เสียงกู่ร้องตะโกนนี้ราวกับมีปีกงอกเงย แพร่จากข้างหลังมาสู่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อึงคะนึงไปทั้งขบวนภายในชั่วพริบตา จิตใจอันร้อนแรงของเหล่านายทหารถูกจุดติดอย่างรวดเร็ว ทุกคนโอบกอดกันด้วยความดีใจ เสียงกู่ร้องยินดีดังกึกก้องสลับกันไปมาไม่ขาดสาย ความปีติยินดีและความตื่นเต้นเปี่ยมล้นภายในจิตใจของพวกเขา แม้แต่ทะเลแห่งความตายอันโหดร้ายทารุณแห่งนี้เหมือนไม่ได้น่าหวาดกลัวเช่นนั้นอีกแล้ว
“ท่านแม่ทัพ ข้าวต้มมาแล้วขอรับ…” สวี่เจิ้นวิ่งเหยาะๆ มา ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น มือของเขาถือชามไม้ไว้ สิ่งที่อยู่ในนั้นก็คือข้าวต้มอันร้อนระอุ ใต้น้ำใสที่มีไอร้อนพวยพุ่งมีธัญพืชและข้าวนอนก้นอยู่จำนวนน้อยนิด
ธัญพืชเหล่านี้คงเหลือไว้หลังจากการปลดสัมภาระให้เบาลงครั้งแล้วครั้งเล่า เก็บไว้ให้หลี่อู่หลิงที่ได้รับบาดเจ็บโดยเฉพาะ ส่วนการต้มข้าวต้มภายในทะเลทรายซึ่งหยดน้ำมีค่าดั่งทองคำก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก เพื่อช่วยหลี่อู่หลิง ทหารห้าพันนายกลับแย่งกันแบ่งน้ำสะอาดอันล้ำค่าออกมาโดยไม่ตัดพ้อพร่ำบ่น
สาวน้อยทูเจวี๋ยนั่งอยู่บนรถม้า มองดูภาพเหตุการณ์เช่นนี้ นางก็อดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ สายตาเหม่อลอย การช่วยเหลือรักใคร่ซึ่งกันและกันเช่นนี้ ในสายตาของชาวทูเจวี๋ยที่เคารพเทิดทูนนิสัยหมาป่า ผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งนั้นแทบไม่อาจจะจินตนาการได้เลย
หลินหว่านหรงกับเหล่าเการ่วมแรงกันประคองหลี่อู่หลิงให้ดี สวี่เจิ้นเป่าข้าวต้มที่ร้อนระอุให้เย็น จากนั้นถึงป้อนใส่ปากหลี่อู่หลิงด้วยความระมัดระวัง
ข้าวต้มร้อนเข้าสู่ลำคอ หลี่อู่หลิงมีเรี่ยวแรงกลับคืนมาหลายส่วน เขาเคี้ยวเล็กน้อยหลายคำจากนั้นก็กลืนลงไป ในที่สุดก็สูดลมหายใจลึกๆ คราหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“เสี่ยวหลี่จื่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?!” เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หูปู้กุยไม่อ่านสะกดกลั้นความยินดี เช็ดน้ำตาบริเวณหางตา เอ่ยถามอย่างปีติยินดี
หลี่อู่หลิงริมฝีปากขาวซีด ถึงกระนั้นบนใบหน้าเหลืองอมโรคกลับเผยรอยยิ้มที่ไม่ได้พบมานาน ตอบด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงออกมาว่า“พี่หู พี่เกา ข้ายังไม่ตาย?!”
“ยัง ยัง เจ้าจะตายได้อย่างไร? เจ้ายังไม่ได้สู่ขอภรรยาเลยนะ ไม่ว่าใครก็เอาชีวิตเราไปไม่ได้ ฮ่าๆๆ…” เหล่าเกาดีใจจนหัวเราะอ้าปากเสียงดัง ภายในดวงตามีน้ำตารื้นอยู่
หลี่อู่หลิงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง กล่าวอย่างอ่อนแรงออกมาว่า “ข้าสบายดี พี่หลิน พี่เกา พี่หู พวกท่านสบายดีหรือไม่?!”
“ดีๆ” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางตบศีรษะเขา “พวกเรากินได้นอนหลับ อยู่กันอย่างมีความสุข รออีกสองวันพอเจ้าหายดีแล้ว พวกเรารวมถึงสวี่เจิ้นจะพาเจ้าขี้ม้า ไปดูหลัวปู้ปั๋ว ท่องเที่ยวเทียนซาน ไปกระทำเรื่องอันสะเทือนเลื่อนลั่น เจ้าว่าดีหรือไม่?”
