ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 582 - 2 ชายงามทูเจวี๋ย
เหล่าหูส่ายหน้าด้วยท่าทีอันหนักอึ้ง “ยังไม่รายงานกลับมาขอรับ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของชนเผ่านอกด่านอยู่ด้านข้าง หน่วยลาดตระเวนของเราไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย เป้าหมายของพวกมันจึงยิ่งไม่ทราบขอรับ ยาก!”
ที่ร้ายก็ร้ายตรงที่ไม่รู้อะไรเลยนี่ล่ะ หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโห ทั้งไม่รู้เจตนาของชนเผ่านอกด่าน ทั้งไม่มีข่าวจากเฮ่อหลานซาน และยิ่งไม่รู้ว่าที่แท้สวีจื่อฉิงทางนั้นมีความเคลื่อนไหวหรือไม่ ส่วนตัวเองหากไม่ระมัดระวังเพียงเล็กน้อย ทหารต้าหัวห้าพันนายนี้ก็จะถูกชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนบดขยี้เป็นชิ้นๆ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้กลับปราศจากข่าวสารที่มีประโยชน์มาให้วิเคราะห์ศัตรู แล้วจะไม่ให้เขาจิตใจร้อนรุ่มได้อย่างไร? นี่คือข้อเสียที่เกิดขึ้นจากการเดินทางล่วงลึกเข้ามาของทัพอันโดดเดี่ยว
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ” ขณะที่กำลังร้อนใจ สวี่เจิ้นก็บุกเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง
“มีอะไร?” หลินหว่านหรงสีหน้าแปรเปลี่ยน “ทหารม้าทูเจวี๋ย? มีเท่าไหร่? มาจากที่ใด แล้วจะไปที่ใดอีก?!”
สวี่เจิ้นส่ายหน้า “มีราวร้อยกว่าคน สถานะตอนนี้ยังไม่อาจยืนยัน เพียงแต่เมื่อดูจากท่าทางของม้าศึกพวกมัน เดินทางไม่เกินหนึ่งวันก็น่าจะรีบรุดมาถึงราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้วขอรับ”
เมืองปราการทุ่งหญ้าซึ่งอยู่ใกล้อูซูปู้นั่วเอ่อร์มากที่สุดก็มีแค่เค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้ว ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้มาจากที่ใด แค่กำลังคนร้อยคนนี้ถือว่าน้อยนิดมาก หน่วยลาดตระเวนที่อยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์จะไม่รายงานกลับมาก็เป็นเรื่องปกติ
ทหารม้าร้อยนาย? มุ่งตรงมาที่ทะเลสาบ? นี่เป็นใครกันแน่? พวกมันต้องการทำอะไร? หลินหว่านหรงเดินย่ำเท้ากลับไปกลับมา สมองใช้ความคิดอย่างเร็วรี่
เกาฉิวเมื่อฟังรายงานของสวี่เจิ้นจบก็เบะปากพูดอย่างดูแคลน “ก็แค่กุ๊ยนอกด่านร้อยคนเองไม่ใช่หรือ?! ลงมือลงไม้ให้รวบรัดสักหน่อย กำจัดพวกมันไปเลยก็ได้แล้วมิใช่หรือ?!”
“ไม่ได้” หูปู้กุยรีบส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้เจตนาในการมาของชนเผ่านอกด่านร้อยคนนี้อย่างแน่ชัด หากเป็นสายสืบของทูเจวี๋ย พอพวกเราลงมือจะไม่เผยร่องรอยการเดินทางของพวกเราต่อชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังนั้นพอดีหรอกหรือ?!”
