอรับ พวกเราต้องมีหนทางแน่นอน!” ชายคนหนึ่งรีบขวาง อ๋องขวาเอาไว้ กล่าวด้วยความห่วงใยข้างกายมัน
เสียงนี้ฟังแล้วดูคุ้นหูอยู่บ้าง หลินหว่านหรงยื่นหน้าออกไปมองด้านนอก อ๋องน้อยเจ้าคังหนิงยืนอยู่ข้างกายถูสั่วจั่ว กำลังเหลือบเข้าไปในกระโจมด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
ไอ้เจ้าเศษสวะคนนี้! หลินหว่านหรงด่าทอด้วยโทสะอยู่ในใจ รีบปล่อยผ้าม่านลง
หากเป็นกาลก่อน ถูสั่วจั่วบารมีล้นฟ้า จะมีผู้ใดกล้าขวางหน้ามัน? เพียงแต่ตอนนี้ไม่เหมือนวันวาน มันถูกคนอัดจนสภาพย่ำแย่ไปหลายแห่ง รูปโฉมไม่เหมือนเดิม ถูสั่วจั่วในยามนี้หาใช่ อ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้ห้าวหาญไร้เทียมทาน ยิ่งใหญ่เกรียงไกรภายในใจชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นอีกต่อไป แม้แต่นางกำนัลตัวเล็กๆ สองคนยังกล้ามาจเจ้ากี้เจ้าการต่อหน้าเขา
“ได้ ข้าจะไปหาท่านข่านใหญ่!!” ถูสั่วจั่วกำหมัดอย่างสุดกำลัง หางตาปริแตก ความเคียดแค้นที่สาดประกายออกมาจากดวงตาแทบจะทะลุผ้าม่านเข้าไป