“ดี” เสี่ยวหลี่จื่อใบหน้าเผยความตื่นเต้น “ถ้าชอบติดตามพี่หลินทำเรื่องใหญ่มากที่สุด ได้เปรียบหรือไม่ไม่รู้ แต่รับรองว่าไม่มีทางเสียเปรียบก็พอ…ท่านน้าสวีของข้าก็พูดเช่นนี้!”
คุณหนูสวีพูด? ไม่มีอะไรนางมาพูดเรื่องพวกนี้กลับเสี่ยวหลี่จื่อทำไมกันนะ นี่ไม่ใช่การทำลายชื่อเสียงของข้าหรอกหรือ? หลินหว่านหรงเหงื่อแตกทันที ทุกคนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า อดเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้ ความสุขแผ่ขยายเข้าไปในจิตใจของคนทุกคน
หลี่อู่หลิงฟื้นแล้ว ในที่สุดหินก้อนใหญ่อันหนักอึ้งซึ่งกดทับจิตใจของหลินหว่านหรงก็ถูกยกออกไปได้ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการเดินทัพอย่างต่อเนื่องและต้องเผชิญหน้ากับทะเลแห่งความตายก่อนหน้านี้ของเหล่านายทหารล้วนปลาสนาการไปสิ้น ทุกคนต่างโห่ร้องยินดี อารมณ์คึกคักอักโข หลี่อู่หลิงฟื้นขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญนี้ เหมือนได้ฉีดยาบำรุงหัวใจให้กับพวกเขา ทุกคนล้วนกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ ความมั่นใจที่จะได้เดินออกจากทะเลแห่งความตายเพิ่มสูงขึ้น
เสี่ยวหลี่จื่อหลับลึกมาหลายวัน ร่างกายอ่อนแรง กินข้าวต้มไปหลายคำ สนทนาไปหลายประโยค ก็ต้องทะเลาะกับหนังตา ไม่นานนักก็หลับไปอีก การหลับลึกในช่วงเวลานี้คือปฏิกิริยาตอบสนองในการปรับสมดุลของร่างกาย แสดงว่าอาการค่อยๆ ดีขึ้น แม้จะยังไม่ถึงขั้นหายดี แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นเอง
หลินหว่านหรงกับเหล่าหูย้ายเขาขึ้นไปบนรถม้าด้วยความระมัดระวัง จากนั้นเกาฉิวจึงตรวจอาการบาดเจ็บของเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง ฟังชีพจรและการเต้นของหัวใจ สุดท้ายก็หน้าชื่นตาบาน กล่าวทอดถอนใจออกมาว่า “ขอเพียงพักฟื้นให้ดี ภายในสามสี่วันเสี่ยวหลี่จื่อก็จะลงพื้นเดินเหินได้ เฮ้อ ถึงจะไม่ชอบชาวทูเจวี๋ย แต่ข้าก็ไม่อาจไม่พูดได้ว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ก่อนหน้านี้ดึงเสี่ยวหลี่จื่อกลับมาจากประตูผีได้ นั่นก็อัศจรรย์จนไม่อาจอัศจรรย์ไปได้อีกแล้ว คราวนี้ก็ยิ่งล้ำเลิศ นางบอกว่าเสี่ยวหลี่จื่อจะฟื้นภายในสามวัน ก็ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ไม่ยอมนับถือก็ไม่ได้นะ!”