หากเอ่ยถึงการจัดกองทัพและการวางกองกำลัง เหล่าเกาย่อมไม่ใช่แน่นอน เขาแลบลิ้น ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแล้ว
หลินหว่านหรงดวงตากระจ่างวูบ รีบพูดว่า “ไม่ว่าที่มาจะเป็นใคร พวกเราก็ไม่ต้องกลัวมัน พี่หู ท่านพาพี่น้องให้ถอยหลังออกไปยี่สิบลี้ สวี่เจิ้น เจ้าพาพี่น้องร้อยคนรั้งอยู่กับข้า พวกเราลองสืบแผนการของชนเผ่านอกด่านพวกนี้ดู”
“ไม่ได้” พูดเพิ่งจบ หูปู้กุยก็คัดค้านเสียงดัง “มีฐานะเป็นผู้คุมกองทัพ แล้วจะเสี่ยงอันตรายด้วยตนเองได้อย่างไร ขอท่านแม่ทัพโปรดพากองทัพไปเร้นกาย ให้ข้าน้อยนำคนไปสืบข่าวเถอะขอรับ”
ความคิดของหูปู้กุยละเอียดรอบคอบ ประสบการณ์ช่ำชอง พอคำพูดหลุดออกมาทุกคนล้วนผงกศีรษะเห็นด้วย หลินหว่านหรงหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “พี่หูคิดมากไปแล้ว ใช้ร้อยสู้ร้อย แถมทัพเรายังอยู่ในที่ลับ อย่างมากก็จัดการชาวทูเจวี๋ยพวกนี้ไปเสีย ไหนเลยจะต้องใช้คำว่าเสี่ยงอันตรายด้วย?! หลายวันนี้ทำข้าหงุดหงิดจะแย่แล้ว ไม่ไปสืบชนเผ่านอกด่านด้วยตัวเองสักหน่อย ข้ารู้สึกไม่ยินยอมจริงๆ อีกอย่างนะ เมื่อเจอกับทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์แห่งนี้ ยังมีผู้ใดที่ว่ายน้ำดีกว่าข้าอีก? ข้าอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป กะอีแค่ชาวทูเจวี๋ยร้อยคนจะทำอะไรข้าได้”
เขาเชื่อมั่นเปี่ยมล้น ทุกคนยังคงโน้มน้าวต่อไป ทว่ากลับถูกเขาปฏิเสธ หูปู้กุยจนใจ ทำได้เพียงกำชับสวี่เจิ้นอย่างถ้วนถี่อยู่หลายประโยค จากนั้นถึงพากองทัพถอยไปข้างหลัง
ทหารร้อยคนที่พามาพร้อมสวี่เจิ้นต่างซุ่มตัวอยู่ในพงหญ้า เวลาผ่านไปทีละเสี้ยววินาที ฟ้ามืดสนิทแล้ว ความรู้สึกเย็นเยียบถั่งท้นขึ้นมาภายในจิตใจเป็นระลอก ชนเผ่านอกด่านร้อยคนนั้นกลับยังมาไม่ถึง
รอจนรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เพิ่งจะขยับตัวเล็กน้อยไปไม่กี่ที หูก็แว่วเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับกุบกับเบาๆ ลอยเข้ามา เสียงนี้คุ้นเคยเสียจนไม่อาจจะคุ้นเคยได้อีก เป็นเสียงฝีเท้าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของม้าทูเจวี๋ย
“มาแล้ว” เสียงของสวี่เจิ้นเตือนสติ ทุกคนรีบซุ่มตัวอยู่ในพุ่มไม้ กลั้นลมหายใจ
ท่ามกลางความมืด ไอหมอกลอยขึ้นบางๆ จุดดำที่วิ่งทะยานนับร้อยรวดเร็วประดุจสายลม มุ่งตรงมาที่ทะเลสาบ เมื่อเห็นท่วงท่าและความเร็วในการขี่ม้าของทหารม้า ต่างเป็นมือดีชาวทูเจวี๋ยผู้ช่ำชองอย่างยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ราตรีมืดมิด ชาวทูเจวี๋ยร้อยคนนี้ทั้งไม่แจ้งชื่อเสียงเรียงนามและไม่จุดคบเพลิง ห้อตะบึงราวกับเกาทัณฑ์ พุ่งทะยานมาที่ริมทะเลสาบ แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเห็นชาวทูเจวี๋ยเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลินหว่านหรงก็รีบหดศีรษะกลับลงไปในพงหญ้าลึกๆ สายลมเร็วรี่กวาดผ่าน ม้าเร็วทูเจวี๋ยหลายตัวประหนึ่งพายุสลาตันที่กวาดม้วนเข้ามา ทำให้ใบไม้ใบหญ้าปลิวปะทะใบหน้า เจ็บปวดยิ่งนัก
เจ้าชาติหมา! หลินหว่านหรงถ่มเศษหญ้าที่เข้าปากออกมา ส่งเสียงถุยๆ พลางลอบด่าทอไปยกหนึ่ง
ทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์อยู่ติดกับราชธานีทูเจวี๋ย ชาวทูเจวี๋ยนับร้อยที่ห้อตะบึงเข้ามาช่างย่ามใจยิ่งนัก แม้แต่พงหญ้าที่อยู่โดยรอบก็ไม่มองแม้แต่แวบเดียว คล้ายวางใจต่ออาณาเขตของตนยิ่งนัก
“ดูสิ พวกมันหยุดแล้ว!” สวี่เจิ้นร้องเบาๆ ทำให้หลินหว่านหรงตกใจจนได้สติ เขารีบทอดสายตามองไป เห็นว่าชาวทูเจวี๋ยนับร้อยที่เมื่อครู่ยังคงควบม้าห้อตะบึงอยู่นั้น เมื่อมาถึงริมทะเลสาบก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง หลายคนซึ่งนำหน้าอยู่เมื่อครู่ลงจากหลังมาตั้งแต่แรก กำลังจูงม้าเดินไปข้างหน้า
“หรือว่าพวกมันจะตั้งค่ายค้างที่นี่?!” ความคิดนี้ปรากฏวูบอยู่ภายในใจหลินหว่านหรง เหล่าหูพาพี่น้องหลายพันคนออกห่างจากที่นี่ไปเพียงยี่สิบลี้เท่านั้น หากประมาทพลาดพลั้งก็ต้องปะทะกัน เขารู้สึกร้อนใจขึ้นแล้ว การต่อกรกับคนร้อยคนนี้เดิมทีนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร กลัวแค่ว่าเบื้องหลังพวกมันยังมีคนอีก เช่นนั้นก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยายามสะกดกลั้นความร้อนรนกระวนกระวายที่มีอยู่ภายในใจ
ชนเผ่านอกด่านนับร้อยลงจากหลังม้าจนหมดสิ้น เอากระโจมลงมาเรียบร้อย พวกมันกำลังเดินวนรอบทะเลสาบ ดูท่าทางคล้ายกำลังเลือกสถานที่ที่จะตั้งกระโจม เห็นชัดว่าคืนนี้จะค้างอยู่ที่นี่แล้ว
ไปข้างหน้าอีกสักหน่อยก็คือเคอปู้ตัวแล้ว คืนนี้พวกมันค้างอยู่ที่นี่ หรือว่าพรุ่งนี้เช้าจะรีบไปเคอปู้ตัว? แต่ระยะทางสั้นๆ แค่ร้อยลี้ หวดแส้อีกสักหน่อยก็ถึงแล้ว เหตุใดต้องมาตั้งค่ายตรงนี้ด้วย? หลินหว่านหรงคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจ
ชาวทูเจวี๋ยทางนั้นเดินวนเวียนอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกตำแหน่งที่ดีได้ เริ่มตั้งค่ายก่อกองไฟกันแล้ว ชาวทูเจวี๋ยพวกนี้กลับสายตาดียิ่งนัก สถานที่ที่เลือกมีหญ้าล้อมรอบสามด้าน ส่วนอีกด้านอยู่ติดทะเลสาบอันกระจ่างใส สายลมสดชื่นพัดเข้าฝั่ง คลื่นสีมรกตกระเพื่อมไหว ทัศนียภาพงดงาม เวรยามที่ชนเผ่านอกด่านส่งออกไปอยู่ใกล้กระโจมยิ่งนัก ดูออกว่าพวกมันยังค่อนข้างวางใจต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ น่าจะเพราะห่างออกไปอีกสองร้อยลี้คือภูเขาอาเอ่อร์ไท่ซึ่งเป็นปราการทางธรรมชาติกระมัง
หลินหว่านหรงมองตรวจตรารอบด้านคราหนึ่ง ทำท่ามือต่อพุ่มหญ้าที่อยู่ไกลๆ สวี่เจิ้นผงกศีรษะรับรู้ โบกมือเล็กน้อย นายทหารที่อยู่ข้างกายเขาจึงแบ่งเป็นกลุ่มย่อยหลายสิบกลุ่ม กระจายรูปกระบวน มุดไปทางพงหญ้านั้นอย่างเงียบงัน คนเหล่านี้คือทหารชั้นยอดในทหารชั้นยอดที่หูปู้กุยเลือกสรรมา แต่ละคนต่างสู้หนึ่งต่อสิบได้ เคลื่อนไหวรวดเร็วรวบรัด เพียงชั่วพริบตาก็ไปถึงตำแหน่งที่หลบซุ่มแล้ว
เมื่อหลินหว่านหรงมุดเข้าไป ข้างใบหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของชาวทูเจวี๋ย เมื่อแอบเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากกระโจมของชนเผ่านอกด่านแค่สามสิบจั้ง ริมทะเลสาบก่อกองไฟขนาดยักษ์ บนกองไฟห้อยแพะย่างสดใหม่ทั้งตัว กลิ่นหอมของเนื้อลอยเตะจมูก น้ำมันแพะสีเหลืองทองหยดติ๋งๆ ลงบนกองไฟ ทำให้เกิดสะเก็ดไฟสว่างวูบวาบ
ข้างกองไฟมีชาวทูเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิอยู่หลายคน กำลังพูดคุยสรวลเสเฮฮาเสียงดัง เนื่องจากอยู่ห่างมากเกินไป ไม่เพียงจะได้ยินพวกมันพูดคุยไม่ชัดเจน แม้แต่ใบหน้าของคนทั้งหลายก็พร่ามัวยิ่งนัก บังเกิดลางสังหรณ์รางๆ ว่าชาวทูเจวี๋ยที่นั่งฝั่งตรงข้ามตนเองนั้นสวมใส่อาภรณ์ไม่ธรรมดา ชุดชนเผ่านอกด่านหรูหรางดงาม คล้ายเป็นหัวหน้า
มารดามัน! หรือว่าเจ้าพวกนี้จะมาจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ มองก็มองไม่ชัด ฟังก็ไม่ได้ยิน หลินหว่านหรงหงุดหงิดโมโหยิ่งนัก อดลอบด่าทอกับตัวเองไม่ได้
“ท่านแม่ทัพ ไม่สู่ลงทะเลสาบไปดีกว่าขอรับ” สวี่เจิ้นพูดกระซิบข้างใบหู
ใช่แล้วล่ะ หลินหว่านหรงดวงตาเปล่งประกาย เจ้าชนเผ่านอกด่านหลายคนนี้พูดคุยอยู่ริมฝั่ง ด้วยความสามารถยอดพยัคฆ์บนบก มังกรขาวน้อยในน้ำของข้า คิดจะจัดการพวกมันไม่ใช่เรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือหรอกหรือ
มองสวี่เจิ้นอย่างเห็นด้วยคราหนึ่ง ขณะกำลังจะปฏิบัติการ ทันใดนั้นก็มีหน่วยลาดตระเวนคนหนึ่งมุดเข้ามา “ท่านแม่ทัพ มีคนมาอีกแล้วขอรับ!”
“อะไรนะ?!” เสียงตกใจยังไม่ทันจบก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังเข้ามาในหูเป็นระยะ น้อยกว่าร้อยคนเมื่อครู่มากนัก ท่าทางราวสิบกว่าคนเห็นจะได้
ตอนแรกมีร้อยคน ตอนหลังมีอีกสิบคน หรือว่าพวกมันจะมานัดพบกัน?! หลินหว่านหรงใจเต้นรัว รีบซ่อนตัวอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นเบาๆ เห็นชัดว่าทำให้ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ตรงข้ามตกใจ ชนเผ่านอกด่านคนหนึ่งพูดข้างใบหูคนหนุ่มที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นอยู่หลายประโยค ชาวทูเจวี๋ยที่เป็นหัวหน้าผงกศีรษะเล็กน้อย ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างแช่มช้า เดินมายังทางเข้าค่าย
คบเพลิงค่อยๆ สว่างขึ้น หลินหว่านหรงเห็นรูปโฉมของชนเผ่านอกด่านอายุน้อยผู้นั้นด้วยเช่นกัน มันอายุราวยี่สิบกว่าปี คิ้วเข้มตาโต จมูกโด่งปากใหญ่ รูปร่างยังสูงใหญ่กว่าหลินหว่านหรงครึ่งช่วงศีรษะ แขนขาแข็งแรงกำยำ เหมือนจะมีพลังปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ ทั่วทั้งร่างแข็งแรงทรงพลัง องอาจผึ่งผาย ต่างจากลาปู้ตัวชนเผ่านอกด่านที่หลินหว่านหรงเคยเห็นโดยสิ้นเชิง นี่คือชายงามทูเจวี๋ยผู้แข็งแกร่งตามแบบฉบับอย่างแท้จริง
เจ้านี่กลับหน้าตาดีอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจดึงดูดสาวน้อยทูเจวี๋ยไปไม่น้อย หลินหว่านหรงแอบหัวเราะคราหนึ่ง
ชายงามทูเจวี๋ยผู้นี้สวมชุดชนเผ่านอกด่านสีเหลืองอ่อน แม้รูปร่างจะไม่ต่างจากชนเผ่านอกด่านทั่วไป แต่คุณภาพของชุดนั้นกลับคนละเรื่องเลยทีเดียว เมื่ออยู่ในสายตาผู้เชี่ยวชาญด้านชุดชั้นในเช่นหลินหว่านหรงนี้ เขาเองก็ต้องลอบตกใจเช่นกัน เห็นชัดว่านี่คือผ้าไหมชั้นดีของต้าหัว ที่ต้าหัวก็มีแค่ครอบครัวผู้มีอันจะกินเท่านั้นถึงจะสวมใส่ได้ แล้วเจ้านี่มันเป็นใครกันแน่?