เหล่าเกาหมอกำมะลอคนนี้ แม้รักษาโรคจะไม่ได้เรื่อง แต่ก็เป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธสูงส่งเช่นกัน เขาบอกว่าหลี่อู่หลิงจะลงพื้นเดินได้ภายในสามสี่วัน ก็น่าจะไม่ผิดแน่
หูปู้กุยผงกศีรษะ “แค่เรื่องวิชาการแพทย์ สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ก็มีฝีมือจริงๆ นับประสาอะไรกับนางช่วยชีวิตเสี่ยวหลี่จื่อ ข้าเหล่าหูนับถือยิ่งนักเช่นกัน”
เมื่อได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงอวี้เจีย หลินหว่านหรงถึงสังเกตได้ นับตั้งแต่หลี่อู่หลิงฟื้นขึ้นมา ทุกคนขอร้องดีใจ สายตาไปอยู่ที่เสี่ยวหลี่จื่อ กลับหลงลืมสาวน้อยทูเจวี๋ยไป ก่อนหน้านี้ตอนช่วยเหลือคนเมื่อครู่นางยังอยู่ในตัวรถ ทว่าว่ายามนี้กลับหายไปโดยไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว โชคดีที่สถานที่แห่งนี้คือทะเลทรายอันเวิ้งว้างภายในทะเลแห่งความตาย ไม่มีใครกังวลว่านางจะหลบหนี
เมื่อคนทั้งหลายจัดให้หลี่อู่หลิงพักผ่อนเรียบร้อยแล้วถึงกระโดดลงมาจากรถ ภายใต้แสงสายัณห์ อาทิตย์อัสดงทรายสีเหลือง หลัวปู้ปั๋วยามเย็นเผยให้เห็นโฉมหน้าอันอ่อนโยนอย่างยากจะได้เห็น ลมทะเลทรายพัดกระทบใบหน้าเบาๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่น กลับเหมือนสองมืออันอ่อนนุ่มของสาวน้อย เส้นขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลเปล่งประกายสีทองระยิบระยับ
ฉวยโอกาสช่วงที่หลี่อู่หลิงฟื้นขึ้นมาแล้ว ทุกคนจึงพักผ่อนอยู่กับที่สักระยะหนึ่ง หลินหว่านหรงตรวจสอบเสบียงอีกรอบ หากไม่อยู่เหนือความคาดหมายก็ยังพอฝืนยืนหยัดไปได้อีกสี่ห้าวัน
เดินตั้งแต่หัวขบวนไปจนถึงท้ายขบวน ขณะกำลังจะเดินย้อนกลับไป ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีอันแผ่วเบาลอยเข้ามาอย่างแช่มช้า คล้ายตัดพ้อ คล้ายชอกช้ำรันทด ท่วงทำนองอ้อยส้อย ทำให้คนยากจะลืมเลือน
บนเนินทรายที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ดวงตะวันค่อยๆ ตกดินอย่างแช่มช้า คล้ายถาดสีแดงกลมๆ ใบหนึ่งตัดแบ่งอยู่ที่เส้นขอบฟ้า เงาร่างอันงดงามร่างหนึ่งยืนสงบนิ่ง เรือนร่างอันอรชรอ้อนแอ้นนั้นวาดเป็นเส้นเงาสีดำบางๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสีแดงสด ราวกับภาพสีน้ำที่สะท้อนขึ้นมา
ทรายเหลืองปลิวกระทบชายกระโปรงอันพลิ้วไหวของนางเป็นระยะ นางจ้องมองสถานที่อันห่างไกลอย่างเงียบงัน สงบนิ่งราวกับเม็ดทรายในทะเลทรายขนาดใหญ่เม็ดหนึ่ง
“นกกายามสนธยาเสาะแสวงหาเถาวัลย์พฤกษาอันแห้งเ**่ยว เรือนริมสายธารสะพานหลังน้อย อาชาผ่ายผอมสายลมประจิมเส้นทางโบราณ ใจข้าเอยจะขาดรอน…กลอนดีๆ!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายเสียงดังแว่วมาจากข้างหลัง อีกทั้งยังตามมาด้วยเสียงปรบมือเบาๆ หลายครั้ง สาวน้อยทูเจวี๋ยวางขลุ่ยหยกลง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางให้เห็น นางแค่นเสียงเบาๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า “เป็นนกกายามสนธยาตัวหนึ่งจริงๆ ด้วย เจ้าคนนี้ยังพอรู้ตัวอยู่บ้างนะ”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แห้งๆ ออกมาสองครั้ง กระโดดขึ้นเนินทรายยืนอยู่ข้างกายนาง “หมอเทวดา ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริงนะ ในทะเลทรายอันเวิ้งว้างแห่งนี้ยังมีอารมณ์มาดูพระอาทิตย์ตกดิน เป่าขลุ่ยหยก ช่างเป็นที่นับถือแก่คนเช่นข้ายิ่งนัก”
“คนหยาบ?! อัวเหล่ากง ยากนักที่เจ้ากลับจะถ่อมตัวได้สักครั้งหนึ่ง” สาวน้อยทูเจวี๋ยประชดประชันเสียงเย็นชา
“เป็นคนหยาบก็ถ่อมตัวด้วยหรือ?” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความตกใจยิ่งนัก “เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีแววเสียเหลือเกิน นี่ข้าเป็นคนหยาบมาตั้งนาน อยากจะละเอียดก็ละเอียดไม่ได้แล้วเหมือนกัน!”
มุมปากของเจ้าคนผู้นี้ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอีกแล้ว อวี้เจียเห็นมานาน จะกี่มากน้อยก็พอเข้าใจนิสัยของเขาอยู่บ้าง ขอเพียงเห็นรอยยิ้มนี้ ในใจของเจ้าโจรต้องไม่ได้คิดอะไรดีๆ เป็นแน่ สาวน้อยส่งเสียงเหอะเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง เก็บขลุ่ยหยกขนาดเล็กกะทัดรัดเข้าไปในอก
“นี่ ให้เจ้า!” หลินหว่านหรงหยิบดาบทองออกมาแล้วส่งใส่มืออวี้เจีย
น้อยครั้งนักที่เจ้าโจรจะใจกว้าง ทอดสายตามองดาบโค้งที่ส่องประกายสีทองระยิบระยับเล่มนั้น สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับลังเลอยู่ชั่วขณะ
“เจ้า จะคืนให้ข้าจริงหรือ?” ใบหน้านางกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
“แน่นอนสิ เจ้านึกว่าสมญานามหนุ่มน้อยผู้ซื่อสัตย์ของข้าลือกันไปอย่างนั้นเองหรือ?” หลินหว่านหรงมองนางด้วยความรู้สึกไม่พอใจ “ดาบเล็กๆ เล่มนี้มาอยู่กับข้านอกจากใช้ตัดแต่งเล็บแล้วก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้จริงๆ ข้าพูดแล้วว่าจะคืนให้เจ้า นั่นก็หมายความว่าคืนให้เจ้าจริงๆ ไม่ต้องซาบซึ้งใจเกินไปนัก นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้อยู่แล้ว”
ข้าจะซาบซึ้งทำไมกัน? อวี้เจียถลึงตามองเขาหลายครั้ง ฟังประโยคแรกๆ ของเขากลับยังมีความจริงใจอยู่บ้าง แต่พอถึงประโยคสุดท้ายกลับเป็นการได้เปรียบแล้วแต่แกล้งมาทำเป็นไขสืออย่างแท้จริง
อวี้เจียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป กุมดาบทองเล่มนั้นแม่น นางดึงเบาๆ สองครั้ง ไม่รู้เพราะอะไรเช่นกัน ดาบทองเล่มนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ลองดึงอีกสองครั้งก็ยังเป็นเช่นนี้
“เจ้าจะจับแน่นขนาดนั้นทำไมกัน…รีบคลายมือออกสิ!” สาวน้อยร้องเรียกด้วยสีหน้าหงุดหงิดโมโห ใบหน้าแดง
“อ้อ ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่เอาแล้วเสียอีก!” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน สองมือคลายออกไป “หมอเทวดา เจ้าตื่นเต้นตึงเครียดกับดาบเล่มเล็กเล่มนี้เสียขนาดนี้ หรือว่าข้างในจะซุกซ่อนความลับอะไรไว้?!”
บนใบหน้าของอวี้เจียมีโทสะ ยัดดาบทองเล่มนั้นกลับใส่มือของเขา “มีความลับอะไรกัน? เจ้าเอากลับไปดูเองก็ได้แล้ว!”
“นี่ถือว่าเจ้ามอบดาบทองให้ข้าแล้วหรือ?” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยื่นมือไปลูบดาบทอง “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไม่เอาแล้ว เฮ้อ พูดตามความจริง ข้าไม่ได้ชอบเล่นดาบ!”
“ใครให้เจ้า คืนมาให้ข้า!” อวี้เจียตวาดเสียงเจื้อยแจ้วคราหนึ่ง ชิงดาบทองกลับไปอีกครั้ง บริเวณดวงตาอันงดงามปรากฏสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับมีแต่โทสะ
หลินหว่านหรงจ้องดาบโค้งที่อยู่ในมืออวี้เจีย ยิ้มเล็กน้อย “ของของใครก็คืนคนนั้น ดาบทองเล่มนี้คืนให้เจ้าแล้ว เพียงแต่บุญคุณของคุณหนูอวี้เจียข้ายังต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง”
สีหน้าของอวี้เจียเย็นชา ใบหน้าอันงดงามปกคลุมด้วยความเย็นเยียบ “เจ้าจะมาขอบคุณข้าทำไม อย่าลืมสิว่าผู้ที่ยิงพี่น้องของเจ้าจนบาดเจ็บคือชาวทูเจวี๋ยอย่างพวกเรา เจ้าสังหารคนในเผ่าของข้า เราชาวทูเจวี๋ยก็ฆ่าสหายร่วมแคว้นของเจ้าเช่นกัน สองชนชาติของพวกเรานี้เดิมทีก็เหมือนน้ำกับไฟ หากมิใช่เจ้าใช้เงื่อนไขมาแลกเปลี่ยน เจ้านึกว่าข้าจะช่วยศัตรูของคนในเผ่าข้าอย่างนั้นหรือ?!”