ชายงามทูเจวี๋ยผู้นั้นเดินออกห่างจากทางเข้าไปได้ไม่กี่จั้งก็หยุดยืน ไม่ขยับไปเบื้องหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว มือหนึ่งแตะดาบโค้งที่ห้อยอยู่ที่เอว นัยน์ตาประดุจเหยี่ยว มองประเมินเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ท่าทางอันห้าวหาญเย็นชานั้น ชนเผ่านอกด่านธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้ เมื่อมองไปที่ข้างกายคนผู้นี้อีก ชาวทูเจวี๋ยใต้บังคับบัญชามันแต่ละคนต่างรูปร่างกำยำล่ำสัน เปี่ยมล้นด้วยพลัง มือที่กุมดาบโค้งมีเส้นเอ็นปูดโปน มองปราดเดียวก้รู้ว่าเป็นชนชั้นที่ผ่านการรบมาเป็นร้อย
หลินหว่านหรงตกใจ รั้งความรู้สึกสบายใจกลับไปทันที หากเอาคนร้อยคนของข้าไปเทียบกับลูกสมุนของเจ้าคนนี้จริง ใครจะแพ้ใครจะชนะก็พูดได้ยากแล้ว
ขณะที่กำลังเกิดข้อกังขานี้ ม้าหลายสิบตัวที่อยู่ไกลๆ ก็มาถึงอย่างเร็วรี่ เสียงฝีเท้ากระจ่างชัดกรีดทำลายความเงียบสงบของทุ่งหญ้า ชายงามชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นกวาดตามองเล็กน้อย ผงกศีรษะแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ปราศจากท่าทีจะออกจากค่ายไปต้อนรับแม้แต่น้อย
ม้าหลายสิบตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลินหว่านหรงกวาดตามองอย่างพร่ามัวคราหนึ่ง เห็นเพียงว่าคนพวกนี้สวมชุดชนเผ่านอกด่าน แต่รูปโฉมกลับมองเห็นไม่ชัดเจน
ขณะที่ชนเผ่านอกด่านซึ่งมาทีหลังยังอยู่ห่างจากทางเข้าค่ายอีกหลายจั้ง ก็ตวาดให้ม้าใหญ่หยุดลงอย่างพร้อมเพรียงกัน กระโดดเสียงดังขวับคราหนึ่ง คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่เบื้องหน้าก้าวเข้ามาอย่างเร็วรี่ แสดงการคารวะแด่ชายงามทูเจวี๋ยในอาภรณ์หรูหราผู้นั้นด้วยความเคารพอย่างยิ่ง พูดเสียงดังบางอย่างออกมา
เสียงลอยมาตามลม ได้ยินแว่วๆ ไม่ชัดเจน เพียงแต่เสียงนั้นกลับเหมือนจะคุ้นเคยอยู่หลายส่วน หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความรู้สึกขบขัน แม่เอ๊ย! หรือว่าข้าก็มีคนคุ้นเคยที่ทูเจวี๋ยด้วย?