“ศัตรู? คุณหนูอวี้เจียกล่าวได้ดี” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะเล็กน้อย กล่าวไม่เร็วไม่ช้าออกมาว่า “ด้วยความรู้ความสามารถของคุณหนูอวี้เจีย ข้ากลับขอเรียนถามสักหน่อย ต้าหัวเรากับทูเจวี๋ยของพวกเจ้ามีความแค้นอะไรกันแน่ เป็นใครที่ทำให้พวกเรากลายเป็นศัตรูคู่แค้นที่เป็นหรือตายก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้?”
ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันเย็นชา เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของสาวน้อยทูเจวี๋ย ก็รู้สึกเพียงว่าเต็มไปด้วยความประชดประชัน แต่คำถามนี้นางดันไม่อาจตอบกลับไปได้ เพราะความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า ผู้ที่รุกรานต้าหัวก่อนก็คือบรรพบุรุษของนางนั่นเอง นางกัดฟันกรอด หลบสายตาเขา “เจ้าไม่ต้องมาถามข้า ข้าไม่รู้”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะเย็นชา “คุณหนูอวี้เจีย เกิดเป็นคนก็ต้องพูดด้วยจิตใจอันดีงาม คนในเผ่าของเจ้า บรรพชนของเจ้าทำอะไรเอาไว้บ้าง นับตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบันเจ้ากลับไม่รู้เลยหรือ?! ข้าว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำโดยตั้งใจมากกว่า”
“ต้องให้เจ้ายุ่งด้วย?!” อวี้เจียกัดฟันกรอดเค้นเสียงอย่างมีน้ำโห ราวกับแม่เสือดาวที่ถูกกระตุ้นโทสะ
พูดเหตุผลกับผู้หญิง ความยากเท่ากับขึ้นท้องฟ้าไปลูบคลำดวงดาว หลินหว่านหรงถอนหายใจ “คนเรานั้นก็เล็กกระจ้อยร่อยยิ่งหนัก พวกเราอยู่ในประวัติศาสตร์ สิ่งที่มองเห็นก็มีแค่การสู้แลกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ราวกับน้ำและไฟเท่านั้น แต่มีใครรู้บ้างว่าอีกหลายร้อยปีหลังจากนี้ ศัตรูซึ่งเคยชักดาบเข้าหากัน เป็นศัตรูคู่แค้นกันกลับอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ เจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้? เมื่อเทียบกับกระแสธารอันยาวนานของประวัติศาสตร์ พวกเราซึ่งนึกว่าตัวเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ก็เป็นเพียงเม็ดทรายอันเล็กกระจ้อยร่อยเม็ดหนึ่งที่อยู่ในนั้นเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะดิ้นรนเช่นไร คิดว่าตัวเองเป็นเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ต้องถูกประวัติศาสตร์กลบฝัง ข้าเป็นเช่นนี้ คุณหนูอวี้เจียเจ้าก็ปราศจากข้อยกเว้น”
อาการทอดถอนใจของเขานี้ เปลี่ยนจากท่าทางเหลาะแหละไม่จริงจังหัวเราะสรวลเสเฮฮาที่มีก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น ทุกประโยคล้วนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ แม้แต่อวี้เจียเองก็ยังสัมผัสได้ถึงความจริงใจและความรู้สึกอับจนปัญญาที่มีอยู่ภายในจิตใจของเจ้าโจรคนนี้ได้เช่นกัน
ท่าทางเช่นนี้ของเขากลับเห็นได้น้อยยิ่งนัก สาวน้อยทูเจวี๋ยนิ่งอึ้ง เสียงแผ่วเบาราวกับพึมพำกับตัวเองออกมาว่า “อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ เจริญรุ่งเรืองร่วมกัน? นี่เป็นไปได้หรือ?”
“การหลอมรวมทางชนชาตินั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง ก็เหมือนคนรักที่ร่วมเป็นร่วมตายหรือโครงกระดูกสีขาวที่พวกเราได้เห็นบนเส้นทางสายไหมนี้ พวกเขาผู้ใดเป็นชาวต้าหัว ผู้ใดเป็นชาวทูเจวี๋ย เรื่องนี้ยังสำคัญหรือไม่? พวกเขาไม่ใช่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมฝ่าฟันความยากลำบากกันอีกหรือ?”
อวี้เจียครุ่นคิด ไม่ได้โต้แย้งอย่างน่าประหลาด
“หลายร้อยปีหลังจากนี้ เมื่อปราศจากพรมแดนเฮ่อหลานซานอีกต่อไป ทุ่งหญ้าและแผ่นดินด้านในรวมกันเป็นครอบครัวเดียว แต่ละชนชาติอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า แบ่งแยกกันไม่ได้อีกต่อไป!”
อวี้เจียกลับไม่รู้ว่าคิดไปถึงที่ใด อดส่งเสียงเหอะเบาๆ ออกมาคราหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าแดงก่ำ “ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้าอะไรกัน โจรเช่นเจ้านี้คิดแต่เรื่องไร้ยางอาย!”
หลินหว่านหรงตาโตอ้าปากค้าง นี่ก็เรียกว่าไร้ยางอายหรือ? สวรรค์โปรดเวทนา เป็นเจ้าที่คิดเหลวไหลไปเอง ข้าเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ ปราศจากความคิดพิเรนทร์แม้แต่น้อยเลยนะ ผู้หญิงทูเจวี๋ยคนนี้ช่างเผ็ดร้อนเสียจริง อะไรก็กล้าคิดออกมาได้!
“เจ้าจะมาถลึงตามองข้าทำไมกัน! เรื่องหลายร้อยปีหลังจากนี้เจ้ารู้ได้อย่างไร?” สาวน้อยแค่นเสียงพลางใบหน้าแดง คล้ายรู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง
ผู้หญิงบ้ากามคนนี้ ข้าไม่ถลึงตามองเจ้าหรือว่าจะให้ถลึงตามองตัวเอง? หลินหว่านหรงกะพริบตาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “หรือเจ้าจะลืมไปแล้วว่าข้าดูดวงชะตาและลายมือได้ อย่างที่ว่ากันว่ารู้ย้อนหลังไปห้าร้อยปี รู้ล่วงหน้าห้าร้อยปี…ความรักอันยิ่งใหญ่นี้ข้าบอกเจ้าแค่คนเดียว เจ้าห้ามไปบอกคนอื่นล่ะ!”
เห็นท่าทางเจ้าเล่ห์มีพิรุธของเขาแล้ว อวี้เจียก็อยากจะหัวเราะแต่ก็กลั้นเอาไว้ “เจ้าพูดมาตั้งมากมายขนาดนี้ การหลอมรวมทางชนชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์อะไรต่อมิอะไร แต่เจ้าอย่าลืมว่าสองแคว้นของพวกเราตอนนี้กำลังรบกันอยู่ หากข้าให้เจ้าล้มเลิกการโจมตีคนในเผ่าของข้า เจ้าจะยินดีหรือ?!”
อวี้เจียช่างสมกับเป็นสตรีที่มีความคิดความอ่านอย่างยิ่งเสียจริง ปัญหานี้กลับทำให้หลินหว่านหรงนิ่งอึ้งไป เขาคงคิดอยู่นาน จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเงียบงัน การอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์นั้นมันก็เป็นแค่รูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น การรบในตอนนี้ยังต้องรบ เพียงแต่รบจนเจ็บแล้ว หวาดกลัวแล้ว ทุกคนถึงจะสงบจิตใจลง พิจารณาปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ดีได้
อวี้เจียเห็นสีหน้าก็รู้ความคิดเขา อดแค่นเเสียงพร้อมพูดออกมาไม่ได้ “เจ้าคนนี้ ปากคุยโม้เสียใหญ่โต แต่ใจกลับไม่ได้คิดเหมือนกัน?! ต่ำช้า!”
คนอยู่ในประวัติศาสตร์ก็ไม่อาจเป็นตัวของตัวเองอยู่บ้างจริงๆ! หลินหว่านหรงถอนหายใจด้วยความรู้สึกอับจนปัญญา ปลดถุงน้ำที่อยู่บริเวณเอวออกแล้วยัดใส่มืออวี้เจีย “มาพูดเรื่องพวกนี้ก็ช่างปวดหัวเสียจริง ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว ถุงน้ำถุงนี้ก็คืนให้เจ้าก็แล้วกัน!”
MANGA DISCUSSION