อาศัยแสงริบหรี่ของคบเพลิง เขากวาดตามองอย่างลวกๆ คราหนึ่ง พริบตานั้นก็ตาโตอ้าปากค้าง อ้าจนยัดไข่ไก่ขนาดใหญ่เข้าไปได้ฟองหนึ่ง ไม่อาจหุบลงไปได้อีก
“เป็นเจ้าคังหนิง!” สวี่เจิ้นตกใจจนแทบจะกระเด้งขึ้นไป โชคดีที่หลินหว่านหรงอุดปากเขาได้ทันเวลา
ผู้ที่สวมชุดชนเผ่านอกด่าน เดินนำหน้าย่างก้าวเข้าไปในค่ายนั้นกลับเป็นเจ้าคังหนิงทายาทเฉิงอ๋องที่หลบหนีไปในครั้งก่อนนั่นเอง! มิน่าหลินหว่านหรงถึงจำมันไม่ได้ เจ้าคังหนิงสวมชุดชนเผ่านอกด่าน ไว้หนวดไว้เครา ใบหน้าตากแดดจนดำไปมาก คนละเรื่องกับทายาทเฉิงอ๋องผู้หล่อเหลาสง่างามผู้แต่งกายหรูหราคนนั้นโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่เห็นดวงตามัน เพียงมองลวกๆ มันก็คือชาวทูเจวี๋ยผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ทายาทเฉิงอ๋องในกาลก่อนประสานมือโค้งคารวะให้เจ้าคนผู้นั้นไม่หยุด สีหน้าท่าทางเคารพนบนอบจริงใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ บุรุษรูปงามชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นไม่รู้ว่ามีสถานะอันใดเช่นกัน ครั้นเผชิญกับการโค้งคำนับแสดงการคารวะครั้งใหญ่ของ เจ้าคังหนิงก็ทำแค่ผงกศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น สีหน้าหยิ่งผยอง ความดูแคลนที่มีอยู่ในดวงตาแค่มองปราดเดียวก็รู้
คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องน้อยคนนี้กลับยอมสวามิภักดิ์ชาวทูเจวี๋ยจริง โชกนี้มันช่างเล็กเสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงดวงตาสาดประกายคมกริบเร็วรี่ อดยิ้มหยันชั่วร้ายไม่ได้
เจ้าขี้ข้าที่ประจบประแจงอย่างหน้าไม่อายนี้ คู่ควรเป็นชาวต้าหัวของเราด้วยหรือ? สวี่เจิ้นโกรธจนกัดฟันเสียงดังกรอดๆ อยากจะเอาดาบไปฟันมันให้รู้แล้วรู้รอดไป
ไม่จำเป็นต้องมาอารมณ์เสียกับเจ้าคังหนิง มันก็แค่สุนัขไร้บ้าน สิ่งที่หลินหว่านหรงกังวลอย่างแท้จริงก็คือสถานะของชายงามทูเจวี๋ยผู้นั้น
มองดูเจ้าคังหนิงตามหลังคนผู้นั้นเดินเข้าไปในกระโจม หลินหว่านหรงก็ตบบ่าสวี่เจิ้นแล้วพูดว่า “เสี่ยวสวี่ ตามข้าลงทะเลสาบไป”
การเดินทางวันนี้ช่างมาไม่ผิดเลยจริงๆ! ไม่ใช่แค่ได้เห็นเจ้าคังหนิงผู้ทรยศบรรพชนคนนี้อีกครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่แน่ว่าจะได้อะไรอย่างอื่นกลับไปด้วย เขาหาทหารที่ว่ายน้ำเป็นมาสักหลายนาย ทุกคนเลือกไปอยู่ริมฝั่งที่อยู่ไกลห่างจากกระโจมนั้น จากนั้นก็ดำน้ำลงไปอย่างเงียบๆ เข้าใกล้กระโจมนั้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
เมื่อเจ้าคังหนิงมา เวรยามชาวทูเจวี๋ยก็เพิ่มความแน่นหนามากขึ้น อีกสามด้านที่เหลือมีหน่วยลาดตระเวนเดินตรวจสอบสิบกว่าคนไม่หยุดหย่อน มีเพียงด้านที่ติดริมทะเลสาบเท่านั้นที่เงียบสงัดผิดปกติ และนี่ก็เป็นความเคยชินของชาวทูเจวี๋ย พวกมันเติบโตอยู่บนหลังม้า แทบจะเป็นเป็ดบกกันทั้งนั้น อีกอย่าง นี่อยู่เบื้องหน้าราชธานี แล้วจะมีผู้ใดกล้าหลับหูหลับตามาหาเรื่องพวกมันได้
หลินหว่านหรงดำลงไปในน้ำ เดินทางออกมาไกลลิบภายในชั่วอึดใจเดียว เพิ่งมุดขึ้นสู่ผิวน้ำก็ได้ยินเจ้าคังหนิงคำรามอย่างโหดเ**้ยมดุร้ายออกมาว่า “ต้องฆ่าหลินซานให้จงได้!”